คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เพื่อนใหม่สุดเย็นชากับงานสุดอันตราย
“ฮ้าว~”เสียงหาวอันดังของผู้หญิงร่างเล็ก เจ้าของผมยาวสีน้ำตาลเข้มปลกหลัง ดวงตาสีดำขลับ เธอยืนรอขบวนรถไฟที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้แล้ว เมื่อเธอหาวเสร็จจึงบิดขี้เกียจอีกรอบสลัดความเหนื่อยล้าที่ต้องตื่นมาแต่เช้าท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ มีหิมะตกปรอยๆ
ฟู่~
หญิงสาวพ่นลมหายใจยาวๆจนเห็นไอควันออกจากปากของเธอ เป็นสัญญาณว่าอากาศนั้นหนาวจริงๆและหนาวมากๆด้วย
“นานิจัง ลูกต้องไปจริงๆเหรอ”เสียงหนึ่งดังขึ้นที่หลังของเธอ เธอสะดุ้งนิดๆก่อนจะค่อยๆหันไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
หญิงวัยกลางคน ตรงหน้าคือ แม่ของเธอที่กำลังมองลูกสาวด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์กับการไปทำงานที่ห่างไกลของเธอ แม่ทุกคนก็ต้องแบบนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เป็นห่วงลูกของตัวเองเวลาจะอยู่ห่างกัน
“ถ้าไม่ไปใครจะทำงานนี้ล่ะแม่”เธอบอกแม่เชิงถาม ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอด
ปู๊น~ปู๊น~
เสียงรถไฟ คงจะใกล้มาถึงแล้วสิ คงจะต้องไปแล้วสินะ แต่ตอนนี้จะต้องรีบบอกลาให้เสร็จเพื่อจะได้ไม่มีอะไรติดค้าง
“นานิ สัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะแม่ก็รู้อยู่ว่าลูกคนนี้น่ะเก่งจะตาย ไม่มีใครทำอะไรได้หรอก”เธอปลอบแม่ ก่อนจะค่อยๆคลายอ้อมกอด แล้วมองหน้าผู้เป็นแม่ก่อนจะส่งสายตาแน่วแน่ไปที่หญิงวัยกลางคน เธอมองลูกด้วยสีน้าไม่สู้ดีนัก
“สัญญานะว่าจะดูแลตัวเองดีๆ”ผู้เป็นแม่ถามอีกครั้งด้วยแววตาเศร้าสร้อย บัดนี้ขบวนรถไฟได้มาจอดเทียบชานชาลาแล้ว
เหลือเวลาไม่มากแล้วที่จะได้คุยกัน
มิกิยะ เนโกะนานิ ส่งยิ้มปลอบใจให้ผู้เป็นแม่ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ แล้วหมุนตัวไปที่รถไฟ ก่อนจะเดินไปตรงประตูทางเข้า ผู้เป็นแม่มองตามตาละห้อย ภายในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่งานของลูกสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดแม้มันจะอันตรายก็ตาม แต่คำสั่งจากเบื้องบนย่อมต้องน้อมรับทำไม่สามารถขัดได้ เธอทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมเท่านั้น
“แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ที่นั่นมีแต่คนเก่งๆ เขาจะต้องช่วยหนูได้แน่” มิกิยะพูดขึ้นขณะประตูรถไฟกำลังจะปิด เสี้ยววินาทีสุดท้ายเธอได้พูดประโยคหนึ่งไว้กับแม่ของเธอว่า
“ขอบคุณที่มาส่งนะค่ะ...”
วันต่อมา
“ใครที่จะลงสถานีที่จะถึงต่อไปนี้ กรุณาเตรียมสัมภาระของท่านให้เรียบร้อยแล้วลงได้เลยนะครับ”
เสียงประกาศดังขึ้นเมื่อขบวนรถไฟมาจอดที่หน้าสถานีพอดี ผู้คนจึงพากันกุจีกุจอหยิบข้าวของสัมภาระกันพัลวัน มิกิยะเองก็รีบหยิบกระเป๋าจากข้างๆตัวและเดินแหวกฝูงชนลงมาจากรถไฟอย่างรวดเร็ว
ตึก!
ฟิ้ววว
เมื่อเท้าก้าวพ้นจากบันได มิกิยะก็สัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดปะทะตัวจนรู้สึกแสบจมูก เจ้าตัวเลยรีบเอามือมาดึงผ้าพันคอขึ้นมาปิดปากปิดจมูกเพื่อลดความหนาว ก่อนจะรีบก้าวเท้าเข้าหมู่ฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่มากมายไป
ไม่ช้ามิกิยะก็เดินพ้นจากสถานีรถไฟ แล้วมุ่งหน้าไปที่สำนักงานใหญ่อย่างรวดเร็ว..
