ตอนที่ 2 : ตอนที่1 พบปะพูดคุยกับหลันฮวา
ท้องฟ้าสีครามในช่วงงานเทศกาลไหว้เทพผลผลิตปีนี้ชาวบ้านเมืองจินเยว่ต่างกระตือรืนร้นเป็นพิเศษ เพราะในช่วงต้นฤดูฝนที่ผ่านมาช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าทุกๆปี แม้ที่นี้จะเป็นเพียงหมู่บ้านขนาดกลางๆที่ห่างไกลเมืองหลวงแต่ก็เป็นหมูบ้านที่เป็นดั่งคลังเสบียงแห่งสำคัญอีกแห่งหนึ่งของราชวงศ์มังกรตั้งแต่ช่วงปีชิงหลงที่8จนถึงปัจจุบัน
บ้านเรือนทุกหลังต่างถูกประดับประดาไปด้วยธัญพืช5สีและผืนผ้าสีแดงสดอันเป็นมงคล อันเป็นที่รับรู้กันดีว่าคนในหมูบ้านนี้ไม่มีใครที่อดอยากปากแห้ง ขนาดท่านเจ้าเมืองที่เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ตัวเล็กๆก็ยังมีใบหน้าที่อิ่มเอิบสำราญใจ และในช่วงนี้เองที่เขาได้รับรองแขกคนสำคัญอย่างท่านอ๋องหนิงหลงและท่านอ๋องเฟยหลง แถมท่านอ๋องเฟยหลงก็ได้ขอลูกสาวคนเล็กที่ยังมิได้ออกเรือนของตนไปเป็นอนุลำดับที่6 มีกำหนดการส่งตัวในอีก1เดือนข้านหน้านี้ ตระกูลหยูเล็กๆของเขาช่างโชคดีเสียนี่กระไร
แต่เมื่อมีคนโชคดีก็ย่อมมีคนโชคร้าย ภายใต้งานเทศกาลประจำปีอันเป็นมงคลของเมืองจินเยว่แห่งนี้มีชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนกำยำผิวสีทองแดงในชุดสตรีสีส้มอ่อนใบหน้าแต้มแป้งขาวหนาริมฝีปากชาดสีแดงสดบนบนศีรษะที่มีเส้นผมสีดำดุจหมึกของเขาประดับไปด้วยดอกไม้หอมหลากสีและปิ่นไม้แกะสลักลายผีเสื้อผู้หนึ่งกำลังร้องไห้เสียใจเพราะตนพึ่งถูกนายโลมในหอกระจ่างจันทร์หักอกมาหมาดๆ โจวหานเฟิงหรือที่เจ้าตัวเรียกตัวเองว่าหลันฮวาเป็นคนอ่อนโยนและใจดีเขาก็แค่ถูกหลอกใช้และถีบหัวส่ง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้เรื่องเลยจนกระทั่งกำลังนำขนมดอกกุ้ยที่ตนไปเข้าแถวยาวๆจนขาแข็งในช่วงงานเทศกาลซื้อหามาจะนำไปให้ซือจิ้งหนุ่มรูปงามอันดับ3ของหอกระจ่างจันทร์นั้นเอง แน่นอนว่าขนมกล่องนั้นไม่ได้ถูกส่งไปจนถึงมิผู้ที่ต้องการให้ เพราะเจ้าตัวดันได้ยินบทสนทนาที่กรีดหัวใจนั้นเสียก่อน
หัวใจของหลันฮวาตัวยักษ์ในด้านความรักนั้นช่างบอบบางเหมือนหญิงสาววัยแรกแย้มในห้องหอ เพียงถูกสะกิดนิดเดียวก็สามารถแตกสลายไปได้ง่ายๆแล้ว และในตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงร้องให้ด้วยใบหน้าอับยู่ยี่วิ่งกลับบ้านในตอนเย็นๆ ภาพเหตุการณ์นั้นทำให้คุณตาแก่ๆที่กำลังกลับบ้านถึงกับตกใจเป็นลมลมพับไปในทันที
