ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์ฉบับเพี้ยน

    ลำดับตอนที่ #4 : ไวท์ แบล็ค เกรย์

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 50


    ฟรอน  นีลโบร์

    เสียงประกาศเรียกชื่อเขาเป็นคนสุดท้ายของการคัดเลือกเข้าฝึกในศูนย์ฝึกเฮมพ์เบิร์กจากชายชุดดำหนึ่งในสี่คน  ซึ่งตอนนี้สนามกว้างของศูนย์ฝึกโล่งไร้ผู้คน  ร่างผอมสูงเดินไปยังกลุ่มชายชุดดำที่กวักมือเรียกเขาอยู่



                “
    ฟรอน  นีลโบร์ใช่มั้ย  เข้ามาข้างในเลย

    ช่ายร่างใหญ่เอ่ย  ตอนนี้ฟรอนสังเกตเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดยังเป็นวัยรุ่นหุ่นกำยำ  ดูไม่เหมือนพวกที่ซ้ำชั้นจนกลายเป็นนักเรียนในตำนานอย่างคุณปู่สักคน


                        รึว่าเขาจะได้แหล่งข่าวมาแบบผิดๆ

    คิดแล้วก็พาลด่าไปถึงคนที่ทิ้งทางเลือกให้กับเขาแถมยังบอกข้อมูลชนิดที่ว่าหากคนที่นี่รู้เข้าเขามีหวังคอขาดกระเด็นตั้งแต่ยังไม่ถึงกำแพงเมือง  ฟรอนสงบความคิดพลางนึกในใจว่าไอ้ที่เขาเคยบรรยายลักษณะคนที่นี่ให้ซาฟินฟังหวังว่าหมอนั่นคงจะไม่ปากสว่างหาเรื่องโดนยำให้เขาหรอกนะ



                    ฟรอนก้าวผ่านฉากกั้นเข้าไปข้างในเป็นเพียงพื้นที่ว่างๆมีคนเพียงสามคนที่ดูจะเป็นผู้สมัครที่เหลือกำลังรอเขาอยู่

    การทดสอบสมรรถภาพร่างกายเบื้องต้น  ฉันจะจับเวลา 30 วินาที  พวกนายวิดพื้นให้ได้ 50 ครั้ง  จากนั้นยิงธนูให้เข้าเป้าทั้งหมดแปดในสิบ  การทดสอบง่ายๆแต่ตัดสิทธิ์ผู้สมัครไปแล้วหลายสิบคนขอให้ทำให้เต็มที่เพื่อจะผ่านไปถึงด่านทดสอบต่อไป  เข้าใจใช่มั้ย  ชายชุดดำเอ่ยง่ายๆแล้วบุรุษในชุดดำอีกสามคนที่เหลือก็หยิบนาฬิกาจับเวลาขึ้นมา 



               “
    50  ครั้งในเวลา 30 วินาที ได้ตายกันไปข้างนึงล่ะทีนี้  ฟรอนบ่นอย่างลืมตัวเรียกเอาสายตาคนทั้งหมดจับจ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียวบางคนมีแววขำก่อนที่ชายชุดดำจะยิ้มมุมปากแล้วเอ่ย

    เมื่อกี้นี้มีคนทำสถิติไว้ 17.28 วินาที  แต่ไม่ยักจะตาย  หวังว่านายที่ฉันเชื่อว่าใช้เวลามากกว่านี้ก็คงไม่ตายไปซะก่อนนะ  นีลโบร์  เขาเอ่ยเรียบๆแต่ทำเอาฟรอนยิ้มเจื่อน



                     ฟรอนกลืนน้ำลายลงคอก่อนที่จะเขยิบเข้าไปยืนเรียงแถวกับผู้สมัครอีก 3 คนแล้วนั่งยองๆลงกับพื้นเตรียมพร้อมที่จะทดสอบ  เขานั่งกอดเข่าแล้วโยกตัวไปมาเหมือนเคยแล้วสายตาเขาพลันสบกับคนข้างตัว