ตามทางเดิน มีต้นซากุระที่เหลือแต่กิ่งก้านขึ้นอยู่เรียงรายตามถนน ผู้คนที่เดินกันเยอะแยะเริ่มให้เห็นเป็นบางตา เพราะเริ่มเดินออกจากตัวหมู่บ้านคนจนในที่สุดก็เหลือแต่เธอที่เดินอยู่ตามทาง
“เมื่อไหร่ จะถึงฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงนะ พวกนายจะได้ฟื้นอีกครั้ง” เธอพึมเบาๆก่อนจะค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ เหมือนต้องการจะพักผ่อนหลังจากการเดินทางอันยาวนาน
ฟึ่บ~
มืออีกข้างหนึ่งของเธอล้วงไปหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋า เพื่อเอามาอ่านอีกครั้ง
มันคือแผ่นลิสท์เล็กๆที่สำนักงานใหญ่ส่งมาให้เธอ
เนื้อหาข้างในบอกคร่าวๆว่าเธอจะต้องมารายงานตัวที่สำนักใหญ่นี้ เพื่อรวมตัวเหล่าฮันเตอร์ให้มาช่วยกันแก้ปัญหาภายในที่เกิดขึ้น
มันบอกไว้แค่นี้ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ‘ปัญหา’นั่นมันคืออะไร แต่รู้ๆคือว่าต้องมาให้ได้เพราะเขากำชับส่งท้ายมา
ทีแรกเธอก็ไม่อยากจะมา เพราะเป็นห่วงแม่กับน้องที่อยู่ที่บ้าน แม่ก็ไม่อยากให้เธอไปอีกเช่นกัน เพราะเป็นห่วงที่ต้องไปทำงานที่ห่างไกลจากครอบครัว แต่เมื่อเป็นคำสั่งจากเบื้องบน เธอจึงไม่สามารถขัดได้ จึงต้องยอมมาในที่สุด...
“ถ้าพ่อยังอยู่ก็คงดีสินะ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ขนาดนี้”มิกิยะพึมพำก่อนจะหยิบรูปภาพที่อยู่ในเสื้อกันหนาวออกมาดูมันเป็นรูปที่เธอถ่ายคู่กับพ่อเมื่อครั้งที่พ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่
‘ไม่เป็นไร..ครอสซังจะต้องช่วยเราได้..’
มิกิยะคิดขณะที่มองรูปนั้น
ครอส ไคเอน คือผู้เสนอที่จะดูแลเธอขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ เพราะเหตุนี้มันจึงทำให้แม่ของเธอเบาใจลงไปหน่อยที่มีคนดูและลูกสาวแทนเธอ เพราะครอส ไคเอน ก็เป็นคนรู้จักที่ครอบครัวของมิกิยะสนิท และเป็นญาติห่างๆของเธอด้วย
หลังจากมิกิยะ เดินไปตามทางเรื่อยๆในที่สุดเธอก็เดินมาหยุดที่ประตูรั้วสีดำทะมึนที่สูงกว่าเธอหลายเท่าตัว ข้างหลังประตูเป็นตึกที่ใหญ่ราวกับปราสาทที่ดูเก่าแก่แต่มันก็คงทนมาหลายถึงหลายชั่วอายุคนจนมาถึงปัจจุบัน..
มิกิยะ เธอเองก็เคยมาที่นี่กับพ่อของเธอได้สัก 2-3ครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาเหยียบที่นี่อีกครั้ง
“เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”เธอพูดเบาๆก่อนจะเอื้อมมือจะไปเปิดประตูเหล็กใหญ่
เอี๊ยด!!
“อื้มหืม!” มิกิยะอุทาน เมื่อได้ยินเสียงเสียดสีของประตูที่ดังจนแสบแก้วหู แต่เธอก็จำใจยอมเปิดประตูจนสุดกว้าง
“น่าจะเปลี่ยนประตูได้แล้วนะเก่าขนาดนี้ สนิมเขรอะไปหมด” มิกิยะบ่นขณะปิดประตู ก่อนจะปัดฝุ่นในมือแล้วเดินเข้าไปในตึกใหญ่
ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก
เมื่อเดินมาเรื่อยๆเธอก็พบชายฉกรรจ์ยืนเฝ้าประตูขนาบทั้ง2ข้าง ทั้ง2จ้องเธอเขม็งแต่เธอไม่รู้สึกกลัวสักนิด กลับทำสีหน้าเฉยๆก่อนจะหยิบบัตรแสดงตนขึ้นมา
“ฉันมิกิยะ เนโกะนานิ ฮันเตอร์จากเขตนาระ มาที่นี่เพื่อรายงานตัวตามคำสั่งเบื้องบน”เธอพูดเสียงเรียบแต่หนักแน่น ชายทั้ง2มองบัตรที่เธอถือสักพัก ก่อนจะยอมเปิดประตูให้
“ห้องสำนักใหญ่ อยู่สุดทางแล้วเลี้ยวซ้าย ” ชายคนหนึ่งบอกเธอ มิกิยะพยักหน้ารับเขาเบาๆ ก่อนที่ประตูจะปิดสนิทลง
มิกิยะเดินไปตามทางที่ชายคนนั้นบอกไว้ 2ข้างที่ดูให้เห็นลางๆเพราะแสงจากคบเพลิงที่ติดไว้ตามกำแพง บรรยากาศดูวังเวงน่ากลัว แต่เท้าของมิกิยะก็ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไม่กลัวอะไรจนในที่สุดก็เดินมาถึงประตูห้องสำนักงานใหญ่
มือเรียวๆของมิกิยะค่อยเอื้อมไปจับกลอนประตูอย่างช้าๆก่อนจะค่อยๆผลักประตูเข้าไป
“สงสัยจะมาแล้ว”เสียงหนึ่งพูดขึ้นขณะมิกิยะกำลังจะปิดประตูห้องลง
ปึง!
