คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : "ความเชื่อผิดๆที่อันตราย"
ระบบหมู่เลือด ABO
เป็นหมู่เลือดที่สำคัญที่สุดในการให้เลือด (blood transfusion) เป็นระบบที่พบก่อน
ระบบอื่นๆโดย Landsteiner พ.ศ. 2443 จากการทดลอง Landsteiner สรุปได้ว่ามี
หมู่เลือดอยู่ 4 หมู่เมื่อคำนึงถึงการมีแอนติเจน A และแอนติเจน B ดังนี้
หมู่เลือด |
แอนติเจนบนเม็ดเลือดแดง |
แอนติบอดีย์ในซีรั่ม |
การกระจายในคนไทย |
A |
A |
Anti-B |
22 % |
B |
B |
Anti-A |
33 % |
AB |
A และ B |
- |
8 % |
O |
H |
Anti-A และ anti-B |
37 % |
คนที่มีหมู่เลือด เอ จะมีแอนติเจน A อยู่ที่ผิวของเม็ดเลือดแดง และมีแอนติบอดีต่อ B อยู่ในซีรั่ม (น้ำเหลือง)
คนที่มีหมู่เลือด บี จะมีแอนติเจน B อยู่ที่ผิวของเม็ดเลือดแดง และมีแอนติบอดีต่อ A อยู่ในซีรั่ม (น้ำเหลือง)
ดังนั้นซีรั่มของคนหมู่เลือด เอ จะทำให้เม็ดเลือดแดงของคนหมู่เลือด บี เกิดการจับกลุ่ม
กลับกันซีรั่มของคนหมู่เลือด บี จะทำให้เม็ดเลือดแดงของคนหมู่เลือด เอ เกิดการจับกลุ่ม
คนหมู่เลือด เอบี มีแอนติเจนทั้ง A และ B อยู่บนเม็ดเลือดแดง ส่วนในซีรั่มจะไม่มีแอนติบอดีต่อแอนติเจน A และทั้งแอนติบอดีต่อแอนติเจน B
คนหมู่เลือด โอ บนเม็ดเลือดแดงไม่มีทั้งแอนติเจน A และแอนติเจน B แต่ในซีรั่มจะมีทั้งแอนติบอดีต่อแอนติเจน A และแอนติเจน B
Sub group ที่สำคัญทางการแพทย์คือ sub group A (หมู่เลือดย่อย) โดยส่วนใหญ่ของคนหมู่เลือด เอจะเป็น subgroup A1 รองลงมาเป็น subgroup A2 ส่วน subgroup A3, A4, Am, Ax พบได้น้อยมากๆ บนผิวเม็ดเลือดแดงของ subgroup A1 จะมีแอนติเจนทั้ง A1 และ A2 เมื่อทำปฏิกิริยา กับ Anti-A sera จะเกิดการจับกลุ่มได้ดี ส่วนเม็ดเลือดแดงของ subgroup A2 บนผิวเม็ดเลือดแดงจะมีแอนติเจน A2เพียงอย่างเดียว เมื่อทำปฏิกิริยากับ Anti-Asera จะจับกลุ่มได้ไม่ดีนัก (ขนาดตะกอนกลุ่มเล็กกว่าแบบ A1)
H Antigen เป็นแอนติเจนที่พบได้บนผิวเม็ดเลือดแดงทุกหมู่ แต่จะมีปริมาณมากที่สุดบนผิวเม็ดเลือดแดงหมู่ โอ โดยแอนติเจน H เป็นสารต้นกำเนิดของทั้งแอนติเจน A และแอนติเจน B โดยที่ A gene และ B gene มีหน้าที่กำหนดให้มี enzyme A transferase และ B transferase ซึ่งจะไปทำปฏิกิริยากับแอนติเจน H ให้เปลี่ยนไปเป็นแอนติเจนA และ แอนติเจน B
บนผิวของเม็ดเลือดแดงหมู่ A ซึ่งจะมีแอนติเจน A และแอนติเจน H ส่วนบนผิวของเม็ดเลือดแดงหมู่ B จะมีแอนติเจนB และแอนติเจน H บนเม็ดเลือดแดงหมู่ AB จะมีทั้งแอนติเจน A แอนติเจน B และแอนติเจน H บนเม็ดเลือดแดงหมู่ โอ จะมีแต่แอนติเจน H เพียงอย่างเดียว
