ตอนที่ 3 : ตอนที่ 2 ข้าคือโจวหานเฟิง
ในตอนที่ฉันลืมตาขึ้นมาในร่างกายใหม่ของตัวเองก็เป็นเวลาเดียวกับที่เด็กสาวตัวเล็กน่ารักๆในชุดสีเขียวซีดๆและสีแดงหม่นๆสองคนกำลังยกผ้าชุบน้ำพร้อมถังไม้ใบเล็กๆเข้ามาคนละอย่าง พอพวกเธอเห็นฉันที่กำลังลุกขึ้นมานั่งจิบน้ำเปล่าในถ้วยชาตรงโต๊ะไม้ข้างๆเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตะโกนออกมาอย่างดีใจแล้วคนที่อยู่ในชุดสีแดงหม่นนั้นก็วิ่งออกไปตะโกนเรียกใครบางคนจากด้านนอก ในความทรงจำของหลันฮวาพวกเธอคือฝาแฝดเสี่ยวหงเสี่ยวชิงที่ตอนนี้อายุได้สิบหกปีแล้วแต่ยังไม่ได้หมั้นหมายออกเรือนกับใคร พวกเธอเป็นน้องสาวข้างบ้านที่ร่าเริงสดใสกันทั้งคู่ แถมยังมีหน้าตาละม้ายคล้ายกันจนแยกไม่ค่อยจะถูกถ้าหากไม่ได้รู้จักกันดีจริงๆ
แน่นอนว่าตัวหลันฮวาแยกออก ตอนนี้คนที่กำลังเดินเร็วๆเข้ามาหาในชุดสีเขียวซีดๆคือเสี่ยวชิงน้องสาวของเสี่ยวหง ดวงตาของเธอแดงก่ำและมีน้ำตาคลออยู่แถมทำท่าทางเหมือนกับถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่3เลยล่ะ
“พะ…พี่หลันหลัน ในที่สุดพี่ก็ฟื้นแล้ว ข้ากับพี่หงเป็นห่วงพี่มากเลยรู้มั้ย ท่านแม่กับท่านพ่อก็เป็นห่วงพี่มาก…”
เด็กสาวพูดไปใช้แขนเสื้อของตัวเองซับน้ำตาไป ฉันเลยยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกับเธอซักประโยคสองประโยคในฐานะที่เราได้เจอกันครั้งแรก
“แม่นางน้อย…เจ้าเป็นใครรึ?”
“…!!”
เสี่ยวชิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจจนหน้าซีดตัวแข็งเป็นหินไม่ขยับเลยซักนิดเดียว แต่แน่นอนว่าเด็กสาวพวกนี้ไม่ควรแกล้งให้มากเพราะพวกเธอบ่อน้ำตาตื้นเหมือนหลันฮวา
“อ่าข้าปวดหัวยิ่งนัก เหมือนจะจำได้นิดๆแล้วว่าเจ้าเป็นน้องสาวเสี่ยวชิงที่น่ารักของข้าใช่หรือไม่? หึหึ”
ฉันแกล้งทำเป็นปวดหัวแทบจะขาดใจทั้งๆที่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเจ็บตรงไหนเลยพูดอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่คิดว่าหล่อที่สุดพร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาให้เด็กสาวตรงหน้าอย่างทะเล้นเหมือนที่ทำเป็นประจำเวลาแกล้งพวกพี่ชาย คราวนี้เสี่ยวชิงถึงกับสะดุ้งเฮือกหน้าแดงตัวสั่นไม่หยุดไปเลยทีเดียว ว้าว มันเป็นปฏิกิริยาที่ฉันไม่เคยเห็นจากในความทรงจำของหลันฮวาเลยแหะรู้สึกน่าแกล้งให้หนักกว่านี้จริงๆ
“พะ..พี่หลันหลันนี่พี่หลับไปแค่สองวันเท่านั้น ทะ ทำไมถึงตื่นมากลายเป็นคนขี้แกล้งไปได้เล่า!”
