ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fake N.O.A / โลกและสีสัน กับเรื่องราวจอมปลอมของโชคชะตา

    ลำดับตอนที่ #1 : 0rigin-1 Regalia

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 60




    สงครามโลกครั้งที่สอง   


         หนึ่งในสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลกแห่งการรังสรรค์ใหม่
         มีผู้เสียชีวิต 85 ล้านคน มีการสูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตไปกว่าร้อยสายพันธุ์ 
         เกิดความเสียหายต่อทั้งธรรมชาติ อารยธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งมีชีวิต


         ในช่วงครึ่งศตวรรษหลังจากนั้น โลกได้ถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เหล่าเทพธิดาผู้คุมกฎเกณฑ์บนสรวงสวรรค์มิอาจคุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมโลกได้อีกต่อไป


         ถึงแม้เบื้องหน้าโลกยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเหล่าผู้สถิตบนสวรรค์
         แต่ทว่าในมุมมืดของโลก การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ความวุ่นวาย การก็จลาจล ปัญหาเรื่องต่าง ๆ มีมาอย่างไม่หยุดหย่อน
         โลกอันแสนสงบสุขเมื่อครั้งอดีตกาลก่อน เสมือนเป็นเพียงความฝัน


         สิ่งที่หลงเหลืออยู่ของความสงบสุขเหล่านั้น คือซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้างไว้ จากผลของไฟสงคราม และไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้
         ทุกคนเริ่มหลงลืมว่าประวัติศาสตร์ได้ซ้ำรอยมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ยังคงติดอยู่ในวังวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด


         ดูเหมือนว่าวงล้อแห่งชะตากรรมที่เริ่มหมุนขึ้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องหมุนวนกลับมา ณ จุดเดิมทุกครั้ง..


    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .


    วันที่ 1 : 100 วัน ก่อนหน้าที่สรวงสวรรค์จะล่มสลาย







    เอาต์ไซด์ - หุบเขาริมนอก





         หุบเขาใจกลางป่าลึกแห่งหนึ่ง ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
         ความเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงของนก แมลง หรือสิ่งมีชีวิตใด ๆ
         อาจจะมีเพียงเสียงลมอ่อน ๆ ที่พัดไหวเหล่าต้นไม้ที่ตายแล้ว ให้ซากไม้ที่หลงเหลืออยู่ของมันขยับ
         

         เอาต์ไซด์ หรือ 'เขตริมนอก' คือชื่อเรียกของเขตที่อยู่ ณ ริมชายแดนของโลก
         เป็นเขตที่ว่ากันว่าทุกอย่างได้ล่มสลายจนหมดแล้ว เนื่องด้วยสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ทำลายทุกสิ่งที่เขตนี้เคยมีไป จนเหลือเพียงแต่ มรดกประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำ


         กัมมันตรังสีจากระเบิดปรมาณู, ผลตกค้างของเวทต้องห้าม, วัตถุอันตรายที่ยังเหลือทิ้งไว้, ซากศพคนตายที่ไม่ยอมเน่าเปื่อยเพราะผลจากการเล่นแร่แปรธาตุ
         ด้านมืดของสิ่งมีชีวิตที่ต่างใช้เขตชายแดนแห่งนี้เป็นเวทีสำหรับสำแดงแสงยานุภาพ


         ถ้าย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น ที่เขตนี้อาจจะเป็นหนึ่งในสนามรบที่มีการสู้รบกันด้วยวิทยาการมากที่สุดแห่งหนึ่ง
         แต่ตอนนี้ก็เหลือเพียงสิ่งที่ถูกลืมเลือน


         ท่ามกลางซากฟอสซิลจากสงครามครั้งก่อน และโลกสีขาวโพลน
         มีร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งเดินไปตามทางถนนหิน


         เขาผู้นั้นสวมผ้าคลุมพร้อมฮู้ด ด้วยแสงที่น้อยอยู่แล้ว เงาจึงปิดบังใบหน้าของเขาจนไม่อาจเห็นหน้าได้


         ท่ามกลางสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายที่มองไม่เห็น แต่เขาคนนั้นกลับก้าววเดินต่อไปอย่างไม่กลัวเกรง
         ถนนหินที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นทางสำหรับขึ้น-ลง บางจุดมีความเสียหายอยู่บ้าง ทำให้เขาต้องกระโดดจากหินหนึ่ง ไปยังอีกหินหนึ่งเป็นครั้งคราว


         เมื่อมาถึงตำแหน่งที่ดูจะมีต้นไม้น้อยที่สุดจนไม่บังทัศนวิสัยข้างหน้า ทั้งยังเป็นที่ที่สูงพอสมควรเขาจึงขึ้นไปบนนั้นพร้อมยกมือขึ้นป้องหน้า เพื่อจำกัดวงการมองเห็นให้มองเห็นสถานที่ที่อยู่ห่างออกไปให้ชัดที่สุด


         เมือง..เมืองที่ยังมีชีวิต


         ภายในเขตที่ตายแล้วแห่งนี้เมืองที่ยังมีชีวิตอยู่แห่งนั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นที่สุดท้าย ที่ยังทำให้เขตเอาต์ไซด์แห่งนี้ ยังคงเป็นเขตที่ไม่เปลี่ยวร้างไปทั้งหมด


         ถ้าเช่นนั้นเป้าหมายของการเดินทางของบุคคลผู้นี้ก็คือ การเดินทางไปยังเมืองแห่งนั้น เพื่อที่จะ..


         "!?"


         ร่างกายรับรู้ได้ถึงการสั่นสะเทือนที่มาจากพื้นดิน


         แผ่นดินไหว ?