หลันฮวาคิดถึงบ้านของเขา คิดถึงแม่จ๋าที่จากไปตั้งแต่เขายังมีอายุไม่เต็มแปดขวบดี เขานึกถึงความใจดีของคุณยายและบรรดาป้าๆข้างบ้าน รวมทั้งเพื่อนสาวตัวน้อยๆที่มักจะแวะเวียนมานั่งเล่นชมดอกไม้ในยามว่างกับเขาเสมอ แม้หลันฮวาจะเสียใจจากคนที่ตนเองรักแต่ก็ไม่ได้โกรธเคียงชายหนุ่มผู้นั้นเลยแม้แต่นิด เขาได้แต่โทษตัวเองที่เหมือนสัตว์ประหลาดปีศาจ คำพูดของซือจิ้งยังคงกรีดแทงเข้าไปในจิตใจ ‘ใครเล่าจะไปรักปีศาจอย่างหานเฟิงได้ลง’ คำพูดสั้นๆนี้ดังสะท้อนอยู่ในหูของหลันฮวาไปตลอดทาง
ขาอันทรงพลังที่ได้รับการฝึกฝนมาจากการทำงานแบกหามของตนกำลังตรงดิ่งไปที่สะพานท่อนไม้เพื่อที่จะกลับไปถึงบ้านได้เร็วกว่าการอ้อมไปหาสะพานใหญ่ และในตอนที่หลันฮวากำลังวิ่งอยู่บนสะพานท่อนไม้นั้นเองก็ดันสะดุดตาไม้แล้วล้มตกลงไปในสายน้ำอันเย็นเฉียบ…
….
ฉันกำลังฝันอยู่เหรอ หรือว่าฉันกำลังเดินทางไปนรกอยู่?
สิ่งที่ฉันจำได้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตคือมีดที่ยาวกว่าปกตินิดๆแทงทะลุหน้าอก กองเลือดที่ไหลอาบย้อมจากร่างกายไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกรดราดไปบนพื้นโสโครกๆ กางเกงยืนสีดำขาดๆของตัวเองและรองเท้าผ้าใบโนเนม ฉันรู้ว่าสติของฉันวูบดับไปและจู่ๆก็รู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำใกล้จะขาดอากาศหายใจ ที่ศีรษะก็รู้เจ็บๆเหมือนโดนหินทุบ มือและแขนเหมือนโดนอะไรคมๆบาด ทั้งเจ็บทั้งเย็นไปจนจะถึงขั้วปอดนี่ฉันกำลังอยู่ไหนกันเนี้ย หรือนี่คือสิ่งที่ถูกเรียกว่าทะเลวิญญาณ? แต่จะอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ดูเหมือนอากาศในปอดจะเริ่มไม่พอซะแล้วทางเดียวที่จะรอดคือว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำให้ได้ และในตอนที่ฉันกำลังระลึกถึงวิชาว่ายน้ำที่เคยเรียนนั้นก็มีเงาสีขาวสายหนึ่งพุ่งตรงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นั้นเป็นเพื่อนผีด้วยกันหรืออาจเป็นยมทูตกำลังมารับวิญญาณของฉันไปก็เป็นได้
ตัวฉันที่ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกผ้าสีขาวที่ยื่นออกมาจากคนๆนั้นห่อหุ่มเอาไว้และพอรู้สึกตัวอีกทีก็โผล่พรวดเหมือนจรวดทะยานขึ้นเหนือผิวน้ำเสียงดังพรวด!แล้ว และเมื่อหายตกใจกับความเร็วที่เกิดขึ้นก็ไอไม่หยุดและกำลังจะหมดสติอีกรอบก็รู้สึกเหมือนถูกยกอุ้มไปที่ไหนสักแห่ง ตามมาด้วยเสียงของผู้หญิงหลายเสียงโวยวายใกล้เข้ามา
“สหายท่านนี้ท่านบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่?”
