คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : OvErTimE 0001 ] จุดเริ่มต้น [
***************************************************************************************************
อีกเรื่องแล้วสำหรับนิยายBoylove ของเราเรื่องนี้เป็นแนวย้อนยุคสมัยกรีก โรมันอะไรซักอย่างเนี่ยแหละ ยังไงก็ฝากไว้อีกสักเรื่องนะ
OvErTimE 0001 ] จุดเริ่มต้น [
หากผู้คนเล่าขานถึงเรื่องราวของข้า .
ขอให้พูดว่า .ข้าเดินเคียงข้างยักษ์
ชีวิตมนุษย์ มีเกิดและมีตายเช่นเดียวกันกับต้นข้าว แต่ชื่อนั้นจะไม่มีวันตาย
ขอให้พูดว่าข้าอยู่ในยุคของเฮคเตอร์ ชายชาติอาชา
.. ขอให้พูดว่า ..
ข้าอยู่ในยุคของ อะคีลิส
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปากกาด้ามงามถูกวางทิ้งไว้บนหน้ากระดาษหยาบๆซึ่งผู้เป็นเจ้าของบรรจงแต่งแต้มตัวอักษรลงไปด้วยความตั้งอกตั้งใจ
“ในที่สุดก็จบสักที“ ปากบางเนียนเผยออกน้อยๆ พร้อมกับเปล่งคำพูดเบาๆกับตนเอง
“เฮ้อ สามปีแล้วสินะหลังจาก .“ เสียงถอนหายใจยาวที่ตามหลังมาด้วยวลีสั้นๆที่ไม่สามารถประกอบให้เป็นประโยคที่มีความหมายได้ ใบหน้าหวานแลดูเศร้าหมองลงทันตา ดวงตาคู่งามปิดสนิทแน่นเหมือนเก็บงำอะไรบางอย่างเอาไว้ ก่อนจะเปิดกว้างสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
มือขาวเนียนค่อยๆปิดปกสมุดเล่มหนาลง สมุดที่บรรจุความทรงจำต่างๆเอาไว้ ความทรงจำที่เลือนลางเต็มที แต่ยังคงจดจำได้ดีถึงความสุขมากมายที่แฝงตัวอยู่ภายใต้ความจำอันเลือนลาง แม้วันเวลาเหล่านั้นจากเวียนผ่านมาแล้วเหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับได้ แต่ก็จะจดจำเรื่องราวเหล่านั้นไว้ตลอดไปเหมือนแม่น้ำสายใหญ่ที่ไม่มีวันเหือดแห้ง
สิ่งต่างๆที่บันทึกอยู่ในสมุดเล่มนี้ แม้เล่าให้ใครฟังก็คงไม่อาจเชื่อ หรือแม้มีผู้ใดเปิดอ่านก็คงบอกว่า”บ้า”
แต่ แม้ว่าไม่มีผู้ใดเชื่อ ใครอื่นหาว่าบ้า แต่มันเป็นความจริงสำหรับคนๆนี้ตลอดกาล
แสงสีส้มส่องลอดผ่านทางหน้าต่างที่เปิดไว้รับลมทะเลยามเย็น ส่งผลให้ห้องทั้งห้องแลดูเป็นสีส้ม ทั้งเตียง โต๊ะ เก้าอี้ หรือแม้แต่ผ้าม่าน ทั้งหมดนั้นถูกย้อมด้วยสีแห่งสายัญ เหลือเพียงแต่บุรุษร่างบางที่มีผิวขาวเนียน อย่างคนที่ไม่ได้ถูกแดดมาเป็นเวลานาน
สีผิวนี้ช่างแตกต่างกับเมื่อสามปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนั้นกายนี้ดูคล้ำกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มาก อาจเพราะต้องผ่านแดดฝน แตกต่างจากปัจจุบันที่ร่างกายไม่ได้พบเจอแสงจากดวงอาทิตย์มาเป็นเวลานาน จนสีผิวออกจะขาวผิดกับชายอื่นทั่วไป
แต่กาลเวลาเพียงแค่สามปีใช่ว่าจะทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายหนักหนา เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนๆก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน อีกทั้งร่างกายที่บอบบางในอดีตนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ไม่ว่าอดีตที่ผ่านมาน้ำหนักจะมากน้อยสักเพียงไรแต่ในปัจจุบันมันก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย
คิดแล้วก็ถอนหายใจอีกครา สำหรับเขา ปรเมทร อนุพงศ์ไพศาล ส่วนสูงเพียง 176 เซนติเมตร กับน้ำหนัก 62 กิโลกรัม ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าเสียอย่างไร ออกจะดีเสียด้วยซ้ำสำหรับขายอายุ 23 ที่มีรูปร่างงามสง่าถึงเพียงนี้ จนเป็นที่อิจฉาของบุรุษน้อยใหญ่มากมาย . แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับท่านผู้นั้นแล้ว ส่วนสูงขนาดนี้ดูเล็กลงถนัดตา