         ไม่ใช่ การสั่นไหวมาเป็นจังหวะ ๆ ไม่ใช่เป็นคลื่นยาวเหมือนแผ่นดินไหว
         เสียงของมันคล้ายกับเสียงของหัวใจที่กำลังเต้น ทุกครั้งมันมีจังหวะ ช่วงระยะห่างของแรงที่ใกล้เคียงกัน


         มันเป็นแรงสั่นสะเทือนของจังหวะการเหยียบเท้าลงพื้น


         การย้ำลงพื้นตามปกติคงไม่มีทางให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่คล้ายแผ่นดินไหวแบบนี้ ถ้าจะเป็นก็คงต้องเป็นบางสิ่งที่ใหญ่มาก
         ตามตำนานของเขตหนาวหลายที่ เต็มไปด้วยเรื่องเล่าของสิ่งมีชีวิตคล้ายลิงยักษ์ อย่างบิ๊กฟุตหรือเยติ


         ที่ถึงแม้พวกมันเหล่านั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกันอย่างทั่วไปในเขตอื่น ๆ
         แต่อะไรก็ตามที่ไม่เข้าใจ สิ่งนั้นก็กลายเป็นเรื่องเรื่องกล่าวขานอยู่ดี


         ทว่าสิ่งที่กำลังทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอยู่นี้ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจำพวกนั้นอย่างแน่นอน 


         เพราะระยะห่างที่อยู่ไกลกันพอสมควร และหิมะที่กำลังตกทำให้ไม่อาจมองเห็นรูปร่างของมันได้ชัดเจนนัก
         แต่ด้วยเค้าร่างที่บิดเบี้ยวนั้น ทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่


         ถ้าจะให้เปรียบว่าคล้ายกับอะไร มันจะดูคล้ายกับ 'สัตว์ประหลาด' เสียมากกว่า
         สิ่งที่เกิดจากความผิดพลาดของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่มีเพียงความบ้าคลั่ง ตัวตนแห่งหายนะ


         แต่ขณะเดียวกันนั้นความรู้สึกบางอย่างก็บอกให้รู้ว่า มัน ไม่ใช่สัตว์ประหลาดธรรมดาเช่นกัน
         ความรู้สึกที่อัดแน่นที่อก ซึ่งไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้


         เพียงแต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดวิเคราะห์ว่ามันคืออะไร


         เพราะดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนเดียวที่จะมุ่งหน้าไปเมืองที่ยังมีชีวิตเสียแล้ว
         สิ่งที่ถูกเรียกว่า 'หายนะ' ก็กำลังคืบคลานเข้าไป..
         เขาจำเป็นที่จะต้องเร่งฝีเท้า เพื่อจะไปถึงให้ได้ก่อนมัน














    เอาต์ไซด์ - ประเทศเอนาสเทอเรีย





         แสงอ่อน ๆ ของดวงอาทิตย์ส่องลอดผ่านกระจกเข้ามาในบ้านหลังหนึ่ง 


         เป็นขณะที่หญิงสาวผมสีบลอนด์ผู้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นกำลังแต่งตัว
         เธอค่อยสวมเสื้อผ้าทีละส่วน ๆ เมื่อสมบูรณ์ ก็ทำให้รู้ว่าเสื้อที่เธอกำลังสวมคือชุดเครื่องแบบนักเรียน ของโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังภายในประเทศนี้


         หญิงสาวส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม ก่อนที่จะมั่นใจแล้วว่าเรียบร้อยดี


         "..."


        เสียงของผ้าที่มีการขยับเล็กน้อย ทำให้หญิงสาวหันไปตามเสียง เนื่องจากริมห้องแสงยังส่องไปไม่ถึงทำให้มองไม่เห็นว่ามีใครรึไม่ แต่ดูเหมือนว่าจะยังมีอีกคนนอนอยู่บนเตียง


         หญิงสาวยิ้มเล็กยิ้มน้อย เธอคงไม่อยากที่จะทำให้อีกฝ่ายตื่นจึงไม่ได้ไปปลุกแม้จะเช้าแล้ว และค่อย ๆ เปิดประตูออกจากห้องนอนไป


         ออกมายังห้องนั่งเล่น ห้องนี้ถูกจัดแบบเรียบ ๆ ง่าย ไม่ได้มีการประดับตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ มีโทรทัศน์ มีห้องนั่งเล่น มีห้องครัว เหมือนกับบ้านแบบสามัญชนทั่วไป


         บนโต๊ะอาหารมี ออมไรซ์ที่หุ้มด้วยพลาสติกวางอยู่ แต่เธอไม่ได้จะทานอาหารชุดนี้เพราะเธอทานไปแล้ว จานนี้มีไว้สำหรับอีกคนที่นอนขี้เซาอยู่ในห้อง
         ซึ่งหญิงสาวเดินไปหยิบกระดาษมาเขียนแล้ววางไว้ข้างจาน



         {'อรุณสวัสดิ์เรนะ ทานให้อร่อยนะ ขอออกไปก่อน ไว้เจอกันหลังเลิกเรียน' ยุย}



         เมื่อทำธุระทุกอย่างเสร็จสิ้น หญิงสาวก็ออกจากบ้านไปเพื่อมุ่งหน้าไปโรงเรียน





         ประเทศเอนาสเทอเรีย สถานที่แห่งสุดท้ายที่ยังมีสิ่งชีวิตและความศิวิไลซ์ ภายในเขตที่ถูกที่อื่นเรียกว่าตายแล้วแห่งนี้

         ที่นี่คือประเทศที่รอดพ้นจากการล่มสลายเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง
         แม้จะเป็นเพียงประเทศเดียวและประเทศสุดท้าย ที่อยู่ในเขตเอาต์ไซด์แห่งนี้ก็ตาม


