ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Legend 0+0+0 : ปีศาจ/ครอบครัว/ตำนาน
เขตแห่งอำนาจการเงิน - หอเช่าคอร์เซีย
แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องเข้ามาจากช่องว่างของผ้าม่าน
หญิงสาวผมสีแดงที่นอนอยู่ริมหน้าต่าง รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลา ทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้น แล้วพลิกตัวขึ้นมาหาวพร้อมบิดขี้เกียจ
"เช้าแล้วสินะ" เธอพึมพำกับตัวเอง อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นตัวขึ้นหน่อย
เธอพยายามย่องอย่างเบาที่สุด เพื่อไม่ให้ไปโดน คนอื่น ๆ ที่นอนอยู่ข้าง ๆ เธอ แล้วไปที่ห้องน้ำที่อยู่ริมสุดของห้อง
เมื่อมาถึงห้องน้ำโดยไม่ไปปลุกใครเข้าได้สำเร็จ สิ่งแรกที่ทำคือส่องตัวเองในกระจก พร้อมคิดในใจว่า 'หน้าดุ ๆ แบบนี้จะไปมีผู้ชายที่ไหนมาชอบกันล่ะเนอะ' แล้วหัวเราะกับตัวเองในใจ
ที่จริงเธอก็เป็นผู้หญิงที่สวยพอใช้ได้ แต่คงเพราะการกระทำของเธอมากกว่าที่ทำให้ไม่มีใครมาจีบ และนั่นก็เพราะเธอก็ยังไม่อยากจะมีแฟนเองด้วย
หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน ทำธุระในห้องน้ำเสร็จสิ้น สิ่งสุดท้ายที่ทำก่อนที่จะออกไปคือการมัดผมสีแดงยุ่ง ๆ ของเธอ ให้เป็นทรงโพนี่เทล
"เอาล่ะ!"
เธอออกมาจากห้องน้ำแล้วย่องไปให้เบาที่สุดอย่างเคยไปที่ห้องครัว
เพื่อที่จะเตรียมทำอาหารเช้าให้สำหรับ ครอบครัว
"อืม..วันนี้จะทำอะไรดีน้า~" เธอครุ่นคิด คิดเมนูได้มากมาย ตั้งแต่ข้าวไข่ดาวแบบง่าย ๆ ไปจนถึงสเต๊กสุดหรู สปาร์เก๊ตตีแสนอร่อย ไม่ก็ไข่ปลาคาเวียร์สุดแพง แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอาหารเก่งมากก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็พอมีฝีมืออยู่บ้างแหละนะ
แต่ก่อนที่จะทำอะไรได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปิดตู้เย็นดูก่อนว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง
"จ้า มีแต่ไข่"
เมนูสุดพิสดารทั้งหลายคงได้แต่เก็บกลับไปในความคิด แล้วหันมาดูโลกความจริงว่าคงทำได้แต่เมนูไข่แบบง่าย ๆ
"พี่คะ ?"
"?" หญิงสาวหันไปตามเสียงของเด็กผู้หญิงที่ฟังดูงัวเงีย "ฟุยุกะตื่นแล้วเหรอ ?"
"ให้หนูช่วยไหมคะ ?" น้องสาวที่ยังไม่ตื่นเต็มสติ เสนอตัวเองเข้าช่วย
"ไม่เป็นไร ๆ ฟุยุกะไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ทำเอง"
"ค่ะ" น้องสาวรับคำสั่งแบบง่าย ๆ แล้วย้อนกลับไปห้องน้ำ
หลังจากนั้นพี่สาวก็เริ่มทำอาหารเช้าให้ทุก ๆ คนในบ้าน
ใช้เวลาไม่นานนักทุกอย่างก็เสร็จ เหลือเพียงแค่ไปเสิร์ฟบนโต๊ะ
เธอไปหยิบโต๊ะไม้วงกลมที่สอดไว้ที่ซอกตู้ มาวางสี่-ห้าตัว แล้วก็ค่อยนำจานข้างมาวาง
"เรียบร้อย เอาล่ะ ต่อไปก็.."
หญิงสาวกลับมาห้องนอนที่คนอื่น ๆ หลับกันอยู่ แต่คราวนี้เธอไม่ต้องระวังที่จะเดินแบบย่อง ๆ แล้ว เพราะเธอตรงไปที่หน้าต่าง แล้วเปิดม่านออกเพื่อให้แสงส่องเข้ามาในบ้านแบบตั้งใจ
"เอาล่ะ ๆ เช้าแล้ว ๆ ตื่นกันได้แล้วพวกขี้เซาทั้งหลาย"
"งืม.." หลังจากที่เสียงอันก้องกังวานของพี่สาวจบ เหล่าน้อง ๆ ที่หลับเรียงกันอยู่ก็ค่อยตื่นมาทีละคนเพราะเสียงและแสง
"เอาล่ะ ๆ ค่อย ๆ เข้าแถวกันไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วมาทานอาหารเช้าด้วยกันนะ"
"คร้าบ/ค่า พี่ฮารุกิ" พวกน้องตอบกลับมาอย่างงัวเงีย
ฟุยุกะที่ทำธุระในห้องน้ำของตัวเองเสร็จแล้ว ก็ออกมาช่วยดูแลน้องคนเล็กที่มีอายุเพิ่งได้ปีเดียว เพื่อให้ฮารุกิไปดูแลอีกคนหนึ่ง ที่นอนซมอยู่บนที่นอน
เธอไปหยิบอาหารที่เตรียมไว้สำหรับคนนี้โดยเฉพาะ แล้วตักขึ้นมาครึ่งช้อนและยื่นหาอีกฝ่าย
"แม่ ข้าวต้มค่ะ ทานนะคะ"
"ขอบใจมากนะ ฮารุกิ" คุณแม่ของฮารุกิอ้าปากรับประทานข้าวต้มฝีมือลูกสาวอย่างอุ่นใจ
ระหว่างที่กำลังตักป้อนอาหารให้อยู่นั้น ก็มีคำถามอย่าง
'อาการเป็นไงบ้าง ไม่เจ็บตรงไหนนะ ร้อนไปรึเปล่า' อยู่ตลอด ฝ่ายแม่ก็ตอบไปว่า 'ไม่เป็นไร' เสียส่วนใหญ่
หลังจากที่ทานจนพออิ่ม ฮารุกิก็จะไปทำหน้าที่ต่อไปต่อ แต่ก่อนที่จะไปนั้นแม่ก็พูดขึ้นมาเล่น ๆ ว่า
"ฮารุกินี่จะต้องเป็นเจ้าสาวที่ดีแน่ ๆ เลยเนอะ"
"โถ่ คุณแม่ล่ะก็.." ถึงจะไม่จี้จุดอะไรมาก แต่ก็ทำให้หญิงสาวหน้าแดงไม่ใช่น้อย
ไม่รู้ว่าแม่รู้เรื่องที่เธอคิดเล่น ๆ เมื่อเช้านี้รึเปล่าถึงได้พูดแบบนั้น แต่ก็คงเป็นอารมณ์ขี้เล่นของท่านเสียมากกว่า
หลังจากให้แม่ทานอาหารเช้าเสร็จ ต่อมาก็มาถึงรับประทานอาหารเช้าพร้อมน้อง ๆ
เมื่อทุกคนทำธุระเสร็จสิ้น ก็มาพร้อมกันที่โต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมเพรียง
พี่สาวเริ่มเรียงรายชื่อแต่ละคน แต่ละคนก็ขานรับชื่อตัวเองเสียงใส
"ฟุยุกะ" = "ค่ะ!"
"อากิโกะ" = "ค่า!"
"นัตสึ" = "ครับ!"
"ทากาเนะ" = "ค่ะ!"
"โทระ" = "ครับ!"
"ทาบาตะ" = "คร้าบ!"
"ฮิโนะ" = "ค่า ๆ!"
"ชู" = "ครับ!"
"โอซุ" = "แอ้!"
"เอาล่ะ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วละก็.."
