ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    P:FMR JD

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 0 โลก

    • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 57



    บ้านของครอบครัวครอบครัวหนึ่ง  เวลา 08.30 PM.


         เด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังเอนหลังลงบนเตียงอันแสนนุ่มสบายของเขา โดยที่มีผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่เขาเรียกว่า 'พ่อ' นั่งอยู่ข้างๆ และผู้หญิงที่เขาเรียกว่า 'แม่' มองดูเขาอยู่ที่ริมประตูห้องรอเวลาที่ลูกชายของเธอจะเข้าสู่ห้วงนิทรา เพื่อที่ตัวเธอนั้นจะได้ปิดไฟที่โคมไฟข้างๆตัวเธอ

         "คุณพ่อครับ คุณพ่อครับ" เด็กชายตัวน้อยเรียกเสียงใส

         "มีอะไรอย่างงั้นเหรอลูก ?" คุณพ่อรีบขานรับคำเรียกร้องของลูกชาย

         "ช่วยเราเรื่องนั้นให้ฟังอีกทีสิครับ" 
         "เรื่องนั้น เรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอครับ ?" คุณพ่อถามกลับด้วยความสงสัย เพราะเขาไม่อาจจำได้ว่า 'เรื่องนั้น' ที่ลูกชายตัวน้อยของเขากล่าวถึงนั้นคือเรื่องใด

         "ก็เรื่องนั้นไงครับ เรื่องของ คาเมนไรเดอร์ ไง!" เด็กชายรีบบอกเตือนความจำของเขา
         "เล่าอีกนะครับ เล่าอีก ขอร้องล่ะครับคุณพ่อ"

         พ่อของเด็กชายเหลียวหลังกลับไปมองที่แม่ที่พยักหน้าเบาๆให้ เหมือนจะบอกว่าให้เล่าให้เขาฟังเถอะค่ะเป็นนัยๆ ฝ่ายพ่อจึงหันกลับมาที่ลูกชายของเขาอีกครั้งและตอบไปว่า "ได้ แต่ว่าถ้าพ่อเล่าเสร็จแล้วลูกต้องเข้านอนทันทีนะ เข้าใจไหม ?"

         "ครับ!" เด็กน้อยตอบรับอย่างตื่นเต้น

         "คาเมนไรเดอร์..หรือ มาสค์ไรเดอร์ พวกเขาคือฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมผู้สวมหน้ากาก ที่คอยต่อกรกับความชั่วร้ายทั้งหลายอยู่ในเงามืดของสังคม โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ พวกเขาเปรียบเสมือนความหวังของผู้คน ที่จะปรากฏออกมาช่วยเมื่อมนุษย์อย่างพวกเราไร้หนทางสู้กับสิ่งที่ชั่วร้าย" คุณพ่อเล่าเรื่องของมาสค์ไรเดอร์ให้ลูกชายของเขาฟังโดยที่เด็กน้อยก็นอนฟังอย่างตั้งใจอยู่เงียบๆ

         "แต่ว่าถึงคาเมนไรเดอร์จะแข็งแกร่งเพียงใดก็มีหลายครั้งหลายคราที่พวกเขาล้มลง แต่ว่าไม่ช้า พวกเขาก็จะลุกขึ้นยืนหยัดขึ้นสู้ใหม่อีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อโดยที่เราก็ไม่จะรู้ได้เลยว่า ทำไมพวกเขาถึงต้องต่อสู้ถึงเพียงนี้ ทำไมพวกเขาถึงต้องต่อสู้เพื่อมวลมนุษย์..ทำไมเขาจะต้องเอาชีวิตเขาแลกกับการที่ไม่มีสิ่งใดตอบแทน.."

         "แต่ว่าพวกเขาก็เป็นคนดี ฮีโร่ที่คอยปกป้องพวกเราใช่ไหมครับ ?" เด็กน้อยถาม

         คุณพ่อยิ้มอย่างอ่อนโยนและลูบหน้าผากของเด็กน้อย "เอาล่ะ ได้เวลานอนแล้วพ่อเราแค่นี้ล่ะ"
         เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปหาผู้หญิงที่ยืนรอเขาที่หน้าประตูห้อง

         "คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ" เด็กน้อยเรียกทั้งอีกครั้ง

         "หืม ?" คุณพ่อหันกลับไป โดยที่คุณแม่เองหลังจากที่กดปิดไฟที่โคมไฟข้างๆตัวแล้วก็ให้ความสนใจไปทางเดียวกัน
         "อะไรอย่างงั้นเหรอครับ ได้เวลานอนแล้วนะ ?"

         "พวกเขาน่ะมีอยู่จริงสินะครับ ?..คาเมนไรเดอร์เนี่ย" เด็กน้อยถามคำถามออกไปอย่างใสซื่อ

         ทั้งสองยิ้มให้ลูกชายของพวกเขาและค่อยๆดึงประตูเข้าหาตัว
         "ได้เวลานอนแล้วนะ ราตรีสวัสดิ์"

         ตึง!
         เสียงของประตูที่ปิดลงอย่างเบาๆ เพียงแต่ในห้องที่เงียบสงัดเช่นนี้นั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้ยินเสียงเป็นธรรมดา
    เด็กน้อยอาจจะยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดนัด แต่ว่าเนื่องด้วยการที่วันพรุ่งนี้นั้นเขาจะต้องไปโรงเรียน เขาจึงต้องรีบนอนเพื่อที่จะไม่ตื่นสายในวันรุ่งขึ้น

         ก่อนที่เขาจะหลับตาทั้งสองข้างลง เขามองขึ้นไปบนเพดานห้องของเขา
         เพดานห้องที่ถูกประดับประดาไปด้วยภาพของเหล่าฮีโร่ทั้งเชื้อสายอเมริกา เชื้อสายญี่ปุ่น ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของเด็กน้อยคนนี้ และในบรรดาเหล่าฮีโร่ทั้งหลายนี้ แน่นอนว่าเขาก็ต้องมี 'ฮีโร่ที่ชื่นชอบเป็นที่สุด' อยู่แล้ว และคำตอบนั้นก็เดาได้ไม่ยากเลยแม้แต่น้อย...


         "..คาเมน..ไรเดอร์...มาสค์..ไรเดอร์"


    .
    .
    .
    .
    .


         
    "พวกเขาน่ะมีอยู่จริงสินะครับ ?..คาเมนไรเดอร์เนี่ย"
         คำถามของเด็กน้อยที่ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆจากพ่อและแม่ของเขา




         ตึง!!
         "อึ่กก!!" เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ท่ามกลางพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ
         แต่ว่าไม่ว่าใครก็ตามหากถูก 'กำปั้น' เข้าใส่จุดอ่อนสำคัญก็ย่อมต้องเจ็บและร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่จุดอ่อนของบุคคลที่ว่านี้มันต่างออกไปจากจุดอ่อนของคนธรรมดาคนอื่นๆ

         เข็มขัดสีดำขลิบทองที่ถูกกำปั้นของมันเข้าไปเกิดเป็นรอยร้าวที่จวนใกล้จะแตกเต็มที
         ร่างของชายเจ้าของของเข็มขัดเส้นนี้เป็นร่างของอะไรบางอย่าง..ที่ดูแล้วมิอาจจะนึกถึงคำว่ามนุษย์ได้เลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีแดงก่ำ ร่างกายสีดำ มีลายสีทองอยู่ตามตัว ลักษณะคล้ายกับสัตว์ประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

         "เฮือก..เฮือก..เฮือก" ชายเกราะสีดำหอบเพราะความเหนื่อยและความเจ็บ แต่เขาก็รวบรวมพลังและความรู้สึกทั้งหมดปล่อยไปพร้อมกับหมัดสีดำของเขาใส่บางสิ่งที่ดูแล้วอาจไม่ใช่มนุษย์ข้างหน้า "ย้ากก!!"