ชายของผู้ชายที่ฟังแล้วอบอุ่นมันถูกเจื้อไปด้วยความห่วงใยทำให้ฉันนึกถึงพี่ชายคนที่สี่อย่างพี่ทาบาสโก้มากแต่เนื่องจากตอนนี้ฉันรู้สึกแย่มากๆเหมือนกำลังจะหลับจึงโฟกัสหน้าของคนที่พูดหรือสิ่งต่างๆรอบตัวไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีเพียงฝืนตอบออกไปเพื่อไม่ให้เสียงนั้นเป็นกังวลมากยิ่งขึ้นโดยไม่ได้สังเกตว่าคำที่เขาใช้มันแปลกประหลาด
“แค่กๆ…ฉันไม่เป็นไรค่ะพี่ แต่เจ็บหัวกับมือ..แค่กๆ…นิดหน่อยแล้วก็หนาวด้วย…”
แล้วฉันก็นิ่งไปกับเสียงแปลกๆของตัวเองที่มันละม้ายคลายเสียงพวกพี่ชายในบ้านเวลาตื่นนอน และค้นพบข้อสงสัยที่ว่าทำไมเป็นวิญญาณแล้วยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่อีก หรือตอนนี้ฉันกำลังจะได้รับโทษในนรกอยู่รึป่าว แล้วจริงๆที่ควรจะเจ็บปวดคือหน้าอกที่แทงไม่ใช่เหรอ
“งั้นรึ งั้นเจ้าห่มผ้าผืนนี้ไปก่อนนะข้าจะไปตามหมอมาให้…แล้วคนรู้จักของสหายกำลังมาแล้วมิต้องกั--”
เสียงนั้นพูดไม่ทันจบฉันที่ทนฝืนร่างกายไม่ไหวก็จมดิ่งเข้าสู่นิทราไป
…
ฉันกำลังฝันอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่ฉันคิดขณะมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าฐานะบุคคลที่สามซึ่งไม่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์เหล่านี้แต่อย่างใด
มันเป็นเรื่องราวชีวิตของเด็กผู้ชายที่โตขึ้นรับรองว่าต้องหล่อร้ายกาจจนสาวกรี้ดคนหนึ่งกับหญิงสาวที่อยู่ในวัยยี่สิบกว่าปีผู้มีใบหน้าอ่อนหวานน่ารักทั้งคู่อาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กๆที่มีบรรยากาศอบอุ่น ชุดที่ทั้งคู่ใส่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังจีนโบราณอยู่ และหญิงสาวคนสวยก็มีชื่อจีนๆว่าเซี่ยฮุ่ยจื่อ ส่วนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่เป็นลูกของเธอนั้นมีชื่อว่าโจวหานเฟิง เขาเป็นเด็กอ่อนโยนที่ชื่นชอบดอกไม้และสัตว์ตัวเล็กๆ แม้แม่ของเขาจะรู้สึกไม่สบายใจกับนิสัยที่ออกจะเรียบร้อยไม่สมกับเป็นเด็กผู้ชายของลูกตัวเองและพยายามสั่งสอนให้เขาเข้มแข็ง ทว่าก็มาด่วนตายจากไปเพราะอาการเป็นพิษตั้งแต่ลูกชายอายุได้เพียงแปดขวบ
ในตอนนี้ฉากที่เห็นคือเพื่อนบ้านข้างเคียงช่วยกับเอาศพของเซี่ยฮุ่ยจื่อใส่โลงตอกฝาโดยมีโจวหานเฟิงนั่งร้องให้อยู่ในอ้อมกอดของผู้หญิงอีกคนที่ถูกเรียกว่าป้าจางผู้อาศัยอยู่ข้างบ้านของเขา
และภาพฉากต่างๆก็ดำเนินให้เห็นถึงชีวิตของโจวหานเฟิงที่เสียแม่ไป พอเริ่มอายุสิบขวบเขาก็เริ่มหัดทำอาหารและเย็บปักกับป้าจาง พออายุสิบสามปีเด็กชายหานเฟิงก็เริ่มทำงานหลักเป็นกรรมกรแบกหามและรับจ้างถอนหญ้าซักผ้าปะชุนชุดตามโอกาสไปเรื่อยๆ จนอายุได้สิบห้าปีซึ่งตรงกับวัยปักปิ่นของหญิงสาวเจ้าตัวก็ได้ปรากฏกายต่อหน้าป้าจางในชุดของสตรีสีชมพูอ่อนที่ตนเองหาผ้ามาตัดเย็บ ช่างมีฝีมือไปแพ้มืออาชีพเลยจริงๆ เขาเดินตรงไปข้างแล้วยืนปิ่นปักผมที่สลักลายดอกเบญจมาศ*ยื่นมาตรงหน้าของคุณป้าจางและยืนบิดตัวไปมาด้วยความเขินอายพร้อมบอกให้นางช่วยทำพิธีปักปิ่นให้หน่อย