               คนที่มองตอบกลับมาคือเด็กหนุ่มคนที่มาพร้อมกับขบวนแห่ใหญ่โตที่ฟรอนเห็นตอนอยู่นอกกำแพง  เขาใส่หมวกสีขาวที่สวมอย่างเท่ๆบนหัวตัดกับเรือนผมสีดำสนิทดูดี  ใบหน้าขาวอ่อนเยาว์แต่คมคายได้รูป  ดวงหน้าใสนั้นมีประกายตาสีเทาซีดจางแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นเสียจนฟรอนอดรู้สึกสนใจในตัวหนุ่มน้อยคนนี้ไม่ได้



                “
    หวัดดี  เด็กหนุ่มแย้มรอยยิ้มกว้างแล้วเอ่ยปากทักเขาก่อน  ดวงตาสีเทาคู่นั้นดูเป็นมิตร

    หวัดดี  ฟรอนตอบ  ขณะที่กลุ่มคนชุดดำกำลังเตรียมความพร้อมในการจับเวลา

    สายตาของเด็กหนุ่มมีประกายวาววับอย่างสนใจในตัวฟรอน  เขามองเขี้ยวสัตว์ที่หูของฟรอนจนไปถึงกระดูกดาว 5 แฉกก่อนที่จะสะดุดกับของบางอย่างที่ฟรอนกำไว้ในมือ



               “
    นั่นอะไรน่ะ  เขาชี้ไปที่มือข้างขวาของฟรอนที่กำหินแบนๆแกะสลักเป็นรูปสามเหลี่ยมสองรูปหันปลายชนกัน  ฟรอนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยปัด

    อ๋อ เอ่อ เครื่องรางนำโชคน่ะ  เด็กหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม



                “
    ฉัน  เดส  ทรีเดียส  จากเมืองเกรแฮมบิลล์  แล้วนายล่ะ  เขาพยักเพยิดมาทางฟรอน

    ฉันฟรอน  นีลโบร์  จากเมืองแฟรมมิลล์  เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้วกับชื่อเมืองที่ฟังไม่คุ้นหู

    แฟรมมิลล์  คอกวัวที่ใช้ผสมพันธุ์เทียมน่ะหรอ  เขาถามอย่างสงสัยใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความงุนงง



               “
    รึว่านายเป็นลูกชายเจ้าของคอก  ฉันเคยไปที่นั่นเมื่อปีก่อนไม่เห็นมีอะไรนอกจากตัวเจ้าของและแม่วัวท้องแก่เดินกันยั้วเยี้ย  เด็กหนุ่มยักไหล่

    อ๋อ  เอ่อ  คำถามที่ฟรอนนิ่งอึ้ง  นึกไม่ออกเหมือนกันว่าที่แฟรมมิลล์มีบ้านใครเคยทำผสมเทียมวัว



              “
    นั่นมันคอกวัวฟลินต์มิลค์สถานที่ขึ้นชื่อของเมืองบาลโคนีต่างหาก  แล้วนายสองคนจะเริ่มได้รึยัง  น้ำเสียงเข้มของชายชุดดำดังแทรกขึ้นมาทำเอาฟรอนกับเด็กหนุ่มหุบปากแทบไม่ทัน

    ชายทั้ง 4 คนหยิบนาฬิกาจับเวลาขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

    ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม 



                        ทุกคนนอนราบลงกับพื้นเตรียมพร้อมกับสัญญาณที่จะได้ยิน

    หนึ่ง

    ฟรอนขยับหินในมือที่เขายังกำอยู่

    สอง

    เขาหลับตาทำสมาธิ นึกถึงคำพูดสุดท้ายของปู่

    สาม  เริ่มได้



                     มนตร์วิเศษถูกร่ายออกจากปากแผ่วเบาจนแทบจะกลืนไปกับเสียงหอบหายใจ  ร่างกายของฟรอนสั่นกระตุกอย่างแรงทีหนึ่งก่อนที่ของวิเศษในมือจะเปล่งเสียงร้องเรียกอำนาจอย่างที่เจ้าตัวเท่านั้นจะได้ยิน  ดวงตาสีม่วงแดงของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นสีขาวดุจหิมะดูน่าสะพรึง แล้วก็


                        เข้าทรงรวมร่าง  โชเอ็น  ลีออน
    !!!