         เจ้าสิ่งนั้นถูกหมัดของนักรบสีดำเขาไปก็สามารถทำให้มันเจ็บได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่าดูเหมือนมันจะไม่สนใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำท่าทางสนุกหัวเราะกับการกระทำของนักรบเกราะสีดำเสียด้วย นั่นทำให้ดูผิดไปจากรูปลักษณ์สีขาวบริสุทธิ์ของเขาอย่างสิ้นเชิง "หึ!"
         ปิศาจสีขาวสวนหมัดกลับไปที่นักรบสีดำอีกครา

         "อั่ก" คราวนี้นักรบสีดำถึงกลับถอยหลังออกไปด้วยพลังที่รุนแรง

          "ย้ากก!/ฮ่าสส์!" ทั้งสองพุ่งหมัดเข้าหากันอย่างพร้อมเพรียง หมัดทั้งสองตรงเข้าใส่ใบหน้าของพวกเขาอย่างเต็มแรง ทำให้พวกเขากระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง
          ..แต่ไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็ลุกขึ้นอีกครั้งและพุ่งเข้าหากัน...
          "ย่าส์!/ฮ่าส์!"



         สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลจำพวก ปลา กำลังเหยียบร่างของผู้ชายที่สวมเกราะสีน้ำเงินซึ่งดูๆแล้วไม่ว่ามองยังไงก็เป็นชุดเกราะที่หน่วยงานทางตำรวจไม่ก็ทหารต้องเป็นผู้สร้างเกราะนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน เพียงแต่สาเหตุที่ทำไมเขาคนนี้ถึงมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าสัตว์ประหลาดรูปร่างหน้าตาคล้ายปลาเช่นนี้ได้ ก็คงเป็นเพราะระดับพลังที่ห่างชั้นของ 'มนุษย์' กับ 'เทพ'
         "พวกมนุษย์อย่างพวกแกน่ะ ไม่มีอนาคตหรอก" เสียงแหบๆของมันฟังแล้วทำให้รู้สึกเจ็บแค้นเข้าไปใหญ่ เพียงแต่ว่าในตอนนี้นักรบเกราะสีน้ำเงินไม่อาจจะทำอะไรได้

         แต่ว่าทันใดนั้นเอง..เปลวเพลิงสีแดงก็ลุกโชนขึ้นมาตรงหน้าของเจ้าปิศาจวารีตนนี้
         "ฉันจะ..ฉันจะไม่ยอม.." นักรบเกราะสีแดงที่มาพร้อมกับเปลวอัคคีทั่วตัวเดินเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว อย่างกับว่าตัวเขานั้นเคยมีความแค้นกับเจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า 

         "..ฉันจะไม่ยอมให้แกมาช่วงชิงอนาคตของใครไปอีกแล้ว!" นักรบเพลิงตอบอย่างเด็ดขาด แล้วตัวเขาก็พุ่งตรงไปที่เจ้าปิศาจวารีตนนั้นทันที และเมื่อยามที่แสงสว่างจากดวงตะวันบนท้องฟ้าสีครามนั้นฉายแสงสาดส่องลงมาที่ร่างของนักรบเกราะเพลิงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวผู้นี้ เกราะสีแดงนั้นก็เกิดรอยร้าวแตกระปหงไปทั่วทั้งร่าง

         เพียงแต่สิ่งที่อยู่ข้างในเกราะสีแดงนี้กับเป็นแสงสว่างที่ชวนทำให้รู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าเกราะสีแดงก่อนหน้านี้ และเมื่อเกราะสีแดงแห่งเปลวเพลิงและความโกรธได้แต่สลายออกไปจนหมด ก็เหลือเพียงร่างของนักรบแห่งแสง ร่างจำแลงแห่ง 'เทพแสงสว่าง' ตรงหน้าเท่านั้น...



         เปลวอัคคีสีทองบนฟ้า เจ้าของไฟสีทองนั้นเป็นร่างของนักรบนกฟินิกซ์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหมือนเย้ยหยันนักรบไร้ปีกสีแดงที่ยืนอยู่พื้นดินอย่างโดดเดี่ยว แต่ถึงจะบอกเช่นนั้นนักรบสีแดงคนนั้นเองก็มีลายลักษณ์ของมังกรอยู่บนเกราะเหล็กบนหน้าผาก ดูแล้วเขาเองก็ไม่ได้เป็นแค่พวกอ่อนหัดที่หาญกล้ามาสู้กับศัตรูที่ต่างชั้นกัน แต่เป็นผู้กล้าที่เข้ามาต่อกรผู้ไร้เทียมทานเสียมากกว่า

          "ไม่มีเวลาแล้ว ข้าต้องขอจัดการแกโดยเร็ว" ร่างของนักรบฟินิกซ์หายไปทิ้งไว้เพียงขนนกสีทอง แต่นี่ไม่ใช่การหายตัวไปแบบการเทเลพอร์ท แต่เป็นการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงจนไม่อาจที่จะมองด้วยตาเปล่าทัน

         นักรบสีทองผู้นั้นเคลื่อนตัวมาอยู่ด้านหลังของนักรบมังกรในชั่วพริบตาและกำลังจะโจมตีปิดชีพของนักรบสีแดงตรงหน้า
          เพล้ง!!

         "ฮะ!?" นักรบมังกรแดงได้ยินเสียงปะทะของบางสิ่งด้านหลังเขาหันย้อนกลับไปก็เห็นนักรบเกราะสีทองที่ถูกบางสิ่งกระแทกอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ถอยร่นออกไป และเจ้าของสิ่งที่ทำให้นักรบสีทองผู้นั้นถอยไปได้ก็คือดาบยาวของนักรบร่างสีน้ำเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับค้างคาว
         "นี่..นาย"

         "อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันมาที่นี่เพียงเพื่อที่จะต่อสู้เท่านั้น" ชายนักรบค้างคาวตอบ

         ถึงแม้ว่าชายผู้นั้นจะตอบเขากลับมาเช่นนั้นแต่ตัวของนักรบมังกรแดงนั้นรู้ดีว่าเขาหมายความเช่นไร ทั้งสองหันหลังชนกันเสมือนนักรบคู่หูที่รู้ใจกัน พวกเขาทั้งสองรวมพลังกันที่นี่เพื่อที่จะต่อกรกับศัตรูที่ร้ายกาจตรงหน้า...
         "เอาล่ะ!"



