คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ไวท์ แบล็ค เกรย์
“ฟรอน นีลโบร์”
เสียงประกาศเรียกชื่อเขาเป็นคนสุดท้ายของการคัดเลือกเข้าฝึกในศูนย์ฝึกเฮมพ์เบิร์กจากชายชุดดำหนึ่งในสี่คน ซึ่งตอนนี้สนามกว้างของศูนย์ฝึกโล่งไร้ผู้คน ร่างผอมสูงเดินไปยังกลุ่มชายชุดดำที่กวักมือเรียกเขาอยู่
“ฟรอน นีลโบร์ใช่มั้ย เข้ามาข้างในเลย”
ช่ายร่างใหญ่เอ่ย ตอนนี้ฟรอนสังเกตเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดยังเป็นวัยรุ่นหุ่นกำยำ ดูไม่เหมือนพวกที่ซ้ำชั้นจนกลายเป็นนักเรียนในตำนานอย่างคุณปู่สักคน
รึว่าเขาจะได้แหล่งข่าวมาแบบผิดๆ
คิดแล้วก็พาลด่าไปถึงคนที่ทิ้งทางเลือกให้กับเขาแถมยังบอกข้อมูลชนิดที่ว่าหากคนที่นี่รู้เข้าเขามีหวังคอขาดกระเด็นตั้งแต่ยังไม่ถึงกำแพงเมือง ฟรอนสงบความคิดพลางนึกในใจว่าไอ้ที่เขาเคยบรรยายลักษณะคนที่นี่ให้ซาฟินฟังหวังว่าหมอนั่นคงจะไม่ปากสว่างหาเรื่องโดนยำให้เขาหรอกนะ
ฟรอนก้าวผ่านฉากกั้นเข้าไปข้างในเป็นเพียงพื้นที่ว่างๆมีคนเพียงสามคนที่ดูจะเป็นผู้สมัครที่เหลือกำลังรอเขาอยู่
“การทดสอบสมรรถภาพร่างกายเบื้องต้น ฉันจะจับเวลา 30 วินาที พวกนายวิดพื้นให้ได้ 50 ครั้ง จากนั้นยิงธนูให้เข้าเป้าทั้งหมดแปดในสิบ การทดสอบง่ายๆแต่ตัดสิทธิ์ผู้สมัครไปแล้วหลายสิบคนขอให้ทำให้เต็มที่เพื่อจะผ่านไปถึงด่านทดสอบต่อไป เข้าใจใช่มั้ย” ชายชุดดำเอ่ยง่ายๆแล้วบุรุษในชุดดำอีกสามคนที่เหลือก็หยิบนาฬิกาจับเวลาขึ้นมา
“50 ครั้งในเวลา 30 วินาที ได้ตายกันไปข้างนึงล่ะทีนี้” ฟรอนบ่นอย่างลืมตัวเรียกเอาสายตาคนทั้งหมดจับจ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียวบางคนมีแววขำก่อนที่ชายชุดดำจะยิ้มมุมปากแล้วเอ่ย
“เมื่อกี้นี้มีคนทำสถิติไว้ 17.28 วินาที แต่ไม่ยักจะตาย หวังว่านายที่ฉันเชื่อว่าใช้เวลามากกว่านี้ก็คงไม่ตายไปซะก่อนนะ นีลโบร์” เขาเอ่ยเรียบๆแต่ทำเอาฟรอนยิ้มเจื่อน
ฟรอนกลืนน้ำลายลงคอก่อนที่จะเขยิบเข้าไปยืนเรียงแถวกับผู้สมัครอีก 3 คนแล้วนั่งยองๆลงกับพื้นเตรียมพร้อมที่จะทดสอบ เขานั่งกอดเข่าแล้วโยกตัวไปมาเหมือนเคยแล้วสายตาเขาพลันสบกับคนข้างตัว
คนที่มองตอบกลับมาคือเด็กหนุ่มคนที่มาพร้อมกับขบวนแห่ใหญ่โตที่ฟรอนเห็นตอนอยู่นอกกำแพง เขาใส่หมวกสีขาวที่สวมอย่างเท่ๆบนหัวตัดกับเรือนผมสีดำสนิทดูดี ใบหน้าขาวอ่อนเยาว์แต่คมคายได้รูป ดวงหน้าใสนั้นมีประกายตาสีเทาซีดจางแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นเสียจนฟรอนอดรู้สึกสนใจในตัวหนุ่มน้อยคนนี้ไม่ได้
“หวัดดี” เด็กหนุ่มแย้มรอยยิ้มกว้างแล้วเอ่ยปากทักเขาก่อน ดวงตาสีเทาคู่นั้นดูเป็นมิตร
“หวัดดี” ฟรอนตอบ ขณะที่กลุ่มคนชุดดำกำลังเตรียมความพร้อมในการจับเวลา
สายตาของเด็กหนุ่มมีประกายวาววับอย่างสนใจในตัวฟรอน เขามองเขี้ยวสัตว์ที่หูของฟรอนจนไปถึงกระดูกดาว 5 แฉกก่อนที่จะสะดุดกับของบางอย่างที่ฟรอนกำไว้ในมือ
“นั่นอะไรน่ะ” เขาชี้ไปที่มือข้างขวาของฟรอนที่กำหินแบนๆแกะสลักเป็นรูปสามเหลี่ยมสองรูปหันปลายชนกัน ฟรอนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยปัด
“อ๋อ เอ่อ เครื่องรางนำโชคน่ะ” เด็กหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
“ฉัน เดส ทรีเดียส จากเมืองเกรแฮมบิลล์ แล้วนายล่ะ” เขาพยักเพยิดมาทางฟรอน
“ฉันฟรอน นีลโบร์ จากเมืองแฟรมมิลล์” เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้วกับชื่อเมืองที่ฟังไม่คุ้นหู
“แฟรมมิลล์ คอกวัวที่ใช้ผสมพันธุ์เทียมน่ะหรอ” เขาถามอย่างสงสัยใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความงุนงง
“รึว่านายเป็นลูกชายเจ้าของคอก ฉันเคยไปที่นั่นเมื่อปีก่อนไม่เห็นมีอะไรนอกจากตัวเจ้าของและแม่วัวท้องแก่เดินกันยั้วเยี้ย” เด็กหนุ่มยักไหล่