"ทานล่ะนะคะ/ครับ" เก้าเสียงผสาน (+เสียงอ้อแอ้หนึ่ง) แล้วทุกคนก็รับประทานอาหารพร้อมเพียงกัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฮารุกิก็มาล้างจานโดยมีอากิโกะมาช่วย โดยปล่อยให้คนอื่นเล่น ๆ กันไป ส่วนฟุยุกะคอยดูแลโอซุ
ฮารุกิสังเกตมองนาฬิกา แล้วคิดได้ว่า อะ ใกล้ถึงเวลาแล้วนี่นะ
เธอก็รีบล้างจานให้เสร็จ จากนั้นก็มากำชับน้องแต่ละคนให้ว่าอย่าซนนัก และช่วยกันดูแลบ้านกับแม่ด้วย ซึ่งทุกคนก็ตอบรับเสียงใส
เมื่อพี่สาวเห็นว่าทุกคนร่าเริงกันดี เธอก็หายห่วงแล้วไปแต่งเครื่องแบบ
เครื่องแบบที่ว่านี้ึเป็นเสื้อสีกรมท่า แขนยาว กางเกงขายาว มาพร้อมถุงมือสีขาวกับหมวก ที่ใคร ๆ เห็นแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชุดกรรมกร
เมื่อเสร็จสิ้น เธอก็แบกกระเป๋าคู่ใจ แล้วจะออกไปทำงาน
"ไปล่ะนะคะ"
"ไปดีมาดีนะคร้าบ/ค่า!"
เสียงของพวกน้อง ๆ ช่วยเสริมสร้างกำลังใจได้ดีเลยทีเดียว
เป็นเวลาพักหนึ่งแล้วที่ฮารุกิกลับมาบ้าน เนื่องจากเสียงานเก่าไป
ครอบครัวเธอมีฐานะที่ยากจน แต่มีคนอยู่ที่บ้านค่อนข้างเยอะ แม่เองก็ป่วย ส่วนพ่อก็ทิ้งหนีไปคนเดียวพร้อมทิ้งหนี้สินไว้อีก จึงทำให้ดำเนินชีวิตแต่ละวันได้อย่างยากลำบาก
งานเก่าของฮารุกิมีกาารเงินที่ค่อนข้างใช้ได้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจล้างหนี้ได้หมด แถมยังต้องแบ่งมาดูแลเรื่องในครอบครัวต่าง ๆ ทั้งยังเรื่องค่ารักษาพยาบาลแม่อีก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยชอบงานเก่าที่ว่านั้นมากเท่าไรก็เถอะ..
แต่งานใหม่นี้ค่าจ้างเลี้ยงได้ว่าต่ำกว่าเป็นสิบเท่า หากอันเก่านี่ยังแทบอยู่กันลำบาก งานใหม่นี้ก็ไม่ต้องพูดถึง
น้อง ๆ ของเธอก็ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ มีแต่ต้องเรียนที่บ้าน
ซึ่งฮารุกิก็เป็นคนสอนแต่ละคน (เธอเป็นคนเดียวที่เคยได้ไปโรงเรียน แต่ก็จนถึงระดับชั้น ป.4 เท่านั้น)
บางทีหากเธออยู่ในเขตอื่นที่ไม่ใช่เขตนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็อาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้
เขตแห่งอำนาจการเงิน
เขตแห่งนี้มีความหมายตามชื่ออย่างชัดเจน
ทุกอย่างตัดสินด้วยทรัพย์สินเงินทอง คนรวยมีอำนาจ คนจนเป็นแค่เดนสังคม
ที่นี่เป็นที่ที่มีระยะห่างทางชนชั้นสูงมาก ต่อให้ทำงานไปทั้งชาติ คนจนก็แทบไม่มีทางเลื่อนชนชั้นไปอยู่ในระดับเดียวกับคนรวยได้เลย
สวัสดิการของสองชนชั้นต่างกันราวกับฟ้ากับเหว
ชีวิตความเป็นอยู่ อนาคต การงาน อาหาร ฯลฯ
แต่ถึงนั้นคนรวบก็เหมือนจะยังไม่ปล่อยคนจนไปไหน เพราะพวกเขาต่างเป็น แรงงาน ที่จำเป็นต่อการใช้งาน
คำว่า 'สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนเท่าเทียมกัน' ของเทพธิดากลายเป็นคำโกหกหลอกลวงไปในพริบตา หากได้มาเห็นสภาพของเขตนี้
การย้ายเขตอาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่การย้ายเขตของที่นี่ต่างจากเขตอื่น ๆ ที่สามารถย้ายไปย้ายมาได้ตามใจ แต่สำหรับที่นี่ การจะออกไปจากเขตได้ ต้องใช้เงิน และไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ ด้วย เคยได้ยินว่าต้องทำงานกันห้าชั่วรุ่น ถึงจะมีเพียงพอที่จะย้ายเขตไปได้คนเดียว..
ถ้าหากคนเดียวยังขนาดนั้น..บ้านของเธอที่มีอยุู่กันเป็นสิบนี่คง..
แต่หากว่าเธอนหนีไปคนเดียวล่ะ ?
ปลดเปลื้องตัวเองจากพันธนาการที่เรียกว่า ครอบครัว
หนีไปจากเขตที่ไม่มีอนาคตนี้ ไปใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ไปหาแฟนที่จะมาช่วยดูแล แล้วสร้างครอบครัวใหม่ขึ้นมา..
ความคิดนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้..แต่หากใครก็ตามที่ทำแบบนั้น..มันน่ะเลวเสียยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก..
ทันทีที่คิดเช่นนั้นก็มักจะมีภาพของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตอนนี้เธอเองก็จำหน้าเขาไม่ได้แล้ว
แต่เธอก็ไม่คิดที่จะจำ คนที่ไม่มีความรับผิดชอบคนนั้น แล้วเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวต่อไป
นิยามคำว่า ครอบครัว ของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปตามบริบทของความเป็นอยู่ของแต่ละคน
สำหรับ ซากาเอะ ฮารุกิคนนี้ ครอบครัวก็คือทุกทุกอย่างของเธอ
เพื่อครอบครัวแล้ว..เธอทำได้ทุกอย่าง..ใช่ ทำได้ทุก ๆ อย่าง..
ระหว่างที่กำลังเข็นรถเข็นที่บรรจุก้อนอิฐจำนวนมากไปตามทาง เธอก็เหลือบไปมองตึกระฟ้าโออ่าที่อยู่ห่างจากที่เธออยู่
ตรงนั้นคือเขตของพวกคนรวย ส่วนที่เธออยู่คือเขตของคนจน
มันแบ่งจากกันชัดเจนจนเหมือนไม่ใช่เขตเดียวกัน
ระหว่างที่กำลังกวาดสายตามองไปเรื่อย ๆ เธอก็ไปสังเกตเห็นตึกแห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายชื่อขนาดใหญ่ติดอยู่
DEUS
ทุกครั้งที่เห็นชื่อนั้น ความรู้สึกในใจของฮารุกิก็รุ่มร้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
จนทำให้เธอเผลอใส่แรงลงไปในมือมากไป จนทำให้ที่จับรถเข็นถึงกับหัก
"เห้ย ซากาเอะ นั่นไม่ใช่เครื่องออกกำลังกายนะเฮ้ย"
"ว้า! ขอโทษ ๆ เดียวจะไปหยิบคันใหม่มาเดี๋ยวนี้ล่ะ" ฮารุกิที่สติกลับคืนมารีบขอโทษ แล้วไปหารถคันใหม่มาทันที
หลังจากที่ไปหาคันใหม่มาเปลี่ยนแล้วกลับมาทำงานโดยไม่สนใจสิ่งรบกวนใจนั่นอีก งานก็ดำเนินไปได้ด้วยดีโดยไม่มีปัญหา
พอตกเย็น ก็ถึงเวลาเลิกงานของแต่ละคน ฮารุกิทำล่วงเวลาอีกสักหน่อยด้วยการขนอิฐกองใหญ่ไปวางไว้ข้างใน
เพื่อนร่วมงานของฮารุกิสองคนสุดท้ายกำลังที่จะกลับบ้านแล้วเข้ามาเห็นเธอกำลังขยันอยู่พอดี "โห ซากาเอะ ขยันเกินไปแล้ว ที่นี่ทำโอทีไปก็ไม่มีค่าจ้างเพิ่มหรอกนะ"
"เอาเถอะน่า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว พรุ่งนี้จะได้ไม่เหนื่อยไง"
"อย่างเธอน่ะเหนื่อยเป็นด้วยเหรอ ?" เพื่อนอีกคนเล่นมุก
"เออ นั่นสิเนอะ" ทางนี้ก็ยินดีรับมุก
"เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ระวังตัวไว้หน่อยเน้อ"
"เอาสิ ถ้าอยากชิมหมัดของฉันล่ะนะ"
"ว้า น่ากลัว" ทั้งสามหัวเราะ
"งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ"
"เจอกัน ๆ"
"ซากาเอะเนี่ย ถ้าดูดี ๆ ก็หน้าตาดีใช้ได้เลยนะ"
"โธ่ แค่ใช้ได้เองเรอะไง ฉันว่านี่ล่ะเพชรเม็ดงามของคนจน ๆ อย่างเราแล้วน้า~"
หลังออกจากเขตก่อสร้างได้ระยะหนึ่ง เพื่อนร่วมงานทั้งสองของฮารุกิ ก็มาแอบคุยกันเรื่องเธอกันเล่น ๆ
"ถ้าไม่นับเรื่องมีพลังช้างสารนั่นแล้ว ฉันว่าเธอคงเนื้อหอมใช้เล่นเลยล่ะ"
"แล้วก็ดูแลตัวเองอีกหน่อยด้วยล่ะนะ"
"ใช่ ๆ แต่เห็นแบบนั้นเธอเองก็แต่งนะ อย่างเล็บก็-!?"
