ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    One Boy Three Girls in love รักสี่เศร้า ของหนึ่งเขาและสามเธอ

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 ปล่อยตัว

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 56


    ตอนที่ 3 ปล่อยตัว

     

     

    หลังจากที่เราเหน็ดเหนื่อยกับติวเข้มกันแทบทุกวัน เป็นเรื่องธรรมดาของสถาบันเราก่อนสอบหนึ่งเดือนจะเป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาที่หายหน้าหายตาไม่เคยเข้าเรียนจะมาโผล่หน้ามาให้อาจารย์เห็นเพื่อรอฟังแนวข้อสอบและที่สำคัญเพื่อจะมาฟังตารางติวต่างๆ จากพวกมันสมองของภาควิชา วันนี้เป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้าย และเป็นการใช้ชีวิตนักศึกษาปี 2 วันสุดท้ายด้วยเช่นเดียวกัน จะว่าโล่งอกที่สอบเสร็จก็ไม่ใช่ซะทีเดียวเพราะว่าตลอดช่วงเวลาสอบที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันจะยิ้มออกจากห้องสอบ เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะไอ้คำถามของอาจารย์มันไม่เคยจะตรงกับที่ฉันอ่านมาเลยนะซิ แถมบางข้อก็เหมือนจะคิดออก แต่ดันติดนู้นนี่นั้นอีก โอ้ยย อกอีตูนจะแตก
     

    “ที่อ่านมาทำไมไม่ออก ...อาจารย์จะไม่อออกทำไมไม่บอก.” เสียงเพลงที่เป็นที่คุ้นหู เมื่อออกจากห้องสอบ ก็เพลงนี้เป็นเพลงที่ร้องเพื่อประชดอาจารย์ และใช้บรรยายความอนาถของพวกเราชาวทำข้อสอบไม่ได้ได้เป็นอย่างดี แต่บางคนออกมาจากห้องสอบชอบมาคุยกัน ข้อนี้ทำยังงั้น ข้อนั้นทำอย่างนี้ แต่ผลสอบออกมาแย่กว่าพวกเราซะอีก และจะมีอีกพวกที่ชอบบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้เลยแต่..ผลสอบออกมาทีไร พวกนี้แหละพวกเหยียบให้ฉันตกมีนทุกวิชา มีนคืออะไรนะเหรอก็ไอ้ค่าเฉลี่ยคะแนนที่เอาคะแนนที่เราทำได้ทั้งหมดหารด้วยจำนวนพวกเรา และแน่นอนฉันไม่ค่อยได้เข้าไปสัมผัสกับไอ้มีนบ้าบอนี่สักเท่าไหร่หรอก

     

    “โอ้ดิฟอีควาย มันจะฆ่าเราทั้งเป็นใช่มะ ไม่รู้จะตั้งโจทย์ขึ้นมาทำไมซับซ้อนซ่อนเงื่อน” ดิฟอีควายคือชื่อเรียกตามคุณสมบัติความยากของวิชาดิฟเฟอร์เรนเชียว อิเควชั่น ซึ่งเป็นวิชาเลขตัวหนึ่งที่ยากมาก “ไอ้ตูนเป็นไงทำได้ปล่าวแก”

     

    “ฮื่อ” ฉันส่ายหัวเป็นสัญลักษณ์ว่าฉันเองก็ทำไม่ได้ และไม่ได้ทำเป็นบางข้อเหมือนแกนะแหละไอ้เพื่อนยาก “มันจะดิฟไปทำไมสามสี่ชั้นวะ อยากจะรู้จริงว่าให้เราเรียนไปเนี้ยเอาไปใช้ทำไรวะ”

     

    “เออดิ ถ้ามันสามารถช่วยดิฟไขมันในร่างกายฉันได้นะ ฉันจะตั้งใจศึกษามันอย่างถ่องแท้เลยแก” เพื่อนสาวร่างท้วมของฉันสบัดไขมันต้นแขนโชว์ความใหญ่และย้อย


    ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

    “ดี...ว่าไงท่านอาจารย์ที่เคารพ” ฉันรับโทรศัพท์เสียงเฉี่อย และประชดท่านอาจารย์ผู้ที่ช่วยติววิชาสุดหินนี้