“อ๋อ เอ่อ” คำถามที่ฟรอนนิ่งอึ้ง นึกไม่ออกเหมือนกันว่าที่แฟรมมิลล์มีบ้านใครเคยทำผสมเทียมวัว
“นั่นมันคอกวัวฟลินต์มิลค์สถานที่ขึ้นชื่อของเมืองบาลโคนีต่างหาก แล้วนายสองคนจะเริ่มได้รึยัง” น้ำเสียงเข้มของชายชุดดำดังแทรกขึ้นมาทำเอาฟรอนกับเด็กหนุ่มหุบปากแทบไม่ทัน
ชายทั้ง 4 คนหยิบนาฬิกาจับเวลาขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม”
ทุกคนนอนราบลงกับพื้นเตรียมพร้อมกับสัญญาณที่จะได้ยิน
“หนึ่ง”
ฟรอนขยับหินในมือที่เขายังกำอยู่
“สอง”
เขาหลับตาทำสมาธิ นึกถึงคำพูดสุดท้ายของปู่
“สาม เริ่มได้”
มนตร์วิเศษถูกร่ายออกจากปากแผ่วเบาจนแทบจะกลืนไปกับเสียงหอบหายใจ ร่างกายของฟรอนสั่นกระตุกอย่างแรงทีหนึ่งก่อนที่ของวิเศษในมือจะเปล่งเสียงร้องเรียกอำนาจอย่างที่เจ้าตัวเท่านั้นจะได้ยิน ดวงตาสีม่วงแดงของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นสีขาวดุจหิมะดูน่าสะพรึง แล้วก็
เข้าทรงรวมร่าง โชเอ็น ลีออน!!!
จิตและกายที่รวมเป็นหนึ่งถูกกระชากออก เสียงกรีดร้องของดวงวิญญาณที่เร่ร่อนดังโหยหวน จิตที่ได้รับการอัญเชิญถูกดึงเข้าแทนที่อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันจิตดวงอื่นๆเข้าแทรก บังเกิดประกายแสงแสบตาและปรากฏที่โล่งสว่างของอีกมิติหนึ่ง เสียงกรีดร้องหายไปความสงบเงียบเข้ามาแทนที่แล้วฟรอนก็ไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆอีกเลย
“จริงครับพี่ ไอ้หมอนั่นอยู่ดีๆมันก็ชักกระตุกทีหนึ่งแล้วก็นิ่งไปสักพักจากนั้นมันก็เหมือนม้าพยศโดนยัดยาเลยนะครับ ไม่รู้ฟิตจัดมาจากไหน”
เสียงของชายชุดดำที่คุมการคัดเลือกคนหนึ่งเอ่ยรายงานเรื่องประหลาดที่เพิ่งประสบพบเจอมาหมาดๆของไอ้เด็กใหม่ที่เข้ามาทดสอบ ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งฟังเรื่องราวอยู่นั้นยกปลายนิ้วโป้งขึ้นเลียขณะกำลังนั่งอยู่ในห้องเล็กๆประดับด้วยเครื่องเรือนลายวิจิตรแต่โปร่งสบายบนเก้าอี้นวมบุลายทองสวยงาม
เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำสนิททั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าต่างจากเครื่องแบบปกติตรงที่กระเป๋าเสื้อด้านขวามีป้ายทองวิจิตรสวยงามเสียบประดับอยู่ ป้ายทองที่เป็นเสมือนใบเบิกทางในเฮมพ์เบิร์กให้เขาสามารถไปที่ใดก็ได้ที่อยากจะไป เขานั่งอยู่ในท่าทางผ่อนคลายยามที่ฟังรายงานจากรุ่นน้อง
ขาข้างหนึ่งของเขายกขึ้นพาดโต๊ะกระจกราคาเหยียบแสนอย่างไม่เกรงใจใคร ดวงตาสีนิลแข็งกร้าวบ่งบอกถึงความมุทะลุดุดัน เรือนผมสีดำขลับถูกปัดอย่างไม่เป็นระเบียบบนหัว รอยยิ้มกวนอารมณ์ที่พรายอยู่บนริมฝีปากเสมอดูแล้วชายคนนี้ไม่ว่าใครมาเจอก็คงภาวนาไม่นึกอยากจะมีเรื่องด้วยแน่ๆ
“วิดพื้น 50 ครั้งใช้เวลาแค่ 15 วินาที แถมยังลุกขึ้นมากำธนูทีละ 5 ดอกยิงเข้าเป้าตัวเองจนหมด ยังลามไปยิงแป้นของผู้เข้าสมัครคนอื่นอีกด้วย ผมว่าถึงแม้เขาอาจจะไม่ผ่านด่านทดสอบพลังดาบหรือพลังเวทแต่ถ้ามีทักษะดีขนาดนี้เราเอามาเป็นฝ่ายกองระวังหน้าได้สบายเลยนะครับ”
เมื่อชายชุดดำที่เป็นรุ่นน้องเอ่ยรายงานจบเขาก็ถูกไล่ออกจากห้องไปทำให้ทั้งห้องเงียบไปสักพักก่อนที่เสียงทุ้มลึกจะเอ่ยทำลายความเงียบ
“นายสองคนว่าไง” เขาเอ่ยกับหนึ่งบุรุษ หนึ่งอิสตรีในห้อง
“ฉันยังไงก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลารอคนเก่งให้ผ่านครบทุกด่านก็ดีไปอย่าง เจอของดีแล้วก็รีบๆคว้ามาก่อนจะหลุดมือเป็นพอ” บุรุษในชุดขาวเอ่ยเรียบๆ แต่สุภาพสตรีคนเดียวในห้องเอ่ยค้าน
“มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือไง คนอื่นเตรียมตัวมาตั้งมากมาย แต่นี่จะให้เข้าสอบสัมภาษณ์ทั้งที่เพิ่งผ่านด่านพื้นฐานมาเนี่ยนะ” น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความองอาจและไม่กลัวใครของหญิงสาวทำเอาบุรุษสองคนในห้องแอบถอนใจเงียบๆ
“ฉันไม่ยอมรับหรอก ผู้สมัครทุกคนต้องผ่านเกณฑ์เดียวกันทั้งหมดที่เราตั้งไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อความยุติธรรมกับทุกฝ่าย” หญิงสาวเอ่ยหนักแน่น ชายชุดดำน่าเกรงขามเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย
“เธอคิดว่าเธอตัดสินใจทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวรึไง อย่าลืมว่าเรามี 3 คน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยุติธรรมตามที่เธอว่าก็คือเสียงสรุปจะต้องเป็นเสียง 2 ใน 3 ถ้าไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ไม่มีความยุติธรรมในสิทธิ์ของผู้เข้าสมัครเลย แม้แต่ผู้คุมการสอบเองยังต้องตกอยู่ในภาวะเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์เหมือนกัน จริงมั้ย”
คำสุดท้ายเขาเอ่ยเสียงยียวนใส่หญิงสาวที่ยืนนิ่งด้วยเก็บอารมณ์ไว้ในใจแต่กระนั้นแววตาที่หรี่ลงของหญิงสาวก็ทำเอาคนทั่วไปที่เคยพบเห็นถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ฉันอยากจะเห็นหน้าไอ้เด็กใหม่นั่นเร็วๆ รึนายว่ายังไง” บุรุษชุดดำไพล่ถามไปยังอีกคนที่นั่งกอดอกอยู่อย่างสบายอารมณ์ หญิงสาวหันไปมองหน้าเขาด้วยอย่างรอฟังข้อสรุป ชายหนุ่มเกาหัวแกร่กๆแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจ
“เอ่อ ฉันก็คิดอย่างที่หัวหน้าฝ่ายแบล็คคิดนะ ฉันอยากจะเห็นหน้าเด็กคนนั้นเร็วๆ”
แต่หญิงสาวถึงกับเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่
“แต่ถ้าผ่านเข้ามาถึงการสอบสัมภาษณ์ก็หมายถึงเราต้องรับคนๆนั้นเข้ามาแล้ว ถ้าเกิดว่าเด็กนั่นดันเก่งแต่เรื่องกำลังแต่ความสามารถอย่างอื่นเป็นศูนย์ มาตรฐานการรับสมัครของเรามิต้องกลายเป็นศูนย์เหมือนกันรึไง” หญิงสาวมองดูคนร่วมงานตรงหน้าทั้งสองคนที่ดื้อและงี่เง่าสุดจะทน ปกติเห็นความคิดไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่แต่พอเรื่องแหกกฎออกนอกกรอบนี่เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว
“ก็ ถ้าเขาไม่เก่งจริงๆเดี๋ยวฉันกับนีเฮจะรับผิดชอบเอง ใช่มั้ยท่านนีเฮ หัวหน้าแบล็คการ์ดแห่งเฮมพ์เบิร์ก” คนถูกดึงให้ร่วมรับผิดชอบสะดุ้งเล็กน้อย หันไปสบดวงตาสีฟ้าของคนพูดที่หลิ่วตามมาให้อย่างรู้กันว่ามันคงรับปากไปส่งเดช เจ้าตัวก็เลยต้องตามน้ำทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะมีโอกาสที่ความคิดตรงกันสักเท่าไหร่
“เออ รับผิดชอบก็รับผิดชอบ ไหนๆก็มีผู้การันตีเป็นถึงหัวหน้าไวท์การ์ด ถ้าจะรับผิดชอบเรื่องฝีมือและทักษะอาวุธล่ะก็ต้องยกให้ท่านซาฟินนี่แหละท่านเชี่ยวชาญที่สุดในเมืองเพิร์ทแล้ว” นีเฮเอ่ยปัดเป็นนัยๆ ซาฟินหัวเราะเล็กน้อยโดนคนตรงหน้าเล่นงานอีกจนได้
“งั้นทักษะด้านร่างกายก็ต้องยกให้ท่านใช่มั้ย เรื่องความแข็งแกร่งและความว่องไวจนได้ฉายาว่ามารเงาน่ะ คงมีท่านคนเดียวที่เชี่ยวชาญและแนะนำได้ดีกว่าทุกคนในเพิร์ทล่ะสิ”
หญิงสาวเอ่ยเสียงเย็นเยียบให้บุรุษในชุดดำเหมือนโดนห่วงที่มองไม่เห็นรัดตัว นึกในใจว่าไม่น่าไปเรื่องมากกับสาวจ้าวเลย ถ้าหากว่าไอ้เด็กนั่นมันห่วยแตกจริงมีหวังงานนี้หัวหน้าไวท์และแบล็คคงต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นเสียแล้ว
“หัวหน้าไวท์รับผิดชอบเรื่องทักษะดาบ ฉันรับผิดชอบเรื่องทักษะด้านร่างกาย แล้วท่านมารีอานน่าหัวหน้าแห่งเกรย์ล่ะจะรับผิดชอบเรื่องอะไรดี”
หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยคลี่รอยยิ้มที่อ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความทะนง
“คะแนนเสียงสองในสาม ถ้าฉันที่ไม่ได้เห็นด้วยต้องไปร่วมรับผิดชอบกับพวกนาย ศูนย์ฝึกองครักษ์เฮมพ์เบิร์กนี่คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเนอสเซอรี่แห่งเพิร์ทซะแล้วล่ะมั้ง”
คำพูดน่ากลัวของเจ้าหล่อนทำเอาบุรุษสองคนที่เกลียดการยึดติดวาดมโนภาพในใจ หากว่าเขาต้องมานั่งฝึกไอ้เด็กใหม่นี่ทุกวันหลังการตรวจตราเมืองเขาต้องบ้าตายแน่ เว้นเสียแต่ว่าไอ้หมอนั่นมันจะไม่ได้อ่อนหัดอย่างที่คิด
“ถ้าไอ้เด็กเวรนั่นมันไม่มีดีสักอย่างฉันจะจัดการมันเอง” นีเฮพูดเสียงแข็งดวงตากร้าวทอประกายดุดัน ซาฟินถึงกับส่ายหัว กลุ่มแบล็กมีหัวหน้าที่ขี้โมโหอย่างสุดๆไม่แปลกใจที่รุ่นน้องจะติดนิสัยไปตามๆกัน แต่มารีอานน่ายิ้มอย่างพอใจ
“ไปเรียกเด็กใหม่คนนั้นมาหน่อยสิ” เธอสั่งชายชุดดำคนเดิมที่ดูจะตื่นเต้น
“ได้ครับ ผมว่าพวกท่านต้องชอบใจ แต่ว่าเขาอาจจะเป็นคนแปลกๆหน่อยน่ะครับ แต่ผมว่าเขาน่าจะเป็นรุ่นน้องที่ดีของเราได้”
คำพูดของเขาสะกิดใจซาฟินอย่างประหลาดราวกับมีเทพองค์ใดมาชี้นิ้วบอกทาง
“เดี๋ยว ที่ว่าแปลกน่ะ...หมายถึง” ซาฟินเอ่ยถามพลางภาวนาขออย่าให้เป็นคนแปลกๆอย่างที่ตนคิด ชายชุดดำเอ่ยยิ้มๆ
“ใช่ครับ เขามีเครื่องประดับแปลกๆอยู่เต็มตัว สวมเสื้อคลุมผืนใหญ่มีรอยไหม้ขาดๆหวิ่นๆและที่สำคัญเห็นว่ามาจากเมืองแฟรมมิลล์หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมตามเขามาให้เห็นตัวเป็นๆเลยดีกว่าครับ” ชายหนุ่มรีบเดินออกไป
ท่ามกลางสายตาเย้ยหยันของมารีอานน่า ดวงตาดุกร้าวของนีเฮ และดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายร้าวรานอย่างสุดทน
ขออย่าให้เป็นนายฟรอน นีลโบร์เพี้ยนนั่นเลย
ฟรอนยังคงมีอาการมึนหัวและอ่อนเพลียอย่างช่วยไม่ได้เพราะการเข้าทรงแต่ละครั้งต้องใช้พลังจิตวิญญาณมากมายแถมขณะที่เข้าทรงร่างกายเขายังถูกใช้งานอย่างหนักแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาสอบผ่านด่านแรกมาได้ด้วยดีทั้งที่เจ้าตัวก็จำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย
รู้แต่ว่าปู่นั่นเจ๋งจริงอย่างที่โม้ที่เอาหินเข้าทรงมาให้เขาและทำการรวมร่างกันได้อย่างกลมกลืนจนไม่มีใครผิดสังเกต ด้วยความสามารถที่ล้นเหลือของปู่กับพละกำลังวัยหนุ่มของเขาทำให้ปู่ถึงกับฟิตปั๋งราวม้าพยศทำลายสถิติ 17.28 วินาที ทำให้เขาได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษได้รับการสัมภาษณ์ทันที
“เข้าไปในห้องนี้แล้วจะมีคนรอสัมภาษณ์นายอยู่” ชายชุดดำดันตัวเขาผ่านประตูเข้าไปยังห้องตรงหน้า
ภาพที่เห็นทำเอาฟรอนถึงกับทำตัวไม่ถูก ห้องนั้นสวยงามและดูหรูหรามีเก้าอี้นวมลายทองน่าสบายตั้งอยู่ 4 ตัว ด้านหน้ามีโต๊ะกระจกสวยดูมีราคาตั้งอยู่ซึ่งชายในชุดดำทั้งตัวใช้เท้าทั้งสองวางพาดไว้ ดวงตาสีนิลแข็งกร้าวมองตรงมาที่เขาอย่างกวนอารมณ์จนฟรอนรู้สึกว่าดวงตานั่นกำลังจับผิดตัวเขาอยู่ เก้าอี้ตรงกลางมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่เมื่อฟรอนเห็นแล้วถึงกับนิ่งอึ้ง
เธอเป็นหญิงสาวร่างเพรียวทุกสัดส่วนใบหน้าของเธอสวยสดและขาวผ่อง ริมฝีปากแดงเรื่อเต็มอิ่มกำลังยิ้มอย่างเดาความหมายไม่ถูกมาที่เขา เรือนผมยาวสีทองนุ่มสลวยถูกมัดรวบอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาสีอำพันกลมโตสงบนิ่ง ทั้งรูปร่างหน้าตาและท่าทางของเธองามสง่าดุจราชินีในหมู่แมกไม้ถ้าเขาเจอเธอในป่าเขาต้องคิดว่าเธอเป็นนางไม้จำแลงมาแน่ๆ
ดวงตาสีม่วงตัดใจละจากใบหน้างามไปมองบุรุษคนสุดท้ายในห้อง บุรุษที่ทำให้เลือดในกายของเขาวิ่งเร็วจนขนลุกซู่ไปถึงต้นคอกับดวงตาสีฟ้าสุกสกาวที่คุ้นเคย
ซาฟิน!!!!!