         นักรบร่างสีแดงพร้อมกับปืนยาวในมือกำลังยืนเผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูที่มีลักษณะท่าทางเหมือนกับตัวเขาเหมือนถอดแบบมาโดยตรง โดยที่มีปิศาจสีขาวตรงหน้าเหมือนจะเป็นหัวหน้าหรือผู้นำของพวกมันทั้งหลาย ปิศาจสีขาวตนนี้มีรายและรูปร่างเหมือนม้าไม่มีผิดเพี้ยนเพียงแต่ตัวมันก็เป็นเหมือนนักรบที่ผ่านการต่อสู้มาอย่าโชกโชนแล้ว

         "คึ่กก!!" เจ้าปิศาจม้าที่ดูจะอ่อนแรงไปมาก ถึงนั้นมันก็ยังไม่ยอมแพ้และร่วมรวมแรงเฮือกสุกสุดท้ายวิ่งตรงเข้าไปหานักรบสีแดงตรงหน้า พร้อมกับเหล่าลูกสมุนของมัน
         ฝ่ายนักรบสีแดงก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อยเขากลับตั้งปืนขึ้นและเล็งไปที่เจ้าปิศาจม้าตรงหน้า

         "ฮาส์!" มันฟาดดาบลงมาที่ไหล่ของนักรบสีแดง แต่เขาคนนั้นก็รับเอาไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน จนกระทั้งดาบนับสิบของเหล่าทหารก๊อปปี้ทั้งหลายต่างก็ฟันลงมาที่ร่างของเขาพร้อมๆกัน แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องเจ็บแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนยงอยู่ท่าเดิมในขณะที่ปืนของเขากำลังชาร์จพลังงานจนจวนใกล้จะเสร็จเต็มทีแล้ว

          "ก็บอกไปแล้วนี้..ว่าฉันจะปกป้องมนุษย์เองน่ะ!" เมื่อเหมือนว่าปืนของเขาชาร์จได้ที่แล้ว นักรบสีแดงจึงเหนี่ยวไกปล่อยพลังงานสีแดงออกไปทั่วบริเวณ พวกทหารที่มีต้นแบบจากตัวเขาต่างกระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง ส่วนนักรบปิศาจม้าตรงหน้ายังพยายามฝืนต้านพลังงานตรงหน้าไว้อย่างไม่ย้อท้อ

          แต่พลังใจก็ไม่อาจจะต่อกรกับพลังงานที่มากมายมหาศาสได้อยู่ดี
          "อ้ากก!!" นักรบปิศาจม้ากระเด็นออกไปในท้ายที่สุดด้วยพลังงานจากปากกระบอกปืนที่ยิงออกมา...



         "ฮ้ากก" นักรบเกราะสีทองเรียกการ์ดขนาดใหญ่เท่าตัวเขาห้าใบออกมาเรียงเป็นแนวตรงไปที่ปิศาจสีดำตรงหน้าของเขา และเขาก็วิ่งพุ่งไปตามการ์ดทั้งห้าใบเหล่านั้น
         นักรบสีทองฟันดาบแสงสีทองในมือของเขาไปที่ปิศาจสีดำเขียวตรงหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี

          "ย่าสส์!" ปิศาจสีดำก็ใช้พลังทั้งหมดที่มันมีรับโจมตีของนักรบสีทองคนนี้ไว้

          พลังแสงจากดาบของนักรบสีทองเปล่งประกายมากขึ้นทำให้ทราบได้เลยว่าการโจมตีในครั้งนี้เป็นการทุ่มพลังทั้งหมดของตัวเขาออกมา แต่ก็เหมือนว่าเขานั้นจะไม่อยากที่จะทำการ 'ฆ่า' ศัตรูตรงหน้าเท่าใดนักเพราะศัตรูคนนี้นั้นเคยเป็น 'เพื่อน' ของมาก่อน แต่ว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองก็ต้องมาเผชิญหน้ากันและกัน

          "ว้ากกก!!" นักรบสีทองทุ่มพลังทั้งหมดออกไปและฟันใส่ร่างของปิศาจสีดำได้ในที่สุด

          ปิศาจสีดำล้มลงแต่เขาก็หันกลับไปบอกกับนักรบสีทองคนนั้น "ตอนนี้ล่ะ รีบผนึกฉันซะ!"
          สายตาอ้อนว้อนของอดีตเพื่อนพ้องร้องขอให้นักรบสีทองช่วยทำให้สิ่งที่เขาปรารถนา

          แต่นักรบสีทองกลับลดดาบนั้นลงพร้อมกับมีบางสิ่งที่ไหลออกมาจากมือของเขา ซึ่งมันน่าจะเป็นผลพวงมาจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้เพียงแต่สิ่งนั้นกลับทำให้อดีตเพื่อนของเขาต้องประหลาดใจและไม่คิดไม่ฝันว่า นักรบสีทองคนนี้จะเลือกเส้นทางนี้

         "นะ..นี่นาย!?"
         
    "พวกเราจะสู้กันไม่ได้ หรือจะอยู่ใกล้ๆกันก็ไม่ได้ แบบนั้นล่ะดีแล้ว.." นักรบสีทองกล่าวบทพูดของเขาออกมา ก่อนที่ทุกอย่างรอบข้างจะค่อยๆกลับสู่ความเงียบสงัด...



         สัตว์ประหลาดกึ่งวิหคกึ่งมนุษย์กำลังถูก 'ยักษ์' ที่มีขนาดตัวเท่ามนุษย์วางบางสิ่งลงบนร่างของมันจนเกิดกลายเป็นสัญลักษณ์ขนาดใหญ่กลางตัวของมัน นักรบยักษ์ผู้นี้หยิบกระบองคู่ใจของเขาขึ้นมาพร้อมที่จะเล่นบรรเลงบทเพลงจัดการเจ้าปิศาจร้าย

         "Ongeki Da:Bakuretsu Kyouda no Kata"
     เขาขานชื่อท่าไม้ตายของเขาและทุ่มแรงกาย แรงใจลงไปกับกระบองคู่ของเขาใส่ตราสัญลักษณ์บนร่างของปิศาจตนนั้น มันถูกการตีเพียงสองครั้งนี้ผลักมันจนถอยกระเด็นไปชนกับเหล่าปิศาจตัวอื่นๆด้านหลังมัน

         การโจมตีครั้งนี้ไม่ได้เพียงจัดการกับมันเพียงตัวเดียวแต่เหล่าปิศาจนับสิบด้านหลังของมันต่างก็ถูกคลื่นพลังนี้จัดการจนหมดสภาพไปพร้อมๆกัน โดยเหลือเพียงร่างลอยค้างอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ตราสัญลักษณ์สีแดงส้มเริ่มค่อยแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง

         ตูมม!!
         และตราสัญลักษณ์นั้นก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงทำลายร่างของเจ้าปิศาจตนนั้นหายไปเป็นธุลี แม้แต่เหล่าปิศาจตัวอื่นๆเองก็ถูกพลังไฟนั้นเผาจนไม่เหลือแม้แต่ซากเฉกเช่นเดียวกัน
         เมื่อจัดการกับเจ้าปิศาจเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยนักรบยักษ์จึงควงไม้กระบองคู่ของตนเก็บไว้ที่หลังของตนตามเดิม

         "เหนื่อยหน่อยนะครับ" ยักษ์สีฟ้าอีกคนเข้ามาบอกกับเขา
         "อืม เหนื่อยหน่อยนะ" ฝ่ายยักษ์สีแดงเองก็ตอบรับน้ำใจของรุ่นน้องของเขาหลังจากที่ทำงานหน้าที่เสร็จสิ้น...