     

    “เฮ้...การ์ตูนเป็นไงทำได้เปล่า” ปลายสายเสียงสดใสเหมือนเคย มันคงจะโทรมาอวดว่า การทำข้อสอบของมันผ่านไปได้อย่างง่ายดาย และที่สุดคือมันทำได้ และดีอย่างแน่นอน

     

    “คิดว่าไงละ”
     

    “ฉันก็คิดว่า แก  ต้อง ทำ ไม่ ได้ อย่าง แน่ นอน” เสียงเน้นแต่ละคำในประโยค เป็นการเยอะเย้ยให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวดวงใจอย่างแสนสาหัส หลังจากประโยคนั้นฉันเงียบไปสักพักเพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ว่าตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ให้ใครมาเยอะเย้ย ถากถางทั้งนั้น “เฮ้ย การ์ตูนคิดมากเหรอวะ”


    “เออ คิดมากดิ”
     

    “เฮ้ย จริงดิ อย่าคิดมากไปเลยเห้ย” ปลายสายเป็นเป็นน้ำเสียงเป็นห่วงขึ้นมาทันที “ปกติไม่เคยคิดมากนิ แล้วทำไมครั้งนี้ดูเครียดวะ”

     

    “จะไม่ให้เครียดได้ไงละแก ก็เมื่อวานดันลืมจองโต๊ะที่เคลิ้มไว้อะดิ” ฮึฮึ สิ่งที่ฉันกังวลจริงๆ ไม่ใช่เรื่องผลการสอบ แต่ฉันดันลืมโทรจองโต๊ะร้านเหล้าเจ้าประจำนะสิ เรื่องอะไรฉันต้องไปคิดมากกะเรื่องคะแนนสอบที่ยังมาไม่ถึงด้วย ไอ้ตูนเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันโว้ย “ทำไงดิอะแก คนต้องเยอะแน่ๆ เลยวะ ถ้าไม่มีโต๊ะนั่งทำไงดีวะเนี้ย วันนี้ทุกคณะสอบเสร็จพร้อมกันหมดเลยด้วย”

     

     “การ์ตูน สมองแกเคยคิดเรื่องที่เป็นประโยชน์บ้างมะ ห๊า” น้ำเสียงเรียบๆ แต่เน้นสูงในคำสุดท้าย แผงไปด้วยความถดท้อในดวงหฤทัย

     

    “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันวางละ จะรีบโทรไปจองโต๊ะโว้ยย แค่นี้นะเจอกันที่ห้อง เอออย่าลืมซื้อกับข้าวที่ เคเอฟซี กลับห้องด้วยละ กินข้าวคนเดียวไปนะแก ฉันต้องไปเอาใจเอมมี่ก่อนเดี๋ยวอดไปดริ๊งวะ แล้วเย็นๆ รีบกลับ บายยยย” ฉันไม่รอการตอบรับจากปลายสาย รีบกดตัดสาย และรีบต่อสายไปยังร้านเหล้าเจ้าประจำ “เห้ย ไปละ เย็นนี้เจอกันวะ”

     

    นี่ถือเป็นอีกธรรมเนียมที่เราชาวมดทำกัน ฉันเองก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกนะว่าเป็นธรรมเนียมรึเปล่า แต่หลังจากเคร่งเครียดกับการสอบจนเสร็จ ร้านเหล้าหลังมหาลัยคือพื้นที่ๆ พวกเราใช้เป็นที่ระบายความเครียดโดยเฉพาะเราชาวอุตสาหการถือเป็นเจ้าประจำและเจ้าถิ่นเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นวันเกิดเพื่อน วันที่เผลอเสียตัว หรือวันที่อยากมั่วกับแฟนชาวบ้าน ที่นั้นเป็นที่ๆ เราใช้ปลดปล่อยอารมณ์ได้ดีที่สุด แถมเจ้าของร้านที่เราได้เข้าไปทำความสนิทสนมก็มอบส่วนลดให้ขาประจำอย่างเราเพียบ

     

    “เพิ่งกลับเข้ามา แล้วนี่จะรีบออกไปแล้วเหรอวะ”   คนถามไม่ละสายตาจากหนังสือในมือ

     