ดวงตาสีฟ้ามองเขาด้วยแววตานิ่งสงบดูน่ากลัวไม่เหมือนคราวก่อนที่ได้พบกัน เขาอยู่ในชุดสีขาวขลิบทองทั้งตัวดูสง่าราวเทพบุตรเรือนผมสีเงินที่เขาเคยเห็นว่ายุ่งเหยิงบัดนี้ถูกถักเป็นเปียเรียบร้อยสวยงาม ทิ้งมาดคนที่เขาเห็นว่าแอบนอนเล่นในคุกไปจนหมดสิ้น
ฟรอนเริ่มอยู่ไม่สุขในเมื่อเจ้าตัวดีที่เขาไว้ใจอุตส่าห์บอกเรื่องสำคัญเกี่ยวกับเคล็ดลับการสอบเข้า ดั้นมากลายเป็นผู้คุมการสอบครั้งสำคัญ มีหวังเขาต้องถูกแม่สาวสวยกับไอ้คนหน้าดุนั่นฉีกเป็นชิ้นๆแน่ ทั้งสามคนดูอายุยังไม่เกิน 25 ปีด้วยซ้ำแต่ได้เป็นคนคุมพวกองครักษ์ทั้งหมด ถ้าไม่เก่งจนเหลือเชื่อก็คงโหดสุดขั้ว แล้วไอ้ชุดเต็มยศกับป้ายทองประกาศเกียรติคุณนั่นคนที่มีสวมมีใส่มันน่าเกรงขามน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ
ว่าแล้วเจ้าตัวก็คิดไปถึงเหตุผลที่ซาฟินต้องไปนอนอยู่ในคุก ชักไม่มั่นใจว่าคนตรงหน้าจะพูดจริงรึเปล่า
ฟรอนรีบก้มหน้าอย่างที่เขาคิดว่าสายตาอาฆาตของทั้งสามคงจะส่งมาไม่ถึงเขา
“นั่งลงก่อนสิ” หญิงสาวในชุดสีเงินเอ่ย ฟรอนขยับขึ้นไปนั่งยองๆอยู่บนเก้าอี้นวมลายสวยแล้วกอดเข่าก้มหน้า ภาพที่ทำเอามารีอานน่าและนีเฮถึงกับขมมวดคิ้วด้วยความงุนงงแต่ซาฟินถึงกับแอบขยับยิ้ม
“นี่ แกน่ะนั่งให้มันเหมือนคนปกติเค้านั่งกันหน่อยสิ” นีเฮเอ่ยอย่างหงุดหงิดรำคาญใจ
“ฮะ อะไรนะครับ” แต่เมื่อฟรอนเงยหน้าขึ้นมาทั้งสามคนก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อดวงตาที่เขาเห็นว่าเป็นสีม่วงเข้มตอนแรกมันกลับกลายเป็นสีขาวสนิททั้งตาจนดูเหมือนคนไร้วิญญาณ
มารีอานน่าหายใจกระตุก นีเฮถึงกับสบถคำหยาบออกมาเสียงดังและซาฟินเบิกตากว้าง
“ฟรอน ตานาย” ซาฟินอุทาน
ฟรอนสังเกตเห็นความผิดปกติของร่างกายมันเป็นผลข้างเคียงจากการเข้าทรงที่ทำให้มีร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้เขาสามารถโดนวิญญาณอื่นๆเข้าแทรกได้หากไม่ระวังตัว
ฟรอนรวบรวมสติแล้วสะบัดหัวไล่ความอ่อนเพลียไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นสบมองกับทั้งสามคนในห้องด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆพร้อมกับเอ่ยปัด
“เอ่อ อ่า ผมชอบเล่นแบบนี้เวลาแสบตาน่ะครับ เอาตาดำเข้าไปพักผ่อนแล้วเอาตาขาวออกมาใช้งานแทนบ้าง” เขาหัวเราะแห้งๆเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร
“นายรู้ใช่มั้ยว่านี่เป็นการสอบสัมภาษณ์ด่านสุดท้ายที่จะทำให้นายสอบเข้าที่นี่ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบพลังอื่นๆแบบคนทั่วไป” มารีอานน่าเอ่ยขึ้นในที่สุด
ฟรอนพยักหน้า
“งั้นในฐานะคนที่คัดเลือกเข้ากลุ่มฉันจะขอถามบางคำถามเพื่อคัดเลือกนายเข้ามาในกลุ่มของพวกเราคนใดคนหนึ่ง หวังว่านายคงจะตอบทุกคำถามตามที่นายคิดนะฟรอน นีลโบร์” เธอเอ่ยแล้วเริ่มยิงคำถาม
“ถ้าหากว่านายเห็นรัชทายาทพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ถูกจับเป็นตัวประกัน ในฐานะที่เป็นคนของศูนย์ฝึกองครักษ์นายจะทำยังไง”
ใบหน้าขาวขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดสักครู่แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มกว้างอย่างที่ซาฟินเข้าใจความหมายนั้นดี