กลิ่นเกลือทะเลที่โชยเข้ามาเตะจมูกจนทำให้ตื่นจากพะวัง พร้อมกับแสงแดดจ้าส่องกระทบดวงตางามระหง แพรขนตาขยับขึ้นลงเบาๆคล้ายกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงที่ส่องมา แสงที่ไปสะกิดเสียวส่วนของความทรงจำ พร้อมกันที่ร่างบางฉุกคิดถึงเรื่องราวในอดีต
จริงสินะ . ในตอนนั้น พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าเช่นเดียวกับในตอนนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อแปดปีก่อนเรื่องราวที่ในอดีตเคยหลงลืม แต่ตอนนี้จดจำได้หมดสิ้น
ด้วยสถานที่เดียวกัน ก็อดคิดไม่ได้ว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่ แต่ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเมื่อทราบดีอยู่แล้วว่า ความจริงเป็นเช่นไร
ในวันนี้ร่างบางย้อนกลับมายังสถานที่แห่งเก่า ที่แห่งความทรงจำเพื่อระลึกถึงชนวนของเรื่องราวทั้งหมด ณ ชายหาดแห่งนี้เมื่อแปดปีก่อน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
น้ำทะเลสีครามที่สะท้อนเงาของพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า หาดทรายสีขาว ที่สะท้อนแสงสีส้มจากดวงอาทิตย์จนแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม และรอยจ้ำหลากหลายขนาดของฝ่าเท้ามากมายหลายคู่ พร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริงของครอบครัว อนุพงศ์ไพศาล ที่มาพักตากอากาศยังบ้านพักริมทะเลส่วนตัว เพื่อฉลองวันคล้ายวันเกิดให้กับลูกชายคนเล็กสุดของบ้านอย่าง ปรเมทร อนุพงศ์ไพศาล แม้ว่าปีนี้อายุจะปาเข้าไป 15 ปีแล้ว แต่นายเปม ก็ขอเลือกมาเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวเช่นเดียวกับทุกปี มากกว่าจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
แต่ดูเหมือนว่าปีนี้จะแตกต่างจากปีก่อนๆเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น เกือบทำให้ครอบครัวอนุพงศ์ไพศาล ต้องสูญเสียบุตรคนสุดท้องไปตลอดกาล
ท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานของครอบครัวขนาดใหญ่จะมีไหมใครสักคนที่สังเกตว่าน้องคนสุดท้องได้หายตัวไป
ร่างเล็กๆของเด็กชายที่อายุเพิ่งจะ 15 ปี ได้ไม่นาน ก้าวเข้ามาแอบอยู่หลังซอกหิน เพื่อหวังจะเล่นซ่อนหา แต่ดูเหมือนว่าความหวังจะไม่สำเร็จเพราะไม่มีใครออกตามหาตนสักคน ใบหน้าขาวงอง้ำลงเล็กน้อยอย่างขัดใจ ก่อนตัดสินใจที่จะเดินกลับเข้ากลุ่มไปหาสิ่งอื่นเล่นแทน แต่ระหว่างที่คิดเพลินๆอยู่นั้น คลื่นน้ำขนาดใหญ่ก็ซัดมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำเอาร่างเล็กเซถลา หาที่เกาะอย่างรวดเร็ว แต่จะเกาะสิ่งใดเล่าในเมื่อทั่วบริเวณนั้นมีแต่โขดหินที่แสนจะลื่นเพราะตะไคร่น้ำ ก่อนที่มือน้อยๆจะหาที่ยึดได้ คลื่นขนาดใหญ่ก็ซัดเข้ามาอีกละรอก ร่างเล็กถูกพัดไปตามกระแสน้ำ ร่างกายชนกระแทกกับโขดหิน ทั่วทั้งร่างค้นพบแต่ความเจ็บปวด โดยเฉพาะส่วนหัวที่รู้สึกปวดเจียนใจจะขาด ร่างบางอยากจะร้องออกมาดังๆว่าเจ็บและตะโกนให้ครอบครัวมาช่วย แต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แม้แต่เสียงเครือเบาๆของการสะอื้นไห้ก็ไม่สามารถหลุดออกมาจากริมฝีปากของคนที่หมดสติไปแล้วได้