เพราะเพื่อนข้างหน้าหยุดเดินอย่างกระทันหัน ทำให้เพื่อนที่ตามมาชนเข้าอย่างไม่ทันระวัง
"เห้ย จะหยุดก็บอกกันบ้างเดะ" ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่เพื่อนก็ไม่มีการตอบสนอง เขามองตาค้างไปด้านหน้าราวกับต้องมนตร์สะกด
"นี่เป็นอะไรรึเปล่า ?"
"โคตรสวยเลยอ่ะ"
"หา ?"
เพื่อนเงยหน้ามองไปตามที่อีกฝ่ายมอง แล้วทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างอย่างน่าทึ่ง
เบื้องหน้าของชายทั้งสอง มีสตรีรูปงามกำลังเดินตรงมาทางพวกเขา
ผมสีครามอ่อน แววตาอันแสนสงบนิ่ง ใบหน้าที่งดงามราวกับนางฟ้า กับท่วงท่าการเดินสง่างามนั่น ทำเอาพวกเขาหลงสเน่ห์ตั้งแต่แรกเห็น
ยิ่งเธอเดินเข้ามาใกล้ ยิ่งทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นดังตึกตัก
(มาแล้ว ๆ ๆ!)
แล้วก็ผ่านไปแล้ว..
"เฮ้อ.." ชายทั้งสองไหล่ตก และถอนหายใจอย่างหมดกำลังใจ
"อย่างพวกเรานี่มันหมดหวังจริง ๆ ล่ะเนอะ"
"ฮะ ๆ ยังจะคิดว่ามีหวังไปกันได้อีกนะ"
"ว่าแต่ผู้หญิงแบบนั้นมาทำอะไรที่นี่กัน ?"
"นักท่องเที่ยวล่ะมั้ง"
"นักท่องเที่ยวในเขตคนจนเนี่ยนะ ?"
"อาจจะพวกทำวิจัยก็ได้"
"จะแบบนั้นแน่เรอะ"
ถึงจะมีข้อสงสัยอยู่บ้าง แต่ชายทั้งสองก็ปล่อยให้เรื่องท่แล้วก็แล้วไป และก็ตรงกลับบ้าน..ไม่สิ..ไปหาอะไรทานเล่นก่่อนที่จะกลับบ้านก่อน
ฮารุกิขนพวกกองอิฐเข้าไปข้างในจนเสร็จ ถึงจะไม่เหนื่อย แต่เพราะปริมาณที่มากพอควรทำให้ดวงอาทิตย์เริ่มที่ส่องแสงสีส้มเริ่มที่จะลับขอบฟ้าไปเต็มที
หญิงสาวถอดถุงมือออกแล้วเก็บไว้ในเสื้อ
พอชักมือออกมา เธอก็มองดูมือที่เปื้อนคราบสีดำ จนดูไม่งามเหมือนมือของผู้หญิงเสียเท่าไรอยู่ครู่หนึ่ง
ถ้าจะบอกว่ามีอะไรเหมือนผู้หญิงบ้างไหม ก็คงมีแต่เล็บที่ทาด้วยเบบี้พิงค์สีชมพูเท่านั้น
"ถึงจะไม่ค่อยเข้ากับเราเท่าไรก็เถอะนะ.."
หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง พลางกางมือไปบนฟ้า แล้วมองดูอย่างทบทวน
"..แต่เป็นสิ่งที่ได้มาจากงานแรกของเรานี่นะ.."
ระหว่างที่กำลังอยู่กับตัวเองอยู่นั้น ฮารุกิก็เพิ่งรู้ตัวว่ามีคนเข้ามาพอดี ทำให้เธอรีบชักมือกลับแล้วทำตัวเป็นปกติทันที
"อะ ขอโทษเหม่อไปหน่อย"
ตอนแรกร้อนลนจนไม่ทันได้สังเกต แต่เมื่อได้มองดี ๆ แล้ว
คนที่มาหานั้นเป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ผมสีครามยาวสลวยเหมือนจะได้รับการดูแลอย่างดี ใส่เครื่องแบบนักเรียนที่ดูแล้วน่าจะเป็นโรงเรียนที่มีฐานะดีพอสมควร ยิ่งรวมกับท่าทางและลักษณะแบบนั้นทำให้ยิ่งมั่นใจได้เลยว่า เธอไม่ใช่คนของส่วนคนจนนี้
"มีธุระอะไรรึเปล่า ?" ฮารุกิลองถาม
"ซากาเอะ ฮารุกิสินะ"
"ใช่ แล้วจะทำไมเรอะ ?" หญิงสาวเริ่มรู้สึกกลิ่นไม่ดี
"ถ้าอย่างงั้น.." ผู้หญิงคนนั้นหยิบบางอย่างออกมา
ดาบเรเปียร์ที่หยิบออกมาจากอากาศธาตุที่ว่างเปล่า ปรากฏเป็นเส้นลำแสงพุ่งตรงใส่ฮารุกิ!!
ความเร็วที่สายตามนุษย์ธรรมดาไม่อาจมองทัน ด้วยความเร็วขนาดนั้นมากพอที่จะขยี้ร่างของหญิงสาวให้แหลกได้สบาย ๆ
แต่หลังจากที่ควันค่อย ๆ จางออก ดูเหมือนว่าจะไม่มีร่างของหญิงสาวอยู่
เพราะเธอสามารถหลบมาด้านข้างได้ทันท่วงที..พร้อมกับสวมปลอกแขนสีดำที่ยาวจนถึงข้อศอก
"แกเป็นใคร ? DEUS งั้นเรอะ ?"
ฮารุกิถามอย่างเดือดดาล แต่ไม่มีคำตอบอีกฝ่าย กลับตั้งมือข้างลำตัวแล้วโจมตีใส่อีกครั้ง
เธอรีบก้มตัวหลบ จากนั้นดวงตาก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา
แล้วก็ใช้ลวดปาตรงเข้าใส่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นทันที
อีกฝ่ายใช้ดาบการรับเส้นลวดเหล่านั้นไว้
ฮารุกิก็จึงปล่อยกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเส้นลวดใส่เข้าไป แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลนักเพระอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย
(ด้ามจับเป็นฉนวนหรอกเรอะ..)
ศัตรูหมุนด้ามจับเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีลำแสงพุ่งจากดาบตรงใส่ฮารุกิอีกครั้ง ทำให้เธอต้องรีบปลดลวดออก แล้วเคลื่อนหลบ
แต่หลังจากที่หลบพ้นก็มีการจู่โจมต่อเข้ามาในทีในรูปของเส้นแสงอีกหลายเส้น
แรงระเบิดทำให้เกิดควันฟุ้งไปทั่ว แต่ไม่นานนักฮารุกิก็กระโดดออกมาจากกลุ่มควันด้วยพลังเหนือมนุษย์แล้วขึ้นไปอยู่บนโครงเหล็กของอาคารที่กำลังก่อสร้าง
"ชิ..ถุ่ย" เธอบ้วนเลือดออกมา เพราะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่นี้
กริ๊ง!
จู่ ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อก็ดังขึ้น ทำให้ฮารุกิต้องรับสายแม้ไม่ได้อยู่ในเวลาที่จะทำแบบนั้นก็ตาม
"ฮัลโหล ฟุยุกะเรอะ มีอะไร ?"
"พี่คะ! ช่วยด้วย มีใครไม่รู้ม--กรี๊ด!!" สิ้นเสียงกรี้ด สายก็ตัดไปอย่างกระทัน โดยที่มีเวลาคุยเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
"ฟุยุกะ เกิดอะไรขึ้น ฟุยุกะ!" ถึงสายจะตัดไปแล้วแต่ฮารุกิก็ตะโกนเรียกหาน้องสาวตัวเองปลายสายซ้ำอีกหลายครั้ง
ทันใดนั้นหญิงสาวผมสีคราม ก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนโครงเหล็กชั้นเดียวกับฮารุกิ ท่าทางเธอเองก็จะมีพลังเหนือนมนุษย์อยู่เหมือนกัน
แต่ตอนนี้ฮารุกิไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนั้น
"พวกแกตัองการฉันไม่ใช่เรอะ แล้วไปลากครอบครัวฉันมาเกี่ยวด้วยทำไม!?"