    “เออดิ ดึกแล้วเดี๋ยวตามพวกนั้นไม่ทัน นี่ก็กว่าจะปลีกตัวออกมาจากเอมมี่ได้แทบตาย จะไปกับฉันให้ได้อยู่นั้นแหละ จนฉันต้องบอกว่าไม่ได้นะที่นั้นเบียดกันจะตาย ตูนไม่อยากให้ใครเข้าใกล้แฟนของตูนตูนหวง เท่านั้นแหละเจ้าหล่อนนี่เขินตัวม้วมเชียว ฉันเลยหนีออกมาได้”

     

    ฉันส่ายหัวเมื่อเอ๋ยถึงแฟนสาวที่ทั้งรั้ง ทั้งทึ้งฉันไม่ยอมให้ออกมาจากเจ้าหล่อนง่ายๆ

     

     “เออ แล้วแกไปด้วยกันเปล่า สอบเสร็จแล้วเอาแต่อ่านหนังสืออยู่ได้ พวกเครื่องกลนี่ทำตัวเหมือนเครื่องจักรกลจริงๆ”
     

    “ไปให้มีเรื่องรึไงวะ เมามาคงไม่คิดว่าฉันเป็นฉัน คงได้เหมารวมว่าฉันเป็นเด็กเครื่องกลอีก” ฉันขำออกมาเบาๆ กับคำพูดและท่าส่ายหัวของเพื่อนร่วมห้องมันชวนคิดภาพที่เคยมีเรื่องคล้ายๆ ที่มันพูด  “อย่าเมามากละ และอย่าปิดโทรศัพท์ จะกลับก็ให้รีบโทรมาบอก เข้าใจ๋”

     

    “เออโว้ย ...ไม่ไปด้วยกันแน่นะ” ฉันแกล้งชวน

     

    “เออ อย่าดึกมากละ”

     

    ฉันกับไนท์ไม่ค่อยได้มีโอกาสเที่ยวกลางคืนหรือเรียกง่ายๆ ว่าดื่มเหล้าด้วยกันสักเท่าไหร่ ทุกครั้งฉันก็จะไปกับเพื่อนในภาควิชาของฉัน  ไนท์เองก็จะไปกับเพื่อนในภาควิชาเช่นเดียวกัน และแน่นอนว่าเราทั้งสองภาควิชาไม่สามารถและห้ามโคจรมาเจอกันที่ร้านเหล้าโดยบังเอิญได้ เพราะรสนิยมของสองภาคต่างกัน ภาควิชาที่ฉันเรียนอยู่จะเน้นการดื่มหนักจนเมา ดังนั้นค่าเหล้าของร้านก็จะต้องไม่แพง ส่วนภาควิชาของไนท์จะเป็นพวกดื่มนิดหน่อยเพื่อนหย่อนเบ็ดสาวๆ ให้ติดเหยื่อ ดังนั้นพวกเขาจะไปร้านหรู เหล้าราคาแพง และที่สำคัญที่สุดสองภาควิชานี้เจอกันเป็นไม่ได้ต้องมีเรื่องชกต่อยกันอย่างแน่นอน  ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันเราทั้งสองภาควิชาอย่าได้เจอะเจอกันเลยดีกว่า แต่ที่น่าแปลกที่คือสาวๆ ภาควิชาฉันจะต้องมีแฟนเป็นเด็กภาคเครื่องกลกว่าครึ่ง อย่างที่คำโบราณเค้าว่าไว้เกลียดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น

     

    “ตูน ร้านจะปิดแล้วพี่ต้องเคลียร์ตังค์ละนะ” เจ้าของร้านคนสนิทเดินเข้ามาสะกิดฉันที่กำลังเมามันกับการเคียรคลอสาวน้อยที่ฉันเพิ่งเจอในร้าน

     

    “เห้ย นี่ร้านจะปิดแล้วเหรอ โด๋...ไรเนี้ยเพิ่งมาเองยังไม่ทันจะเมาเลย เฮียขอต่ออีกได้ปะ ชั่วโมงหนึงนะ”

     