ส่วนของแอนติเจน H จะถูกควบคุมโดย gene H และ gene h โดยที่ HH และHh genotype จะกำหนดให้มีแอนติเจน H บนผิวของเม็ดเลือดแดง ส่วน hh genotype จะกำหนดให้ไม่มีแอนติเจน H บนผิวเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นไม่มีทั้งแอนติเจน A หรือแอนติเจน B ไปด้วย แม้ว่าจะมี ABO genotype เป็นAA, AO, BB, BO, AB ก็ตาม ดังนั้นเมื่อนำเม็ดเลือดแดงของคนที่มีลักษณะ hh genotype มาทำปฏิกิริยากับแอนติบอดีต่อ A ( anti-A sera) หรือกับแอนติบอดีต่อ B (anti-B sera) จะไม่เกิดตะกอนการจับกลุ่มขึ้น ทำให้ดูเหมือนว่าคนๆนั้นเป็นหมู่เลือด O ลักษณะดังกล่าวจัดเรียกว่า เป็นหมู่เลือดชนิด Bombay หรือ( group O Bombay / Bombay phenotype)
แอนติเจน A แอนติเจน B และแอนติเจน H นอกจากจะปรากฏอยู่บนเม็ดเลือดแดงแล้ว ยังมีอยู่บน epithelial cell , endothelial cell และละลายอยู่ในซีรั่ม น้ำลาย น้ำย่อยในกระเพาะ น้ำย่อยจากตับอ่อน และเหงื่อ
คนส่วนมากจะมีแอนติเจนดังกล่าวละลายอยู่ในซีรั่มหรือน้ำคัดหลั่งต่างๆ เรียกบุคคลเหล่านี้ว่า Secretor
คนส่วนน้อยไม่มีแอนติเจนดังกล่าวละลายอยู่เรียกว่าเป็น non-secretor Allele ที่ควบคุมการเป็นsecretor หรือ non-secretor คือยีน Se gene และ se gene โดยที่ Se/Se และ Se/se genotype จะแสดงลักษณะเป็น Secretor se/se genotype จะแสดงลักษณะเป็น non-secretor
แอนติเจนที่ละลายอยู่ในซีรั่มหรือน้ำคัดหลั่ง กับแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงของคนๆหนึ่งจะตรงกันเช่น secretor ที่มีหมู่เลือด เอ ในซีรั่มและน้ำคัดหลั่งจะมีแอนติเจน A และแอนติเจน H อยู่ จะไม่มีแอนติเจน B
หลักการให้เลือด
ถ้าเรียนวิทยาศาสตร์ มาสมัยมัธยม จะมีหลักว่าเลือดของผู้ให้ จะต้องไม่มี Antigen ที่ผู้รับ มี Antibody นั้นดังนั้น คนหมู่เลือด O ซึ่งไม่มี Antigen และAntibody สามารถให้เลือดได้ทุกหมู่เลือด แต่จะสามารถรับได้เฉพาะหมู่เลือด Oเท่านั้น ส่วนคนที่มีหมู่เลือด AB ไม่ควรให้เลือดแก่หมู่อื่นทั้ง A, B และ O เพราะมี Antigen ทั้งA, B ถ้าให้แก่ผู้รับอาจจะเกิดการตกตะกอนของเลือดได้ แต่หมู่AB สามารถรับเลือดได้ทุกหมู่
แต่ในความเป็นจริง เวลาแพทย์จะให้เลือด จะต้องตรงหมู่กันเท่านั้น (ยกเว้นกรณีฉุกเฉินจำเป็นจริงๆ เท่านั้นจึงเลือกใช้เลือดอย่างที่บอกไว้ข้างบน) เนื่องจากถ้าถ้าเป็นเลือดต่างหมู่ อาจจะทำปฏิกิริยากัน ทำให้เกิดการแตกของเม็ดเลือดได้
ยกตัวอย่างเช่น คนเลือด หมู่ AB รับเลือด หมู่ A มา แม้ว่า ตัวเองไม่มี Antibody A ไปทำลายเม็ดเลือดที่รับมา แต่ในน้ำเลือดคนให้มา จะมี Antibody B ซึ่งจะปฏิกิริยากับ Antigen ของตัวเองได้แม้แต่เลือดหมู่เดียวกัน ก็ยังมีโอกาส เป็นได้เช่นกัน แต่น้อยกว่า ดังนั้นก่อนให้เลือด จึงต้องเอาเลือดทั้งสองฝ่าย มาตรวจสอบความเข้ากันได้ก่อน (Group matched) ดังนั้นคนที่เลือดหมู่ AB ซึ่งน่าจะดี ที่รับเลือดได้ทุกหมู่ กลับหาเลือดยากเนื่องจาก เลือดหมู่นี้มีอยู่ไม่ถึง 5 % ของประชา กรทั้งหมด เวลาต้องหาหมู่เดียวกันตอนให้เลือด จึงหายากหน่อย ไม่ดีดั่งที่คิด