"หากฉันกำจัดเธอไม่สำเร็จ ก็คิดจะใช้ครอบครัวของเธอเป็นแต้มต่อสร้างความได้เปรียบยังไงล่ะ"
"แต่ถ้ากำจัดฉันได้ล่ะ พวกแกคิดจะทำยังไงกับพวกเขา!?"
ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย มันเป็นคำตอบกลาย ๆ ว่า ก็ฆ่าทิ้งเหมือนกัน
"บ้าที่สุด!"
หญิงสาวผมสีครามชักดาบเล็งขึ้นมาที่เธอ
(ไม่มีเวลามาอยู่ที่นี่แล้ว..) ฮารุกิมองลงไปที่โครงเหล็กข้างล่าง
(ขอโทษนะ อุตส่าห์ช่วยกันทำได้ขนาดนี้แล้วแท้ ๆ..)
ดวงตาของฮารุกิเปล่งแสงสีขาว แล้วทำในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ทันคิด
เธอต่อยลงไปที่โคงเหล็กด้วยแรงมหาศาส ทำให้ทั้งอาคารพังถล่มลงมา!
จากนั้นดวงตาของฮารุกิก็เปลี่ยนสีไปอีกครั้ง เป็นสีเหลือง
ความคล่องตัวของเธอเหมือนจะสูงขึ้น ทำให้เคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางโครงเหล็กที่พังทลายได้ แล้วรีบวิ่งกลับบ้านไปโดยด่วนที่สุด
มีความลับสองอย่างที่ซากาเอะ ฮารุกิไม่เคยบอกกับใครในครอบครัว
หนึ่งคือการที่เธอเป็น..ปีศาจ
สายพันธุ์ที่ถูกเรียกโดยเหล่าผู้สถิตบนสรวงสวรรค์ว่า 'ผู้นำพามาซึ่งความชั่วร้ายทั้งมวล'
เป็นตัวตนที่ชั่วร้าย และเป็นศัตรูของโลก
สายพันธุ์นี้มีความพิเศษที่ไม่ได้เป็นการสืบเชื้อสายผ่านสายเลือด หรือเผ่าพันธุ์แบบไหน แต่จะเหมือนเป็นการสุ่ม
ผู้ที่บังเอิญกลายเป็นปีศาจ ซึ่งถูกสุ่มเกิดขึ้นมาในโลกที่ถูกรังสรรค์ใบนี้ทั้ง 72 คน
และฮารุกิก็คือหนึ่งในนั้น
อีกหนึ่งความลับคือ งานเก่าของเธอนั้นคืองานนักฆ่า
DEUS บริษัทที่มีเครือใหญ่ที่สุดในโลก ได้ทำการจ้าง 'ปีศาจ' อย่างลับ ๆ ให้มาเป็นนักฆ่าทำภารกิจในเงามืด ซึ่งมีรางวัลตอบแทนที่คุ้มค่า
ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบ แต่เพราะตัวเธอเองก็ไม่มีทางเลือก
สุดท้ายเธอก็ต้องเดินเข้าไปในเส้นทางของสีดำ แล้วใช้มือข้างนี้สังหารคนไปไม่รู้กี่คน
แต่เพราะแบบนั้น ถึงได้มีอาหารดี ๆ กลับมาเลี้ยงครอบครัว
เพราะแบบนั้นเธอจึงสามารถซื้อเบบี้พิงก์ที่ตัวเองอย่างซื้อได้เป็นครั้งแรก
เพราะแบบนั้นเธอถึงสามารถรักษารอยยิ้มขอครอบครัวไว้ได้
แต่ว่าการรวยทางลัดแบบนั้นก็ดูเหมือนจะอยู่ได้ไม่นาน
เมื่อ DEUS ได้หักหลังเธอ..ได้หักหลังปีศาจ
ในระหว่างที่กำลังทำสงครามกับเหล่าผู้ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า
มนุษย์ที่เป็นฝ่ายเดียวกัน ได้หันปืนเข้าหาปีศาจ และไล่สังหารปีศาจละคนทีละคน
ฮารุกิโชคดีที่หนีมาได้ แล้วกลับมาหลบอยู่ที่บ้านเกิด
แต่เธอก็รู้สึกกังวลใจอยู่เสมอว่าพวกมันจะมาไล่ล่าเธอ..แล้วจะพลอยทำให้ครอบครัวเธอโดนลูกหลงไปด้วยหรือไม่
พลังปีศาจนี้อาจจะดูเหมือนเป็นคำสาปที่ชั่วร้ายที่ทำให้ชีวิตของใครสักคนต้องผูกติดกับบางอย่างที่ผิดปกติ
แต่สำหรับฮารุกิ การที่เธอได้เป็นปีศาจนั้นกลับเป็นเรื่องดี
ด้วยพลังนี้ทำให้เธอสามารถทำงานต่าง ๆ ได้สำเร็จ ทั้งที่เป็นผู้หญิง ทั้งการจนของหนัก ๆ ทั้งการลอบสังหาร ถึงมันจะไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของครอบครัวเธอดีขึ้นมากมายเท่าไร
เพราะเธอเองก็ยังเกรงกลัวในพลังลึกลับนี้ ยังคงกลัวในสายพันธุ์ที่ถูกเรียกว่าเป็นความชั่วร้ายนี้ และด้วยเพราะการที่เธอเป็นแบบนี้ครอบครัวของเธอเลยถูกเข้ามาเกี่ยวข้องกับโลกฝั่งนี้
แต่เพราะแบบนั้น สิ่งที่เธอต้องการที่สุดตอนนี้ก็คือพลังนี้
เพราะการที่จะช่วยครอบครัวของเธอได้จำเป็นที่จะต้องใช้พลังนี้เท่านั้น
.
.
.
.
.
ฮารุกิกลับมาบ้าน พบว่าที่นั่นเละเทะไปหมด พื้นห้องฉีกขาด พนังทะลุเป็นรู กระจกแตกและไม่มีอยู่ใครเลย
แต่ศัตรูของเธอเหมือนจะต้องการให้เธอไปหาอย่างเจาะจง
เพราะมีการทิ้งจดหมายเอาไว้ว่าให้ไปเจอที่โรงงานร้างที่อยู่ไม่ไกลจากหอของเธอมากนัก
เธอเปลี่ยนจากชุดเครื่องแบบกรรมกร มาเป็นชุดสำหรับงานเก่า ซึ่งเป็นชุดที่ได้รับการออกแบบโดย DEUS โดยอาศัยความชอบของแต่ละคนในการออกแบบ
สิ่งที่พิเศษของมันที่ทำให้ฮารุกิชอบ แม้จะเป็นของจาก DEUS ก็คือเนื้อผ้าของมันทำมาจากเส้นใยชนิดพิเศษที่สามารถกันกระสุนได้ หากเปรียบแล้วตอนที่โดนยิงพลังงานเข้าใส่เมื่อกี้นี้ อาจจะทำให้ความเสียหายที่ได้รับน้อยลงกว่านี้ก็ได้
หลังจากที่ทำแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว จึงรีบมุ่งหน้าไปอย่างไม่รอช้า
ที่นั่นเป็นโรงงานร้างเก่าซึ่งถูกปล่อยทิ้งมานานแล้ว
จริง ๆ สถานที่แบบนี้หาได้ไม่ยากเท่าไรภายในเขตแห่งอำนาจการเงินส่วนของคนจน
สาเหตุที่พวกมันพาครอบครัวของเธอมาที่นี่ก็คงเพราะพวกมันต้องการจะปฏิบัติการในที่ลับ แล้วไม่อยากให้คนนอกรู้คล้าย ๆ กับสมัยที่เธอเป็นนักฆ่า
โลกนี้มีอยู่หลายมุมหลายด้าน
แต่หากต้องการอธิบายให้ง่ายที่สุด ก็คงมีแค่สองด้าน
เบื้องหน้า กับเบื้องหลัง
สำหรับผู้ที่เคยก้าวชีวิตไปในโลกเบื้องหลังแล้ว จะไม่มีทางกลับออกมาได้
ฮารุกิเพิ่งจะเข้าใจความหมายนั้นเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้
หลังจากที่สำรวจด้านนอกว่าไม่มีใครอยู่เลย เธอก็เดินเข้าไปข้างใน
ที่นี่เต็มไปด้วยเครื่องจักรที่ไม่มีใครใช้งานแล้ว เต็มไปด้วยฝุ่น สนิม และยักไย้ หากที่นี่มีผีสิงก็จะไม่รู้สึกแปลกใจเลย
แต่เธอไม่ต้องการให้ครอบครัวของเธอ ต้องกลายเป็นผีที่นี่..
