คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : . ONE . แค่คุณคนเดียว . Intro
ดวงไฟสีขาวที่ให้ความสว่างไสวภายในร้านเบเกอรี่กึ่งร้านดอกไม้ที่ค่อยๆ ถูกปิดลงทีละดวงจนเกือบหมด จากเด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ที่กดปิดสวิตช์ทีละจุดอย่างใจเย็น เหลือไว้เพียงดวงไฟตรงเคาน์เตอร์สีขาวที่เชื่อมติดกับห้องเรือนกระจกในส่วนของร้านดอกไม้ไว้เท่านั้น
“ พี่คริส พี่ยังไม่กลับอีกเหรอครับ ” เด็กหนุ่มตะโกนถามคนที่อายุมากกว่าตัวเอง ที่กำลังนั่งอยู่หลังตะกร้าดอกไม้ใบใหญ่ ก่อนที่คนๆ นั้นจะเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏให้เห็นผิวหน้าเนียนขาว ริมฝีปากสีแดงธรรมชาติ และดวงตากลมโตสองชั้นภายใต้แว่นตากรอบหนาสีดำทรงสี่เหลี่ยม ที่ทำให้ใบหน้าของคนสวมใส่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงมาก เมื่อถูกวางรับกับสันจมูกโด่งรั้น
“ พี่ว่าจะเช็คของให้เสร็จก่อนน่ะ แต่ว่าเต้กลับก่อนได้เลยนะ วันนี้ขอบคุณมาก ” คริสบอกอย่างรู้ทัน เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังจะอ้าปากเพื่อบอกว่าตนเองจะอยู่ช่วยด้วยอีกแรง
เต้ หรือโปเต้ เด็กหนุ่มผิวขาว หน้าตาน่ารัก ที่โดนเจ้าเพื่อนตัวดีลากมาทำงานพิเศษที่ร้านนี้ตั้งแต่เรียนอยู่มัธยมปลาย จนตอนนี้ได้กลายเป็นนักศึกษาปีสาม ก็ยังทำงานพิเศษอยู่ร้านนี้เหมือนเดิม
“ แล้วไอ่เจ๋งมันอยู่ไหน ไม่ใช่ว่าอู้งานอีกนะ ”
“ อะไรพี่คริส จะนินทาอะไรผมอีกมิทราบ ” ยังไม่ทันที่โปเต้จะได้ตอบคำถาม เจ้าของชื่อที่กำลังจะโดนกล่าวหาว่าอู้งานก็เดินเข้าร้านมาพร้อมกับยกป้ายเมนูที่ตั้งอยู่หน้าร้านเข้ามาด้วย
“ ผมไปเก็บป้ายหน้าร้านมา เห็นไหมเนี่ย ”
เจ๋ง หรือก๊วยเจ๋ง เจ้าเด็กผิวเข้มตัวแสบ และเป็นเพื่อนคนเดียวกับที่ลากโปเต้มาทำงานพิเศษที่ร้านนี้ด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน เพราะบ้านของก๊วยเจ๋งปลูกติดกับบ้านของคริส และคุณพ่อคุณแม่ของคริสได้ว่าจ้างให้คุณแม่ของก๊วยเจ๋งช่วยดูแลบ้าน และดูแลคริสแทนพวกเขาทั้งสอง ด้วยเพราะหน้าที่การงานที่ทำให้พวกเขาต้องอาศัยอยู่ต่างประเทศอย่างถาวร จึงทำให้คริสกับก๊วยเจ๋งสนิทกันมากเป็นพิเศษ
ทั้งคริสทั้งก๊วยเจ๋งเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่น้อง เป็นทั้งนายจ้างจอมโหดที่ก๊วยเจ๋งชอบบ่นลับหลังให้โปเต้ฟัง เป็นทั้งพนักงานจอมอู้ที่คริสชอบบ่นให้โปเต้ฟังเช่นกัน
“ บ่นตลอดๆ บ่นแบบนี้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงยังไม่มีแฟนกับเขาสักที ”
“ เงินเดือนของไอ่เจ๋งเดือนนี้หักไปสิบเปอร์เซ็นต์ เต้จดไว้ในบัญชีให้พี่ด้วยนะ ”
“ เห้ย! ได้ไงล่ะพี่คริส ” ก๊วยเจ๋งโวยวายทันที แต่พอเห็นท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนของเจ้านายตัวเอง ก็ได้แต่ย่นจมูกใส่อย่างเถียงไม่ได้
“ ไอ่พี่คริส ไอ่คนโหด ” ทำได้ก็แต่บ่นกับตัวเอง
ที่คริสก็ได้ยินอีกนั่นแหละ
“ เต้เขียนเพิ่มในบัญชีนะ ว่าหักเงินเดือนของไอ่เจ๋งมันอีกสิบเปอร์เซ็นต์เป็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ”
“ เห้ยยยย! ไอ่พี่คริส เกินไปแล้ว หักขนาดนี้แล้วผมจะเอาตังค์ไหนใช้ล่ะ ” ก๊วยเจ๋งโวยวายไม่เลิก แต่คำตอบที่ได้กลับมา คือคริสที่เพียงไหวไหล่ให้ทีหนึ่ง