“มาแล้วๆ” เสียงที่มิกิยะเคยได้ยิน จนเธอต้องทอดสายตาไปมองว่านั่นคือใคร เสียงนั่นก็คือเจ้าของสีผมข้าวฟ่างนั่นเอง
“ครอสซัง ไม่เจอกันนานเลยนะค่ะ”มิกิยะทักทายก่อนจะเดินเข้าไปหา ครอสซังที่ยืนอยู่กับชายที่เป็นฮันเตอร์อีกคน
ไคเอน ส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปต้อนรับ
“โตขึ้นหน้าเหมือนพ่อมากเลยนะ จำได้ว่าเจอกันครั้งสุดท้ายก็ประมาณมิกิยะอายุ 10ขวบได้ล่ะมั้ง ฮะๆ” ไคเอนบอก มิกิยะส่งยิ้มให้ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ครอสซังก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะ อยู่ยังไงก็อย่างงั้น”มิกิยะชมบ้าง ทั้ง2จึงหัวเราะพร้อมๆกัน
“ไม่หรอก มิกิยะจังมานี่ได้บอกแม่รึเปล่าว่าไม่ต้องห่วงลูกสาวน่ะ” ครอสซังตอบก่อนจะถามไถ่ มิกิยะบ้าง เธอพยักหน้ารับเบาๆ
“บอกสิค่ะ ขืนไม่บอกแม่ต้องอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ” มิกิยะตอบ ไคเอนยิ้มรับก่อนจะเอามือมาลูบหัวมิกิยะครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปบอกอะไรบางอย่างกับฮันเตอร์ชายคนนั้น
“ฉันฝาก เธอลงชื่อมิกิยะแทนด้วยนะ ฉันจะพาเธอกลับแล้ว”
“อ้าว? เธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกเหรอครับ” ชายคนนั้นถามไคเอน อย่างงุนงงและสงสัย ไคเอนจึงหัวเราะเบาๆ
“ฉันอาสาครอบครัวว่าจะดูแลเธอแทนน่ะ ไม่งั้นจะมีปัญหา แม่ของมิกิยะเขาเป็นคุณแม่ประเภทห่วงลูกสุดๆน่ะนะ” ไคเอนบอกแกมล้อมิกิยะนิดๆ เธอก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆรับไป
มันก็จริงล่ะนะ..
“ครับ ทางนี้ผมจะจัดการให้”ชายคนเดิมรับคำ ไคเอนขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะหันมาทางมิกิยะที่ยืนรออยู่
“งั้นกลับกันเถอะ เดินทางมาเหนื่อย จะได้ไปพักผ่อนนะ”ไคเอนบอกเธอ มิกิยะขานรับก่อนจะเดินกลับไปพร้อมกับ ครอส ไคเอน
ขณะเดินกลับ...
“งานนี้คงจะเหนื่อยหน่อยล่ะนะ ไหวรึเปล่านานิจัง?” ไคเอนถามเธอขึ้นขณะเดินไปด้วยกัน มิกิยะหัวเราะนิดๆก่อนจะสั่นหน้าเบาๆ
“หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะค่ะสบายใจได้เลย”มิกิยะบอกอย่างมั่นใจ ไคเอนหันมายิ้มให้ ก่อนจะหันหน้าเดินต่อไป
“เอ่อ คือว่าฉันอยากจะรู้น่ะค่ะว่า ทำไมงานนี้ถึงต้องรวมหมู่พวกเหล่าฮันเตอร์ด้วยล่ะค่ะ มันเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ” มิกิยะถามขึ้นหลังจากที่สงสัยมานาน ซึ่งเธอก็ตั้งใจมาถามตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อไคเอนได้ยินคำถามของเธอ สีหน้าเขาที่กำลังอารมณ์ดีเริ่มเครียดขึ้นมาทันที มิกิยะรู้สึกจะเดาอารมณ์ออก
“ใช่ งานนี้น่ะมันไม่ใช่ที่จะได้แก้ปัญหาได้คนเดียวมันต้องช่วยกันระดมแก้น่ะ”
ไคเอนเริ่มเกริ่นเรื่อง มิกิยะจึงตั้งใจฟังทันที
“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ2 อาทิตย์ก่อน เมื่ออยู่ๆแวมไพร์ในสภาอาวุโสได้ถูกลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และร่องรอยที่ถูกทำร้ายมันเกิดจากอาวุธของพวกฮันเตอร์น่ะ”ไคเอนอธิบาย มิกิยะตกใจกับคำบอกเล่าจนตาค้างมือไม้สั่นไปหมด