เสี่ยวชิงเริ่มยืนบิดแขนเสื้อตัวเองไปมาอย่างเขินอาย ไม่เลวๆ เป็นเด็กสาวที่เขินได้ไร้เดียงสามากจริงๆอยากรู้จังว่าเสี่ยวหงคนพี่จะมีท่าทางแบบนี้เหมือนกันรึเปล่าซะแล้วสิ
พอคิดถึงโจโฉ โจโฉก็มา* เสียงประตูบ้านของหลันฮวาถูกผลักดังลั่นก่อนที่สาวน้อยเสี่ยวหงในชุดสีแดงหม่นจะวิ่งหน้าตาสดใสนำหน้าคนอีกสี่คนเข้ามาด้านในและสองในสี่คือคนคุ้นเคยอย่างลุงจางและป้าจางผู้ใจดี ว่าแต่นี่คิดจะมาเยี่ยมผู้ป่วยหรือมาทวงหนี้กันเนี้ย ขนกันมาขนาดนี้ห้องที่เหมือนรูหนูตอนนี้ก็เลเวลอัพเป็นห้องนอนส่วนตัวของมดแดงไฟแล้ว! เกรงใจบ้านเล็กๆห้องเล็กๆหลังนี้กันหน่อยเถอะ
“ไม่น่าเชื่อว่าจะฟื้นเร็วแบบนี้ ร่างกายเจ้าทำมาจากเหล็กรึ?”
ก่อนที่ใครจะพูดอะไร ร่างสูงโปร่งในชุดบุรุษสีเขียวใบไผ่ก็เดินแหวกคนอื่นๆตรงมาที่ฉันเป็นคนแรก เมื่อมองหน้าค่าตากันชัดๆแล้วเรียกได้ว่าตกตะลึงจนตาค้างไปเลย คุณพระนี่ผู้ชายหรือเทวดาหน้าตางดงามประหนึ่งลอยลงมาจากฟากฟ้าผิวขาวผ่องเหมือนน้ำนมเบ้าหน้าดี๊ดียิ่งกว่าดาราฮอลี่วู้ดถ้าจะให้อธิบายแบบคนในยุคนี้ก็รูปงามล้ำเลิศพิสุทธิ์ดุจเทพเซียน แถมร่างกายเขาดูบอบบางและเตี้ยกว่าหลันฮวาอยู่ช่วงหนึ่งถึงจะน่าหงุดหงิดใจกับสายตาเย็นชาที่เหมือนดูถูกคนอื่นตลอดเวลานั้นอยู่นั้นก็เถอะ แต่นี่แหละเคะคนสวยยุคจีนโบราณในอุดมคติของฉัน! ไม่ๆ สติจงมา สติจงมา
ว่าแต่หมอนี้เป็นใครว่ะ ฉันขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไรเพื่อดูสถานการณ์ก่อน จึงได้แต่หลบตัวหนีเมื่อหมอนี่จะเข้ามาจับไม้จับมือของฉัน ถ้าเป็นหลันฮวาอาจจะอายหน้าแดงแต่ที่เจอคนสวยขนาดนี้มาจับ แต่ฉันไม่! ฉันไม่ชอบให้ใครมาถูกตัวทั้งนั้นน่ารำคาญจริงๆ แต่ไม่ใช่แค่ฉันที่หงุดหงิดเจ้าคนที่จะจับมือไม้ฉันก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว แล้วแกจะมาชักสีหน้าแข่งกับฉันทำไมเนี้ย?
“คุณชายท่านนี้เจ้าช่วยอยู่นิ่งๆให้ข้าตรวจชีพจรซักหน่อยจะได้หรือไม่ ข้าจะได้ตรวจอาการเจ้าได้ถูกและจัดยาให้!”