ฮารุกิเดินเข้ามาข้างในจนน่าจะถึงประมาณกลางโรงงาน ก็พบกับพวกน้อง ๆ ของเธอถูกจับมัดรวมอยู่พร้อมแม่ อยู่กลางห้องโดยมีไฟสลัวเปิดส่องลงมาที่พวกเขา
"ทุกคน!?"
"พี่ ช่วยด้วยครับ/ค่ะ!"
"จะไปช่วยเดี๋ยวนี้ล่-!?"
"ปีศาจลำดับที่ 3 ซากาเอะ ฮารุกิสินะ"
หญิงสาวผมสีดำ สูงกว่าฮารุกิเล็กน้อย เดินออกมาจากเงามืดด้านข้างน้อง ๆ ของฮารุกิ ทำให้เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ดังจนถึงเมื่อครู่หยุดชะงักไป
(เมื่อกี้ไม่รู้สึกถึงยายนั่นเลย..)
"ข้อมูลรูปพรรณสัณฐานตรงกับที่ลงทะเบียนไว้ แปลว่าใช่จริง ๆ" เธอกำลังเปิดดูข้อมูลของฮารุกิอยู่ในแท๊บเล็ต
"ฉันขอเตือน ปล่อยครอบครัวของฉันเดี๋ยวนี้" ฮารุกิตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ และปล่อยจิตสังหารใส่อีกฝ่ายอย่างจริงจัง
"คงต้องขอปฏิเสธ การมีพวกเขาอยู่จะทำให้คุณต่อสู้ได้ยากขึ้น และทำให้เปอร์เซ็นต์ชนะของพวกเราสูงขึ้น" เธอพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
"ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ให้พวกแกมีโอกาสนั้นเลย" ดวงตาของฮารุกิเรืองแสงสีเหลือง แล้วทันใดนั้นร่างของเธอก็หายไป
ไม่สิ มันเป็นการเคลื่อนด้วยความเร็วสูงจนมองไม่แทบไม่ทันต่างหาก
แต่ในห้วงความเร็วสูงที่ฮารุกิกำลังวิ่งอยู่นั้น ก็มีบางอย่างที่ผิดปกติพุ่งเข้ามาจากทางด้านข้าง ด้วยการที่เธอเคลื่อนไหวอยู่ จึงทำให้ไม่สามารถหลบการโจมตีดังกล่าวได้
ตู้ม!
ร่างของหญิงสาวกระเด็นไปชนกับคอนเทนเนอร์จนทะลุ
ลูกถีบที่แทรกเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว
ซึ่งเป็นฝีมือของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งไว้ผมเปียสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งฮารุกิเองก็ไม่รู้สึกถึงตัวตนของเธออีกเช่นกัน
(ประมาทไปหน่อย แต่ว่า..!)
ทันใดนั้นประตูตู้คอนเทนเนอร์ก็เปิดออก พร้อมด้วยแสงสีเหลืองที่พุ่งออกมาจนมองไม่ทัน
ฮารุกิอาศัยจังหวะที่ศัตรูมองไม่เห็นตัว พุ่งออกมาด้วยความเร็วแล้วมาอยู่ข้างหลังของผู้หญิงผมสีม่วง
ทว่าการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าของอีกฝ่าย กลับเป็นการจ่อดาบเล็งมาที่ตำแหน่งที่เธอจะมาหยุดพอดี..
เส้นแสงสีแดงถูกยิงออกมา แต่ไปกระทบระเบิดพื้นแทน
ฮารุกิเคลื่อนหลบมาอีกด้านได้ทันก่อนที่จะรับเข้าไป แต่เป็นอีกครั้งเมื่อดาบที่ขยับเป็นภาพสโลว์โมชันนั่น กับเล็งตรงมาที่เธอได้อย่างพอดี
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ฮารุกิเลยตัดสินใจลุยไปซึ่ง ๆ หน้าแม้จะต้องบาดเจ็บ
แต่อีกฝ่ายไม่ยิงแสงออกมา กลับกลายเป็นว่าหลบฮารุกิจับล็อกไหล่ แล้วกระโดดถีบตัวฮารุกิตีลังกาขึ้นไปกลางอากาศแทน
ในช่วงจังหวะที่กำลังเสียหลักอยู่นั้น ดาบอีกเล่มก็พุ่งแทงลงมาจากด้านบน
รู้สึกถึงของแหลมที่แทงลงมาบนเสื้อผ้า แต่ดาบแทงไม่ทะลุด้วยการที่เสื้อของเธอช่วยเอาไว้
ผู้หญิงผมเปียสีน้ำตาลโจมตีเหมือนจะกดแรงลงเข้าไปดาบ กะจะแทงให้ทะลุ
พร้อมด้วยการพุ่งเข้ามาแทงจากข้างหลังของผู้หญิงอีกคน
แต่ในสถานการณ์แบบนั้น ฮารุกิก็ยิ้มออก
เพราะมันก็อยู่ในการคาดการณ์ของเธออยู่นิดหน่อย
ลวดถูกปล่อยออกมาจากถุงมือทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งไปรัดข้อเท้าของผู้หญิงที่อยู่กลางอากาศ อีกหนึ่งไปรัดแขนของอีกคน
"ถ้าเรื่องแรงล่ะก็ ฉันไม่แพ้ใครหรอก!" ดวงตาของฮารุกิเปล่งแสงสีขาว พลังแรงช้างสารของเธอที่เดิมเยอะอยู่แล้วก็เพิ่มเป็นเท่าตัว
ตีลังกากลางอากาศ ทุ่มหญิงสาวทั้งสองลงกระแทกกับพื้นด้วยสุดแรงทั้งหมดที่มี จนทำให้พื้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ถึงอย่างนั้นสองคนนั้นเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการทุ่มเมื่อกี้เท่าไรนัก
"ถ้างั้นก็.."
"พี่คะ อันตราย!"
ถึงฟุยุกะจะร้องเตือน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของฮารุกิเร็วไม่พอ
เส้นแสงแทงทะลุช่องท้องของเธอ แม้แต่เสื้อผ้ากันกระสุนของเธอก็กันไว้ไม่ได้
"อัก..!"
ก่อนที่จะได้หันกลับไปรับมือกับศัตรูที่อยู่ข้างหลัง ก็มีการโจมตีเข้าใส่ซ้ำ ทำให้ล้มลงไปทั้งยืน
จากนั้นก็ปรากฏดาบเรเปียร์สองเล่มแทงเข้าฝ่ามือทั้งสองของฮารุกิทะลุไปถึงพื้น ตรึงร่างของเธอเอาไว้
"ถึงจะเป็นตัวปัญหากว่าที่คิด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร" หญิงสาวผมสีคราม เดินออกมาจากเงามืดอย่างเยือกเย็น
เธอคือคนที่ฮารุกิสู้ด้วยเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าแอบซ่อนอยู่หรือเพิ่งตามมาทัน แต่เป็นอีกครั้งที่ฮารุกิไม่รู้สึกถึงตัวตนของศัตรู
แต่ครั้งนี้มันทำให้เธอพลาดท่าเสียทีครั้งใหญ่
ผู้หญิงผมสีครามตรงเข้าไปหาร่างของฮารุกิที่ติดอยู่กับพื้นอย่างช้า ๆ
ขณะเดียวกันอีกสองคนที่ล้มไปเพราะท่าทุ่มของฮารุกิเมื่อครู่ ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว และกำลังเข้ามาทางเดียวกัน
เสียงร้องของน้อง ๆ ดังเจี๊ยวจ๊าวก็จริง แต่ฮารุกิที่สติกำลังเลือนลาง ไม่รับรู้อะไรรอบข้างมากนัก
จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแล้วทำให้ทุกการเคลื่อนไหวและทุกเสียงหยุดไป
"ขอร้องล่ะ ได้โปรดอย่าทำอะไรลูกฉันเลย!"
"คุณ..แม่.."
"แกจะเอาชีวิตฉันไปก็ได้ แต่ได้โปรดปล่อยฮารุกิกับลูก ๆ ของฉันไปเถอะนะ ขอร้องล่ะ" เสียงของคุณแม่ถึงจะหนักแน่น แต่ก็กระค่อนกระแค่นเป็นเพราะอาการป่วย
"..."