“เราถูกใส่ร้ายเหรอค่ะ”มิกิยะถามด้วยน้ำเสียงกังวล ไคเอนพยักหน้ารับเบาๆ
“ใช่ เหมือนมีคนจงใจยุให้ให้ทั้ง2ฝ่าย เกิดสงครามกัน ทางสมาคมฮันเตอร์เองก็เกรงว่าจะมีหนอนบ่อนไส้จริงๆ จึงได้ส่งลิสท์ไปให้ฮันเตอร์จากทั่วสาระทิศมารวมตัวกันที่นี่เพื่อป้องกันไม่ให้พวกศัตรูทำงานกันไม่สะดวก ถ้าไม่รวมตัวกันมันจะดูแลลำบากน่ะ”
มิกิยะเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากไคเอน มันทำให้เธอเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น และเธอก็เริ่มเข้าใจเหตุผลที่มารวมตัวกันด้วย
“แล้วฝ่ายนั้นต้องการอะไรเหรอค่ะ?”มิกิยะถามเพราะอยากรู้สาเหตุ แต่ไคเอนกลับส่ายหัวเบาๆ
“พวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ในเวลานี้ก็ได้แต่หาเบาะแสของผู้กระทำเหตุแล้วก็จุดประสงค์ที่พวกนั้นทำลงไปล่ะนะ”
มิกิยะถอนหายใจเบาๆเมื่อฟังคำอธิบายจบก่อนจะค่อยๆใช้สายตามองไปตามทางยาว
รู้สึกไม่ค่อยดีหน่อยๆกับงานที่ตัวเองจะได้ทำ แต่ถ้าไม่มาช่วยกันปัญหามันจะจบเมื่อไรกัน
“ครอสซัง ไม่ต้องห่วงนะนะค่ะถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยได้บอกมาเลยนะค่ะ!”มิกิยะบอกอย่างกระตือรือร้น ไคเอนยิ้มและพยักหน้ารับเบาๆใจใจรู้สึกโล่งขึ้นในที่มิกิยะไม่คิดอะไรมากกับงานที่เธอจะได้ทำ
“ดีใจจังเลยนะ ที่มิกิยะไม่กังวลอะไรขอบใจนะ”ไคเอนบอกมิกิยะ เธอยิ้มรับก่อนจะส่งสายตาอันมุ่งมั่นให้ไคเอน
“ไม่เป็นไรค่ะครอสซัง”เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เอ่อ..ฉันว่า เธออย่าเรียกฉันว่าครอสซังเลยนะ มิกิยะมีศักดิ์เป็นหลานฉัน ฉันอยากจะให้เธอเรียกฉันว่าคุณน้ามากกว่าน่ะ เพราะเราเองก็ไม่ได้ใช่คนอื่นที่ไหนไกล”ไคเอนบอกพลางเอามือมาลูบหัวตัวเองแก้เก้อ มิกิยะมองหน้าไคเอนอย่างสงสัยหน่อยๆ
“แต่ว่า ฉันไม่ใช่หลานแท้ๆนี่ค่ะ อีกอย่างเราก็เป็นญาติที่ห่างกันมากๆด้วย ฉันอยากจะให้ความเคารพคุณมากกว่านี้น่ะค่ะ”มิกิยะบอกตรงๆ จนไคเอนผงะ เขาจึงรีบเอามือมาโบกอย่างรวดเร็ว เธอถึงกับทำสีหน้าตกใจว่ามีอะไรงั้นเหรอ
“อย่าพูดจาใจร้ายอย่างงั้นสิ ฉันกับคุณพ่อเธอสนิทกันมากๆเชียวนะ มิกิยะเองก็เห็นหน้าฉันตั้งแต่ตัวน้อยๆ และก็ถึงแม้เราจะเป็นญาติที่ห่างกันมากๆก็เถอะ แต่ถือว่ามิกิยะก็เป็นหลานฉันนะ นะๆๆฉันอยากให้เธอเรียกว่าฉันว่า คุณน้าน่ะ น้าๆๆๆ”ไคเอนหาเหตุผลทั้งหมดที่มีอยู่ในสมองขอร้องมิกิยะพลางทำท่าซะน่าสงสารประกอบ จนมิกิยะหัวเราะแหะๆพลางเอามือเกาหัวอย่างอายๆกับท่าทีจริงจังแต่ง้องแง้งของไคเอน แต่เธอก็ยอมรับคำแต่โดยดี
“กะ..ก็ได้ค่ะ คะ คุณน้า”มิกิยะรับคำ พร้อมพูดคำว่าคุณน้า ในที่สุดไคเอนจึงยอมสงบลง
“ขอบใจมากนะมิกิยะ”ไคเอนบอกพร้อมรอยยิ้ม มิกิยะยิ้มรับแบบเจื่อนๆ แต่เธอก็รู้สึกดีที่ไคเอนมองเธอเป็นญาติคนนึงของเขา
แวบ~