พ่อ แม่หมู่เลือดใด จะมีลูก ที่มีเลือดหมู่ใดได้บ้าง
ให้นึกภาพว่ายีน ของคนนั้นจะมีสองอันประกบกันเป็นคู่ อันนึงได้จากแม่ อีกอันได้จากพ่อ และจะแยกตัว ออกเป็นสองข้าง ในเซลล์สืบพันธ์ เพื่อไปจับคู่กับอีกครึ่งหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม
ลักษณะของยีน ในหมู่เลือดต่างๆ (โดยยีนนั้นเป็นตัวกำหนดให้ร่างกายสร้าง Antigen นั้นๆบนผิวเม็ดเลือดแดง)
Group A = มียีน AO หรือ AA
Group B = มียีน BO หรือ BB
Group AB = มียีนAB
Group O = มียีน OO
ทีนี้มาดูว่า พ่อกับแม่ แม่หมู่ใด ให้ลูก หมู่ใด ได้บ้าง
กรณีที่ 1 ทั้งสองฝ่าย group A เหมือนกัน จะเป็นได้ดังนี้ \ |
กรณีที่ 2 ทั้งสองฝ่ายหมู่ B เหมือนกัน
|
กรณีที่ 3 ทั้งสองฝ่ายเป็น AB เหมือนกัน จะเป็นดังนี้
|
กรณีที่ 4 ทั้งสองฝ่ายหมู่ O เหมือนกัน จะได้ ดังนี้
|
กรณีที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง Group A อีกฝ่ายหมู่ B จะเป็นได้ดังนี้
|
กรณี 6 ฝ่ายหนึ่งหมุ่ A อีกฝ่าย AB จะเป็นได้ดังนี้
|
กรณีที่ 7 ฝ่ายหนึ่ง AB อีกฝ่าย B จะเป็นได้ดังนี้
|
กรณีที่ 8 ฝ่ายหนึ่ง หมู่ AB อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้
|
กรณีที่ 9 ฝ่ายหนึ่ง หมู่ A อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้
|
กรณีที่ 10 ฝ่ายหนึ่ง หมู่ B อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้ |
สรุปจากทั้งสิบกรณี ข้างบนมาให้ดูง่ายๆคือ
คนหมู่เลือด A +A = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,O
คนหมู่เลือด B+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด B,O
คนหมู่เลือด AB+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B (ได้ทุกหมู่ ยกเว้น O)
คนหมู่เลือด O+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด O เท่านั้น
คนหมู่เลือด A+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด เป็นได้ทุกหมู่
คนหมู่เลือด A+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B(ได้ทุกหมู่ ยกเว้น O)
คนหมู่เลือด B+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B(ได้ทุกหมู่ ยกเว้น O)
คนหมู่เลือด AB+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด ได้ A หรือ B
คนหมู่เลือด A+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ O
คนหมู่เลือด B+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด B หรือ O