พอคนตรงหน้าพูดจบก็มีเสียงสนับสนุนแห่งความหวังดีจากครอบครัวจางลอยเข้ามาสมทบให้ฉันอยู่นิ่งๆรับการตรวจแต่โดยดี
“ใช่แล้วหลันเอ๋อร์ป้าว่าเจ้าอยู่นิ่งๆให้ท่านหมอเฉินตรวจดีๆเถอะ”
ท่านป้าจางพูดพร้อมส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยมาให้
“ใช่ๆพี่หลันจ๋า ท่านหมอเฉินเป็นคนดูอาการและรักษาแผลพี่มาสองวันแล้วนะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“อืมๆ ท่านหมอเฉินเป็นหมอที่สุดยอดจริงๆ”
เสี่ยวหงเสี่ยวชิงทำเหมือนพูดปลอบใจว่าไม่เป็นไรสบายใจได้ให้ฉัน ว่าแต่ฉันดูเหมือนคนที่กลัวคนสวยๆแบบนี้เรอะ
“…อาเฟิงเอ้ย แม้เจ้าจะประหม่ากับท่านหมอเฉินแต่เจ้าก็ควรที่จะให้เขาทำการรักษาดีๆนะ”
คนที่พูดปิดท้ายคือท่านลุงจางที่ยังคงเรียกชื่อจริงของหลันฮวาอยู่ ถึงสายตาจะบ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใยแต่ว่า ท่าทางกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกขมวดคิ้วแน่นนั้นมัน…นี่ลุงคงไม่ได้คิดว่าเพราะฉันเขินที่จะถูกคนหน้าตาดีจับเลยเหนียมอายสะดีดสะดิ้งไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายสินะ?
แน่นอนว่าฉันไม่ได้เถียงหรือพูดอะไรออกไปเพียงแค่พยักหน้าให้ทุกคนโล่งใจก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้าหมอ เจ้าตัวเลิกคิ้วแปลกใจที่ฉันดูจะว่าง่ายทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ก้มหน้าก้มตาตรวจชีพจรและหยิบอุปกรณ์ที่รู้สึกว่าจะเตรียมเอาไว้อยู่แล้วขึ้นมาทำแผลให้ตัวฉัน รู้สึกว่าฉันจะมีแผลบาดจากก้อนหินเล็กๆน้อยๆหลายที่ตามแขนขาลำตัวและหัว ดูท่ากระแสน้ำในตอนนั้นจะแรงใช่ย่อยจริงๆนะ ในขณะที่หมอเฉินคนสวยกำลังใช้ยาที่เป็นผงสีขาวๆซึ่งเคยได้เห็นในหนังจีนโรยใส่แผลตรงจุดที่ยังไม่ตกสะเก็ตมันเย็นนิดๆแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแสบอะไรเลย สุดท้ายฉันก็มองสำรวจรอบๆว่าห้องๆนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือป่าว และก็เห็นคนอีกคนที่ยืนยิ้มเงียบๆตรงหน้าประตูห้อง
ฉันมองอย่างสงสัยไปที่ชายชุดขาวรูปร่างสูงใหญ่พอๆกับหลันฮวา เขาดูสง่างามและหน้าตาหล่อเหลาให้บรรยากาศแบบจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรม มีเมตตาผิวขาวเหลืองกำลังดีอายุน่าจะยี่สิบปลายๆ แล้วฉันก็เผลอเปรียบเทียบหน้าตาของชายคนนั้นกับหลันฮวามันให้บรรยากาศแบบเทพบุตรสุดหล่อปะทะปีศาจเจ้าเสน่ห์ขึ้นมาเลยช่างเป็นเมะคนละสายที่กินกันไม่ลงจริงๆ! แล้วยังเป็นคนแปลกหน้าที่ชวนมองพอๆกับคุณหมอเฉินเลยที่เดียว
ดูเหมือนฉันจะเผลอมองสำรวจอีกฝ่ายยาวนานไปนิด เจ้าตัวเลยหันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตรสุดๆจากสายตาที่ผ่านมาของฉัน คาดเดาได้ว่าคนที่อยู่ตรงประตูต้องไม่ธรรมดาพอๆกับคุณหมอที่กำลังทำแผลให้ แล้วในตอนที่กำลังจะเอ่ยถามว่าคนๆนั้นเป็นใครเสี่ยวหงเสี่ยวชิงที่สังเกตเห็นสายตาของฉันก็รีบร้องบอกอย่างตื่นเต้นดีใจว่าเขาเป็นจอมยุทธที่มาทำธุระกับญาติในเมืองจินเยว่ชื่อเสวี่ยจิวหลิง เขาเป็นคนช่วยร่างนี้เอาไว้ตอนตกน้ำและพาหมอมารักษาแผลให้