         มีประชากรเก้าล้านคน ประกอบไปด้วยมนุษย์ 70 %, พันธุ์ผสม 25 % และอื่น ๆ 5 %


         ที่นี่ถูกเรียกว่าเป็นประเทศนอกกรอบโดยเขตอื่น
         เพราะเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ยังคงอยู่ในเขตที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ทำให้ที่นี่ไม่ค่อยได้มีการปฏิสัมพันธ์กับเขตอื่นเท่าใดนัก
        แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่อะไรนัก กลับทำให้ประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่สันโดษ แต่มีคุณภาพชีวิตที่อาจจะเรียกได้ว่าดีกว่าเขตใหญ่ ๆ ในกรอบเสียอีก


        ความช่วยเหลือของเหล่าผู้สถิตบนสวรรค์ทำให้ประเทศนี้สามารถทำเกษตรกรรมได้โดยไม่มีปัญหา แม้จะเคยมีปัญหาเรื่องดินมาก่อน 
        ด้านเทคโนโลยี ด้วยการที่เป็นประเทศที่เดิมทีก็เรียกได้ว่าไม่ล้าหลัง อาจจะมีวิทยาการที่ล้ำหน้ากว่าบางเขตด้วยซ้ำ ทำให้ที่นี่มีความเจริญอยู่พอสมควร


        ทำให้จากสายตาของคนภายในประเทศแล้วที่นี่ไม่ได้เป็นประเทศนอกรอบ หรือประเทศเหลือทิ้งจากสงครามเลยแม้แต่น้อย
         ปัญหาอาชญากรรมของที่นี่ก็น้อยกว่าเขตอื่น ๆ เรียกได้ว่าเป็นประเทศในอุดมคติที่หาได้ยากในโลกนี้ไปแล้ว





         "ยุย!"


         ชื่อของหญิงสาวถูกเรียกโดยเพื่อนสนิทที่มาเจอกันพอดี
         จากนั้นทั้งสองคนก็ขึ้นรถไฟเพื่อไปโรงเรียนด้วยกัน



         หลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง กลับมาที่บ้านของหญิงสาว
         ผู้หญิงอีกคนที่นอนอยู่บนเตียงในที่สุดก็ตื่นขึ้น ดูเหมือนเธอยังรู้สึกงัวเงีย เลยเดินไปห้องน้ำแบบสะลึมสะลือ


         หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย เธอก็เริ่มมองหาหญิงสาวอีกคน
         "ยุย ยุย อยู่รึเปล่า ?"


         พอออกมาจากห้องนอนก็เห็นว่ามีออมไรซ์หุ้มพลาสติกวางอยู่บนโต๊ะอาหาร กับจดหมายวางไว้ข้าง ๆ



         {'อรุณสวัสดิ์เรนะ ทานให้อร่อยนะ ขอออกไปก่อน ไว้เจอกันหลังเลิกเรียน' ยุย}
          

         หญิงสาวตัวเล็กวางจดหมาย แล้วก็เริ่มทานอาหารเช้าที่ยุยทำให้
         หลังจากที่ทานเสร็จ ก็มานั่งดูโทรทัศน์ เปิดดูช่องไปอย่างเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่ข่าว, รายการวาไรตี, หนัง, การ์ตูน, สารคดี ฯลฯ


         สุดท้ายเธอก็เบื่อหน่ายกับรายการเหล่านั้น
         ก่อนจะตัดสินใจไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะออกไปข้างนอก


         ระหว่างที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า โทรศัพท์ก็ดังขึ้น 
         ซึ่งเป็นยุยส่งข้อความมาว่า 'ทานข้าวเช้ารึยัง ?'
         เธอจึงตอบกลับไปว่า 'ทานแล้ว ว่าจะไปหาซาร่ากับเทีย'
         ยุยตอบกลับมาว่า 'ฝากทักทายสองคนนั้นด้วยนะ'
         เรนะก็ตอบด้วย อีโมคอนรูปยิ้ม


         พอถึงช่วงสายเรนะก็ออกจากบ้าน แล้วมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก


         พอเข้าไปในร้าน ที่มีลูกค้าอยู่นิดหน่อย เธอก็มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรงไปหาคุณป้าที่กำลังเก็บจานที่ทานเสร็จแล้ว


         "คุณป้าคะ ซาร่ากับเทียไม่อยู่เหรอคะ ?"


         "อ๋อ เห็นออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วยังไม่กลับมาเลยน่ะจ้ะ"


         "งั้นเหรอคะ"
         เรนะพอได้คำตอบแบบนั้นก็เลยออกจากร้านมาแบบเงียบ ๆ
         ดูเหมือนแผนเอของเธอจะไม่สำเร็จ แต่ก็คงจะไม่เป็นไร เธอมีแผนบีอยู่ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จ-!?


        "!!?"


         ทันใดนั้นสีหน้าของเรนะก็เปลี่ยนไป เมื่อเธอรู้สึกถึง 'บางอย่าง'


         เธอหันหน้าไปทางภูเขาริมนอกที่อยู่ห่างจากประเทศเอนาสเทอเรีย แล้วเพ่งมองด้วยความสงสัย แต่สักพักเธอก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เธอรู้สึกได้ไม่ใช่เพียงความรู้สึกลวง


         เรนะจึงรีบออกวิ่งมุ่งหน้าไปยังที่แห่งนั้นในทันที..








         ที่โรงเรียนตอนนี้เข้าช่วงพักเที่ยงแล้ว
         ยุยกับเพื่อนชื่อเรตสึ ลงมาทานอาหารกลางวันกันที่ระเบียงชั้นสำหรับทานอาหาร อาหารของยุยเป็นชุดแกงกะหรี่ปกติ ส่วนของเรตสึเป็นขนมปังยากิโซบะกับน้ำผลไม้


         "จะว่าไปเรนะไปหาซาร่ากับเทียใช่ไหม เจอกันรึยัง ?"