โปเต้ได้แต่ยืนส่ายหน้าขำๆ แต่ไหนแต่ไรพี่คริสกับเพื่อนของเขามักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องทำนองนี้เสมอ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าพี่คริสไม่ทำอย่างที่พูดจริงๆ หรอก แต่ก๊วยเจ๋งก็ยังชอบโวยวายแทบจะทุกครั้งจนกลายเป็นภาพชินตาไปเสียแล้ว
♡
เวลาเกือบสี่ทุ่ม หลังจากที่คริสเช็คของภายในห้องเรือนกระจกจนเสร็จทั้งหมด แต่ยังไม่ทันที่คริสจะเดินออกมาภายนอก กลับมีเสียงดังโครมครามบริเวณหน้าร้าน ก่อนที่เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านจะดังขึ้น แสดงให้รู้ว่าตอนนี้ได้มีใครบางคนเข้ามาในร้านของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คริสตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินออกมาจากห้องเรือนกระจก อ้อมบริเวณหลังเคาน์เตอร์ร้าน และก็ได้พบกับชายหนุ่มสองคน ที่หนึ่งคนในนั้นกำลังบาดเจ็บบริเวณต้นแขน
“ พวกคุณเป็นใคร เข้ามาในร้านผมได้ยังไง ”
“ ล็อกประตู ล็อกประตูเดี๋ยวนี้! ปิดไฟด้วย! ” แต่แทนที่คริสจะได้คำตอบกลับมา อีกฝ่ายที่กำลังบาดเจ็บอยู่ กลับออกคำสั่งเสียงดังจนจะกลายเป็นการตะคอกใส่อยู่แล้ว และไม่รู้ว่าด้วยความตกใจจากน้ำเสียง หรือเพราะเหตุการณ์บีบบังคับ คริสจึงรีบวิ่งไปล็อกประตูร้าน และปิดไฟภายในร้านที่เหลือเพียงไม่กี่ดวง จนทำให้ตอนนี้ภายในร้านมืดสนิท มีเพียงแสงจากเสาไฟริมฟุตบาทภายนอกเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา
แต่แสงสว่างอ่อนๆ นั้นก็กินพื้นที่เข้ามาภายในร้านได้ไม่มากนัก
คริสยืนนิ่งอยู่กับที่ เช่นเดียวกับชายหนุ่มแปลกหน้าสองคนที่จู่ๆ ก็ถือวิสาสะเข้ามา ที่ตอนนี้กำลังนั่งหอบหายใจอยู่บนพื้นร้านไม่กระดุกกระดิกตัวไปไหน
ทุกอย่างคล้ายกับถูกหยุดเวลา
กระทั่งมีเสียงของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้บริเวณร้าน ทำให้คริสต้องเพ่งมองผ่านความมืดออกไป และก็ได้เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านของเขา หัวใจของคริสตอนนี้ไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ได้ทันทีเลยว่าคนแปลกหน้าทั้งสองที่จู่ๆ ก็บุกเข้ามาภายในร้านแถมยังบาดเจ็บมาด้วยนั้น คงไปก่อเรื่องหรือไปเจอเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องดีมาแน่ๆ
คริสเม้มริมฝีปากแน่น ในใจก็ภาวนาขอให้กลุ่มคนที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านของเขานั้นรีบๆ วิ่งผ่านไปเสียที
ซึ่งกว่าที่กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นจะตัดสินใจวิ่งไปที่อื่นต่อ ก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งนาทีได้
เสียงลมหายใจที่คริสพ่นออกมาจนหมดปอดอย่างโล่งใจ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปเปิดไฟหรี่ตรงเคาน์เตอร์ที่พอจะทำให้มองเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสองที่ตอนนี้ก็มองมาที่เขาเองเช่นกัน
“ คุณประคองตัวเพื่อนของคุณลุกขึ้น แล้วตามผมมา ”
“ คนๆ นี้เขาเป็นเจ้านายของผมนะครับ ” ชายหนุ่มที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรรีบบอก ซึ่งทำให้คริสต้องกลอกตาหน่ายๆ ไปทีหนึ่ง