         "อุ่ก!" นักรบเกราะด้วงกวางสีน้ำเงินอ่อนล้าเมื่อเขาต้องพบกับศัตรูนับร้อยนับพันที่มาไม่รู้จักจักจักสิ้น พวกมันจริงๆแล้วก็ไม่ได้มีความสามารถเท่าใดนักฝ่ายนี้มากกว่าที่มีพลังมากกว่าฝ่ายนั้นหลายเท่า เพียงแต่ว่าศัตรูเหล่านี้มีจำนวนมากจนเกินไปที่ตัวเขาเพียงคนเดียวจะรับมือไหว เป็นเหตุให้ตอนนี้ตัวเขานั้นไร้เรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อ

         บรืน!!
         เสียงของรถมอเตอร์ไซค์ที่ดังมาจากด้านหลังของเขา ทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปมองทันที มันคือมอเตอร์ไซค์สีแดงที่ขับตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว และชายผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์คันนั้นเองก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของเขาคนนึง

         เอี๊ยดด!
         นักรบเกราะด้วงเขาสีแดงเหวี่ยงรถมาจอดตรงหน้าของนักรบเกราะสัน้ำเงินพอดี และยังเป็นการไล่พวกปิศาจดักแด้รอบข้างให้ถอยออกไปในตัว

         "อะ..เอื้อกก" นักรบเกราะสีน้ำเงินพยายามฝืนที่จะลุกขึ้นยืน
         ฝ่ายนักรบเกราะสีแดงจึงยื่นมือไปหาเขา "ถ้าพวกเราสองคนรวมพลังกันล่ะก็ พวกเราจะไม่มีทางแพ้ใครเด็ดขาด" 

         "อา รู้อยู่แล้วล่ะน่า!" นักรบเกราะสีน้ำเงินจับมือของนักรบเกราะสีแดงแล้วลุกขึ้นยืน ทั้งสองพร้อมที่จะเข้าต่อสู้กับเหล่าปิศาจดักแด้ที่รายล้อมพวกเขาอยู่ โดยที่ดูแล้วไม่ว่ายังไงก็ไม่มีหวังที่คนแค่สองคนจะสามารถต่อกรกับศัตรูจำนวนขนาดนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาทั้งสองต่างก็คิดอยู่ในใจในแบบเดียวกันว่าหากร่วมมือกันพวกเขาจะไม่มีทางแพ้ใครอย่างแน่นอน

         "ไปกันเถอะ" นักรบเกราะสีแดงเอ่ยปาก
         "อา! ลุยกันเลย" นักรบเกราะสีน้ำเงินขานรับ และพวกเขาทั้งสองก็วิ่งตรงเข้าไปสู่การต่อสู้ของพวกเขา...



         ปังๆๆๆๆๆ
         เสียงปืนกลรัวจากนักรบสีแดงที่กระหน่ำยิงเหล่าลูกสมุนของสัตว์หลาดที่เดินเรียงรายเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จำนวนลูกกระสุนที่ยิงออกไปนั้นไม่อาจนับได้แล้วว่ายิงไปทั้งหมดกี่นัด รู้เพียงแต่ว่าจำเป็นที่จะต้องสู้เพื่อไม่ให้พวกมันไปทำในสิ่งที่พวกมันประสงค์ได้

         "เร็วๆเข้า!" นักรบสีแดงพร้อมปืนของเขาตะโกนบอกนักรบสีแดงอีกคน เพียงแต่ทั้งสองคนนี้มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง นักรบคนนี้เป็นนักรบที่มีสีดำและสีแดง แต่อีกคนหนึ่งเป็นนักรบที่มีสีเป็นสีขาวและสีแดงพร้อมกับดาบขนาดใหญ่ที่มีหน้ากาก 4 สีติดอยู่บนดาบนั้น

          "ท่าไม้ตาย ดาบผ่ารถไฟ!" ทันทีที่ประกาศชื่อท่าไม้ตายออกมา ก็มีสิ่งที่เขาประกาศมานั้นออกมาพร้อมๆกันจริง มันคือรถไฟพลังงานที่พุ่งเข้ามาพร้อมรางรถไฟนั้น แต่ตัวเขากลับขึ้นไปยืนบนรางนั้นโดยที่ไม่เป็นอะไรซ้ำรถไฟยังเข้าประสานเข้ากับตัวเขาจนเกิดเป็นการโจมตีที่รุนแรง

         เหล่าลูกสมุนถูกพลังงานรถไฟนี้พุ่งเข้าใสถูกจัดการมาตามๆกันเป็นแถวเรียงยาว
         และเป้าหมายที่ชายคนนี้เล็งเอาไว้ตั้งแต่แรกก็คือหัวหน้าของพวกมันที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ณ ตอนนี้

         "ฮ่าส์!" นักรบผู้นั้นฟันดาบของเขาไปอย่างสุดแรง แสงสว่างจ้าเกิดขึ้นทั่วบริเวณ
          พร้อมกับร่างของนักรบหนุ่มที่ฟันผ่านร่างเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้นออกมา...




         ตึง!!
         แรงกระแทกจากการปะทะกันระหว่างคนสองคนทำให้เกิดคลื่นกระแทกที่รุนแรงผลักพวกเขาทั้งสองออกจากกัน พวกเขาทั้งสองนั้นมีรูปร่างลักษณะที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก นักรบที่มีต้นแบบมาจากแดรกคิวล่าสวมเกราะแตกต่างเพียงสีเกราะของฝั่งนึงที่ออกเป็นสีทองสลับแดง กับอีกฝั่งนึงที่เป็นสีดำสลับแดง ไม่เพียงรูปลักษณ์เพียงเท่านั้นแต่พลังของทั้งสองเองก็สูสีกันจนไม่อาจจะมีใครล้มใครได้เลย

         "เฮือก..เฮือก.." ทั้งสองเหนื่อยหอบจากการต่อสู้ที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ยังไม่มีใครที่คิดจะยอมล้ม "เป็นอะไรไปล่ะ ไม่คิดจะสู้ต่อแล้วเรอะ!?"
         ฝ่ายนักรบสีดำเอ่ยปากท้าทาย

         นักรบสีทองยกดาบขึ้นเหมือนว่าจะตอบรับคำท้าทายนั้น แต่ว่า...

         เพล้ง!
         ดาบในมือของนักรบสีทองปักลงกับพื้น
         "ผมเข้าใจนะ ถึงความเจ็บปวดของพี่" นักรบสีทองค่อยเดินเข้าหาชายที่เขาเพิ่งเรียกว่า 'พี่' ทั้งๆที่พวกเขาทั้งสองเพิ่งสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายมาไม่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

         "แต่นี้ไปผมจะอยู่..ข้างๆพี่เอง" นักรบสีทองเข้ามาสวมกอดพี่ชายของเขา
         "นะ..นี่นาย.." 