    “อยากให้ร้านเฮียโดนปิดรึไงไอ้ตูน เราเคียร์ตังให้เฮียด่วน” ทุกครั้งที่พวกเรามาดื่มกันเรื่องเงินๆ ทองๆ จะเป็นหน้าที่ฉันจัดการทุกที เพราะพวกเพื่อนสุดเลิฟของฉันมันบอกว่าฉันเมาแล้วขี้อ้อนขอส่วนลดได้ง่าย

     

    “เดี๋ยวตูนเรียกสติก่อนเฮีย 1234 จุ๊ๆ” ฉันตบหน้าตัวเองเบาๆ สี่ครั้ง เพื่อเรียกสติกลับคืนมา จากนั้นฉันก็เริ่มเก็บเงินจากเพื่อนๆ ที่ยังพอมีสติ มีบางคนที่ไม่มีสติพวกมีสติก็ต้องควักตังค์ตัวเองออกไปก่อน ส่วนพวกขากลับก่อนเป็นประจำจะให้เงินฉันไว้ก่อนที่พวกมันจะเมาเละ ดังนั้นเรื่องเก็บเงินจึงไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับพวกเรา “อะเฮียทั้งหมดห้าพัน อีกสามร้อยขอนะ”

     

    “ทุกทีเลยนะเรา เฮียไม่เคยได้หลักร้อยจากพวกเราเลยนะเนี้ย” เจ้าของร้านคนสนิทบ่น แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มกริ่มๆ “เออ จะกลับกันรึยัง เอาไง ให้เฮียโทรบอกไนท์ให้เลยมัย”

     

    “วานด้วยนะเฮีย ตูนขอจัดการขวดนี้ให้หมดก่อน” ฉันมองไปที่ขวดกลมๆ ที่มีน้ำสีเหลืองอ่อนอยู่เกือบครึ่ง ฉันและเพื่อนอีกสองคนต้องรีบกำจัดมันให้หมดก่อนที่เราจะแยกย้าย จากนั้นไม่นานเพราะไอ้ครึ่งขวดนั้นทำให้อาการกรึ่มๆ ของฉันกลายเป็นอาการเมาแอ๋ และไอ้สติของฉันเรียกเท่าไหร่มั๊นก็ไม่ยอมกลับเข้าร่างซะที

     

    “เฮ้ ไอ้เซนแกสูงไปปะวะปวดแขนวะ เอาไหล่ลงมาดิ” ฉันกับไอ้เซนเพื่อนร่วมอุดมการณ์นั่งกอดคอกันเมาอยู่นอกร้าน แต่เหมือนว่าฉันจะเมากว่ามันอยู่เล็กน้อย เอะ ไม่ซิมากเลยทีเดียว เพราะมันยังมีสติควบคุมฉันได้อยู่ 

     

    “เห้ยย ดีดีดิ นั่งตรงๆ ดิวะเห้ย มานี่มา” ตอนนี้โลกมันหมุนไปหมด แล้วจะให้ฉันนั่งตรงๆ ได้ไงวะเอียงๆ ของแกปะวะ  ช่วงจังหวะไอ้คำว่า มานี่มา ของไอ้เซนมันได้ดึงร่างไร้สติของฉันไปนั่งบนขาข้างซ้ายของมัน ส่วนฉันก็คอพับ คอเหวี่ยงไปตามไหล่และหน้าอกของมัน ถึงแม้ว่าฉันไม่ค่อยจะมีสติแต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ไอ้เซนมันเกร็งสุดๆ ก็ตัวมันแข็งทื่อ เสียงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อแตกพลั่ก มือไม้สั่น สงสัยว่าไอ้เซนจะเมาหนักเหมือนกันนะเนี้ย “ไอ้ตูน แกเป็นผู้หญิงนะโว้ย ทำอย่างนี้มัน...มัน เห้อออ”

     

    “เฮ้ เซนทำไรวะ” เสียงคุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง

     

    “เปล่าๆ ฉันไม่ได้ทำไรนะโว้ย” เซนชูสองมือขึ้นเหนือหัว “ไนท์มาก็ดีแล้ว รีบเอาตัวมันออกไปเลยนะ”

     