โถ้เอ้ย รูปร่างของนายมันไม่ได้มีความเหมาะสมกับดอกเบญจมาศเลยนะเพราะไม่ว่าจะนั่งดูนอนดูยังไง หานเฟิงก็เหมาะที่จะเป็นฝ่ายเสียบมากกว่าโดนเสียบชัดๆ
แน่นอนป้าจางเป็นลมหมดสติไปทันทีเพราะตอนนี้ร่างกายเด็กชายเรียกได้ว่ากำลังล้ำบึกและผิวก่ำแดดจากการรับจางแบกหาม ส่วนคุณลุงจางและลูกชายคนโตตระกูลจางช็อคจนพูดไม่ออกไปแล้ว จะมีก็แต่ฝาแฝดสาวน้อยที่คนพี่ชื่อจางเสี่ยวหง คนน้องชื่อจางเสี่ยวชิง ของครอบครัวจางเท่านั้นที่กระโดดโล้ดเต้นดีใจกับพี่ชายที่กลายร่างเป็นพี่สาวข้างบ้าน
และหลังจากเหตุการณ์นั้น หนุ่มน้อยที่คิดว่าตัวเองเป็นสาวน้อยก็ได้เรียกตัวเองว่าโจวหลันฮวา เขาแต่งหน้าทาปากใส่ชุดปักลายดอกไม้สีหวานแหววไปปรากฏกายต่อสายตาผู้คนในเมืองจินเยว่ แม้จะมีสายตารังเกียจมองมาเป็นระยะๆแต่เจ้าตัวก็ไม่ใส่ใจและเป็นตัวของตัวเองเรื่อยมา
โชคดีที่หลันฮวาคนนี้เป็นคนใจดีอ่อนโยน ครอบครัวของป้าจางก็รับเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วและมีบรรดาหญิงสาวในเมืองก็ค่อนข้างชื่นชอบหลันฮวามาก เขาจึงใช้ชีวิตทำงานเป็นกรรมกรแบกหามอย่างสบายๆเพราะพวกป้าๆ ยายๆ พี่ๆ น้องๆ เหล่านี้มักช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ แม้จะมีเด็กที่ไม่รู้เรื่องมาล้อเลียนกับผู้ชายหลายคนยอมรับไม่ได้และรู้สึกรังเกียจหลันฮวาอยู่แต่ก็ไม่ได้ด่าทอหรือทำอะไรรุนแรงมาก เพราะผู้หญิงในเมืองนี้ต่างปกป้องเขากันทั้งนั้น
สำหรับฉัน ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่สุดยอดมากๆที่กล้าแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ในภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เห็นทำให้ฉันเผลอส่งเสียเชียร์หนุ่มใจแหววผู้น่ารักคนนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งมาถึงตอนที่หลันฮวาอายุได้สิบเจ็ดปีเขาถูกพี่สาวในหอโคมเขียวที่ชอบออกมายืนรับลูกค้าหน้าร้านชักชวนให้ลองเข้าไปเที่ยวเล่นที่หอนายโลมอันดับหนึ่งในเมืองจินเยว่ที่ชื่อว่าหอกระจ่างจันทร์
หลันฮวาที่ตอนนั้นได้สูงเหมือนหมีแถมมีกล้ามและซิกแพ็คพอฟัดพอเหวี่ยงกับทหารรับจ้างสุดแกร่งของครอบครัวฉันก็ได้ตกหลุมรักกับซือจิ้ง และเรื่องหลังจากนั้นก็เป็นความรักเลี่ยนๆของพ่อบุญทุ่มกับแมงดาทะเลหน้าด้าน มันทำให้ฉันหงุดหงิดและตะโกนด่าคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างซือจิ้งในใจไปหลายรอบเลยทีเดียว
และภาพก็ได้มาหยุดอยู่แค่ที่หลันฮวาที่มีอายุ22ปีแล้วรับรู้ความจริงว่าตัวเองโดนหลอกใช้มาตลอดตั้งแต่แรกได้พลัดตกน้ำไปและเพียงไม่นานภาพเหล่านั้นก็เลือนหายไปพื้นที่รอบๆด้านที่ฉันอยู่ก็กลายเป็นสีขาวนวลไปหมดดูไม่ออกว่ามีจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหนกันแน่