(ไม่ได้นะ..คะ..ไม่ได้นะคะ คุณแม่..)
"นั่นสินะ.."
ผู้หญิงผมสีครามเล็งดาบไปที่แม่ของฮารุกิกับน้อง ๆ ของเธอ
"..ตัวประกันไม่จำเป็นแล้วนี่นะ"
"..หยุดน้า~!" ฮารุกิพยายามเค้นพลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกมา จนดวงตาเริ่มเปล่งแสงสีม่วง
แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์..
เส้นลำแสงถูกยิงออกไปจากปลายดาบเสียแล้ว
ทว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ก็มีแสงวูบวาบสีขาวส่องมาจากกระจก ทำให้สายตาของแต่ละคนพร่ามัวไปชั่วครู่
จากนั้นก็ปรากฏเสียงของเครื่องยนต์ดังมาจากด้านนอกโรงงาน
แล้วทันใดนั้น กระจกก็แตกออกพร้อมเสียงดังสนั่น
บรืน!!
มอเตอร์ไซค์พร้อมกับผู้ขับขี่คนหนึ่งทะยานเข้ามาจากด้านนอก
ในจังหวะที่ลอยมาอยู่เหนือศีรษะของพวกพวกน้อง ๆ กับแม่ของฮารุกิ คนคนนั้นก็โยนบางอย่างลงมาบนพื้น ให้อยู่ระหว่างเส้นแสงกับพวกเขา
แล้วอุปกรณ์ชิ้นนั้นก็ทำงาน มันเป็นเครื่องสร้างกำแพงพลังงาน หรือที่เรียกว่าบาเรีย ซึ่งสามารถป้องกันการโจมตีลำแสงสีม่วงนั้นไว้ได้
จากนั้นเขาก็ถีบรถมอร์เตอร์ไซค์ลงใส่ผู้หญิงผมสีม่วงกับผู้หญิงผมสีชมพู ทำให้ต่างฝ่าย ต่างต้องแยกออกจากกัน
และอาศัยจังหวะนั้นเคลื่อนลงมาหาผู้หญิงผมสีครามอย่างไม่ให้ตั้งตัว
มีดสีเงินถูกชักออกมาฉับไว หญิงสาวผมสีดำถึงกับต้องรีบผละตัวถอยออกมา
ถึงแม้เธอจะหลบได้ทันอย่างฉิวเฉียด แต่ทันใดนั้นร่างตรงหน้าก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว แล้วใช้ข้อมือฟาดไปที่หน้า ทำให้ล้มลงไป
ผู้หญิงผมดำกำลังจะยิงเส้นแสงจากดาบช่วย แต่เธอก็ถูกมีดขนาดเล็กสามเล่มปาใส่จนหยุดชะงัก
พอผู้หญิงผมเปียสีน้ำตาลเข้ามาด้วยมาด้วยความเร็วสูงแล้วแทงดาบเข้าใส่
อีกฝ่ายก็หมุนตัวหลบมาด้านข้าง พร้อมใช้มีดฟันตวัดไปพร้อมกันในเวลานั้นด้วย ทำให้สีข้างของเธอถูกตัดจนถึงเนื้อใน
"แกคือ.."
"..อาซึมะ.." ฮารุกิพึมพำชื่อของผู้มาช่วย
นัยน์ตาสีฟ้า ผมสั้นสีน้ำเงิน ความสามารถในการต่อสู้ที่เหนือล้ำจนไม่อาจต่อกรได้
หญิงสาวที่จ้องมองคู่ต่อสู้ที่ล้มลงไปกองทั้งสามคนด้วยสายตาเย็นชาของนักฆ่าอย่างแท้จริง
"ปีศาจลำดับที่ 1 อาซึมะ..โทคาคุ.."
"ดูเหมือนกำลังแย่นะ ซากาเอะ"
"เหอะ แล้วมาทำอะไรที่นี่น่ะ ?"
โทคาคุเดินมาหาฮารุกิแล้วดึงหอกสีดำที่ตรึงร่างของเธอทั้งสองเล่มออกไป
"มาช่วย เหตุผลแค่นั้นจะได้รึเปล่า"
ฮารุกิลุกขึ้นยืน พร้อมฉีกยิ้ม
"อา แค่นั้นก็ซาบซึ้งจนบอกไม่ถูกแล้วล่ะ"
บาดแผลที่ถูกแทงจนเป็นรูบนมือของฮารุกิ ค่อย ๆ สมานคืนอย่างรวดเร็ว
เธอทุบกำปั้นกับฝ่ามือ พร้อมพูดขึ้นว่า "เอาล่ะ ได้เวลาเอาคืนแล้ว!"
สิ้นเสียงพูด ทั้งสองก็แยกกันไปคนละทาง ฮารุกิกลับเข้าไปสู้กับศัตรูทั้งสามคน ส่วนโทคาคุวกกลับไปช่วยน้อง ๆ กับแม่ของฮารุกิ
หลังจากตัดโซ่ที่รัดอยู่ โทคาคุก็บอกให้ทุกคนรีบหนีไปซะ
ฟุยุกะกับอากิโกะช่วยกันพยุงแม่ออกไป โดยที่สายตาของเธอดูยังจะเป็นห่วงฮารุกิอยู่
ขณะเดียวกัน
ดวงตาของหญิงสาวผมสีแดงก็เปล่งแสงสีฟ้า จากนั้นร่างของเธอก็แยกเป็นสามร่าง แล้วเข้าไปหาศัตรูทั้งสามพร้อมกัน
ผู้หญิงผมสีดำและผมสีเปียสีน้ำตาล โจมตีร่างแยกของฮารุกิกลับไป ทว่าทันทีที่สัมผัสกับร่างนั้น ก็กลายเป็นว่าร่างของเธอกลายร่างเป็นน้ำแล้วเข้ามารัดตัวเธอทั้งสอง
"เจอกับความโกรธของฉันหน่อยเป็นไงล่ะ!" ฮารุกิปล่อยหมัดตรงไปที่ผู้หญิงผมสีคราม
อีกฝ่ายยิงเส้นแสงใส่ฮารุกิที่กำลังวิ่งเข้ามา แต่แล้วร่างนั้นก็เป็นแค่ร่างแยกน้ำอีก
ตอนนั้นเองที่รู้สึกแรงลมและการเคลื่อนไหวที่มาจากด้านหลัง
ฮารุกิมาอยู่ข้างหลังผู้หญิงผมสีครามในช่วงจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งตัว แล้วกำลังง้างหมัดไปสุดลำตัว
"นี่สำหรับที่ทำร้ายครอบครัวของฉัน!" ดวงตาของเธอเปล่งแสงสีม่วง ทันใดนั้นกำปั้นก็ปรากฏเหมือนออร่าสีเดียวกันขึ้นมา
ผู้หญิงผมสีครามกัดฟันกรอด เธอรู้ว่าหลบไม่พ้นแล้ว จึงตั้งรับด้วยดาบตรง ๆ
พอหมัดชกเข้าไป ดาบที่เข้าปะทะก็ตั้งรับแรงทั้งหมดไว้ได้
ทว่าดาบกลับค่อย ๆ เหมือนถูกย่อยสลาย พร้อมกับกลายเป็นน้ำแข็ง
"ของแค่นี้น่ะ!" ฮารุกิใส่แรงเข้าไปมากขึ้นจนทำลายดาบจนแหลกละเอียด แล้วชกเข้าไปกลางอกของหญิงสาว จนร่างปลิวกระเด็นไปชนกับผนัง
ผู้หญิงผมเปียสีน้ำตาลกำลังจะเข้าไปช่วย แต่ทันใดนั้นก็มีเงาสีน้ำเงินเข้ามาในระยะกระชั้นชิด
มีเสียง ปัง ดังขึ้นสามครั้ง จากนั้นตัวเธอก็ถูกถีบจนล้มไปนอนกองกับพื้น
ผู้ที่เหลืออยู่ มีเพียงผู้หญิงผมสีดำเท่านั้น
แสงบนดาบของเธอปลดปล่อยพลังออกมามากขึ้น แล้วยิงไปที่ตำแหน่งของปีศาจทั้งสอง
แสงสีแดงทะลวงผ่านห้วงอากาศไปอย่างรวดเร็ว แต่การตอบสนองของทั้งคู่ก็เร็วพอ จนสามารถกระโดดถอยออกมา ก่อนที่เส้นแสงจะกระทบกับพื้นจนเกิดระเบิด
"เอาไงต่อ ?" ฮารุกิถาม
"ถล่มที่นี่"
"ฮะ ?"