         "อืม ไม่รู้เหมือนกัน" ยุยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู "ยังไม่ตอบกลับมาเลยน่ะ"


         "ถ้าเจอก็ดี จะได้ถามว่าเมื่อเช้าออกไปไหนมา"


         "เมื่อเช้า ?"


         "อืม สองคนนั้นดูรีบร้อนออกไปจากบ้านเมื่อเช้าน่ะ จนฉันไปพบกับยุยก็ยังไม่กลับมาเลยมั้ง"


         "มีเรื่องอะไรรึเปล่านะ" ยุยรู้สึกเป็นห่วง


         ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ เร็ตสึลืมไปว่าตัวเองหันน้ำผลไม้เข้าตัวอยู่ จึงทำให้เผลอทำน้ำหกใส่ตัวเอง


         "ว้า แย่ล่ะสิหกจนได้"


         "เป็นอะไรไหม เร็ตสึ รีบไปล้างน้ำก่อนเถอะ"


         "อืม ๆ เดี๋ยวไปตอนนี้ล่ะ"


         "ให้ฉันไปด้วยไหม ?" ยุยทำท่าจะลุกขึ้น


         เร็ตสึส่ายมือพร้อมบอก "ไม่เป็นไร ๆ แค่นิดหน่อยเอง ยุยรออยู่นี่เถอะ"


         "อืม งั้นก็ได้" ยุยจึงกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนเร็ตสึก็ไปห้องน้ำเพื่อล้างเสื้อที่เปื้อน


         "..." ระหว่างที่รอเพื่อนยุยจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความจากเรนะอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีการตอบกลับจากอีกฝ่ายอยู่ดี


         "..."


         "..."


         "..."


        ยุยเริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ
        จู่ ๆ เสียงของลมหรือของนกก็เงียบไป
        รอบ ๆ ข้างนี้ที่ควรจะมีนักเรียนหญิงคนอื่น ๆ อยู่เป็นปกติ แต่วันนี้กลับไม่มีใครเลย เหลือเพียงเธออยู่คนเดียว


         ราวกับอยู่คนละโลก


         แต่ความรู้สึกของเธอบอกว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว


         มี..หนึ่ง..สอง..สาม..สี่..ห้า คน อยู่กับเธอด้วย


         ถึงเธอจะมองไม่เห็นเพราะไม่ได้หันหน้าไปมอง แต่เธอก็รู้สึกว่ามีคนอยู่โต๊ะข้างหลังเธอ หรือตำแหน่งอื่น ๆ ข้างหลังเธอจริง ๆ


         ต้องทำอะไรสักอย่าง..



         เธอค่อยเลื่อนมือมาทีโทรศัพท์อย่างช้า ๆ และให้เนียนที่สุด หวังว่า 'พวกมัน' จะจับไม่ได้


        ทว่า..



        กริ๊ง!!!


         ยุยสะดุ้งกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างกระทันหัน
         หัวใจเต้นสูบฉีดอย่างฉับไว ราวกับจะพุ่งออกมา
         แต่วินาทีต่อมาเธอก็ตั้งสติได้แล้วพบว่าตัวเองยังไม่เป็นอะไร


        นอกจากนั้นเพราะเสียงดังกล่าว จึงทำให้ความรู้สึกที่แน่นอกที่รู้สึกจนถึงเมื่อครู่หายไปอย่างสิ้นเชิง


         เมื่อเธอหันหน้ากลับไป..ก็ไม่พบใครอยู่ข้างหลังแล้ว..


         เสียงของลมและนกกลับมาดังเป็นปกติอีกครั้ง เสียงของนักเรียนคนอื่น ๆ ที่มาจากจุดต่าง ๆ ของโรงเรียนก็กลับคืนมา โลกใบเดิมกลับมาอีกครั้ง


         ยุยใช้เวลาสักพักก่อนที่จะจำได้ว่าเสียงโทรศัพท์ดังอยู่
         เธอมองลงไปที่โทรศัพท์ สีหน้าของเธอก็แสดงอาการตื่นตระหนกใจขึ้นมาทันที



         EMERGENCY


         ตัวอักษรสีแดงกระพริบซ้ำไปซ้ำมา
         สัญญาณที่ไม่ดีนักกำลังดังเตือน


         ยุยลุกขึ้นพรวดจากที่นั่ง แล้วกดรับโทรศัพท์ในทันที.. 












    เอาต์ไซด์ - ชายแดนประเทศเอนาสเทอเรีย





         กองกำลังคุ้มกันชายแดนกำลังเตรียมตัวกันอย่างเร่งรีบ เนื่องด้วยสิ่งที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
         ยังไม่มีการประกาศข่าวอย่างเป็นทางการ เพราะยังไม่อยากให้ผู้คนแตกตื่น แต่ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีการปล่อยข่าวลือลงเน็ตบ้างแล้ว
         ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเวลาและการจัดการของรัฐบาลที่จะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรดี


         กองทัพรถถึงสิบคัน พร้อมด้วยกำลังทหารราบจำนวนหนึ่งมาประการเพื่อดูท่าทีของสถานการณ์ที่กำลังอ่อนไหว


         "สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?"


         ผู้บัญชาการมาแชล ผู้นำกองกำลังทหารของประเทศเอนาสเทอเรียออกมารับศึกด้านหน้าด้วยตนเอง เนื่องด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น


         "เป้าหมายยังคงเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ครับ คาดการณ์ว่าจะถึงที่นี่ในอีก 30 นาที"


         "วิเคราะห์ได้รึยังว่าเป็นสายพันธุ์อะไร หรือเป็นสัตว์ประหลาด ?"