คนหมู่เลือด A+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A.,B,AB,O
แต่ถ้าเราสามารถระบุไปถึง ระดับยีนได้ ว่าเป็นตัวไหน ก็พยากรณ์ได้แคบลงตามตัวอย่างข้างบน (อาจจะดูได้โดยดูจากประวัติครอบครัว เช่น คนที่ หมู่ A หรือ หมู่ B ที่มาจาก พ่อแม่ ที่เป็น AB +AB ย่อมเป็น หมู่A ที่มี ยีน AA หรือ หมู่ B ที่มียีนBB เป็นต้น
"Blood Group" ปกติหมู่เลือดจะรายงานผลออกมา เป็นสองระบบคือ
ABO System และ Rh System โดยจำแนกตาม Antigen บนเม็ดเลือดแดงที่มีอยู่
ในระบบ ABO จะแบ่งออกได้ สี่หมู่คือ A , B , AB และ O (หมู่ O พบมากสุด, A กับ B พบพอๆกัน และ AB มีน้อยที่สุด)
ในระบบ Rh จะรายงาน ได้เป็นสองพวก
+ve หรือ Rh+ve คือพวกที่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พวกนี้พบได้มากเกือบทั้งหมดของคนไทยเป็นพวกนี้
-ve หรือ Rh-ve คือพวกที่ไม่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พวกนี้พบได้น้อยมาก
คนไทยเราพบเลือดพวกนี้ แค่ 0.3% เป็นพวกที่บางครั้งเรียกว่า ผู้มีโลหิตหมู่พิเศษ จะพบได้มากขึ้นในชาวไทยซิกข์ (แต่ในคนพวกนั้น แม้ว่าจะมี Rh-ve มากกว่า คนไทยปกติ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นพวก Rh +veอยู่ดี)
ตัวอย่างการรายงานกลุ่มเลือดเช่น
A+ve คือเลือดหมู่A Rh+ve ตามปกติ
AB -ve อันนี้เป็น หมู่ AB และ เป็นหมู่เลือดพิเศษ Rh-ve ซึ่งหายากที่สุด
ปกติ AB ในคนไทยพบน้อยกว่า 5% ถ้าเป็น AB-ve นี่ พบแค่ 1.5 คนใน หมื่นคนเท่านั้น
การทดสอบก่อนการให้เลือด
1 - การตรวจหาหมู่เลือด ทั้งของผู้รับ (Receipt) และผู้ให้ (Donor) ประกอบด้วย
- Cell grouping หรือ Direct grouping คือการเอาเม็ดเลือดแดงที่ต้องการทดสอบมาทำปฏิกริยากับซีรั่มมาตรฐานที่มี Anti-A และซีรั่มมาตรฐาน
ที่ มี anti-B อยู่ มาผสมกันและดูการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดงในซีรั่มทั้งสองชนิด
- Serum grouping หรือ Indirect grouping เป็นการตรวจหา anti-A และ Anti-B ในซีรั่ม โดย การตรวจกับเม็ดเลือดแดงที่ทราบหมู่ที่แน่นอนทั้ง หมู่ A, B , O ควรทำไปพร้อมกับแบบ cell grouping เพื่อเพิ่มการยืนยันหมู่เลือด ป้องกันการผิดพลาด
เมื่อนำข้อมูลการทดสอบทั้งวิธี cell grouping และ serum grouping มาแปลผลควรได้ผลตรงกัน
ตามตารางดังต่อไปนี้
Cell grouping |
Serum grouping |
การแปลผลหมุ่เลือด |
|||
Anti-A |
Anti-B |
Cell gr.A |
Cell gr.B |
Cell gr.O |
|
+ |
- |
- |
+ |
- |
หมู่เลือด A |
- |
+ |
+ |
- |
- |
หมู่เลือด B |
- |
+ |
- |
- |
- |
หมู่เลือด AB |
- |
- |
+ |
+ |
- |
หมู่เลือด O |