"วิ่ง.."
พูดเสร็จ โทคาคุก็หยิบร็อกเก็ตลันเชอร์ ออกมาจากกระเป๋าเล็ก ๆ ใบหนึ่ง ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะใส่เข้าไปได้
แล้วไม่มีการพูดพล่ามทำเพลง เธอก็ยิงจรวดหัวรบเจาะเกราะรถถังใส่ผู้หญิงผมสีดำ
บึ้ม!!!
แรงระเบิดรุนแรงมาก จนทำมองไม่เห็นร่างของศัตรูที่รับแรงระเบิดเข้าไปเต็ม ๆ เลย
แต่เพราะแบบนั้น ด้วยการที่มันรุนแรงมาก มากเสียจนทำให้ที่นี่ถึงกับสะเทือนไปทั้งอาคาร
"เฮ่ ๆ อย่าบอกนะว่า.." สัญญาณอันตรายของฮารุกิร้องเตือน ท่าทางที่โทคาคุพูดสั้น ๆ เมื่อกี้จะไม่ได้พูดเล่น
ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีเหลือง จากนั้นก็รีบวิ่งไปด้วยความเร็วสูงทันที
กลับกัน คนที่พูดว่าให้วิ่ง กลับทำได้เพียงวิ่งไปแบบธรรมดาด้วยความเร็วที่สูงกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย
ฮารุกิเห็นแบบนั้นจึงต้องวิ่งย้อนกลับมาหาโทคาคุ ท่ามกลางโรงงานร้างที่กำลังจะถล่ม
"นี่อาซึมะ วิ่งให้เร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง เดี๋ยวก็โดนทับตายหรอก"
"ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน รีบออกไปก่อนเลย"
"แต่ว่า.."
"บอกว่าให้ไป ก็ไปสิ!"
"เธอเนี่ยน้า~" ฮารุกิไม่ฟังที่โทคาคุบอก แล้วอุ้มร่างของเธอขึ้นมา
"เดี๋ยวสิจะทำอ-!?"
"ไปล่ะนะ!" ฮารุกิใช้ความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของเธอ ทำให้วิ่งออกมาจากโรงงานที่กำลังพังทลายได้ทัน
แล้วพอออกมา ทั้งคู่ก็เห็นภาพของโรงงานทั้งโรงงานที่กำลังถล่มลงไป..
"..."
"มีอะไรเหรอ ?"
"วางฉันลงได้รึยัง ?"
"อะ ขอโทษ ๆ" ฮารุกิวางโทคาคุลง
"คิดว่าจะจัดการยายพวกนั้นได้รึยัง ?"
"ถ้าง่ายนาดนั้นก็ดีสิ" คำตอบโทคาคุแปลได้นัย ๆ ว่า พวกนั้นยังต้องมีชีวิตอยู่แน่ ๆ
"จะว่าไปแล้วน้อง ๆ ฉันล่ะ ?"
"พี่!"
เสียงร้องของเด็ก ๆ ที่ดังมาจากอีกด้านหนึ่ง น้อง ๆ ของฮารุกิต่างวิ่งกันมาหาพี่สาว แล้วเข้าโผกอดเธอ
รอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปลื้มปิติทั้งจากพี่และน้อง ๆ ทำให้ทราบได้ว่าสายสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นแค่ไหน
ดูเหมือนว่าวันนี้ ซากาเอะ ฮารุกิ จะสามารถปกป้องครอบครัวของเธอเอาไว้ได้..
ช่วงเวลาเช้าตรู่ของวันใหม่ ที่ท่าเรือของเขตแห่งอำนาจการเงินส่วนของคนจน
โทคาคุ, ฮารุกิและครอบครัวของฮารุกิ ต่างรอกันที่นั่น เพื่อคอยการมาถึงของใครคนหนึ่ง
"มาแล้ว.." หญิงสาวผมสีน้ำเงินพูดขึ้นมา ทั้งที่ยังไม่เห็นมีอะไรมาจากสุดขอบฟ้านั้น
แต่ฮารุกิก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเธอ
แล้วทันใดนั้นความจริงก็ถูกเปิดเผย ภาพลวงตาได้หายไป
เครื่องบินที่ปิดระบบอำพรางตัว ทำให้เผยสภาพที่แท้จริงออกมา กำลังค่อย ๆ ร่อนลงมาที่พวกเธอ
พอเครื่องบินจอด ประตูท้ายเครื่องก็เปิดออก พร้อมการมาถึงของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะรู้จักกับทั้งสองคน
"ฮานาบุสะ ?"
"ภารกิจสำเร็จสินะคะคุณอาซึมะ ยินดีด้วยนะคะคุณซากาเอะที่ครอบครัวทุกคนแล้วก็ตัวคุณปลอดภัยดี"
"หรือว่าเธอเป็นคนส่งให้อาซึมะมาหาฉันงั้นเรอะ ?"
"ค่ะ/ไม่ใช่" ทั้งสองตอบพร้อมกัน แต่ไปคนละเรื่องเลย
"คุณโทคาคุตอนนี้เขากำลังรวบรวมปีศาจที่หลงเหลืออยู่ให้มารวมกันอยู่น่ะค่ะ โดยที่ทางฉันเป็นผู้ให้ความช่วยเหลืออยู่"
"แบบนี้นี่เอง มิน่าถึงได้หาฉันเจอ"
"..." โทคาคุเงียบไม่พูดอะไร แค่ยืดกอดอกยักไหล่
"ในเมื่อปลอดภัยแล้ว ฉันมีข้อเสนอให้คุณซากาเอะค่ะ"
"หืม ฉันเหรอ ?"
"ค่ะ คือว่า.."
ข้อเสนอของฮานาบุสะคือการให้ครอบครัวของฮารุกิ ย้ายไปอยู่ภายใต้การดูแลของเธอ
ซึ่งจะได้รับการดูแล และความปลอดภัยจากเครือตระกูลของเธอที่เธอเป็นเจ้าของ รวมถึงแม่เองก็จะได้รับการรักษาด้วย
แลกกับการที่ฮารุกิจะได้ไปเป็นกำลังเสริมของโทคาคุในการออกตามหา ปีศาจ ที่เหลืออยู่
สำหรับฮารุกิก็เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว เพราะหากปล่อยให้ครอบครัวอยู่ที่นี่กัน ก็จะเป็นอันตรายจากทั้งเรื่องการอยู่ดูแล และการอาจถูกลอบทำร้ายแบบครั้งนี้อีก
รวมถึงฮานาบุสะ สุมิเรโกะ ก็เป็นลูกสาวของตระกูลฮานาบุสะ หนึ่งในห้าตระกูลสายพันธุ์มนุษย์ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกที่ถูกรังสรรค์ใบนี้ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
เพราะฉะนั้นเรื่องอำนาจเงินของเธอมีมากมายล้นฟ้า แล้วต้องสามารถดูแลครอบครัวได้อย่างแน่นอน
แต่จะเชื่อใจได้แค่ไหนก็เท่านั้น..
สุดท้ายฮารุกิก็ยอมตกลง เพราะครอบครัวจะเป็นอันตรายเกินไปหากปล่อยให้อยู่ที่นี่ แถมไม่มีเธออยู่แล้ว ก็ไม่มีใครดูแล
หรือต่อให้เธออยู่ งานที่นี่ก็ได้ค่าจ้างน้อยเกินไปที่จะเลี้ยงดูพวกเขา
ทางนี้จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เมื่อตกลงได้ตามนั้น สุมิเรโกะก็ให้ครอบครัวของฮารุกิขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่เตรียมมา เพื่อที่จะออกเดินทางในทันที
โดยที่ก่อนที่จะจากกัน ฮารุกิ ก็อำลาครอบครัวของเธอเป็นครั้งสุดท้าย
"พี่ฮารุกิไม่ไปด้วยเหรอครับ ?" ชูน้องชายคนเล็กถาม
"อืม พี่มีงานที่ต้องไปทำน่ะ คงไม่กลับมาสักพัก ระหว่างนั้นก็ไปกับพี่สาวคนนั้นก่อนนะ อย่าทำตัวดื้อกับพี่เขาด้วยล่ะ"
"ครับ"
"ฟุยุกะ อากิโกะ นัตสึ" ฮารุกิมาบอกกับน้องสามคนโตสุดของบ้าน
"ฝากดูแลน้อง ๆ และคุณแม่ด้วยนะ"
"ค่ะ/ครับ"
หลังจากที่อำลาพวกน้อง ๆ เสร็จ ทุกคนก็ขึ้นเครื่องไป แล้วพวกเขาก็ไปโบกมือล่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ประตูท้ายเครื่องจะปิดไป แล้วเครื่องบินก็หายไปกับภาพท้องฟ้า..