สีขาวๆที่เห็นตอนฉันมาโลกนี้ครั้งแรกก็คือชุดของหมอนี่เองสินะ พอรู้ว่าคนๆนี้เป็นผู้มีพระคุณก็ไม่รอช้าที่จะขอบคุณเขาแบบในหนังจีนที่เคยเห็น ฉันรู้สึกค่อนข้างชอบเขาเป็นพิเศษเพราะเสียงของเขาคล้ายพี่ชายของฉันมาก แต่แน่นอนว่าเขาหล่อกว่าพี่ชายของฉันอยู่สิบเปอร์เซ็นต์ ถึงเรื่องนี้มันจะทำให้คิดถึงครอบครัวนิดๆแต่สุดท้ายฉันที่ดันตายไปก่อนแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับและเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ในร่างหลันฮวาหรือโจวหานเฟิงที่ใส่ชุดของสตรีสีชมพู…อยู่ อ่า อยากเปลี่ยนชุดเร็วๆชะมัดเลย
และเรื่องที่สำคัญดูเหมือนจะลืมขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งสองที่ช่วยร่างกายนี้ไว้ไปสนิท แต่เพราะในโลกเก่าก็ไม่ได้ค่อยได้ขอบคุณใครเท่าไหร่เลยลืมมารยาทในเรื่องนี้ไปเกือบสนิทจริงๆ
“ข้าเสียมารยาทแล้ว ข้าโจวหานเฟิงขอขอบพระคุณท่านทั้งสองที่ช่วยชีวิตข้าไว้ บุญคุณในครั้งนี้ข้าจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ”
ฉันพูดเลียนแบบหนังกำลังภายในถึงจะรู้สึกว่าบอกช้าไปหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้พูดอะไรล่ะนะ
“ฮ่าๆ น้องโจวมิต้องมากพิธีไป ข้าเป็นเพียงชาวยุทธธรรมดาๆที่ผ่านทางมาแล้วชื่นชอบช่วยเหลือผู้คนเท่านั้นเอง”
จอมยุทธเสวี่ยจิวหลิงพยักหน้าพูดยิ้มๆพลางโบกพัดที่เอามาถือตอนไหนไม่รู้ไปมา ดูทรงภูมิมากกว่าที่จะดูเหมือนคนเจ้าสำราญอย่างน่าประหลาดเลยแหะ
“ข้าช่วยเพราะเป็นหน้าที่ เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรแล้วแค่ดื่มยาบำรุงร่างกายนิดหน่อยกับเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวัน แผลพวกนี้จะหายสนิทในอีกไม่นานแน่นอน”
หมอเฉินพูดด้วยสีหน้าเย็นชาจบก็พันผ้าพันแผลให้เสร็จพอดี มันน่าขอบคุณมั้ยเนี้ยแบบนี้
“ข้าร่างกายแข็งแรง พวกท่านเองก็ไม่ต้องห่วงอีกแล้วขอรับ”
ฉันพูดออกตัวอีกครั้ง พร้อมรับห่อยาบำรุงและอุปกรณ์ทำแผลอีกนิดหน่อยมาจากหมอเฉินก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกซักรอบสองรอบเพื่อแสดงตนเป็นชาวบ้านที่ดี หมอเฉินเค้นเสียงดังหึแล้วก็เดินจากไปเลยไม่รอใคร ผิดกับจอมยุทธเสวี่ยที่เดินเข้ามาแตะบ่าของฉันเบาๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ยังไงเจ้าก็อย่าฝืนตัวเองนัก มีเรื่องเดือดร้อนก็สามารถปรึกษาข้าได้ ข้าจะอยู่ที่โรงน้ำชาแสงเดือนในช่วงยามวอกถึงยามระกา…”
พูดทิ้งท้ายเสร็จร่างที่ดูองอาจในชุดสีขาวก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกล่าวลาครอบครัวจางที่ส่งลากันอย่างอบอุ่น และตอนนี้เมื่ออยู่กับคนรู้จักฉันจึงเริ่มทำอะไรบ้างอย่างกับสภาพความเป็นอยู่ในตอนนี้
“ท่านลุงท่านป้าและน้องทั้งสองข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน เนื่องจากข้าคิดเสมอว่าพวกท่านก็เปรียบเสมอครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นต่อไปนี้ช่วยเรียกข้าด้วยชื่อเดิมของข้าด้วยเถอะนะ”
ฉันพูดด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับลุกขึ้นยืนตรงเอามือไพ่หลังหันหน้าไปทางครอบครัวจาง เมื่อพวกเขาเห็นท่าทางที่ผิดปกติไปอย่างเห็นได้ชัดของฉันก็ทำสีหน้าแปลกๆออกมาและพูดจาแสดงความเป็นห่วงอย่าจริงใจ
“หลัน หลันเอ๋อร์ ป้าว่าให้ท่านหมอเฉินตรวจอาการอีกซักรอบดีหรือไม่?”