         "ยังวิเคราะห์ไม่ได้ครับ และตามข้อมูลที่บันทึกไว้ของ G.I.R.L.S (International Kaiju Rescue and Mentoring Organization) ก็ไม่มีข้อมูลสัตว์ประหลาดตัวนี้อยู่ครับ"


         ผู้บัญชาการหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา แล้วส่องมองดูสิ่งนั้นอย่างชัด ๆ


         สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กว่า 60 เมตร เดินด้วยสองขาเหมือนกับมนุษย์ แต่มีลักษณะคล้ายกับแมลงประเภทด้วงหลายพันธุ์ผสมกัน เหมือนมีก้อนพลังงานสีน้ำเงินสะสมไว้บนตัวของมันสองจุด ด้วยใบหน้าของมันที่ดูไม่สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา ทำให้ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดจะทำอะไร หรือว่ามันมีสติปัญญารึเปล่า


         "มีการติดต่อจากสภารึยัง ?"


         "ดูเหมือนว่าองค์ราชินีจะยังจะไปไม่ถึงน่ะครับ"


         "พวกเราก็ยังลงมือไม่ได้จนกว่าจะได้รับคำสั่ง แต่เวลาก็บีบรัดมาทุกทีแล้ว.."
         ผู้บัญชาการพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ เขาส่องกล้องออกไปมองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาต้องเห็นบางอย่างผิดปกติ


          "นั่นมัน!?"


         ผู้บัญชาการมองดูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตาฝาด


        "คิดจะทำอะไรกันน่ะครับ ท่านเรนะ ?"






         เด็กผู้หญิงผมสีม่วงอมชมพูเดินตรงเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตสีดำขนาดยักษ์อย่างไม่กลัวเกรง
         ขนาดของทั้งสองต่างกันระดับหนึ่งต่อสิบ แต่เด็กผู้หญิงก็ยังไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาผ่านใบหน้า


         "นายมาทำอะไรที่นี่ มีเป้าหมายอะไรกัน ?" เธอถามเหมือนกับสามารถคุยกับมันรู้เรื่อง ทั้งที่จริง ๆ แล้วเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดกับมันรู้เรื่องไหม


         ทว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตยักษ์กลับหยุดการเคลื่อนไหว หลังจากที่เธอถามไป


         "!?"


         แต่ดูเหมือนจะไม่ได้หยุดเพื่อพูดคุยกับเธอ..


         บนหน้าของมันเหมือนกับมีการสะสมพลังงานบางอย่างเกิดขึ้น
         พลังงานสีน้ำเงินเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนมองเห็นด้วยตาเปล่า


         "!!"


        แล้วมันก็กำลังจะถูกยิงออกไป!


         "แม๊กนา อเล็กโต!!"


         สิ้นเสียงตะโกนของเรนะ ก็เกิดบางสิ่งคล้ายกับบ่อน้ำสีดำผุดขึ้นมาจากผืนดิน แล้วกลืนกินร่างของเธอลงไป แล้วก้อนทรงกลมสีดำก็ลอยออกมากั้นระหว่างพลังงานสีน้ำเงินนั้น กับเป้าหมายที่อยู่ที่กองทัพทหารที่ชายแดน 


         การปะทะกันระหว่างก้อนทรงกลมสีดำกับพลังงานสีน้ำเงิน ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ขนาดทหารที่อยู่ในรถถังยังต้องรีบหาที่จับ


         ด้วยอนุภาพระเบิดที่รุนแรงขนาดนั้น หากพวกเขารับเจข้าไปเต็ม ๆ คงไม่เหลือแม้แต่ซาก


         สิ่งมีชีวิตยักษ์หยุดนิ่งมองดูก้อนสีดำ ที่กำลังค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง


         ร่างกายสูญสลายไป กล้ามเนื้อถูกฉีกขาด เลือดเปลี่ยนสีดำ ทั้งร่างไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์ โครงหน้าถูกจัดโครงไหมตั้งแต่บนผิวหนังไปจนถึงกระดูก กระดูกขาที่สั้นเล็กถูกดึงออกให้ใหญ่ขึ้น ๆ แขนที่ค่อย ๆ ถูกดึงให้ยาวออก
         เส้นเอ็น เส้นเลือดในร่างกายถูกแทนที่ด้วยสายพลังงาน
         อวัยวะภายในกลายเป็นของเหลว แล้วเปลี่ยนร่างนั้นไปโดยสิ้นเชิง


         มือขวาทะลวงออกมาจากก้อนสีดำ ตามมาด้วยมือซ้าย ทั้งสองข้างพยายามฉีกกระชาก ดักแด้ที่ห่อหุ้มร่างนั้นไว้
         ด้วยการใส่แรงทั้งหมดลงไป ทำให้สิ่งนั้นออกมาจากก้อนกลมสีดำ


         ร่างสีดำ สวมเกราะสีแดง แถบเส้นพลังงานสีฟ้าเรืองแสงออกมาตามจุดต่าง ๆ เศษของก้อนกลมสีดำที่หลงเหลืออยู่กลายมาเป็นผ้าพันคอแก่สิ่งนั้น
         เครื่องจักรกลคล้ายมนุษย์ขนาดยักษ์ปรากฏตัวออกมา


         เรกาเลีย หุ่นเหล็กศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรเอนาสเทอเรีย
         ชื่อของหุ่นเหล็กตนนี้คือ แม๊กนา อเล็กโต


         สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์เริ่มมีการตอบโต้ก่อนด้วยการยิงพลังงานสีน้ำเงินใส่หุ่นเหล็กเบื้องหน้า


         ผ้าคลุมสีดำทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันให้โดยอัตโนมัติ
         แรงระเบิดยังคงรุนแรงไม่เปลี่ยน แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทะลวงผ่านการป้องกันของหุ่นเหล็กมาได้