“ข้าขอโทษและขอขอบคุณท่านมากนะ”
เสียงพูดที่จำได้ว่าเป็นของโจวหลันฮวาหรือโจวหานเฟิงคนนั้นดังขึ้นจากทางด้านหลังฉันแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตกใจอะไรก่อนจะหันไปมองตามทิศทางที่มีเสียงนั้นอยู่ จะว่าตัวเองเป็นคนที่ความรู้สึกช้าไปหน่อยก็คงได้ละมั่ง เมื่อหันไปเห็นภาพของโจวหลันฮวาที่ใส่ชุดเหมือนภาพสุดท้ายที่ปรากฏเป็นฉากๆนั้นเพิ่มเติมก็คือเขาผิวซีดและมองไม่เห็นเท้า อืมขนลุกดีแท้แต่แน่นอนตัวฉันที่เป็นผีเหมือนกันกับเขาจึงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ว่าแต่สรุปแล้วดจวหลันฮวาตกน้ำตายไปแล้วเหรอ ดูเหมือนเขาเองก็จะมองออกว่าฉันต้องการจะถามอะไรบางอย่างเลยชิงตอบเองก่อน
“ตัวข้างยังไม่ตาย แต่จิตวิญญาณข้าได้ตายจากภพมนุษย์ไปเสียแล้ว”
“นายหมายความว่าอะไร แต่ก่อนอื่นช่วยแนะนำตัวเองและอธิบายด้วยคำพูดแบบไม่เกิน3นาทีเกี่ยวกับเรื่องที่นายต้องการมาซะ แล้วตอนแรกที่พูดว่าขอโทษกับขอบคุณนั้นมันมีความเป็นมายังไงช่วยเล่าขยายความให้ระเอียดด้วยค่ะ”
ฉันทำท่ากอดอกพูดตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงเป็นผีเหมือนกันและถึงแม้ฉันจะชอบนิสัยของเขามากก็เถอะ แต่จู่ๆมาพูดไม่รู้เรื่องไม่บอกเหตุผลที่มาที่ไปมันเป็นเรื่องที่ฉันไม่ถูกใจอย่างแรง นั้นก็เพราะในโลกมืดการที่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ตรงประเด็นชัดเจนรวดเร็วฉับไวและถูกต้องเป็นเป็นเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานในหน่วยข่าวกรองลับยังไงล่ะ ถึงฉันจะรู้ว่าคนตรงหน้าทำงานเป็นแค่กรรมกรที่สุจริตก็เถอะ
“เอ่อ…”
แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกกลัดกลุ้มใจที่จู่ๆก็โดนคนที่พึ่งเจอกันพูดอะไรแบบนี้ใส่ ฉันที่เห็นท่าทางเหมือนสาวน้อยกำลังกลุ้มใจแบบนั้นจากผู้ชายตัวยักษ์ที่แต่งตัวหวานแหววก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเหมือนกันนะเห้ย
ผ่านไปซักพักแต่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ผีของโจวหลันฮวาที่อยู่ตรงหน้าก็เหมือนคิดคำตอบที่จะพูดเสร็จแล้วจึงได้กำมือทั้งสองด้วยความมุ่งมั่นและทำสีหน้าแบบฉันต้องทำได้ออกมา ทำให้รู้สึกเสียดายความหล่อที่ถูกซ้อนอยู่ภายใต้การกระทำแบบนี้จริงๆ จนฉันอยากจะตะโกนใส่เจ้าตัวซักครั้งว่า‘อย่าเอาร่างกายที่ดูยังไงก็เกิดเมะเกินร้อยแบบนั้นมาทำท่าเหมือนเคะที่อ่อนแอเลยจะได้มั้ย’ขึ้นมา
“เอ่อ…คือ ข้าคือ…โจวหลันฮวา ที่อยู่ตอนนี้คือ เอ่อ ข้าได้ตกน้ำจนตายเพราะหมดอายุขัยของตัวเองแล้วแต่ว่า เอ่อ ข้ายังมีห่วงอยู่เพราะไม่สามารถทำตามความปรารถนาของท่านแม่ที่จากไปก่อนหน้าได้…แล้ว…คือ…แล้ว…”
“แล้ว?”