หมายเหตุ + หมายถึงมีการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดง / - หมายถึงไม่มีการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดง
2. การตรวจความเข้ากันได้ของเลือดผู้รับและเลือดผู้ให้ (Cross matching)
ถึงแม้ว่าการหาหมู่เลือดจากข้อ 1 พบว่าเป็นหมู่เลือด ABO หมู่เดียวกันแล้วก็ตาม แต่ก่อนการให้เลือด (Blood transfusion) ก็จำเป็นต้องทำ Cross matching หรือ compatibility test อีก เพราะผู้รับอาจมีแอนติบอดีต่อหมู่เลือดอื่นที่เราไม่ได้ทำการทดสอบ โดยเฉพาะผู้ที่เคยได้รับเลือดมาแล้วหรือหญิงที่ผ่าน การคลอดบุตรมาแล้ว การทำการทดสอบประกอบด้วย
- Major cross matching
คือการทดสอบระหว่างเม็ดเลือดแดงของผู้ให้(Donor) กับซีรั่มของผู้รับ (Receipt)
เพื่อตรวจหาว่าในซีรั่มของผู้รับมีแอนติบอดีต่อแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงของผู้ให้ที่นอกเหนือไปจากABO antigen หรือไม่
- Minor cross matching
คือการทดสอบระหว่างซีรั่มของผู้ให้(Donor) กับเม็ดเลือดแดงของผู้รับ (Receipt)
เพื่อตรวจว่าในซีรั่มของผู้ให้มีแอนติบอดีต่อแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงของผู้รับนอกเหนือไปจากระบบABO antigen หรือไม่
เลือดที่จะนำมาให้ผู้รับได้จะต้องไม่เกิดการจับกลุ่ม ตกตะกอน(hemaglutination) ใดๆทั้งสิ้นทั้งในส่วนของ major และ minor cross matching(นอกจากนั้นยังต้องมีการตรวจความปลอดภัยของเลือดที่จะให้อื่นๆอีกด้วยเช่น ต้องไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี / ซี เชื้อไวรัสเอดส์ กามโรค VDRL อื่นๆที่อาจติดต่อได้เป็นต้น)
- Indirect Coombs' test
แม้ว่าจะไม่มีการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดงในการทำ cross matching แล้วก็ตาม ก็ยังมิได้หมายความว่า ในซีรั่มของผู้รับและในซีรั่มของผู้ให้จะไม่มีแอนติบอดีดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะแอนติบอดีอาจเป็น ชนิดที่ไม่สามารถทำให้เม็ดเลือดแดงจับกลุ่มก็ได้ สำหรับการทดสอบนี้เป็นการทดสอบเพื่อหา incomplete antibody ต่อแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดง (ที่จะให้)ในซีรั่มของผู้รับ ด้วยการเอาซีรั่มผู้รับมาทำปฏิกิริยากับเม็ดเลือดแดงของผู้ให้ก่อน ล้างเม็ดเลือดแดงที่เข้าด้วยกันแล้ว นำมาเติมCoombs' reagent ลงไป ถ้ามีการจับกลุ่มของเม็ดเลือด แสดงว่าในซีรั่มผู้รับมี incomplete antibody ต่อแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดง ที่จะให้ หมายความว่าเลือดนั้นไม่เหมาะสมที่จะใช้เลือดดังกล่าว ได้
เครดิต http://pirun.ku.ac.th/~b5141038/Section%201.htm
ป.ล.และที่ ฉันบอกว่า มันเป็นความเชื่อ ผิด เพราะอะไร รู้ไหม
ความคิดเห็น