แสงอาทิตย์ทอแสงขึ้น มิกิยะกับไคเอนหันไปมองแสงนั้นพร้อมกัน เธอยิ้มอย่างดีใจที่แสงอาทิตย์แรกในฤดูหนาวปรากฏขึ้น หลังจากที่เธอไม่ได้เห็นมันมาตั้งแต่ฤดูหนาวก้าวย่าง ในที่สุดเธอก็จะได้รู้สึกอบอุ่นซะบ้าง
“แสงนั่นสวยจังเลยนะค่ะ ดูอบอุ่นด้วยสิ”มิกิยะพูดขึ้นขณะมองแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงอ่อนๆ
ไคเอนที่มองอยู่ด้วยพยักหน้ารับเบาๆ
“นั่นน่ะสิ อาทิตย์ส่องมาแล้วก็คงจะอุ่นขึ้นบ้างล่ะนะ หนาวมาตั้งนาน”ไคเอนพูดบ้าง มิกิยะขานรับเบาๆอย่างเห็นด้วย
“ไปกันเถอะค่ะ ฉันอยากจะเห็นโรงเรียนของคุณน้าจะแย่อยู่แล้ว”มิกิยะเร่งไคเอนด้วยความตื่นเต้น ไคเอนยิ้มรับแล้วพยักหน้าให้
“อื้ม ไปกันเถอะ”ไคเอนบอกมิกิยะ แล้วทั้ง2คนก็เดินทางกันต่อท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นที่ส่องลอดมาตามต้นซากุระที่มีหิมะปกคลุม ตามทางยาว
ที่โรงเรียนเอกชนครอส..
“โห..โรงเรียนยังกะปราสาทแน่ะ สุดยอด..”มิกิยะอุทานพลางมองไปรอบๆตัวที่มีแต่ตึกของโรงเรียนล้อมรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ
เกิดมาก็เพิ่งจะเห็นโรงเรียนใหญ่ๆก็วันนี้แหละ..
มิกิยะคิดในใจ
หลังจากที่ดูตึกอาคารจนครบแล้วเธอจึงเดินไปหาไคเอนที่ยืนรอเธออยู่หน้าตึกหนึ่งตึกที่ใหญ่ที่สุด
“เป็นไงสวยดีมั้ย?”ไคเอนถามมิกิยะ เธอพยักหน้ารัวทันที
“สวยและก็ใหญ่มากๆเลยค่ะ คุณน้า นี่เก่งจังเลยนะค่ะที่สามารถก่อตั้งโรงเรียนเองขึ้นมาได้”มิกิยะเอ่ยปากชมไคเอน เขาถึงกับเกาหัวแก้เขินทันทีเมื่อได้รับคำชม
“ฮะๆก็ไม่ขนาดนั้นหรอก มิกิยะชมเยอะไปนะ”ไคเอนบอกมิกิยะ แต่เธอกับส่ายหน้าหงึกๆ
“ไม่ค่ะ คุณน้าเก่งจริงๆ สามรถแบ่งเวลาการเรียนไนท์คลาสและก็เดย์คลาสได้อย่างเหมาะเจาะ เนื้อหาเรียนก็เหมาะกับเด็กในวัยนี้ ทั้งพยายามจะสร้างสันติสุขระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ ทำได้ถึงขนาดนี้ไม่ชมว่าสุดยอดจะให้พูดยังไงกันค่ะ”มิกิยะพูดรัวจนแทบฟังไม่ทัน ไคเอนก็ได้แต่หัวเราะแล้วเกาหัวแก้อาการเก้อ ก่อนจะเอามือมาลูบหัวมิกิยะเบาๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชมนะ เอาล่ะเข้ามาข้างในก่อน ข้างนอกมันหนาวนะมานั่งผิงไฟลดหนาวกันเถอะ”ไคเอนเอ่ยชวน มิกิยะพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้นที่จะได้เข้าไป เมื่อไคเอนเปิดประตูเธอก็รีบเดินเข้าไปข้างในทันที
ฟรึ่บๆ
ไคเอนปัดหิมะที่เกาะติดตัวออกก่อนจะหันมาหามิกิยะที่ยืนนิ่งอยู่
“ยังไงมิกิยะก็ปัดหิมะที่เกาะตัวก่อนก็แล้วกันนะ แล้วเดินตามฉันมา...เอ่อ..
มิกิยะจังเป็นอะไรไปเหรอ..?”ไคเอนที่กำลังพูดไม่จบ ได้เปลี่ยนเรื่องพูดทันทีเมื่อเห็นท่าที ของมิกิยะเปลี่ยนไปเหมือนเธอจะตกใจกับอะไรบางอย่างอยู่
“ที่..นี่นอกจากจะมีแวมไพร์ชนชั้นสูงแล้วยังมีระดับล่าง ดะ..ด้วยเหรอค่ะ”มิกิยะบอกพลางเอามือล้วงเข้าไปหยิบมีดสั้นในกระเป๋า ไคเอนได้ยินดังนั้นจึงนึกออกทันทีว่ายังมีบางเรื่องที่เขาไม่ได้บอกเธอ เขาจึงรีบบอกมิกิยะเสียงดังทันที
ปัง!