“นั้นสิพี่หลันหลัน พี่ เอ่อ พี่น่าจะตรวจร่างกายเพิ่มอีกซักนิดนะ ตอนแรกข้าว่าพี่แปลกนิดหน่อย แต่ตอนนี้พี่แปลกมากๆเลย”
“ข้าว่า ข้าจะไปตามท่านหมอเฉินมาอีกรอบดีหรือไม่ เมื่อกี่พวกเราน่าจะรั้งตัวท่านไว้ก่อนดูสิพี่หลันฮวาป่วยหนักขนาดนี้พวกเรากลับดูกันไม่ออกเลย ฮึก ฮืออออ”
“พวกเจ้าใจเย็นๆ อาเฟิงอาจแค่เบลอเพราะหัวกระแทกอยู่ก็ได้ พักซักหน่อยคงดีขึ้น…”
ดูเหมือนคนที่จะดูมีสติที่สุดคือท่านลุงจาง แต่ว่าสามแม่ลูกก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับฉันไม่หยุดจนสุดท้ายฉันก็เริ่มที่จะทนเห็นพวกเขาเริ่มเดาอาการของฉันมั่วไปเรื่อยไม่ไหวจึงได้ตะวาดดังๆออกไปหนึ่งที่ แล้วมันก็ทำให้ทั้งสี่คนสะดุ้งตกใจโผล่เข้ากอดกันตัวสั่นทันที่
“ตอนนี้จะไม่มีการออกไปตามหมอหรือหน่วยกู้ภัยอะไรทั้งนั้น พวกท่านจงฟังข้าให้ดีและเรียกข้าด้วยชื่อโจวหานเฟิงด้วยเข้าใจมั้ย!!”
พวกเขาทั้งสีใบหน้าซีดเผือกแถมพยักหน้าหน้าอย่างมุ่งมั่นกันอย่างพร้อมเพรียง
“พะ..พี่หลัน เอ้ย พี่เฟิงพี่เป็นพี่จริงๆใช่มั้ย ละ แล้วหน่วยกู้ภัยมันคืออะไรกันรึ?”