         ทั้งสองกำลังโผเข้าหากันแต่ทันใดนั้นเองก็มีลูกบอลสีดำขนาดยักษ์ลอยข้ามหัวของพวกเขาทั้งสองไป และเมื่อมันร่วงลงไปบนเนินเขาก็เผยร่างของปิศาจแดรกคิวล่าอยู่บนเนินสูงนั้น นั่นคือสัญญาณของการต่อสู้ต่อจากนี้...



         ตูมม!!
         แรงระเบิดที่เกิดจากการโจมตีของบุรุษสวมเกราะที่ทำการโจมตีด้วยปืนของเขา ทำให้ปิศาจเกราะสีแดงต้องถอยร่นด้วยพลังทำลายนั้น ส่วนตัวเขานั้นค่อยๆเดินออกมาจากควันแห่งการต่อสู้ โดยที่ตัวเขาคนนั้นไม่ได้มีบาดแผลหรืออาการบาดเจ็บใดๆเลย ในขณะที่ฝ่ายปิศาจตนนี้กลับเป็นไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ฝ่ายนักรบเองต่างหากที่ดูเหมือนปิศาจร้ายหรือ 'ผู้ทำลายล้าง'

         "นะ..นี่แก เป็นใครกันแน่!?" เจ้าปิศาจตะโกนร้องสุดเสียง

         นักรบผู้นั้นหยิบการ์ดของเขาขึ้นมา
         "ก็เพียงแค่คาเมนไรเดอร์ที่ผ่านมาเท่านั้นล่ะ จำใส่หัวไว้ด้วยล่ะ!"
         เขาใส่การ์ดใบนั้นลงเข็มขัดของเขา ทันใดนั้นก็ปรากฏการ์ดสีทองเรียงรายมาเป็นเส้นทางยาวให้กับเขา

         "ฮะ!" เขากระโดดขึ้นไป การ์ดสีทองเหล่านั้นก็เคลื่อนตามเขาไปพร้อมกัน โดยมีเป้าหมายลงมาที่ปิศาจสีแดงตรงหน้า แล้วเขาพุ่งตรงลงมาใส่มัน
         "ฮ่าส์!!"

         เมื่อใดที่เขาผ่านการ์ดสีทองมา การ์ดใบนั้นจะสลายกลายเป็นอนุภาคไปรวมที่ตัวของนักรบผู้นั้น ทำให้เกิดเป็นพลังงานมหาศาส และทันทีที่เขาเตะลงใส่ร่างของปิศาจพลังนั้นก็ได้กระแทกมันจนกระเด็นออกไปอย่างสุดแรง
         "อะ..อ้ากก!!" แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังยืนหยัดไม่ยอมล้มลง

         "สักวันนึง..ข้าและพวกพ้องของข้าจะต้อง..กลับมาล้างแค้นพวกเจ้าให้ได้!!" มันกล่าวคำสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของมันจะระเบิดไปในที่สุด...

         บรึ้มม!!



         ท้องฟ้าสีครามในยามนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีดำ ท้องฟ้านี้มีสายฟ้าสีแดงเป็นตัวบ่งบอกถึงความไม่ปกติของท้องฟ้า นั่นเพราะว่าจริงแล้วท้องฟ้าครึมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่ว่ามันถูกทำให้เกิดขึ้นมาโดยพลังของบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นมีร่างกายไม่เหมือนมนุษย์แต่ก็ยังคงเค้าของมนุษย์ไว้อยู่ ถึงร่างสีขาวของมันจะดูเหมือนเป็นนักรบ่ายดีก็ตาม แต่ความรู้สึกที่ได้มาจากตัวมันหาได้เหมือนภายนอกไม่

         ชายที่อาจหาญกล้าที่จะต่อกรกับมันมีเพียงคนเดียวซึ่ง  ณ ตอนนี้เขาคนนั้นก็ยืนอยู่กลางลานกว้าง ด้วยสีที่ชวนพิลึก ร่างกายซีกขวาของเขาเป็นสีเขียวอ่อน ในขณะที่ร่างกายซีกซ้ายนั้นเป็นสีดำม่วง โดยมีตรงกลางเป็นสีเงิน ทำให้ดูขัดๆกันอย่างเด่นชัด

         ปิศาจสีขาวควบคุมสายฟ้าสีแดงให้ผ่าลงใส่นักรบสองสีนั้นทันที

         ตูมม!!
         ความรุนแรงของสายฟ้านั้นสูงกว่าฟ้าผ่าทั่วไปมาก ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาเพียงแค่ครั้งเดียวเขาคงจะลุกไหม้อยู่ในกองเพลิงเป็นแน่ แต่ว่าสำหรับนักรบคนที่ว่าแล้วกลับไม่มีอาการสะทกสะท้านใดๆ

         "เอาล่ะนะ!" เขาดึงดาบของเขาออกมาจากฝักซึ่งนั่นก็เป็นโล่ของเขาเองด้วย แสง 4 สีลอยออกมาจากโล่บินวนไปรอบตัวเขา ตัวเขาวิ่งตรงไปหาปิศาจสีขาวนั้น และเมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าและฟาดดาบลงมา แสงทั้งสี่ก็บินตามลงมาพร้อมกันๆ
         "ฮ่าสส์!" ดาบเล่มนั้นเขาปะทะกับมันจนเกิดเป็นคลื่นพลังงานกระจายออกไป...



         "ไปกันเถอะ อังค์!" นักรบเพลิงฟินิกซ์สีแดงบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า พุ่งตรงเข้าหาสัตว์ประหลาดไดโนเสาร์สีม่วงที่กำลังรวมพลังเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ซึ่งในตอนนี้นั้นมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถหยุดเรื่องนี้ได้
          ฝ่ายนั้นเองก็ไม่ยอมให้เขาบินเข้ามาได้ง่ายๆ มันปล่อยลูกพลังงานสีม่วงจำนวนมากออกไปสกัด แต่ด้วยความเร็วเทียบเท่าเครื่องบินเจ็ทของนักรบผู้นั้นทำให้ลูกพลังงานทั้งหลายไม่อาจมาถึงตัวเขาได้

         "เซ..ย่าส์!!" เขามาหยุดอยู่กลางเวหาแล้วปล่อยคลื่นพลังออกมาจากโล่ที่มือซ้ายของเขา โดยที่ลูกพลังนั้นเป็นสีม่วงแบบเดียวกันกับที่ศัตรูของเขาใช้ แต่พลังนี้นั้นไม่ใช่พลังที่เอาไว้เพื่อทำลายเหมือนกับเขา แต่เป็นพลังที่จะไว้เพื่อปกป้องสิ่งต่างๆในอนาคต

         เนื่องด้วยกำลังกระทำการบางอย่างอยุ่จึงทำให้สัตว์ประหลาดกลางท้องฟ้าไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีดังกล่าวได้ ทำให้มันต้องรับพลังสีม่วงนั้นเข้าไป แล้วพลังนั้นก็ทำให้เกิดเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่จะดูดทุกสิ่งเข้าไป และสิ่งที่ถูกดูดเข้าไปในนั้นมากที่สุดก็เห็นจะเป็น 'เหรียญ'