มิกิยะไวมาก เธอเปิดประตูไปอย่างรวดเร็วมืออีกข้างหนึ่งก็ถือมีดไว้เพราะเธอคิดว่าเป็นพวกที่จะมาลอบทำร้าย แต่ก็ต้องหยุดชะงักก่อน กับประโยคที่ไคเอนพูดออกมา
“ไม่เป็นไรมิกิยะ เขาคนนั้นเป็นนักเรียนที่นี่น่ะ และเขาก็เป็นฮันเตอร์เหมือนกับเรา ไม่ต้องกังวลเขาไม่ทำอะไรหรอก”ไคเอนบอกเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินไปปิดประตู มิกิยะจึงรีบเก็บมีดและโค้งตัวขอโทษไคเอนทันที
“ขอโทษนะค่ะที่ทำอะไรไม่ระวังเลย”
ไคเอนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบหัวมิกิยะ
“ไม่เป็นไรถือว่าฉันยังไม่ได้บอกอะไรเธอไปเรื่องนะ ป่ะ ไปผิงไฟกันเถอะ”ไคเอนบอกมิกิยะก่อนจะเอ่ยชวน มิกิยะขานรับเบาๆพลางยิ้มหน่อยๆก่อนจะเดินตามไคเอนไป
ที่ห้องนั่งเล่น
ดวงตาสีดำขลับกำลังจ้องมองไฟที่กำลังลุกไหม้ พร้อมมีเสียงดังจากการเผาไหม้ของถ่าน มิกิยะจ้องมองมันสักพักก่อนจะหันไปหาเสียงที่เรียกเธอจากด้านหลัง
“มิกิยะ เป็นยังไงบ้างอุ่นขึ้นมั้ย ?”ไคเอนถาม ขณะที่เขากำลังชงเครื่องดื่มอยู่ที่โต๊ะ มิกิยะยืนขึ้นก่อนจะยิ้มให้
“อุ่นขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอบคุณนะค่ะ”มิกิยะบอกด้วยน้ำเสียงสดใส ไคเอนยิ้มตอบก่อนจะเดินมาหาพร้อมเครื่องดื่มร้อนที่เพิ่งชงเสร็จยื่นให้มิกิยะ
มิกิยะเอื้อมมือไปรับพร้อมกับคำขอบคุณก่อนจะยกขึ้นมาดื่ม ความร้อนที่เธอดื่มเข้าไปมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและสดชื่นขึ้นมาทันที
“ฮ้า~อร่อยจัง”มิกิยะพึมพำเบาๆ ไคเอนได้ยินจึงส่งยิ้มให้มิกิยะยิ้มตอบก่อนจะหันไปมองหน้าต่าง ที่สามารถมองเห็นได้ทุกตึก เธอมองมันด้วยความสนใจมากๆจนต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“ใหญ่จริงๆโรงเรียนนี้”มิกิยะพูดเบาๆก่อนจะใช้สายตากวาดมองวิวที่อยู่นอกหน้าต่าง ซึ่งขณะนี้หิมะได้หยุดตกแล้ว เหลือแต่กองหิมะที่อยู่ตามพื้นแต่ละจุดเท่านั้น
“ตรงนั้นเป็นอาคารที่ไว้ใช้เรียนน่ะ” ไคเอนพูดขึ้นขณะที่มิกิยะกำลังมองเพลินๆ เธอหันไปมองหน้าไคเอนที่กำลังยืนจิบเครื่องดื่มอยู่ ก่อนจะขานรับเบาๆ
“อ่ะ เอ่อ คือว่าแวมไพร์ที่ฉันสัมผัสได้นี่เขาเคยเป็นคนมาก่อนใช่มั้ยค่ะ”มิกิยะถามขึ้นหลังจากสงสัยมาได้สักพัก ไคเอนพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเดินมาที่หน้าต่างตรงที่มิกิยะยืนอยู่ แล้วใช้สายตาทอดมองไปที่วิวข้างนอก
“ ใช่ เขาเป็นฮันเตอร์ในตระกูลคิริวน่ะ”เมื่อไคเอนพูดถึงชื่อปุ๊บ มิกิยะก็รู้เรื่องเลยทันทีเพราะเธอก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน
“ใช่คนในครอบครัวที่ถูกแวมไพร์ฆ่าตายเมื่อหลายปีก่อนสินะค่ะ”มิกิยะถาม ไคเอนตอบเธอเบาๆเธอถึงกับบางอ้อทันที
“น่าสงสารนะค่ะที่ต้องมาสูญเสียอะไรพร้อมๆกัน”มิกิยะบอกแกมสงสารกับโชคชะตาของเด็กหนุ่มคนนั้นหน่อยๆ ไคเอนจึงใช้มือไปตบบ่าเธอเบาๆเพื่อปลอบใจ
“เอาน่าตอนนี้คิริว เซโร่คุง เขาคงทำใจได้แล้วล่ะเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วล่ะนะ”ไคเอนบอกมิกิยะ เธอพยักหน้ารับเบาๆ