         หลังควันเริ่มจาง หุ่นเหล็กก็พุ่งตัวออกมาพร้อมปล่อยหมัดเข้าไปที่กลางอกของสิ่งมีชีวิต


         แรงหมัดที่มหาศาลได้ส่งให้ร่างของมันถอยร่นไป


         ไม่ปล่อยให้โอกาสเสียเปล่า หุ่นเหล็กโจมตีต่อด้วยการหมุนตัวเตะเข้าไป
         ฝ่าเท้าเข้าไปที่สีข้างของมันเข้าอย่างจังทำให้มันไถลไปตามพื้นเพราะแรงเตะ


         สิ่งมีชีวิตไม่ยอมปล่อยเป็นฝ่ายถูกเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว มันจึงเริ่มตอบโต้กลับบ้าง
         มันยิงก้อนพลังงานที่เล็กกว่าก่อนหน้านี้ออกมา แต่เร็วและมีจำนวนมากกว่า


         แต่เพราะอนุภาพเบาลงจนทำให้เกราะสีแดงของหุ่นเหล็กก็สามารถที่จะตั้งรับก้อนพลังงานเหล่านั้นได้แล้ว ทำให้หุ่นพุ่งตรงเข้าไปได้โดยไม่จำเป็นต้องหลบ
         แล้วออกหมัดใส่หมัดเข้าใส่สุดแรง!


         ทว่า..


         ร่างเบื้องหน้านั้นก็สลายหายไป หรือต้องเรียกว่าเหมือนกับเปลี่ยนกลายเป็นสสารไป
         สสารดังกล่าว เคลื่อนผ่านร่างของเรกาเลียไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะมาปรากฏตัวอีกทีข้างหลัง


         การโจมตีด้วยพลังงานที่เข้าใส่หลังของอเล็กโต ทำให้หุ่นเหล็กทรุดไปทั้งยืน
         จากนั้นมันก็โจมตีต่อด้วยพลังงานขนาดเล็กยิงกดดันไม่ให้หุ่นเหล็กลุกขึ้นยืนได้


         "กรอด!"


        ระหว่างนั้นเอง พื้นที่ที่สองอยู่ก็เกิดเงาขนาดใหญ่ที่ขึ้นบดบังแสงอาทิตย์
        ซึ่งเจ้าสัตว์ประหลาดอาจไม่รู้ตัว แต่หุ่นเหล็กสามารถสังเกตเห็นได้


         เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กบินอยู่เหนือศีรษะของทั้งสองอย่างพอดิบพอดี ทันใดนั้นประตูเครื่องก็เปิดออกแล้วปรากฏร่างของหญิงสาวผมสีบลอนด์ข้างบนนั้น


         "พี่คะ!!"


         "ยุย.."


         หญิงสาวผมบลอนด์พยักหน้า ราวกับต้องการบอกอะไรบางอย่างให้กับหญิงสาวที่กลายเป็นหุ่นเหล็ก
         แล้วทันใดนั้นเธอก็กระโดดลงมาจากเครื่อง


         เรกาเลียอาศัยจังหวะที่สิ่งมีชีวิตโจมตีใส่ กระโดดข้ามหัวของมันไป


         มือของทั้งสองยื่นเข้าหากัน แล้วเมื่อร่างขนาดยักษ์และร่างขนาดเล็กมาผสานกัน ก็เกิดแสงสว่างจ้าออกมา


         แสงนั้นเจิดจ้าทำให้ทหารต้องยกมือขึ้นมาปิดกันถ้วนหน้า ผิดกับเจ้าสิ่งมีชีวิตที่ยืนนิ่งไม่ไว้ติง เหมือนกำลังรอให้ศัตรูของมันกระทำสิ่งให้เสร็จสิ้น


         แม๊กนา อเล็กโตออกมาจากแสงสว่าง
         แถบพลังงานสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นตามร่าง เปล่งแสงสีออกมายิ่งกว่าปกติ


         ซึ่งข้างในร่างของหุ่น ภายในค๊อกพิท (ห้องบังคับ)
         ยุยได้เข้าไปนั่งควบคุมเรกาเลียอยู่ข้างในแล้ว
         พร้อมกับ เรนะ ที่ปรากฏออกมาเป็นร่างโฮโลแกรมข้าง ๆ เธอ ในสภาพที่ลอยอยู่


         "เอาล่ะนะ!" ยุยขยับร่างกาย โดยที่มีเครื่องจักรบางอย่างล๊อกร่างเธออยู่ ซึ่งเหมือนจะเป็นตัวเชื่อมการเคลื่ิอนไหวของเธอกับเรกาเลีย


         แม๊กนา อเล็กโตกระโดดสูงขึ้นไป แล้วพุ่งทะยานลงมาเตะใส่สิ่งมีชีวิตยักษ์


         สิ่งมีชีวิตยักษ์สลายร่างกลายเป็นแสงทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายพลาดไปอีกครั้ง แล้วเตรียมตัวจะยิงสวนกลับจากด้านหลัง


         "วิธีเดิมใช้ไม่ได้ผลหรอก" เรนะกางมือออก ภายในห้องบังคับของหุ่น


         ทันใดนั้นเกราะที่ศอกซ้ายของหุ่นก็เปิดออก เผลให้เห็นผลึกสีฟ้าที่เรืองแสงแบบเดียวกับพลังงานทั่วร่างของเรกาเลีย
         กำปั้นซ้ายของหุ่นก็เปลี่ยนเป็นไฟสีแดง 


         ในช่วงจังหวะที่สิ่งมีชีวิตยิงพลังงานออกมา อเล็กโตก็เคลื่อนหลบในชั่วพริบตา ทำให้สามารถหลบการโจมตีได้อย่างฉิวเฉียด
         แล้วปล่อยกำปั้นติดไฟเข้าใส่หน้าของมันอย่างจัง