         แต่หนึ่งในบรรดาเหรียญทั้งหลายเหล่านั้นก็มีเหรียญสีแดงหนึ่งเหรียญลอยไปบนท้องฟ้าก่อนที่มันจะแตกออกเป็น 2 เสี่ยง..."อังค์!!!"
         "อังค์..การที่ฉันเอื้อมมือไปหานายนั่น ฉันคิดไม่ผิดหรอกนะ..ฉันมั่นใจ"



         "ฮ้ากกกก!!!" นักรบผู้มีลักษณะคล้ายกับนักบินอวกาศ ใช้ไอพ่นของเขาผลักปิศาจตรงหน้าข้ามผ่านเวิร์มโฮลออกมายังโรงเรียนแห่งหนึ่ง พอเมื่อมันตั้งตัวได้ใหม่มันก็เรียกลูกสมุนของมันออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อรุมนักบินอวกาศคนที่ว่า แต่ถึงจะมีจำนวนมากเท่าใดเขาก็ไม่ได้หวั่นเกรงแม้แต่น้อย 

         "วันนี้ โรงเรียนได้ทำพิธีจบการศึกษานี้ให้กับคุณ!" นักบินอวกาศกดสวิทซ์ที่เข็มขัดของเขาทันใดนั้นก็เกิดจรวดสีส้มขึ้นมาที่แขนขวาของเขา พร้อมกับสว่านสีเหลืองที่ขาซ้ายของเขา
         "
    RIDER ROCKET DRILL KICK!!"

         เหล่าลูกสมุนพยายามเข้ามาชะลอความเร็วของจรวดและสว่านนั้นแต่พวกมันไม่อาจที่จะรับการโจมตีครั้งนี้ได้แม้แต่ตัวเดียว เป็นผลให้นักบินอวกาศผู้นี้พุ่งตรงเขาไปหาหัวหน้าของพวกมันได้สำเร็จ

         "แต่ว่าด้วยพลังแค่นี้มันยังล้มฉันไม่ได้หรอก!" มันยังคงสามารถต้านทานการโจมตีของเขาไว้ได้
         "ไม่ใช่แค่นี้หรอก สักวันนึงพวกเราก็จะเติบโตขึ้นเหมือนกับสว่านนี้ยังไงล่ะ!" นักบินอวกาศสับคันโยกที่เข็มขัดของเขาอีกสามทีก่อนทีจะเร่งพลังทั้งพุ่งทะลุร่างของศัตรู..หรือผู้อำนวยการโรงเรียนของเขาไป...



         "อั่กก!!" จอมเวทสีแดงถูกพลังเตะของปิศาจฟินิกซ์เข้าใส่จนล้มลงกับพื้น พลังของมันเมื่อเทียบกับตัวเขาในยามนี้แล้วเหมือนกับนกน้อยที่ไปสู้กับพญาฟินิกซ์ แต่เพื่อที่จะปกป้อง 'ความหวัง' ของเด็กคนนึงไว้จึงทำให้เขาคนนี้จำเป็นที่จะต้องยืนหยัดสู้กับมัน

         "ไอ้เจ้าหัวใสๆของแกมันน่ารำคาญจริง ฉันขอทำลายมันให้แหลกไปเลยก็แล้วกัน" ดาบของมันมีไฟลุกโชนขึ้นแล้วมันก็วิ่งเข้าใส่จอมเวทสีแดงคนนั้น แต่ฝั่งจอมเวทก็ไม่ได้นั่งรอความตายอยู่เฉยเขารีบหยิบแหวนสีแดงอีกวงขึ้นมาสวม แหวนวงนั้นคือความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ในตอนนี้ของเขา

         "ดราก้อน ขอให้ฉันยืมพลังของนายเดี๋ยวนี้!" เขารีบนำมือข้างที่สวมแหวนไปแตะที่หัวเข็มขัดรูปมือของเขา ทำใดนั้นวงเวทสีแดงก็ถูกปล่อยออกมาชนปิศาจฟินิกซ์ออกไป
         จอมเวทสีแดงหลอมรวมเข้ากับวงเวทไฟนั้นทำให้ชุดของเขาเปลี่ยนไป 

         จากร่างสีดำคราวนี้ถูกย้อมไปด้วยไฟกลายเป็นสีแดง ทั้งร่างของเขาในตอนนี้ถึงจะดูไม่ต่างจากเดิมมากนักแต่ถึงอย่างนั้นด้วยสีที่แปลกตาไปจากเก่าก็ทำให้เขาดูเปลี่ยนไปคนละคน พลังที่สัมผัสได้เองก็ดูต่างไปจากแต่ก่อนอีกด้วย "เอาล่ะ Show Time!"



         นักรบสวมเกราะผู้หนึ่งวิ่งตรงไปที่หอคอยตรงหน้าเพีงลำพัง
         โดยที่ตัวเขานั้นก็รู้อยู่แล้วสิ่งที่รออยู่ข้างหน้านั้นคือกองทัพของศัตรูที่มากมายที่อาจจะทำให้เขาต้องประสบพบกับความยากลำบากก็ได้
         "ถ้าหากพลังมีไว้เพื่อทำลาย..ไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องล่ะก็.."

         เขามาหยุดลงที่ด้านหน้าทางเข้าของหอคอยนั้น
         "..แต่ถ้าหากว่าฉันมีพลังที่จะลบกฏบ้าๆนั่นได้..หากฉันสามารถที่จะทำลายความสิ้นหวังพวกนั้นได้!" เขาหยิบแม่กุญแจสีเหลืองขึ้นมาและสิ่งนั้นก็กลายเป็นยานพาหนะให้กับเขา

         "ฮ้ากก!!" นักรบสวมเกราะขึ้นขับยานที่ว่าบินขึ้นไปบนหอคอย "อันดับแรกก็ต้องทำลายเจ้าสิ่งที่ทำให้เมืองนี้ตกอยู่ในความสิ้นหวังซะก่อน!"

         เขาขับบินขึ้นไปเหนือหอคอยนั้นแล้วหยิบแม่กุญแจสีส้มขนาดใหญ่ออกมาก่อนที่จะเปลี่ยนกับแม่กุญแจที่เขาสวมไว้ที่เข็มขัดแล้ว ทันใดนั้นก็มีเกราะสีส้มขนาดใหญ่เขามาสวมทับร่างของเขา และร่างนั้นก็ร่วงลงมาที่กลางหอคอยสูงนั้นทันที "ฮ้ากก!!" เขาหยิบธงด้านหลังของเขาออกมาพัดสะบัดและตะโกนออกมา...
         "ที่นี่ตอนนี้น่ะคือเวทีของฉัน!"



         "แปลงร่าง!" สิ้นเสียงของชายผู้หนึ่ง ร่างของเขาก็กลายเป็นร่างของนักรบร่างสีแดง
         หน้ากากที่ถอดแบบมาจากรถยนต์ ลำตัวที่มีล้อรถสีดำติดไว้ นักรบคนใหม่ผู้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และปกป้องมวลมนุษย์จากเหล่าอธรรมได้ถือกำเนิดขึ้น...