                  จิตและกายที่รวมเป็นหนึ่งถูกกระชากออก  เสียงกรีดร้องของดวงวิญญาณที่เร่ร่อนดังโหยหวน  จิตที่ได้รับการอัญเชิญถูกดึงเข้าแทนที่อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันจิตดวงอื่นๆเข้าแทรก  บังเกิดประกายแสงแสบตาและปรากฏที่โล่งสว่างของอีกมิติหนึ่ง  เสียงกรีดร้องหายไปความสงบเงียบเข้ามาแทนที่แล้วฟรอนก็ไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆอีกเลย

     

     




              “
    จริงครับพี่  ไอ้หมอนั่นอยู่ดีๆมันก็ชักกระตุกทีหนึ่งแล้วก็นิ่งไปสักพักจากนั้นมันก็เหมือนม้าพยศโดนยัดยาเลยนะครับ  ไม่รู้ฟิตจัดมาจากไหน


                   เสียงของชายชุดดำที่คุมการคัดเลือกคนหนึ่งเอ่ยรายงานเรื่องประหลาดที่เพิ่งประสบพบเจอมาหมาดๆของไอ้เด็กใหม่ที่เข้ามาทดสอบ  ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งฟังเรื่องราวอยู่นั้นยกปลายนิ้วโป้งขึ้นเลียขณะกำลังนั่งอยู่ในห้องเล็กๆประดับด้วยเครื่องเรือนลายวิจิตรแต่โปร่งสบายบนเก้าอี้นวมบุลายทองสวยงาม  

     
                เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำสนิททั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าต่างจากเครื่องแบบปกติตรงที่กระเป๋าเสื้อด้านขวามีป้ายทองวิจิตรสวยงามเสียบประดับอยู่  ป้ายทองที่เป็นเสมือนใบเบิกทางในเฮมพ์เบิร์กให้เขาสามารถไปที่ใดก็ได้ที่อยากจะไป  เขานั่งอยู่ในท่าทางผ่อนคลายยามที่ฟังรายงานจากรุ่นน้อง 

                      ขาข้างหนึ่งของเขายกขึ้นพาดโต๊ะกระจกราคาเหยียบแสนอย่างไม่เกรงใจใคร  ดวงตาสีนิลแข็งกร้าวบ่งบอกถึงความมุทะลุดุดัน  เรือนผมสีดำขลับถูกปัดอย่างไม่เป็นระเบียบบนหัว  รอยยิ้มกวนอารมณ์ที่พรายอยู่บนริมฝีปากเสมอดูแล้วชายคนนี้ไม่ว่าใครมาเจอก็คงภาวนาไม่นึกอยากจะมีเรื่องด้วยแน่ๆ



                “
    วิดพื้น 50 ครั้งใช้เวลาแค่ 15 วินาที แถมยังลุกขึ้นมากำธนูทีละ 5 ดอกยิงเข้าเป้าตัวเองจนหมด ยังลามไปยิงแป้นของผู้เข้าสมัครคนอื่นอีกด้วย  ผมว่าถึงแม้เขาอาจจะไม่ผ่านด่านทดสอบพลังดาบหรือพลังเวทแต่ถ้ามีทักษะดีขนาดนี้เราเอามาเป็นฝ่ายกองระวังหน้าได้สบายเลยนะครับ



                    เมื่อชายชุดดำที่เป็นรุ่นน้องเอ่ยรายงานจบเขาก็ถูกไล่ออกจากห้องไปทำให้ทั้งห้องเงียบไปสักพักก่อนที่เสียงทุ้มลึกจะเอ่ยทำลายความเงียบ

    นายสองคนว่าไง  เขาเอ่ยกับหนึ่งบุรุษ หนึ่งอิสตรีในห้อง



               “
    ฉันยังไงก็ได้  ไม่ต้องเสียเวลารอคนเก่งให้ผ่านครบทุกด่านก็ดีไปอย่าง  เจอของดีแล้วก็รีบๆคว้ามาก่อนจะหลุดมือเป็นพอ  บุรุษในชุดขาวเอ่ยเรียบๆ  แต่สุภาพสตรีคนเดียวในห้องเอ่ยค้าน