    ไร้เสียงตอบรับใดๆ แต่ฉันรู้สึกได้ว่าตอนนี้ร่างกายของฉันถูกถ่ายโอนขึ้นมาบนหลังที่ฉันคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก มันยังอบอุ่น และทำให้ฉันสบายใจเหมือนเดิม เวลาผ่านไปนาน ตอนนี้เราถึงหอพักแล้วก็ยังไม่มีเสียงจากคนที่แบกฉัน มันดูแปลกๆ พิกล ปกติแล้วผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อนบ่นฉันเวลาทำผิด ตอนนี้ฉันเมาขนาดนี้แต่ไร้ซึ่งเสียงบ่น ทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันเมาจนขาดสติ แต่กับเรื่องผู้ชายคนนี้ถึงไม่มีสติยังไงฉันก็รับรู้ถึงความรู้สึกผิดปกติของเขาได้ ถึงแม้ว่าหลายครั้งฉันจะไม่รู้ถึงสาเหตุเลยก็ตาม หลังจากที่ฉันได้รับความเย็นจากผ้าที่ไนท์เช็ดตัวให้ ฉันก็เริ่มมีสติที่จะถามคนที่นิ่งเงียบมาตลอด

     

    “ไนท์ ฉันมีอะไรจะบอกนายวะ” เสียงของร่างที่ฉันเพิ่งผละออกมาตะโกนเรียกไนท์ ทำให้คนที่โดนเรียกหยุด แต่ไม่ได้หันหลังกลับไปมองหน้าคนพูด “ฉันชอบไอ้ตูนวะ ชอบ...ชอบตั้งแต่แรกเจอ ถึงแม้ว่าฉันรู้ว่าดีมันไม่มีทางชอบฉัน เออ คือ  ฉันแค่อยากจะบอกนาย ก็แค่นั้น”

     

    เสียงนกแข่งกันส่งเสียง แสงแดดแข่งกันแยงตาฉัน บ่งบอกให้รู้ว่าถึงเวลาทีฉันต้องตื่นแล้ว แต่ไอ้แอลกอฮอล์ทีฉันส่งมันลงท้องไปเมื่อคืนเป็นเหตุทำให้หัวฉันในตอนนี้เหมือนจะระเบิดมันทำให้ฉันลุกไม่ไหวจริงๆ แต่จะให้ฉันนอนอยู่กับกลั่นเหล้าอยางนี้คงไม่ได้ ฉันบังคับตัวเองเข้าห้องน้ำเพื่อกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกจากร่างกาย และนั้นมันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น และเดินตามกลิ่นหอมของอาหารซึ่งฉันเดาว่าต้องเป็นข้าวต้มฝีมือไนท์เป็นแน่ แต่พอฉันพาร่างออกไปนอกห้องนอนหน้าของพ่อครัวก็ยับเป็นตูด

     

    “ไนท์ เป็นไรวะ”

     

    “เปล่า” เสียงตอบที่ทำให้อุณหภูมิภายในห้องเย็นเกือบจะทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง

     

    “เครียดเรื่องสอบเหรอ”

     

    “เปล่า” เสียงยังเรียบเย็น

     

    “รึว่าทะเลาะกับแอม”

     

    “เปล่า” เจ้าของเสียงเรียบเย็นเดินไปที่ระเบียงกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่กำลังลอยมาหาฉัน

    “ไปอาบน้ำ”

    “อาบแล้วถึงออกมาเนี้ย ว่าแต่ ฉันว่าแกต้องเป็นอะไรแน่ๆ” ความรู้สึกฉันบอกว่าตอนนี้ไนท์ต้องมีอะไรที่ทำให้เค้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก  “เป็นไรๆ บอกมาเลยแก”
     

    “บอกว่าไม่มีอะไรไงวะ อย่าเซ้าซี่ได้มะ” เสียงเรียบเย็นกลายเป็นเสียงตะคอก

     

    “เห้ย นี่แกเป็นไรวะ ใครทำอะไรให้แกไม่พอใจ เรื่องอะไรที่แกไม่สบอารมณ์ เออฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ยุ่ง แต่ที่ฉันถามเพราะแกเป็นเพื่อน เอ้าบอกมาเพื่อนใครทำอะไรให้แกไม่พอใจเดี๋ยวไอ้ตูนคนนี้จัดการให้เอง”