เสียงสั่นๆของเสี่ยวชิงดังขึ้นอย่างใจกล้า พวกเขามีสีหน้าไม่ค่อยดีจริงๆ ฉันคงจะทำเกินไปหน่อยและนั้นมันก็เป็นหนึ่งในข้อเสียที่แก้ไม่ค่อยหายเวลาเจอคนพูดไม่ค่อยรู้เรื่องซะด้วยสิ ดังนั้นฉันจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วพยายามทำสีหน้าให้ผ่อนคลายลงมองพวกเขาด้วยแววตาที่คิดว่าอบอุ่นที่สุด
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ข้ายังสบายดี ขอโทษด้วยที่ทำให้พวกท่านทุกคนต้องตกใจนะ…ส่วนเรื่องหน่วยกู้ภัยน่ะอย่าไปใส่ใจมันเลย”
เมื่อฉันพูดออกไปแบบนั้นทั้งสี่คนก็หยุดสั่น ยังไงฉันก็ไม่มีทางจะใช้ชีวิตแบบหลันฮวาได้จึงต้องทำให้พวกเขารู้ว่าตัวฉันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่คิดว่าถ้าเล่าเรื่องจริงอะไรไปดูไม่ดีหรือจะบอกว่าจู่ๆอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่ใช่ที่ ดังนั้นฉันจึงแต่งเรื่องราวสดๆผสมมั่วๆของตัวเองใหม่ให้ทั้งสี่คนยอมรับตัวฉันและช่วยเป็นปากเสียงให้เวลาโดนคนอื่นถามว่าทำไมหลันฮวาเปลี่ยนไป
“เอาล่ะ ท่านลุงท่านป้าน้องเสี่ยวหงเสี่ยวชิง พวกท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าได้เปลี่ยนแปลงไป…?”
ทั้งสี่คนพยักหน้าช้าๆไม่พูดอะไรเหมือนกำลังรอให้ฉันอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง
“จริงๆแล้วเมื่อวันที่ข้าตกน้ำข้าได้ตายไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ว่าในขณะที่ยมทูตกำลังมารับวิญญาณข้าไปนั้น ท่านแม่ก็ได้โผล่ออกมาขวางทางยมทูตตนนั้นเอาไว้ หลังจากนั้นแม่ของข้าก็ได้ขอร้องอ้อนวอนไม่ให้ยมทูตเอาวิญญาณของข้าไป ท่านร้องไห้สะอึกสะอื่นแล้วพูดกับยมทูตตนนั้นทั้งน้ำตานองหน้าว่า ‘ลูกชายของข้ายังโง่เขลาเบาปัญญานัก ถึงแม้จะไม่สามารถทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริงได้แต่เขาก็เป็นคนดีไม่เคยทำผิดฆ่าคนวางเพลิงหรือลักทรัพย์แต่อย่างไร ท่านได้โปรดให้โอกาสเขาอีกซักครั้งได้หรือไม่?’
เมื่อข้าได้ยินท่านแม่ที่จากไปพูดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ข้าทำลงไป ข้าได้แต่คิดว่าอยู่มาจนถึงขนาดนี้ทำไมข้าถึงไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียของท่านแม่กันนะข้าจึงเดินไปยืนข้างๆท่านแม่แล้วคุกเข่าโคกศีรษะให้กับยมทูต แล้วขอร้องกับเขาว่าขอโอกาสให้ข้าได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำความปรารถนาของท่านแม่ที่เคยสั่งเสียไว้ให้เป็นจริง…”
ฉันทำหน้าเศร้าเสียใจดวงตาแดงกำเหมือนจะร้องไห้แต่ไม่ร้องเพื่อให้ดูจริงใจน่าสงสาร ให้คนฟังมีอารมณ์ร่วมอย่างที่สุด และเมื่อแอบลอบมองดูทั้งสี่คนก็เห็นว่าท่านป้าจางกับน้องสาวทั้งสองแอบซับน้ำตาร้องไห้กับเงียบๆ ส่วนท่านลุงจางแม้จะดูหนักแน่นก็แอบน้ำตาซึมนิดๆ ฉันจึงอธิบายต่อ
“ตอนแรกยมทูตตนนั้นก็มิยอมให้ข้ากลับมาเพราะคงเห็นว่าข้าคงทำตามความปรารถนาของท่านแม่ไม่ครบเป็นแน่…เฮ้อ…”
“อาเฟิงเอ้ย แล้วความปรารถนาของฮูหยินโจวคืออะไร ทำไมเจ้าจะทำให้นางไม่ได้?”
ท่านลุงจางแย้งขึ้นมาเหมือนจะประท้วงต่อคำตอบของยมทูตตนนั้น ขณะที่ภรรยาและลูกสาวทั้งสองก็สะอื้นน้ำตาคลอคอยฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“คำขอของท่านแม่มีทั้งหมดสามข้อ ข้อแรกให้ข้าออกเดินทางตามหาหลุมศพของท่านพ่อเพื่อกราบไหว้ ข้อสองให้ข้าช่วยนำของชิ้นหนึ่งไปมอบให้ท่านอาของข้าที่บ้านเกิดท่านพ่อ และข้อสุดท้าย…เฮ้อ”
“ขะ…ข้อสุดท้ายคือ?”