         เรื่องราวของมาสค์ไรเดอร์ทั้ง 16 ที่ได้ถูกกล่าวขานเอาไว้บัดนี้เรื่องราวของพวกเขาในอีกรูปแบบหนึ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น...

         
    .
         
    .
    .
    .
    .

     
    "จักรวาลคือความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด"

    "มันคือสถานที่ที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด"

    "แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่ง.."

    "ที่ภายในความว่างเปล่านั้น"

    "ได้มีแสงสว่างดวงเล็กปรากฏขึ้นมา"

    "แสงสว่างดวงเล็กๆดวงนั้น"

    "คือจุดกำเนิดของโลกที่แท้จริง"

    "และเมื่อดวงแสงดวงนั้นก็เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น"

    "โลก..ก็ไม่ได้มีเพียงดวงเดียวอีกต่อไป"

    "โลกที่ซ้อนขนานกับโลกที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้นมา"

    "สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้..มีเพียงสิ่งเดียว..นั่นคือ โชคชะตา"


         "หยุดก่อน!" เสียงเข้มๆของอาจารย์สูงวัยหยุดการรายงานของนักเรียนของเขาในหัวข้อเรื่อง 'การกำเนิดจักรวาลด้วยทฤษฎีบิกแบง' เพียงแต่ว่าอย่างที่หลายๆคนทราบ สิ่งที่เด็กนักเรียนคนนี้กำลังรายงานอยู่นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับหัวข้อของเขาเลยแม้แต่น้อย

         "นี่วิทวิคกี้ เธอกำลังพูดเรื่องอะไรของเธอไม่ทราบ" อาจารย์สูงวัย ดูได้จากสีผมที่เริ่มหงอกแล้วของเขา เดินมาปิดจอฉายภาพที่ฉายภาพเรื่องทฤษฎีกำเนิดจักรวาลของเด็กหนุ่ม
         "เรื่องจักรวาล เรื่องดวงแสง หรือแม้แต่เรื่องโชคชะตานั่นน่ะ ?"

         "ผมก็กำลังพูดเรื่องที่ถูกต้องให้อาจารย์และพวกเพื่อนๆรู้ยังไงล่ะครับ ทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลที่แท้จริง" เขาตอบกลับมาอย่างมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างสูง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆต่างกุมขมับให้กับความบ้าบอของเขา

         "นี่เธอคิดว่าตัวเองฉลาดนักรึไง ที่บอกว่าทฤษฎีบ้าบอของเธอนั้นเป็นทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลที่ถูกต้อง ถ้าเธอยืนยันแบบนั้นไหนล่ะหลักฐาน เอาออกมาให้ฉันดูสิ" ฝ่ายอาจารย์ท้าทายแต่ฝ่ายนักเรียนก็ไม่ได้แสดงทีท่าหวั่นเกรง

         "หลักฐานน่ะไม่มีหรอก จะมีแต่สิ่งที่ผมเห็นมาก็เท่านั้นล่ะ" ชายหนุ่มตอบด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
         "สิ่งที่เห็นอย่างงั้นเรอะ.." อาจารย์สูงอายุเดินเข้ามาชิดใกล้กับวิทวิคกี้ "..ถ้าอย่างงั้นฉันคิดว่าเธอน่ะจินตนาการฝันเฟื่องไปเองแล้วล่ะ"

         "ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ ผมจะ.."
         "พอแล้ว ออกไปซะ!" ชายแก่ตวาดเสียงดังก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มจะกระทำสิ่งใด "เธอน่ะไม่จำเป็นต่อชั้นเรียนของฉัน ออกไปซะ"

         "ตะ..แต่ว่า"
         "ก็บอกว่าให้ออกไปไงล่ะ" ชายแก่แสดงสีหน้าดุดันใส่เด็กหนุ่ม ทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะโต้แย้งและต้องยอมทำตามที่ชายแก่คนนี้บอกแต่โดยดี

         วิทวิคกี้เดินคอตกไปเก็บของของตัวเองที่ที่นั่ง ระหว่างที่เดินนั้นเขาก็ได้ยินเสียงนินทามากมายจากเพื่อนร่วมชั้นของเขา แต่เขานั้นก็ไม่ได้สนใจกระทั่งไปถึงโต๊ะของเขาเองก็รีบสะพายกระเป๋าของเขาขึ้น..

         เป้ง!
         บางสิ่งตกลงมาจากกระเป๋าของเขา มันเป็นกระป๋องรูปหุ่นยนต์ที่พ่อของเขาให้มาเป็นของขวัญวันเกิดตั้งแต่สมัยเด็กๆ เขาจึงนำมันพกติดตัวไปด้วยเสมอเสมือนเครื่องลางนำโชค แต่ว่าเจ้ากระป๋องนั้นกลับกลิ้งตกลงมาเหตุเพราะเขารูดซิปกระเป๋าไม่สนิท และกระป๋องที่ว่านั่นก็ดันกลิ้งไปหาเด็กผู้ชายที่อันธพาลที่สุดในชั้นปีอีก

         วิทวิคกี้เดินไปหาชายคนนั้นอย่างเงียบ "ขอของฉันคืนได้ไหม ?"

         "ได้สิ.." เขาหยิบกระป๋องนั้นขึ้นมาอย่างสุภาพ แต่พอกำลังจะยื่นมือออกไปรับเขาก็ยิ้มออกมาและโยนส่งไปให้เพื่อนที่อยู่ข้างหลังเขาแทน "..ถ้านายทำได้น่ะนะ"

         "เอาของฉันมา!" วิทวิคกี้ผละตัวไปหาอีกคน แต่เขาคนนั้นก็โยนส่งไปให้เพื่อนอีกคน พอจะตามไปหาคนนั้น เขาก็โยนไปหาคนอื่นอีก พวกเขาสนุกกับการแกล้งเด็กหน้าละอ่อนคนนี้ เพื่อนๆคนอื่นๆก็อดที่จะขำไม่ได้เช่นกันแม้แต่อาจารย์ผู้เข็มงวดแล้วก็ยังฮุบยิ้มไม่ได้ จะมีเพียงวิทวิคกี้เพียงผู้เดียวที่ไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรกับเรื่องนี้เลย

         ในที่สุดเขาก็ถูกเพื่อนคนหนึ่งสกัดขาด้วยความหมั่นไส้ทำให้เขาที่กำลังมัวสนใจกระป๋องใบสำคัญต้องสะดุดขาล้มลง พร้อมกับเสียงหัวเราะของคนทั้งห้องที่ถาโถมใส่เขา
          "เอาคืนไป" เด็กอันธพาลโยนกระป๋องใบเดิมที่อยู่ในสภาพที่ไม่เหมือนเดิมคืนให้วิทวิคกี้ คราวนี้มันกลับมาในสภาพที่บุบสลายยิ่งกว่าเดิม นั่นทำให้เด็กหนุ่มฉุนขาดและรีบเดินออกไปจากห้องในทันที

          "วิทวิคกี้ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้!!"
          ..โดยที่มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเพื่อนๆดังตามหลังมา..