คลื่นน้ำขนาดใหญ่ที่ซัดเข้าฝังอย่างไม่มีกำหนดการ สร้างความโกลาหลขึ้นเล็กน้อยต่อครอบครัวอนุพงศ์ไพศาล แต่ความโกลาหลนั้นก็ทำให้มีคนสังเกตว่าน้องเล็กได้หายตัวไป แต่กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
ต่างๆคนต่างรีบออกตามหาเด็กชายคนเล็กที่ไม่ทราบว่าหายตัวไปไหน จนเวลาเคลื่อนผ่านไม่นาน การค้นหาก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อร่างน้อยๆของเด็กหนุ่มลอยออกมาจากโขดหิน
ร่างนั้นแม้ยังมีลมหายใจอยู่กลับไร้ซึ่งสติ เนื้อตัวที่รอยช้ำอยู่หลายแห่ง แม้ว่าไม่มีบาดแผลสาหัสอะไรแต่เลือดสีแดงที่รินไหลออกมาจากศีรษะนั้นกลับบ่งบอกว่าคนตรงหน้าอาการน่าเป็นห่วงสักเพียงใด ก่อนที่ทั้งครอบครัวจะเคลื่อนย้ายมายังโรงพยาบาล
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผืนทรายอันกว้างใหญ่ และผืนน้ำอันเงียบสงบ ทุ่งหญ้าเขียวขจีและภูมิอากาศแบบเมดิเตอเรเนียน แรงลมที่พัดพาความเย็นมาเยื่อนอยู่เสมอ ทำให้สถานที่แห่งนี้มีแต่ความเย็นสบาย แต่อากาศอันสุดแสนเย็นสบายนี้ช่างแตกต่างกับจิตใจอันร้อนรุ่มของชายหนุ่มยิ่งนัก
ฝีเท้าที่เยื่องก้าวอย่างช้าๆไปบนผืนทรายเรียบริมฝังทะเล ทุกย่างก้าวอันหนักแน่น เหมือนจะตอกย้ำความเป็นจริงที่ยากจะรับรู้ ส่วนในห้วงความนึกคิดนั้นก็คิดกลับไปกลับมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่าอครู่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฝีเท้าที่ย่ำสับไปมาอย่างรวดเร็ว ของชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าในตอนนี้ กำลังเคลื่อนที่ด้วยความว่องไวมุ่งหน้าไปยังอาคารหินหลังใหญ่ ซึ่งบ่งบอกถึงฐานะของผู้เป็นเจ้าของว่ามียศศักดิ์แตกต่างจากคนธรรมดาเป็นแน่
ประตูไม้สักบานใหญ่ที่บรรจงแกะสลักเป็นลวดลายสวยงามถูกกระแทกออกอย่างไม่ไยดี ด้วยฝีมือของร่างใหญ่ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในห้อง
“ท่านแม่ น้องข้าเป็นอย่างไรบ้าง“ บุรุษผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีทองและใบหน้าคมเข้มที่บัดนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แสดงออกถึงความวิตกวังวนอย่างมาก
ผู้เป็นแม่ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามใดๆที่ร่างสูงเอ่ย ปฏิกิริยาเพียงเท่านี้ก็พอจะเดาได้ว่าผลของคำถามเป็นอย่างไร
แต่คำตอบที่ได้รับคงจะทำใจยอมรับได้ลำบากสำหรับชายหนุ่ม แม้รูปร่างอันสูงโปร่งเหมาะสำหรับชายชาติทหาร ส่วนอายุที่ย่างเข้า 23 ปีก็ไม่อาจค้ำจุนจิตใจให้ยอมรับความจริงได้
“หมอ น้องข้าเป็นอะไร รักษาน้องข้าสิ” น้ำเสียงอย่างผู้ทรงอำนาจดังตวาดก้องจนผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายแพทย์สะดุ้งโหยง
“ขะ ข้าต้องขออภัยอย่างสูง นายท่านข้าไม่สามารถช่วยชีวิตของ .อะ .” ไม่ทันที่แพทย์ชราจะกล่าวจบประโยคก็ต้องตัวลอยไปติดฝาผนัง เพราะมือหยาบกร้านได้ส่งมาสัมผัสบริเวณลำคอของตนอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ออกแรงบีบเล็กน้อยก็ทำให้ร่างชราจนกับคำพูด ลมหายใจติดขัดจนไม่สามารถเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้แม้แต่ร้องขอชีวิต
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ อะคีลิส” เสียงทรงอำนาจเปล่งออกมาจากริมฝีปากของผู้ที่ปฏิเสธในการตอบคำถามในคราแรก
“แต่ ท่านแม่” ร่างสูงยังคงไม่ลดละ แม้แรงบีบที่ส่งไปยังลำคอเหี่ยวย่นนั้นจะอ่อนแรงลงบ้าง
“มันไม่ใช่ความผิดของเขา เจ้าก็รู้ว่าน้องเจ้าร่างกายอ่อนแอมาแต่เล็ก” เมื่อได้รับฟังเหตุผล มือแกร่งก็ปลดพันธนาการออกจากกลางลำคอของหมอชราที่รีบสูบอากาศลงลำคออย่างรวดเร็วหลังจากได้รับอิสระแล้ว