“แล้วข้าเลยอธิฐานก่อนตายให้มีใครซักคนมาช่วยข้าทำให้ความปรารถนาของท่านแม่เป็นจริง…”
“อ่าแล้วไงต่อล่ะ”
ฉันเฝ้ามองโจวหลันฮวาที่พูดไปตัวบิดไปอย่างตั้งใจว่าสรุปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันตรงไหนบ้าง ฉันถึงได้มายืนคุยกับเขาแบบนี้ได้ หรือเพราะฉันตายทับที่กับเขาในประเทศจีน?
“เอ่อ …ข้า…ข้าก็เลยได้เจอกับท่านเทพผู้หนึ่ง…”
“…”
“เขาบอกว่าเขาสงสารชีวิตข้ากับพ่อแม่ของข้ามาก เลยบอกว่าจะช่วยดึงผู้ที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งแต่ดันชะตาขาดก่อนหมดอายุขัยมาช่วยเหลือให้ความปรารถนาของข้าและครอบครัวที่จากไปเป็นจริง”
“โอ้ว แล้วคนที่ว่านั้นคือฉันรึป่าว?”
“อะ เอ่อ…ใช่”
“แล้วนายก็เลยขอโทษที่ทำให้ฉันลำบากและขอบคุณดักให้ฉันช่วยเหลือว่างั้นสิ เจ้าแผนการจริงนะ ฮ่าๆๆ”
ฉันหรี่ตาพูดแบบพวกชอบจับผิดชาวบ้านก่อนจะหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า เพื่อแกล้งอีกฝ่ายเล่นจากจุดอ่อนที่เป็นคนอ่อนไหวง่ายของอีกฝ่าย แน่นอนฉันรู้ว่าหลันฮวาคนนี้ไม่ได้มีจิตคิดร้ายเลย ถ้าจะพูดถึงคนที่เจ้าเล่ห์จริงๆน่าจะเป็นไอ้เทพที่เสนอไอเดียนี้นั้นแหละ
“มะ ไม่ ไม่ๆๆ ข้าไม่ได้วางแผน คือ ข้า…ข้า…ฮึก…ฮืออออ”
แต่พอยิ่งได้เห็นน้ำตาที่ร่วงเป็นสายกับท่าทางร้าวกับหญิงสาวถูกสามีใส่ความว่าแอบมีชู้จากร่างกายของนาง(?)ฉันก็รีบขอโทษและปลอบใจให้เจ้าตัวรีบกลับเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว และใจความที่สรุปได้จากการตั้งใจฟังโจวหลันฮวาพูดไปสะอื้นไห้ไปก็ได้ใจความว่า
“หลังจากที่นายกำลังทำความสะอาดห้องแม่ตอนอายุยี่สิบก็ได้เจอจดหมายส่งเสียโดยบังเอิญ และได้รับรู้ว่าตัวเองเป็นถึงประมุขพรรคมารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้ล่าได้ถูกทรยศจนต้องตายเพราะถูกน้องชายตัวเองฆ่า ส่วนแม่ของนายก็พานายที่พึ่งคลอดหลบหนีมาอยู่ที่เมืองอันห่างไกลอย่างเมืองจินเยว่ได้สำเร็จแต่ตัวนางได้ถูกพิษร้ายเล่นงานสุดท้ายก็อดทนต่อพิษไม่ไหวจากนายไปตอนนายอายุแปดขวบอย่างที่ฉันได้เห็นไปแล้วใช่มั้ย
แต่เพราะนายไม่เป็นวรยุธและรักสงบไม่ชอบการต่อสู้จึงทำให้ไม่สามารถทำตามคำขอร้องที่ให้กลับไปล้างแค้นแทนได้และทำได้เพียงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ จนในที่สุดก็ตายไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย”
ช่างเป็นโครงเรื่องที่เป็นหนังกำลังภายในจ๋าอะไรแบบนี้
ฉันหยุดพูดพร้อมมองไปที่หลันฮวาผู้พยักหน้าหงึกๆกับสิ่งที่ฉันสรุปออกมา ก่อนจะพูดถึงเหตุผลที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ที่นี่
“สุดท้ายมีเทพแปลกๆองคืหนึ่งยื่นขอเสนอเข้าช่วยนาย โดยให้ฉันเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายนายและแก้แค้นแทนนาย โดยมีของรางวัลล่อตาล่อใจอย่างการได้ใช้ชีวิตใหม่และน้ำยาหยินหยางให้เป็นของตอบแทนหลังภาระกิจแก้แค้นสำเร็จงั้นสิ?”