“ไม่เห็นยากสักนิด ผมก็จะรีบไปตามพวกพี่ๆคนอื่นมาช่วยท่านยังไงล่ะ เพราะรัชทายาทพระองค์สุดท้ายหน้าตาเป็นยังไงผมก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าเกิดผมบุ่มบ่ามเข้าไปช่วยแล้วนั่นเกิดเป็นแค่มหาดเล็กคนหนึ่งผมมิต้องเข้าไปตายเปล่าแทนที่จะได้ช่วยรัชทายาทตัวจริงหรอกหรอ”
คำตอบที่ทำให้มารีอานน่าอ้าปากค้างอย่างไม่เคยหลุดทำต่อหน้าคนอื่นมาก่อน นีเฮหัวเราะออกมาอย่างเครียดๆ คำตอบตรงหน้ามันก็ชวนให้ขำก้ากใส่หน้ามารีอานน่าอยู่หรอก เสียแต่ว่านั่นจะยิ่งเป็นข้ออ้างของคนหัวหมออย่างเธอที่ทำให้เขาต้องติดแหงกอยู่กับมันตลอดหลังจากนี้
“แล้วถ้าเกิดสมมุติว่าคนๆนั้นเป็นรัชทายาทตัวจริงถูกจับอยู่ล่ะ” ซาฟินเอ่ยถามต่ออย่างเหนื่อยใจ เจ้าตัวดีตรงหน้ายังคงยิ้มร่า เอ่ยตอบอย่างมั่นใจ
“ผมก็ต้องรีบไปตามพวกพี่มาเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะถ้าถึงขนาดองครักษ์ส่วนพระองค์ปล่อยให้ท่านโดนจับได้แปลว่าเจ้าคนร้ายนั่นต้องโคตรเก่งมหากาฬ ลำพังถ้าผมที่เป็นองครักษ์ปลายแถวบุ่มบ่ามอวดดีเข้าไปช่วยท่านมีหวังรัชทายาทคนสำคัญได้ดวงจู๋แน่”
“พอ...พอแล้ว” มารีอานน่ายกมือขึ้นห้ามอย่างสุดทน ฝืนเก็บอารมณ์เอาไว้
“แกคิดแต่จะพึ่งพวกรุ่นพี่รึไง ไม่คิดจะทำอะไรด้วยตัวเองเลยงั้นหรอ” นีเฮเอ่ย สีหน้าของเขาดูกวนอารมณ์แต่แฝงไปด้วยความดูถูกในน้ำเสียง
ฟรอนหัวเราะกับคำพูดนั้นอย่างลืมตัว
“เจียมตัวเองแล้วค่อยๆเรียนรู้ ดีกว่าอวดเก่งแล้วให้คนอื่นจับได้ทีหลังว่าที่จริงแล้วน่ะไม่มีดีให้อวดเลยสักกะนิด” ทันทีที่พูดจบเสียงตบโต๊ะก็ดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อมือใหญ่วาดปังลงบนโต๊ะกระจกแก้วอย่างที่ไม่มีใครมองทัน ทำเอาเจ้าคนปากหาเรื่องหุปปากสนิท
“เมื่อกี้นี้...แกว่าไงนะ” นีเฮเอ่ยช้าๆลุกขึ้นยืนใบหน้าที่กวนอารมณ์ของเขามองตรงมาที่ฟรอนทำเอาเจ้าตัวใจหายไปอยู่ตาตุ่ม โชคดีก็แต่ซาฟินเอ่ยขัดไว้ทันไม่งั้นเข้ามีหวังโดนลูกตบแบบที่โต๊ะกระจกนั่นเพิ่งชิมลางไปแน่ๆ
“เขาพูดผิดตรงไหนนีเฮ ถ้าฉันเดาไม่ผิดถึงแม้นายจะคิดว่าทุกๆอย่างต้องทำด้วยตัวเองถึงจะคู่ควร แต่นายคงไม่ปฏิเสธถ้าจะบอกว่าคนที่ไม่มีดีแต่ขี้อวดเป็นพวกน่ารำคาญอย่างสุดๆใช่มั้ยล่ะ” ซาฟินพูดด้วยรอยยิ้มที่สะกิดอารมณ์คนตรงหน้าได้ไม่แพ้กัน
ดวงตาของนีเฮเต็มไปด้วยความเย็นชาจนน่ากลัว
“คำถามที่สองนะ ฟรอน”
มารีอานน่าเอ่ยทำลายความสงบและแฝงไปด้วยอารมณ์ที่มั่นคง ฟรอนคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก มีชีวิตอยู่ท่ามกลางปีศาจจอมโหดสองตัวแถมยังคุมซะอยู่หมัด ถึงแม้จะไม่ได้คุมกันด้วยกำลังแต่อย่างน้อยถ้าไม่มีเธอสักคนศูนย์ฝึกนี่คงได้แบ่งแยกแตกหักกันไปข้างหนึ่ง
“อาวุธที่นายถนัดใช้คืออะไร”
คำถามที่ฟรอนนิ่งไปสักพักแล้วเริ่มกัดเล็บนิ้วหัวแม่มือตัวอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยโม้ให้คนตรงหน้าฟังโดยไม่กล้าหันไปสบตาของซาฟิน
“ผมถนัดหลายอย่างครับ ฟันดาบ ยิงธนู มีดสั้น อย่างเมื่อกี้นี้ผมก็ยิงทุกดอกเข้าเป้าหมดทั้ง 10 ดอกเลย” เขาพูดจบ มารีอานน่าพยักหน้าน้อยๆ ทั้งที่อุตส่าห์เตือนตัวเองว่าอย่าหันไปมองเจ้าคนที่มันรู้ทันแต่ตาเจ้ากรรมมันดันเผลอหันไปมองถึงได้พบแต่แววตานิ่งๆน่ากลัวตอบกลับมา