“ จะเจ้านายหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ ถ้าไม่อยากโดนคนพวกนั้นพังร้านเข้ามากระทืบซ้ำก็ตามผมมา ” พอพูดจบ คริสก็เดินไปหลังเคาน์เตอร์ และเดินนำเข้าไปยังห้องเรือนกระจกซึ่งเป็นส่วนของร้านดอกไม้ ที่คริสคิดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า เพราะเป็นส่วนของหลังร้าน ซึ่งถ้าไม่เข้ามาภายในร้านก็จะไม่สามารถมองเห็นในส่วนของห้องเรือนกระจกหลังนี้ได้
คริสจัดเก้าอี้ให้แขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองคน และรวมถึงเก้าอี้ของตัวเองด้วย อีกทั้งกล่องปฐมพยาบาลที่มีอุปกรณ์ทำแผลครบชุดวางอยู่บนโต๊ะกระจกทรงกลมใกล้ๆ ซึ่งกล่องปฐมพยาบาลกล่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้ก๊วยเจ๋งที่มักจะไปมีเรื่องชกต่อยจากข้างนอกมา แล้วกลับมาที่ร้านให้เขาทำแผลให้เป็นประจำตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ คุณสิง นั่งก่อนนะครับ ” ชายหนุ่มที่เมื่อกี้เพิ่งจะรีบบอกกับเขาว่าคนๆ นี้เป็นเจ้านาย กำลังประคองเจ้านายของตัวเองให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับที่คริสนั่งอยู่ ซึ่งคริสก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัย เมื่อกี้คนๆ นี้ยังทำเสียงดังสั่งให้เขาปิดประตูปิดไฟอยู่เลย แต่พอมาตอนนี้กลับทำนิ่ง สงสัยจะเจ็บแผลมากๆ ล่ะมั้ง
“ คุณถอดสูทให้เจ้านายของคุณหน่อยได้ไหม ผมจะได้ดูแผลให้ ”
“ ได้ครับ ” คนที่เป็นลูกน้องรีบรับคำและทำตามทันที
“ ขออนุญาตนะครับคุณสิง ” คริสมองการปฏิบัติต่ออีกคนแล้วก็พอจะเข้าใจ แถมเสื้อสูทที่คริสตาไวพอจะทันเห็นยี่ห้อที่ใส่ ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าคุณสิงอะไรนี่คงเป็นลูกผู้ดีมีเงิน หรือไม่ก็คงเป็นพวกไฮโซคนมีกะตังค์ทำนองนั้นแน่
คริสมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา กับชายหนุ่มเจ้าของผิวสีน้ำผึ้ง และดวงตาที่แม้จะมีรอยช้ำจางๆ แต่ก็มีความคมคายอย่างชัดเจนปรากฏอยู่บนรูปหน้าที่สมส่วนและดูดีสมกับฐานะไม่ใช่น้อย
“ เจ้านายผมโดนยิงมาน่ะครับ ” คริสขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่เป็นลูกน้องที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมนั่งเก้าอี้ที่เขายกมาให้สักที
“ เท่าที่ดูก็แค่ถากๆ นะ ” คริสมองจากรอยแผลที่มีเลือดสีแดงซึมไหลผ่านเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่มีรอยขาดเล็กน้อย ทำให้พอจะเห็นแผลจากรอยกระสุนอยู่บ้าง
คริสหันไปเปิดกล่องปฐมพยาบาล แต่ปลายนิ้วเขากลับต้องชะงัก เมื่ออีกฝ่ายที่บาดเจ็บมาได้เอ่ยถามเขาหลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน
“ หน้าตาแบบนี้ทำแผลเป็นหรือไง ”
หน้าตาแบบนี้?
จู่ๆ คริสก็นึกหงุดหงิดใจขึ้นมายังไงชอบกล
“ เป็น ” คริสหันมาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ เพื่อนของผมเป็นหมอ ผมเคยเห็นเพื่อนของผมทำแผลอยู่บ่อยๆ ”
“ จริงเหรอครับ ” คนเป็นลูกน้องทำท่าดีใจ
“ จริงสิครับ ” คริสหันไปตอบ
“ ผมก็เรียนรู้วิธีทำแผลจากเพื่อนของผมมาบ้าง... ” ก่อนที่คริสจะจุดยิ้มขึ้นตรงมุมปากน้อยๆ
“ เวลาลูกค้าเขาพาหมาพาแมวมาที่คลินิกของเพื่อนผมน่ะครับ ”
To Be Continued . . .
TALK :
ความคิดเห็น