         ร่างขนาดยักษ์ไถลถอยออกไปหลายหลา แต่ดูเหมือนก็จะยังสร้างความเสียหายไม่ได้มาก


         "ต้องอาศัยจังหวะที่มันโจมตี จะเป็นช่วงที่มันกลายร่างเป็นแสงไม่ได้"


         "เข้าใจแล้ว" ยุยทำตามคำแนะนำของเรนะ แล้วบังคับหุ่นเข้าไปใกล้


         สิ่งมีชีวิตเริ่มเปลี่ยนมายิงพลังงานแบบเล็ก ๆ แต่การบังคับของยุยกับเรนะทำให้สามารถเคลื่อนหลบพลังงานแต่ละก้อนได้อย่างไม่มีปัญหา


         พอเข้าประชิดได้ก็ออกหมัดเดิมเข้าใส่หน้าของสิ่งมีชีวิตอีกครั้ง


         ซึ่งครั้งนี้ดูจะได้ผลทีเดียว เพราะหน้าของมันปรากฏรอยร้าวขึ้นมาบ้างแล้ว


         "อีกครั้งหนึ่ง!" ยุยง้างหมัดแล้วชกไปสุดแรง อเล็กโตก็เคลื่อนไปแบบเดียวกัน


         ทว่าทันใดนั้นหมัดก็ถูกหยุดเอาไว้ก่อนที่จะไปถึงร่างของสิ่งมีชีวิต


         "อะไรน่ะ!?"


         มองเห็นสีฟ้าอ่อน ๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวมัน เป็นเหมือนรูปโดม


         "รึว่าจะ..บาเรีย ?"


         กว่าจะตั้งตัวทัน เรกาเลียก็ถูกลำแสงรูปลูกศรยิงใส่ ทำให้เสียศูนย์แล้วล้มคุกเข่าลงไป


         "แย่แล้ว!"


         แต่แทนที่จะโจมตีซ้ำ สิ่งมีชีวิตกลับหันหลังให้กับเรกาเลีย
         แล้วหันหน้าไปทางกองทัพทหารที่ตั้งอยู่ชายแดนของประเทศเอนาสเทอเรียแทน..


         ปรากฏแสงสีฟ้าที่มองเห็นได้ขึ้นบนกลางอกของสิ่งมีชีวิต
         คล้ายกับการรวบรวมพลังงาน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะยิง


         "หยุดนะ!" ยุยที่รับรู้ได้ถึงอันตรายได้บังคับให้อเล็กโตยืนขึ้น แล้วพยายามโจมตีใส่สิ่งมีชีวิตยักษ์อย่างเต็มที่
         แต่เกราะล่องหนที่ป้องกันมันอยู่ก็แข็งแกร่งมากจนเจอะไม่เข้า


         พลังงานรวบรวมจนถึงขีดสุดแล้ว


         เปรี้ยง!!


        เสียงที่ดังคล้ายฟ้าผ่า แต่ถึงจะรุนแรงแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถเจาะเกราะเข้าไปได้


         สุดท้ายแล้วก้อนพลังงานนั้นก็ถูกยิงออกไป


         ยุยพยายามวิ่งตามก้อนพลังงานนั้นไปให้ทัน แต่ความเร็วก็ต่างกันเกินไป


         แสงสีน้ำเงินมรณะกำลังเข้าใกล้กองทัพทหารเข้าเต็มที..


         "..."


         บุคคลปริศนาสวมผ้าคลุมปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเหล่ากองทัพทหาร
         ระหว่างพลังงานสีน้ำเงินที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา กับเป้าหมายที่ไม่มีเวลาให้ถอยหนีแล้ว


         คนคนนั้นยก กริช เล่มหนึ่งออกมาชูขึ้นฟ้า
         ทันใดนั้นก็ปรากฏละอองแสงจำนวนมากขึ้นตรงหน้าเขา แล้วก่อร่างเป็นรูปตัว O


         ลำแสงกับตัว O ปะทะกัน เกิดแรงลม แรงต้านทาน และแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว


         แรงสั่นสะเทือนในครั้งนี้ใกล้และรุนแรงกว่าตอนที่เรกาเลียสู้กับสิ่งมีชีวิตไกล ๆ มาก
         ทำให้ทหารบางคนถึงกับปลิวไปกับแรงลมที่รุนแรง รถถังเองก็ยึดอยู่กับพื้นไม่อยู่


         ผู้ที่ยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ขยับไปไหนมีเพียงบุคคลปริศนาผู้นั้น แต่ด้วยความแรงที่มหาศาลทำให้ผ้าคลุมที่ปิดบังตัวเขาอยู่มาตลอด ปลิวว่อนแล้วถูกทำลายหายไป


         ผมยาวสลวยสีเขียวถูกปล่อยออกมา ใบหน้าที่ดูเยาว์วัยนั้นน่าจะอายุเท่า ๆ กับยุย ทันที่ที่ผ้าคลุมหายไปก็เผยให้เห็นเครื่องแต่งกายที่เธอสวมอยู่ ว่าเป็นเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่เผยให้เห็นสัดส่วนร่างกายของผู้หญิง จึงเป็นเหตุที่จำต้องปิดบังไว้(?)
         แต่สิ่งที่แปลกสำหรับชุดดังกล่าวคือ มันเหมือนมีประกายแสงเรืองแสงอยู่ตลอดเวลา


         แรงปะทะยังคงไม่หยุดยั้ง แต่ผู้หญิงผู้นั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอยังคงพยายามต้านก้อนพลังงานนั้นเอาไว้ให้ได้ เธอใส่แรงเสียจนปรากฏรอยเลือดสีดำตั้งแต่ช่วงไหล่ไปจนถึงมือขวา