“แต่ว่าสูญเสียสิ่งที่รักไปในเวลาเดียวกัน มันก็คงจะทำใจยากนะค่ะ แต่ในเมื่อรอดมาได้แล้วมันก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปน่ะนะ เพื่อสานความหวังต่อ...”มิกิยะพูดเปรียบเปรย จนไคเอนรู้สึกกินใจกับคำพูดที่เธอพูดแล้วนึกถึงใครบางคนทันที
“มิกิยะจังเนี่ยถอดแบบจากพ่อมาเป๊ะเลยนะ หน้าตาการพูดจานี่ใช่เลย ฮึๆมีคนรับช่วงต่อซะด้วยตระกูลนี้”ไคเอนพูดชมอย่างล้อๆให้มิกิยะอารมณ์ดี เธอหัวเราะเบาๆกับคำพูดของไคเอน
มันก็จริงล่ะนะ ก็พ่อเป็นต้นแบบของเรานี่นา
“เอาล่ะตอนนี้หิมะก็หยุดตกแล้ว มิกิยะจังอยากออกไปเดินดูข้างนอกหน่อยมั้ย ตอนนี้ยังมีเวลาเหลือก่อนจะถึงเวลามื้อเย็นนะ”ไคเอนเอ่ยขึ้นพลางมองที่นาฬิกา
มีหรือที่มิกิยะคนนี้จะทำให้โอกาสหลุดรอยไป มันแหงอยู่แล้วก็ต้องออกไปเดินสิ!
“ค่ะ ฉันอยากไป!”มิกิยะบอกด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนจะวิ่งไปคว้าผ้าพันคอที่วางไว้อยู่บนเก้าอี้ แล้วเอามาพันคอตัวเองอย่างรวดเร็ว
“งั้นก็เชิญเลย เย็นแล้วกลับมาที่นี่นะ”ไคเอนบอก มิกิยะพยักหน้ารับก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป
“ว้าว~สวยจังเลย” มิกิยะพูดขึ้นขณะเดินมาถึงน้ำพุ หลังจากเธอดูทุกบริเวณจนเหนื่อยแล้วเธอจึงเดินมานั่งตรงเก้าอี้ม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆน้ำพุ
ตรงนั้นเป็นหอพักของนักเรียนไนท์คลาสน่ะ
มิกิยะนึกถึงคำบอกเล่าของไคเอน เมื่อมองไปที่กำแพงสูงใหญ่ที่มีประตูไม้แข็งแรงกั้นไว้ ข้างในก็เป็นตึกใหญ่ที่ใช้ไว้เป็นที่พักของนักเรียนไนท์คลาส หรือก็คือ แวมไพร์ชนชั้นสูงที่มาที่นี่
เมื่อก่อนที่นี่เคยมีแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์อยู่ ณที่แห่งนี้เมื่อ1ปีก่อน แต่ตอนนี้เขาได้ออกเดินทางไปในที่ไกลแสนไกลแล้ว
อ๊ะ...
ขณะที่มิกิยะกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ๆเธอก็จับสัมผัสแวมไพร์ ตนเดิมได้
หรือว่า.. คิริวคุง
เธอหันหน้าไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ก็พบชายรูปร่างสูงเจ้าของผมสีเทานัยต์ตาสีม่วงยืนมองเธออยู่หลังต้นไม้ ไม่ไกลจากที่เธอนั่งอยู่ตรงนี้ เธอมองเขาอย่างสงสัยเล็กน้อย
“นายคือ คิริว เซโร่ สินะ”มิกิยะพูดขึ้น ก่อนจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้นยืน
“เธอเป็นแวมไพร์ฮันเตอร์ล่ะสิ ถึงจับสัมผัสได้” เซโร่พูดขึ้นตอนที่มิกิยะยังไม่หันมา แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรกลับเฉยๆซะมากกว่ามิกิยะยังคงยืนหันหลังให้ไม่หันมามองอีกฝ่าย
“หึ..ผู้อำนวยการหาเรื่องเข้าตัวอีกแล้ว..น่ารำคาญจริงๆ”
มิกิยะชะงักกับคำพูดชองอีกฝ่ายเธอจึงรีบหันไปมองอย่างรวดเร็วแต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายได้หายไปแล้วเหมือนไปพร้อมกับสายลม
หมอนี่พูดอย่างกับว่าเราจะไปเป็นตัวถ่วงเขายังไงก็ไม่รู้สิ..