หวังว่าซาฟินคงไม่บอกให้เขาลองโชว์ให้ดูนะ
โชคดีที่ซาฟินก็ไม่คิดอยากให้มันโชว์ถ้าไม่อย่างนั้นมารีอานน่าอาจจะวีนแตกได้
“ศูนย์ฝึกเราต้องการคนที่มีความสามารถมากๆ ได้นายที่เก่งหลายอย่างมาอยู่ฉันก็ดีใจ” ดวงตาสีอำพันคู่สวยเริ่มคลายความกังวลไปเล็กน้อย
“คำถามข้อที่สาม” คราวนี้เสียงดังแทรกมาจากบุรุษในชุดขาวคนเดียวในห้องฟรอนจำใจต้องหันไปสบตากับดวงตาสีฟ้าเย็นชา
“นายคงเคยได้ยินที่คนข้างนอกเค้าพูดกันบ่อยๆว่า พวกองครักษ์เราน่ะเป็นประเภท อึดแต่โง่ แข็งแกร่งแต่ขาดไหวพริบ รวดเร็วแต่ไม่รอบคอบ หรือถ้าไม่ซ้ำชั้นจนแก่หงำเหงือกก็คงถูกไล่ออกจนหมด” ดวงตาสีฟ้าวาววับขณะที่ฟรอนถึงกับลืมหายใจ
“นายมีความเห็นกับเรื่องนี้ยังไง”
คราวนี้เสียงตบโต๊ะดังสนั่นกว่าครั้งแรกเมื่อมือที่วาดลงโต๊ะไม่ได้มีแค่เฉพาะมือของนีเฮ
“ใครมันกล้าพูดจาดูถูกเราแบบนั้น” เสียงหวานแต่ชวนขนลุกเอ่ยกร้าว ดวงตาสีฟ้าของซาฟินออกแววขบขัน
“ฉันก็ไปได้ยินมานิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง”
“หนอย ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ฉันจะเลาะกรามของมันออกมาตรงนั้นเลย จะสอนให้มันรู้ซะบ้างว่าคนรู้ดีส่วนมากอายุไม่ค่อยยืน” นีเฮเอ่ยพร้อมกำหมัดแน่น
ฟรอนตัวชาวาบไม่กล้าเงยขึ้นสบตาคนทั้งสามนึกด่าพ่อในใจที่เล่าเรื่องมั่วๆให้เขาฟังเสียยกใหญ่แถมส่งเขามาแหย่รังแตนถึงที่ ขืนอยู่ไปเรื่อยๆถ้าไม่ป่วยตายเพราะพิษแตนเขาก็คงจมน้ำลายตัวเองตายแน่
“เอ้า ตอบมาสินายมีความเห็นว่าไงฟรอน นีลโบร์” ซาฟินเน้นย้ำทำให้คนปากหาเรื่องตรงหน้าเอ่ยตะกุกตะกัก
“คือ มันต้องเป็นคนโง่มากที่คิดอย่างนั้น เพราะที่นี่มีแต่คนเก่งๆแล้วก็ฉลาด พวกที่คิดจะตบตาหลอกลวงล่ะก็ถือว่าโง่เต็มทนแล้ว” ฟรอนพูดเสียงแห้ง เขาเห็นซาฟินยิ้มเยาะใส่เขา มารีอานน่าพยักหน้าแม้จะยังไม่คลายอารมณ์โกรธสักเท่าไหร่แต่เธออยากให้การสัมภาษณ์จบเสียที
“คำถามสุดท้าย ถ้าเสร็จคำถามนี้แล้วนายจะได้เข้าเป็นองครักษ์ที่นี่อย่างเต็มตัวสักที ถ้าฉันให้นายเลือกระหว่างดาบในตำนานกับมงกุฎทองคำ นายจะเลือกอะไร”
คำถามที่ฟรอนกัดฟันอย่างลำบากใจกับคำถามสุดท้ายที่เลือกยากเสียเหลือเกิน ทั้งดาบในตำนานและมงกุฎทองคำมันเป็นของมีค่าที่หากเลือกสิ่งหนึ่งก็ไม่อยากเสียสิ่งหนึ่งไป สำหรับคนที่มาจากเมืองไม่ค่อยเจริญอย่างฟรอนแล้วมันช่างเหมาะสมที่จะเป็นคำถามสุดท้ายที่วัดใจกันจริงๆ
ซาฟินก้มหน้าเล็กน้อยแอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่ยุ่งเหยิงสุดขีดของคนตรงหน้า
เรื่องอื่นล่ะแก้ตัวเร็วเป็นไฟ แต่พอเรื่องเงินๆทองๆล่ะคิดซะรอบคอบเชียว
ยิ้มแล้วก็พาลสงสัยว่ามันคงลืมนึกไปว่าเป็นแค่คำถามสมมติ
แต่แล้วเมื่อคำตอบของคนที่คิดอย่างรอบคอบเอ่ยมาก็ทำเอาทั้งสามองครักษ์ถึงกับอึ้งไปตามกัน
“ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากเลือกทั้งสองอย่างเลย” คำตอบที่ทำให้ซาฟินเลิกคิ้วงงๆ แต่ฟรอนเอ่ยต่ออย่างมั่นใจเต็มที่ในความคิดของตน
“เป็นไปได้ผมอยากได้เป็นเงินสดแทน เพราะมันใช้ง่ายจ่ายสะดวก ไปที่ไหนก็ใช้ได้ แต่ดาบในตำนานกับมงกุฎทองนั่นถึงได้มาในครอบครองก็ตัดใจเอาไปขายไม่ลงหรอก เพราะฉะนั้นแทนที่เอาไปขายแล้วจะได้เงิน กลับต้องมาแบกไปมากลัวคนขโมยเป็นภาระอีก ถึงแม้เงินจะไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตแต่มันก็มีค่าต่อการมีชีวิตอยู่ โบราณถึงว่าของมีค่าที่สุดในโลกนี้ก็คือเงิน นั่นแหละถูกต้องที่สุด”