"ฉันว่าอย่าไปไว้ใจฮานาบุสะนักจะดีกว่านะ" โทคาคุบอก
"น่าจะบอกก่อนที่ฉันจะตัดสินใจนะ" ฮารุกิหันมาหา แต่จากสีหน้าก็บอกว่าเธอเองก็คิดแบบเดียวกัน แต่ก็บอกเหตุผลว่า
"ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะ ถ้าหากฮานาบุสะทรยศขึ้นมาแล้วเอาครอบครัวฉันเป็นตัวประกัน ฉันก็มีแต่ต้องยอมยายนั่นเท่านั้นล่ะ อย่างน้อย ๆ ถ้าเป็นตัวประกันก็ยังแค่ทำตามที่ยายนั่นสั่งใช่ไหมล่ะ.."
"แต่ว่า.." สายตาของฮารุกิเฉียบคมขึ้นมาแทบในทันที
"..หากยายนั่นทำอะไรให้ครอบครัวของฉันล่ะก็ หลังจากที่ช่วยครอบครัวได้ ฉันก็จะฆ่ายายนั่นด้วยมือของฉันเองนี่ล่ะ"
"..."
"แล้วคนต่อไปที่เราจะไปหานี่ใครกันเรอะ ?"
โทคาคุเปิดโทรศัพท์ขึ้น มันเป็นไฟล์ข้อมูลของปีศาจที่รู้สถานที่อยู่แล้ว
พอฮารุกิเห็นหน้าคนที่อยู่ในภาพแล้วก็พูดขึ้นว่า "เอ๊ะ ฉันไม่เคยเห็นหน้าคนนี้มาก่อนเลยนะ" เพราะเธอน่าจะพอเคยเจอปีศาจหลาย ๆ คนมาก่อนตอนอยู่ที่ DEUS
"แน่ล่ะ เพราะนี่เป็นปีศาจที่ไม่ได้ลงทะเบียนกับ DEUS ไงล่ะ" โทคาคุบอก พร้อมอธิบายต่อ "ที่พวกเราจะไปหาคือปีศาจที่ไม่ได้ลงทะเบียนกับ DEUS พวกนั้นปลอดภัยเพราะไม่มีใครรู้ตัวจริง ถึงแม้ว่ายายฮานาบุสะจะสืบมาแล้วก็เถอะ"
"ร้ายจริง ๆ นะ ยายนั่นเนี่ย.." ฮารุกิชักวิตกแล้วว่าที่ตัวเองเลือกไปนั้นดีรึเปล่า
"เอาเถอะ ปีศาจที่ไม่ได้ลงทะเบียนยังปลอดภัยอยู่ จึงน่าจะตามตัวได้ไม่ยาก ก็เลยคิดที่จะหาก่อนนี่ล่ะ"
"แต่ถ้าคิดจะไปหาปีศาจที่ไม่ได้ลงทะเบียน แล้วทำไมถึงมาช่วยฉันก่อนล่ะ ?" ฮารุกิสงสัย เพราะเธอก็ลงทะเบียนแน่นอน แต่โทคาคุกลับมาหาเธอก่อนหน้าคนอื่น
"ถือว่าใช้หนี้เมื่อตอนนั้น แล้วก็ฉันอยากได้เพื่อนที่ไว้ใจน่ะ.." โทคาคุพูดออกมาเบา ๆ แล้วก็เดินไป
"เธอเองก็อายเป็นเหมือนกันนี่" ฮารุกิหยอกเล่นเข้าไป
"เปล่าซะหน่อย"
"ฮะ ๆ ๆ แล้วจะไปกันด้วยวิธีไหนล่ะ เขตนั้นมันก็ไกลใช่เล่นเลยนะ คงจะไม่ได้เดินไปหรอกนะ"
"เรือจอดอยู่ตรงนั้นไง" โทคาคุพยักหน้าไปทางเรือลำหนึ่ง
ที่แตกต่างไปจากเรือที่จอดอยู่ตามท่าเรือแถวนี้อย่างเห็นได้ชัด
ด้วยรูปแบบการสร้างที่ดูล้ำสมัยกว่า ผิดกับเรือโกโรโกโสแถวนี้ลิบลับ
ทั้งสองลงไปบนเรือ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น
"ยินดีต้อนรับกลับค่ะ คุณโทคาคุ แล้วก็สวัสดีค่ะ คุณฮารุกิ"
"เหว่อ อะไรน่ะ ?"
"มิกุไง" โทคาคุพูดสั้น ๆ แล้วก็เดินไป
"มิกุ ?"
"ค่ะ AIO:VCL มิกุ ปีศาจลำดับที่ 17 เองค่ะ"
บนจอโทรทัศน์ที่ติดอยู่บนเรือเปิดภาพร่างเสมือนของหญิงสาวผมทรงทวินเทลสีฟ้าอมเขียวขึ้นมา "ยินดีที่ได้ร่วมงานกันอีกครั้งนะคะคุณฮารุกิ"
"อะ..อ่อ อา ทางนี้ก็เช่นกัน"
ฮารุกินึกออกแล้วว่า ตอนอยู่ที่ DEUS ก็เคยเจอกับเธอคนนี้อยู่ เธอเป็นปีศาจที่พัฒนาขึ้นมาจาก AIO (Artificial Intelligence Organism) ปัญญาประดิษฐ์มีชีวิต ที่มีตัวตนอยู่ในโลกไซเบอร์ แล้วคอยทำหน้าที่ควบคุมสิ่งต่าง ๆ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์
ทำให้ฮารุกิรู้ซึ้งเลยว่าปีศาจนั้นมีมากมายหลายแบบจริง ๆ
"กลับมาแล้วรึอาซึมะ เล่นเอาให้รอเสียเหนื่อยเลยนะ" มีผู้หญิงอีกคนออกมาห้องชั้นล่างของเรือ แล้วมาคุยกับโทคาคุระหว่างที่กำลังไปเอาน้ำมาดื่ม
"แค่นี้เอง ทนหน่อยเถอะน่า"
"ฉันถูกขังมานานแล้วนะ รอจนเบื่อแล้ว"
"ก็รออีกแค่นิดหน่อยเองจะเป็นไรไป ?"
"อาซึมะ นั่นใครน่ะ ?" ฮารุกิถาม เพราะเธอเพิ่งเคยเห็นผู้หญิงที่คุยกับโทคาคุอย่างสนิทสนมคนนั้นเป็นครั้งแรก
"อ๋อ นี่ืคือ.."
แต่ไม่ต้องให้โทคาคุแนะนำตัวให้ เธอคนนั้นก็เข้าไปทักทายฮารุกิด้วยตัวเอง
"โอ้ เธอคือปีศาจลำดับที่ 3 ซากาเอะ ฮารุกิสินะ ยินดีที่ได้พบ"
เธอคนนั้นแสดงความเป็นมิตรด้วยการยื่นมือมาจับทำความรู้จักกัน
"ฉันคือ ปีศาจลำดับที่ 0 คามิอิสึมิ เลออน ยินดีที่ได้รู้จัก"
"ฮะ ?" ฮารุกินิ่งไปสักพักหลังจากได้ยินแบบนั้น แล้วมองผ่านไหล่ของเธอไปทางโทคาคุ
"ฟังไม่ผิดหรอก" โทคาคุวางแก้วลง
"เธอคนนั้นคือปีศาจลำดับที่ศูนย์ ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ปีศาจ.."
ฮารุกิได้รับการย้ำอีกครั้งจากโทคาคุ เธอจึงลดสีหน้าลงมามองหญิงสาวผู้มีดวงตาสีที่ต่างกันตรงหน้า ข้างหนึ่งเป็นสีน้ำเงินของไพลิน อีกข้างเป็นสีม่วงของอเมทิสต์
ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุด..กำลังอยู่เบื้องหน้าเธอ..ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนข้างหน้านี้จะมีภาพลักษณ์ที่ดูไม่น่าใช่เลยก็ตาม
"เอาล่ะ ออกเดินทางกันได้แล้ว"
โทคาคุไม่คิดจะตอบความสงสัยของฮารุกิ แล้วทำการสตาร์ทเครื่องยนต์และออกเรือในทันที
และแล้วจุดเริ่มของตำนานบทใหม่ เรื่องราวของเหล่าปีศาจก็ได้เริ่มต้นขึ้น..
........... TO BE CONTINUE ..........
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น