          ดูเหมือนเธอจะรู้สึกได้ว่าพลังงานเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว เธอจึงยังคงต้านเอาไว้โดยไม่ย่อท้อ จนในที่สุดพลังงานก็เล็กลง ๆ ๆ จนหายไปในที่สุด


         แต่นั่นก็เหมือนเป็นแรงทั้งหมดของเธอด้วย เพราะเธอล้มคุกเข่าไปทั้ง ๆ แบบนั้น


         สิ่งมีชีวิตเริ่มทำการรวบรวมพลังงาน เพื่อจะโจมตีอีกครั้ง


         "ไม่ยอมให้ทำได้หรอก!" เสียงของยุยกับเรนะที่ผสานกัน แล้วดังออกมาจากหุ่นเหล็ก


         ภายในค๊อกพิท เรนะลอยมาอยู่ตรงหน้าของยุยแล้วเริ่มการร่ายบางอย่าง
         "ในนามของ เอรินิอุส อเล๊กโต จะทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่ง.."


         "..ผ่าหินผาสีดำแห่งความมืดมิด.." ยุยร่ายตาม จากนั้นทั้งสองก็ยื่นมือเข้าหากัน แล้วปรากฏแสงสีฟ้าขึ้น ณ ช่องว่างระหว่างทั้งสอง ก่อนที่จะขยายเป็นเหมือนวงจรอะไรบางอย่าง


        "..จากภายในห้วงลึก.." ทั้งสองผสานเสียง


         บนแขนขวาของแม๊กนา อเล็กโต ปรากฏสิ่งที่คล้ายกรงเล็บขึ้นมา แล้วกรงเล็บนั้นก็ลอยไปรอบ ๆ ตัวหมัด พร้อมเปล่งแสงสีฟ้าออกมา


         "..กลับคืนสู่ความว่างเปล่า"


         กรงเล็บมารวมกันจนกลายเป็นหอกแหลม ตั้งตรงไปที่สิ่งมีชีวิตที่กำลังรวบรวมพลังงานอยู่ข้างหน้า พลังสีแดงปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มหอกสีฟ้าไว้อีกที อเล๊กโตง้างหมัดเข้าสุดตัว
         พลังงานสีแดงขยับขึ้น ๆ ลง ๆ คล้ายเปลวไฟที่กำลังลุกโชติช่วง


         "ย้ากกก!!"


         เศษหินเศษดินกระเด็นกระดอน หุ่นเหล็กพุ่งเข้าไปสุดตัวพร้อมปล่อย หมัดหอก ตรงไปที่ใจกลางของพลังงานที่กำลังรวบรวมอยู่ ซึ่งก่อนที่จะถึงตัวของสิ่งมีชีวิต ก็ต้องปะทะเข้ากับเกราะล่องหนของมัน พลังปะทะของทั้งสองส่งคลื่นแรงกระแทกไปทั่ว


         "กราไฟต์ ชาร์จ!!" 


         หมัดหอกที่กำลังทิ่งแทงเกราะล่องหนเริ่มหมุน
         กลายเป็นสว่านแสงที่จะเจาะทะลวงทุกสรรพสิ่ง


         พริบตานั้นเกราะป้องกันอันสุดแข็งแกร่งก็พังทลายลง แต่สว่านนั้นยังไม่หยุด แล้วตรงเข้าไปที่ใจกลางกลุ่มก้อนพลังงานที่รวบรวมไว้ที่กลางอกของมัน


         "ฮ่าส์!"



          สว่านทะลวงกลุ่มก้อนพลังงานจนสลายหายไปจนหมด แล้วตรงเข้าใส่ร่างของกลางอก
          ร่างของมันจนกลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่แทบในทันทีที่ถูกแทงเข้าไป


         และแล้วทุกอย่างก็จบลง..


         สิ่งมีชีวิตแน่นิ่งไป..แล้วค่อย ๆ สลายกลายเป็นแสง..


         "สำเร็จแล้ว ?"


         "นั่นมัน ?"


         เรนะสังเกตเห็นบางอย่างหลุดออกมาจากร่างที่กำลังสลายหายไปของสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ จึงทำการคว้าเอาไว้


         "ลูกแก้ว ?"


         "ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ"


         ระหว่างที่กำลังดีใจกับชัยชนะ และความสงสัยกับสิ่งที่เก็บมา
         เสียงหัวเราะที่ไม่ประสงค์ดีก็ดังลั่นไปทั่วทั้งประเทศเอนาสเทอเรีย


         "ใครกันน่ะ!?" ยุยตะโกนถามไปแบบเปล่า ๆ


         "สมกับที่เป็นหนึ่งในสามเรกาเรียศักดิ์สิทธิ์ แม๊กนา อเล็กโต..ไม่สิ สำหรับตอนนี้ต้องเรียกว่า เรนะ เอสเทเรีย สินะ"


        กลุ่มก้อนเมฆสีดำได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง แล้วปรากฏร่างของผู้หญิงวัยสามสิบ-สี่สิบปีขึ้นมา


         "พร้อมกับผู้ถูกต้องสาปโดยเรกาเลีย ราชินีลำดับที่ 99 แห่งประเทศเอนาสเทอเรีย ยูอินชิเอล เอสเทเรีย"


         "นามของข้าคือมูเนา แม่มดแห่งจุดสิ้นสุด ข้าจะมาทำให้ดินแดนที่เดินผิดแห่งนี้ กลับคืนสู่หนทางที่มันควรจะเป็น"



         เงามืดได้รุกคืบขึ้นมาปกคลุมประเทศ ณ ขอบชายแดนของโลกนี้เสียแล้ว..




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×