เจ้าตัวพูดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยความมั่นใจเต็มร้อย ใบหน้าขาวเผยรอยยิ้มภูมใจในผลงานตัวเอง คำถามสุดท้ายเสร็จไปแล้ว แล้วเขาก็ทำได้เป็นอย่างดี ถ้าทุกอย่างเป็นจริงตาที่พ่อบอก
เขาไม่มีความผิดใดๆในเมืองเพิร์ทอีกแล้ว
ฟรอนมัวแต่นั่งโยกตัวหยิบสำรับไพ่ขึ้นมาเรียงตกแต่งอย่างสบายอารมณ์ ทำให้เขาไม่ได้สังเกตคนอีกสามคนที่เหลือเลย
นีเฮยังยังอ้าปากค้างกับคำตอบและคำอธิบายความสำคัญเรื่องเงินสดของคนตรงหน้าที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะขำหรือเครียดดีเมื่อมารีอานน่าเอ่ยกระซิบเสียงเคร่ง
“นายสองคนผลัดกันขัดเกลาความประพฤติและหัวคิดของหมอนี่คนละหนึ่งอาทิตย์”
เป็นคำพูดที่นีเฮและซาฟินเถียงไม่ออกว่ามันคงไม่จำเป็น
นีเฮพิงหลังลงบนพนักพิงพลางเอามือกุมศีรษะใบหน้าของเขาเซ็งหน่ายยามเหลือบตามองบุรุษตรงหน้าที่ยังคงนั่งยิ้มโยกตัวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ฉันว่า...คนแบบนี้คงไม่เหมาะกับกลุ่มแบล็คเท่าไหร่มั้ง” นีเฮเอ่ยปัดเป็นคนแรก เรียกให้ดวงตาสีฟ้าและสีอำพันหันมองคนหนีเอาตัวรอด แต่เจ้าของดวงตาสีดำทำเพิกเฉยหน้าตาย
“อย่ามาตลกนะ เกรย์ของฉันก็รับไม่ไหวหรอก” หัวหน้าเกรย์เอ่ยต่อแล้วรีบหลบสายตาของอีกคนที่จะกลายเป็นผู้รับผิดชอบที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว
“งั้นแปลว่ามันเหมาะกับไวท์มากรึไง” ซาฟินแค่นหัวเราะเอ่ยเสียงเรียบใบหน้านิ่งสงบ แต่นีเฮยิ้มกว้าง
“ฟรอน นีลโบร์ นายขอบคุณหัวหน้าไวท์ซะสิเมื่อกี้เขาเอ่ยรับนายเป็นรุ่นน้องแล้ว” นีเฮกวักมือเรียกฟรอน ทำเอาคนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ยิ้มกว้างกระโดดลงจากเก้าอี้นวมแล้วรีบเดินเข้ามาหาคนที่โดนยัดเยียดแกมบังคับ
“นายควรจะฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่นายคนนี้ให้ดีนะ” เขาตบหลังฟรอนเบาๆแล้วดันไปใกล้ซาฟินที่ตอนนี้ใบหน้าสงบฉุนขาด
“แกไม่ตายดีแน่นีเฮ” ซาฟินกระซิบเสียงแผ่วเบาแต่คนถูกว่าแค่ยักคิ้วพร้อมรอยยิ้มกวนบาทาอย่างที่สุด
“มาได้ทุกเมื่อเลยท่านซาฟิน” คนปัดความรับผิดชอบหัวเราะร่าทิ้งให้ผู้ที่ต้องรับภาระฮึดฮัดอยู่ในใจคนเดียว ตรงหน้าเขาเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยิ้มร่าโผเข้ามากอดเขาอย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อนพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่เขาอยากจะอ้วกใส่มันนัก
“ขอบใจมากซาฟินที่นายเลือกฉันเข้ากลุ่ม ขอบใจนะ”
จะบ้าตาย!!
เจ้าตัวป่วนเดินออกไปแล้วแต่เจ้าเพื่อนร่วมงานทั้งสองมันยังทำเอาเขาปวดหัวไม่หยุด คนหนึ่งเอาแต่หัวเราะอย่างสะใจ ส่วนอีกคนก็เอาแต่ละอายจนไม่กล้าสบตา
ซาฟินถอนใจ
แค่วันแรกที่เจอกับหนุ่มเพี้ยนนี่เขายังรู้สึกปวดหัวสุดทนแล้วยิ่งวันต่อๆไปเขาต้องเจอหน้ามันทุกวันมีหวังเขาจะต้องเหมือนตกนรกทั้งเป็นแน่ๆ
**อาจจะยาวไปนิด แต่ยังไงก็ช่วยเม้นด้วยนะ
ปล. รับฟังทุกความเห็นด้วยความยินดีจ้า
ความคิดเห็น