“แม่เคยบอกเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนหลีกหนีความตายไม่พ้น แม้ว่าเขาคนนั้นจะแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มาจากไหน แม้แต่น้องของเจ้า ในไม่ช้าเจ้าก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับน้องเจ้านั่นแหละขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น” เสียงพร่ำสอนจากปากของหญิงชรา ผู้มีศักดิ์เป็นถึงมารดาผู้ให้กำเนิด ย้ำเตือนสติให้ยอมรับความจริง
“ดังนั้นเจ้าจงยอมรับได้แล้วหละ น้องเจ้าไปสบายแล้ว” ประโยคตัดสินชีวิตเอ่ยตามมาติดๆ
ร่างสูงไม่อาจทำตามที่มารดากล่าวได้จึงได้แต่เดินหนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้น เพราะไม่อาจทนเห็นร่างของคนอันเป็นที่รัก นอนแน่นิ่งอย่างสงบได้
แม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอมาโดยกำเนิด แต่คนที่จิตใจเข้มแข็งเช่นเจ้าไยจากพี่ไปเยี่ยงนี้ ทั้งที่ให้สัญญาว่าสักว่าข้าจะพาเจ้าไปทะเล ทะเลสีครามที่เจ้าอยากเห็น นึกมาถึงเรื่องนี้ทำให้ขาแกร่งสองข้างสาวเท้ามายังชายหาดทันที
“เห็นไหม พาโตรคลัส ทะเลที่เจ้าอยากเห็น มันสวยมากใช่ไหม” กล่าวราวกับมีบุรุษนามพาโตรคลัส มายืนฟังอยู่ใกล้ๆ
พาโตรคลัส หนุ่มน้อยที่ลืมตามาดูโลกเมื่อ 16 ปีก่อน น้องชายที่รักยิ่ง เขาเปรียบเสมือนดวงประทีบที่ประทับอยู่กลางใจของบุรุษผู้เย็นชานาม อะคีลิส เป็นเปลวไฟที่ส่องสว่างในความมืด เปลวไฟที่มอบความอบอุ่นให้แก่หัวใจอันเปลี่ยวหนาว และเย็นยะเยือก
ไยเจ้าที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจจึงจากพี่ไปได้ลงคอ แล้วใครเล่าจะคอยเป็นทางสว่างให้กับบุรุษผู้มืดมนคนนี้ คิดๆแล้วก็พยายามหาหนทางระบายออก น้ำทะเลใสๆคงจะไร้ความรู้สึกหากจะเตะลงไปแรงๆ นึกไปก็ชักเท้าให้ลอยขึ้นในอากาศเตรียมที่จะออกแรงเตะแต่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อสายตาทั้งสองข้างเหลือบไปเห็น ร่างๆหนึ่งนอนเกยอยู่บริเวณใกล้เคียง
ไว้เท้าความคิด เท้าที่เคยยกค้างไว้ค่อยๆวางลงกับพื้นทราย ขาทั้งสองข้างเริ่มสาวเท้าเข้าไปหาร่างที่นอนหมดสติอยู่ ร่างกายบอบบาง ผิวเนียนขาวแม้จะดูคลำแดดบ้าง เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ช่างเหมือนกันจริงๆ เหมือนกับน้องรักที่จากไปแล้ว มือหยาบค่อยๆยื่นออกไปพลิกร่างเล็กให้เห็นหน้าชัดๆ
“พาโตรคลัส” ร่างสูงหลุดอุทานออกมา แม้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
มือใหญ่ค่อยๆลูบไล้ไปตามดวงหน้าหวาน ใบหน้าเกลี้ยงเกลา จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากเป็นกระจับ ขนตายาวงอนและดวงตาที่บัดนี้ยังปิดสนิทอยู่ แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่า นัยตาคู่นี้คงเป็นสีน้ำตาลอ่อน เช่นเดียวกับสีผม
เหมือนเสียเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่เพราะร่างไร้วิญญาณของน้องที่ยังนอนแน่นิ่งให้เห็นเมื่อครู่ คงจะทำให้เขาหลงเชื่อทันทีว่าชายผู้นี่ คือ พาโตรคลัสของเขาแน่นอน
“เฮ่ ตื่น” คนมีสติพยายามเรียกคนไร้สติเบาๆ แต่ดูเหมือนความพยายามจะศูนย์เปล่า แม้ว่าจะเขย่าตัว หรือแม้แต่ตบหน้าก็ไม่ทำให้ร่างที่สลบไปจะได้สติขึ้นมาเลย
ดังนั้นร่างสูงจึงตัดสินใจอุ้มร่างบางตรงกลับบ้านของตนทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น