เจ้าของเรื่องพยักหน้าหงึกๆอีกครั้งเมื่อฉันมองไปที่เขา ตรงช่วงหลังนี้ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คือ ยึดร่างมาฝึกให้เก่งเอาไปแก้แค้นหลังจากแก้แค้นเสร็จก็จะได้น้ำยาวิเศษที่เปลี่ยนร่างให้เป็นเพศตรงข้ามได้ ซึ่งนั้นหมายความว่าฉันก็จะได้กลับไปเป็นผู้หญิงเหมือนเดิมหลังเคลียร์เควสต่อเนื่องนี้แล้วสินะ? แน่นอนว่าฉันไม่ได้มีห่วงอะไรกับคนในครอบครัวเพราะพวกเขาแข็งแกร่งในแบบฉบับมาเฟียกันอยู่แล้ว ดังนั้นฉันที่จะใช้ชีวิตต่อไปในโลกที่มีกำลังภายในมีเทพเซียนมาปั่นหัวคนเล่นก็รู้สึกเริ่มสนใจโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“ถึงฉันจะพอเดาได้ว่าเทพที่คุยกับนายจะทำไปเพราะหาเรื่องสนุกๆดูแก้เซงก็เถอะแต่ฉันจะช่วยนายแก้แค้นแทนเองก็แล้วนะหลันฮวา”
จริงๆแล้วฉันเองก็นึกสนุกกับการแสดงเป็นตัวเองเหมือนในนิยายจีนกำลังภายในไม่น้อยเลย
ในเมื่อตายก็ตายไปแล้วรอบหนึ่งยังอุส่าจำเรื่องราวของตัวเองได้อยู่ฉันก็ขอใช้เวลาที่ได้รับมาจากหลันฮวาและเทพอะไรซักอย่างที่ฉันยังไม่รู้จักนั้นให้คุ้มค่าหน่อยก็แล้วกัน และตอนนี้ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกถึงรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ นั้นก็เพราะตอนนี้ฉันได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของเขาแล้วนั้นเอง
ตอนนี้ฉันยิ้มอย่างสบายๆมองโจวหลันฮวาที่ขอบอกขอบใจกับการตัดสินใจด้วยตัวเองของฉันยกใหญ่ก่อนที่วิญญาณของเขาจะจางหายไป ฉันที่ยืนส่งเขาไปแล้วก็ตั้งสติกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วก็รู้สึกขำที่ตัวเองทำอะไรอยู่กันแน่นะ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อหลอมจิตวิญญาณให้เข้าที่กับร่างกายร่างใหม่นี้ได้อย่างเต็มที่
สุดท้ายก็ลองคิดอะไรที่มันดูฮึกเหิมแบบหนังจีนซักนิดก่อนเริ่มต้นชีวิตใหม่ว่า
พริกหยวกคนเดิมหรือโจวหลันฮวาคนเดิมไม่มีอีกแล้ว จากนี้ไปข้าจะลืมตาตื่นขึ้นในฐานะของ โจวหานเฟิงผู้กลับมาแก้แค้นให้กับครอบครัว(ชาวบ้าน)! วะฮะฮ่า
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*ดอกเบญจมาศ ในคำจีนนี่สือว่าประตูหลังได้นะคะ หุหุ มันคือฝ่ายรับนั้นเองแหละ
วางโครงเรื่องไปมาแล้วก็มาลงเอยที่เรื่องแปลกๆซะได้ //เหงื่อตก แน่นอนว่าเรื่องนี้นอมอลนะคะนะคะ
ถ้าชอบใจถูกใจ หรือ อยากให้กำลังใจก็สามารถเม้นให้ไรท์เตอร์ได้นะ ไรท์ชอบอ่านคอมเม้นค่ะ ถถถถ
เขียนออกมาเบลอๆเพราะมาเขียนกันกลางดึกนี่แหละค่ะ @_@
และขอขอบคุณนักอ่านที่น่ารักที่อดทนอ่านเรื่องนี้มาจนจบบรรทัดนี้มากเลยค่ะ ขอบคุณจริงๆนะ ;w;
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่หลันฮวาหล่อที่สุดน่ะเนี่ย เสียดายอ่ะ
ที่แท้ก้มีน้ำยายินหยางนี้เอง
ขอบคุนค้าาาา