          "เอาล่ะ พอแล้วพอ!" อาจารย์กลับมาคุมห้องไว้อีกครั้ง
          "เอาล่ะ ฉันหวังว่าจะไม่มีใครโชว์อวดเหมือนคนเมื่อกี้อีกนะ" ชายสูงวัยหยิบแผ่นซีดีของวิทวิคกี้ที่ใส่ไว้ในเครื่องฉายภาพออกมา หน้าปกของแผ่นนี้เขียนว่า WORLD แต่อาจารย์หาได้สนใจมันไม่ เขากลับหักแผ่นนั้นทิ้งอย่างไม้แยแสก่อนจะทิ้งลงถังขยะไป..


         วิทวิคกี้กลับไปยังหอพักชายของเขา แล้วกลับเข้าห้องของเขาไปด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวและเคียดแค้น เขานั่งลงข้างๆเตียงนอนแข็งๆของเขาโดยหยิบผ้าห่มผืนบางๆบนเตียงมาคลุมห่มทั้งตัว และนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในโลกส่วนตัวของเขาเอง

         "ฮะ..ฮะ..ฮะ" ไม่นานนักวิทวิคกี้ก็ลุกออกมา แล้วรีบหยิบปากกาเมจิกสีดำมาเขียนสัญลักษณ์แปลกไปทั่วทั้งห้องของเขา มันเป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมโบราณต่างๆบนโลกไม่ว่าจะเป็นเส้นนาซก้า อักษรชาวอียิปต์ อักษรชาวมายัน อักษรชาวอินคา และอื่นๆอีกมากมายจนทั่วทั้งห้องของเขากลายเป็นรังเก็บสิ่งแปลกในที่สุด

          แต่ถึงจะทำแบบนั้นไปก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจของเขาสงบลงเลยแม้แต่น้อย..
          วิทวิคกี้กลับมานั่งอมทุกข์กลัดกลุ้มใจอยู่ที่เดิม โดยที่มีลูกบิดของขวัญจากพ่อของเขาที่ให้มาสมัยเด็ก..?

          เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ เมื่อสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของเขาคือลูกบิด ?

          "อะไรกันเนี่ย ?" เขาวางลูกบิดลงบนโต๊ะและค้นทั่วกระเป๋าของเขาอีกทีแต่ผลก็คือเขาไม่อาจจะหาสิ่งที่ 'เคย' เป็นสิ่งที่พ่อของเขาให้มาได้เลย มันจะเหลือเพียงแต่ลูกบิดที่ไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน
          วิทวิคกี้มองมันอย่างระแวง แต่ผ่านไประยะหนึ่งเขาก็เกิดอาการสงสัยขึ้นมาและค่อยๆยื่นมือไปหยิบเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมาและเริ่มหมุนมัน

          "!?" ทันทีที่เขาหมุนมันครั้งนึงก็เหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างส่องแสงออกมาจากในลูกบิดรูปร่างประหลาดในมือนี้ และนั่นยิ่งทำให้ความอยากลองของตัวเขานั้นเพิ่มมากขึ้น เขาหมุนไขปริศนาของลูกบิดตัวนี้อย่างตั้งใจ 

         เวลาผ่านไปล่วงชั่วโมงนึง..
         ในที่สุดวิทวิคกี้ก็สามารถทำมันได้โดยสำเร็จ เพียงแต่ว่า..
          "ช่องนี้มัน ?" ช่องว่างตรงกลางเป็นเพียงช่องเดียวที่เหลือเปล่าไว้ ซึ่งมันทำให้ลูกบิดตัวนี้ไม่สมบูรณ์

          "หรือว่า.." เด็กหนุ่มเดินไปที่ลิ้นชักและหยิบบางอย่างออกมา
          มันคือวัตถุที่มีขนาดพอดีกับช่องว่างที่เหลืออยู่ของลูกบิดนี้พอดี 

          เขาหยิบมันออกมาจากลิ้นชักและตัดสินใจเสียบมันลงไปยังลูกบิดในมือเขา "นี่คือ..โลกของฉัน.."

          ทันทีที่ส่วนประกอบครบสมบูรณ์แสงสีฟ้าภายในตัวลูกบิดก็ส่องประกายขึ้น และปลดปล่อยพลังงานมหาศาสออกมา สร้างความตื่นตระหนกแก่เด็กหนุ่มไม่น้อย
          "ว้ากกก!!"

         พลังงานสีฟ้านั้นแปรสภาพกลายเป็นหมอกควันแล้วเข้ารายล้อมตัวของวิทวิคกี้เอาไว้ พร้อมกับฉายภาพบางสิ่งบางอย่างที่เขาใฝ่หาถึงออกมา มันคือ...บรรดาโลกนับสิบๆ ที่อยู่ในจักรวาลสีฟ้า..นั่นคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าทฤษฎีของผู้ชายคนนี้ถูกต้อง

         การที่ได้เห็นโลกทั้งหลายที่เขาตามหานี้นั้นทำให้ความฝันของเขาเป็นจริง
         แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจว่า..เขทำได้เพียงแค่มองดูมันอย่างงั้นเรอะ..เขาไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้อย่างงั้นเรอะ ?
          เมื่อคิดเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงหยิบลูกบิดปริศนานั้นขึ้นมาอีกครั้งและหมุนมัน
          ทันใดนั้นเองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อโลกหนึ่งใบในบรรดาโลกทั้งหลายเหล่านั้น...

         หมอกสีฟ้าที่รวมตัวกันอย่างผิดปกติได้เปลี่ยนแปลงโลกใบนั้นสู่ความมืดมน เพียงแค่ดูจากไกลๆก็ยังเห็นได้เลยว่าจากโลกที่เขียวขจีนั้นได้กลายสภาพเป็นนรก
         "ว้าา!" เด็กหนุ่มตกใจกลัวจึงโยนลูกบิดนั้นทิ้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ 

          เมื่อเขาตั้งสติได้เขาก็รีบกลับไปหยิบลูกบิดนั้นขึ้นมาและคิดจะเปลี่ยนโลกนั้นกลับเป็นดั่งเดิม..แต่ว่าเขาก็ไม่รู้วิธีนั้น วิทวิคกี้มือสั่นด้วยความกลัว เขาจึงไม่กล้าที่จะไปทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีก และหมุนลูกบิดกลับสู่ดั่งเดิมแต่มันก็ไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น
          "นี่เราทำอะไร..ลงไป..?"

         การกระทำลงไปของเด็กหนุ่มผู้รับรู้ความจริงของจักรวาล ดูแล้วไม่น่าจะมีใครล่วงรู้ความจริงนี้ แต่ว่าภาพของบุคคลผู้หนึ่งที่มองดูเขาจากที่ที่ไกลแสนไกลนั้นก็ทำให้รู้ได้เลยว่ามีคนที่รู้เรื่องนี้อยู่เช่นกัน

     
         "..และทุกอย่างก็เป็นไปตามโชคชะตาที่กำหนดไว้.." 



     
    .................... Fate Masked Rider World Of Prophecy : Prologue ....................
     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×