“เห้อ~หิมะตกอีกแล้ว กลับมาแล้วค่า~”มิกิยะบ่นขณะเดินเข้ามาในห้องครัว
ไคเอนเมื่อเห็นว่ามิกิยะมาแล้วเขาจึงรีบไปจัดแจงวางอาหารไว้บนโต๊ะทันที
“มาซักทีนะ งั้นมากินข้าวกันเถอะมิกิยะจัง~”ไคเอนเอ่ยชวน เมื่อมิกิยะมาเห็นภาพเธอถึงกับผงะทันทีเมื่อเห็นไคเอนกลายเป็นพ่อครัวสวมผ้ากันเปื้นสีชมพู มิกิยะถึงกับอยากจะหงายหลังเงิบ
“มะ..เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะค่ะ..”มิกิยะบอก ก่อนจะเดินมาที่โต๊ะอาหารที่มีจานข้าววางไว้ แต่ละจานส่งกลิ่นหอมชวนมิกิยะอยากกินจริงๆ
“ฉันทำเพื่อมิกิยะโดยเฉพาะเลยนะ เอ..แล้วคิริวเขาไปไหนเนี่ยไม่มาทักเพื่อนใหม่ซะหน่อยเหรอเย็นชาจริงๆนะ”ไคเอนถามถึงเซโร่ มิกิยะถึงกับเหตุการณ์ที่เธอพบกับเขาครั้งแรกทันที
เย็นชาทั้งคำพูดและนิสัยจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเจอคิริวคุงที่ข้างล่างแล้วค่ะ”มิกิยะบอกไคเอน ไคเอนถึงกับไม่เชื่อหูตัวเอง
“อ้าว!ทักกันแล้วเหรอ?”ไคเอนถามมิกิยะ เธอพยักหน้ารับเบาๆ
“งั้นก็แล้วไป…”ไคเอนไม่ว่าอะไร จึงหันไปสนใจกับข้าวที่อยู่ในหม้อต่อ
ไม่อยากเล่าตอนที่เจอกันเล้ยย รู้สึกหงุดหงิดสุดๆและก็ไม่อยากให้ครอสซังกังวลกับคำพูดของหมอนั่นด้วยบอกไว้แค่นี้ก็พอ
มิกิยะคิดในใจขณะกินข้าวฝีมือน้าของเธอไป ขณะที่กำลังเคี้ยวข้าวเพลินปากอยู่ๆก็มีมือยื่นของอะไรบางอย่างให้กับเธอ
มิกิยะมองอย่างงงๆแต่พูดอะไรไม่ได้เพราะข้าวยังอยู่ในปาก สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันคือปลอกแขนอันเล็กๆที่มีรูปดอกกุหลาบสีแดงๆปักอยู่กับผ้าสีขาว
“นี่คือปลอกแขน ของกรรมการรักษากฎระเบียบน่ะ”ไคเอนอธิบาย มิกิยะจึงแทบสำลักข้าว แต่ก็ต้องรีบกลืนลงคอ
“ให้ฉันเป็นเหรอค่ะ ไม่ดีมั้งคะ”มิกิยะถาม ไคเอนส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ได้หรอก คนที่จะเป็นได้มีแต่คนที่รู้เรื่องความลับและสามารถเก็บความลับได้น่ะ”ไคเอนอธิบาย มิกิยะจึงพยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะเอื้อมมือไปรับปลอกแขนนั้นมาไว้กับมือ
“ถ้ามีอะไรมีที่ฉันช่วยได้ฉันก็จะช่วยค่ะ..”มิกิยะบอก ไคเอนยิ้มให้เธอนิดๆก่อนจะเดินมานั่งใกล้ๆกับมิกิยะ
“เรื่องห้องพัก มิกิยะก็นอนที่ตึกนี้ก็แล้วกันนะ ส่วนเสื้อผ้าเสื้อนักเรียนมิกิยะจะได้ทุกๆวันนะ ฉันจะแขวนไว้ให้ที่หน้าประตูเธอก็เอาไปเก็บที่ตู้ของเธอน่ะ ส่วนหน้าที่ที่ฉันมอบให้เธอฉันจะให้คิริวคุงอธิบายให้ในวันพรุ่งนี้นะ”
คิริวอีกแล้วหมอนั่นอีกแล้ว ไม่อยากรวมงานด้วยเล้ยยย
มิกิยะคิดแต่ก็ต้องยอมรับ เพราะไม่อยากทำตัวเรื่องมากเธอคิดง่ายๆว่า
มันคงไม่เลวร้ายเท่าไรมั้ง..?
เธอมองหน้าไคเอนก่อนจะยิ้มให้แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไปอย่างเงียบๆไคเอนเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงลุกไปทำกับข้าวต่อ
วันนี้เหนื่อยทั้งวันแล้วไม่อยากคิดอะไรให้มันเหนื่อยขึ้นอีก ใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆนี่แหละเดี๋ยวมันก็คงจะชินเองน่ะละนะ..
แม่..เดี๋ยวฉันจะเขียนจดหมายไปหานะว่าฉันสุขสบายดี แล้วไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนที่นี่จะต้องเป็นคนดีแน่ๆ ฉันเชื่อ..
แต่ตอนนี้ขอพักร่างกายกับสมองหน่อยนะ..
B B " style="margin-bottom: 0.0001pt; vertical-align: baseline;">
ความคิดเห็น