     

    ไม่มีเสียงตอบกลับ สายตาราวกับสิงโตที่จ้องจะซัดศัตรูที่กล้าย่ำกลายเข้ามาในถิ่นของมัน เจ้าของสายตากำลังดินเข้าใกล้ฉันเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นี่มันฉากในหนังฆาตรกรโรคจิตรึไงวะเนี้ย ทำไมมันลุ้นระทึก และมันน่ากลัวอย่างนี้  และแล้วไหล่ของฉันถูกสองมือแข็งแรงของฆาตากรบีบอย่างแรง

     

    “แกอยากรู้ใช่มัยว่าใครที่ทำให้ฉันไม่พอใจ” เสียงหนัก กับสายตาที่จ้องมาที่ฉัน โอ้ม่ายยย ฉันคือรายต่อไปแหง

     

    “เออ...แต่ตอนนี้ปล่อยไหล่ก่อนได้ปะวะ เจ็บนะโว้ยย” ฉันพูดไปก็เท่านั้นมือทั้งสองไม่มีท่าทีว่าจะไปจากไหล่ของฉันเลย

     

    “แกไงละ ไอ้การ์ตูน” เสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความดุดัน เหมือนความสงบที่มาก่อนจะเกิดคลื่นพายุ

     

    “เห้ยย ฉันเนี้ยนะ ฉันไปทำอะไรให้แก๊ อ๋อ ที่ฉันทิ้งแกให้กินข้าวคนเดียวกลับมายังออกไปดริ๊งค์อีกใช่มะ น้อยใจว่างั้น”

     

    “แก คิดว่าฉันจะโมโหแกเราะเรื่องแค่นี้เหรอ” มือที่วางอยู่บนไหล่บีบหนักขึ้น เสียงตะคอกดูน่ากลัวจนทำให้ฉันตัวสั่น

     

    “แล้วมันเรื่องอะไรเล่า” ฉันถามเสียงสั่นเทา

     

    “ทำไม...ทำไมแกถึงชอบปล่อยตัวนัก”

     

     ปล่อยตัว ฉันงงกับประโยคนี้มาก ฉันไม่รู้ว่าเค้าหมายถึงอะไร

     

    “ปล่อยตัวอะไรวะ”

     

    “แกนั่งตักผู้ชายง่ายๆ ทั้งอิงหลบ ซบไหล่ เคียรคลอกันซะจะจูบกันอยู่ละ ถ้าฉันไปช้าอีกนิดมันจะเกิดอะไรต่อจากนั้นละ ฉันคงไม่เห็นแกอยู่ตรงนั้นแล้ว แกคงได้ขึ้นเตียงกับไอ้ผู้ชายนั้น” ตัวฉันที่สั่นเพราะความกลัวตอนนี้สั่นมากขึ้น ฉันรู้สึกหนักตา เหมือนมีอนุภาคของเหลวไหลลงมารวมกันที่เปลือกตาล่างและพร้อมที่จะหยดลงแก้ม

     

    “แก...แกหมายความว่าไงวะ แกก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วทำไมแกยัง....แกคิดว่าฉันจะมีอะไรกับโด่วงั้นเหรอ ไอ้โด่งมันรู้ว่าฉันไม่ได้ชอบ....”

     

    “รู้งั้นเหรอ ไม่ชอบผู้ชายงั้นเหรอ นั้นมันก็แค่ข้ออ้าง อ้างมาเพื่อจะปิดกั้นตัวตนที่แท้จริงของแก ตัวตนที่แกพยายามจะซ่อนมันไว้เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น แก!!!! แกมัน ไม่รู้จักคิด การกระทำของแก มันทำให้คนอื่นคิดกับแกไปถึงไหนต่อไหน คิดว่าแกเป็นผู้หญิงง่าย อย่างนี้ไงตอนนั้นแกถึงต้องเสียตัวให้กับไอ้เลวนั้น แล้วทำให้แกเกลียดที่จะชอบผู้ชาย ทำให้แก.....”

     

    ตุ๊บบบบบบบบบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×