“ให้ข้ามีทายาทสืบทอดตระกูลโจวไม่ต่ำกว่าห้าคน!”
“““ห๊ะ! ห้าคน!!!”””
เมื่อฉันพูดคำขอสุดท้ายจบคนตระกูลจางก็อ้าปากค้างทำตาโตเท่าไข่ห่านกันไปเลย แน่นอนว่าสองข้อแรกคือเรื่องจริง ส่วนข้อสุกท้ายฉันใส่ไฟเพื่อให้ตื่นเต้นเฉยๆ รู้ๆกันอยู่ว่าจริงๆแล้วหลันฮวาชอบผู้ชายจะไปทำลูกได้ที่ไหนกันล่ะ
“อาเฟิง จะ เจ้า เจ้า เจ้า…”
ลุงจางที่หายสตั้นเร็วที่สุดชี้ที่ตัวฉันเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แถมพูดติดอ่างไปไม่ถูกอยู่นานสองนานจนน่าสงสาร
“ใช่แล้วท่านลุง ข้าจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อทำให้ท่านแม่ได้ไปสู่สุขติ ดังนั้นยมทูตรจึงให้ข้ากลับมาอีกครั้งตอนที่จอมยุทธเสวี่ยมาช่วยเอาไว้พอดี”
ฉันพูดพร้อมตบอกตัวเองตัวสีหน้าจริงจังและมองสบตากับทุกคนที่อยู่ที่นี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะทำ
“โอ้วเจ้าช่างกตัญญูยิ่งนักอาเฟิง!”
“หลั…เฟิงเอ๋อร์เจ้าเสียสละตัวเองเพื่อแม่ของเจ้า ฮึก…เจ้า เจ้าช่างเป็นคนดียิ่ง!”
““พี่เฟิงจ๋า พี่ช่างสมเป็นลูกผู้ชายจริงๆ!!””
“รอช้าทำไมแบบนี้ต้องจัดงานเลี้ยงมิใช่รึ เอ๊าหงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์พวกเราไปเข้าครัวทำอาหารให้เฟิงเอ๋อร์กินกันเยอะๆเลยนะ”
ฉันมองไปที่ครอบครัวของเพื่อนบ้านที่แสนดีแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ พวกเขาเชื่อหลันฮวาที่ไม่เคยโกหกและซื่อตรงมาเสมอ เล่นเอาฉันที่ตอกไข่ใส่สีตัวเองเป็นประจำชักรู้สึกขึ้นมาซะแล้ว แต่ว่าก่อนที่พวกสาวๆจะไปทำอาหารมาเลี้ยงฉลองคงต้องจัดการเรื่องสำคัญที่สุดก่อนซะแล้ว…
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แน่นอนว่าเรื่องอาจอัพช้าหน่อยนะคะ เพราะแต่ละตอนนี้หน้ายาวกว่าอีกสองเรื่องมากเลย ;w; ทำไมฉันถึงแต่งยาวๆไปตั้งแต่แรกกันนะ Orz
แต่ถ้าใครได้ติดตามเรื่องอื่นๆอยู่ด้วยก็จะดีใจมากค่ะ อ่ะ อัพภาพตัวเอกเพิ่มไปแล้วนะคะ เป็นยังไงบ้าง แหะๆ แน่นอนว่าภาพหานเฟิงเป็นภาพหลังจากนี้ที่เจ้พริกครอบครอง @_@
อืม ตัวร้ายชัดๆเลยนะ 555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาต่อไวๆน้าาาาา
ติดตามเลยค้าสนุกขนาดนี้
นางเอกเราจะเก็บเรียบไหมค่ะ เก็บท่านอ๋องกับท่านหมอด้วย หุหุ
สู้ๆนะค่ะไรท์