              “
    มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือไง  คนอื่นเตรียมตัวมาตั้งมากมาย  แต่นี่จะให้เข้าสอบสัมภาษณ์ทั้งที่เพิ่งผ่านด่านพื้นฐานมาเนี่ยนะ  น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความองอาจและไม่กลัวใครของหญิงสาวทำเอาบุรุษสองคนในห้องแอบถอนใจเงียบๆ



                “
    ฉันไม่ยอมรับหรอก  ผู้สมัครทุกคนต้องผ่านเกณฑ์เดียวกันทั้งหมดที่เราตั้งไว้ตั้งแต่ต้น  เพื่อความยุติธรรมกับทุกฝ่าย  หญิงสาวเอ่ยหนักแน่น  ชายชุดดำน่าเกรงขามเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย



               “
    เธอคิดว่าเธอตัดสินใจทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวรึไง  อย่าลืมว่าเรามี 3 คน  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยุติธรรมตามที่เธอว่าก็คือเสียงสรุปจะต้องเป็นเสียง 2 ใน 3 ถ้าไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ไม่มีความยุติธรรมในสิทธิ์ของผู้เข้าสมัครเลย  แม้แต่ผู้คุมการสอบเองยังต้องตกอยู่ในภาวะเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์เหมือนกัน  จริงมั้ย  

    คำสุดท้ายเขาเอ่ยเสียงยียวนใส่หญิงสาวที่ยืนนิ่งด้วยเก็บอารมณ์ไว้ในใจแต่กระนั้นแววตาที่หรี่ลงของหญิงสาวก็ทำเอาคนทั่วไปที่เคยพบเห็นถึงกับเสียวสันหลังวาบ



                  “
    ฉันอยากจะเห็นหน้าไอ้เด็กใหม่นั่นเร็วๆ  รึนายว่ายังไง  บุรุษชุดดำไพล่ถามไปยังอีกคนที่นั่งกอดอกอยู่อย่างสบายอารมณ์  หญิงสาวหันไปมองหน้าเขาด้วยอย่างรอฟังข้อสรุป  ชายหนุ่มเกาหัวแกร่กๆแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจ


                “
    เอ่อ  ฉันก็คิดอย่างที่หัวหน้าฝ่ายแบล็คคิดนะ  ฉันอยากจะเห็นหน้าเด็กคนนั้นเร็วๆ 

    แต่หญิงสาวถึงกับเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่


                “
    แต่ถ้าผ่านเข้ามาถึงการสอบสัมภาษณ์ก็หมายถึงเราต้องรับคนๆนั้นเข้ามาแล้ว  ถ้าเกิดว่าเด็กนั่นดันเก่งแต่เรื่องกำลังแต่ความสามารถอย่างอื่นเป็นศูนย์  มาตรฐานการรับสมัครของเรามิต้องกลายเป็นศูนย์เหมือนกันรึไง  หญิงสาวมองดูคนร่วมงานตรงหน้าทั้งสองคนที่ดื้อและงี่เง่าสุดจะทน  ปกติเห็นความคิดไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่แต่พอเรื่องแหกกฎออกนอกกรอบนี่เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว


         
               “
    ก็  ถ้าเขาไม่เก่งจริงๆเดี๋ยวฉันกับนีเฮจะรับผิดชอบเอง  ใช่มั้ยท่านนีเฮ  หัวหน้าแบล็คการ์ดแห่งเฮมพ์เบิร์ก  คนถูกดึงให้ร่วมรับผิดชอบสะดุ้งเล็กน้อย  หันไปสบดวงตาสีฟ้าของคนพูดที่หลิ่วตามมาให้อย่างรู้กันว่ามันคงรับปากไปส่งเดช เจ้าตัวก็เลยต้องตามน้ำทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะมีโอกาสที่ความคิดตรงกันสักเท่าไหร่



                “
    เออ  รับผิดชอบก็รับผิดชอบ ไหนๆก็มีผู้การันตีเป็นถึงหัวหน้าไวท์การ์ด  ถ้าจะรับผิดชอบเรื่องฝีมือและทักษะอาวุธล่ะก็ต้องยกให้ท่านซาฟินนี่แหละท่านเชี่ยวชาญที่สุดในเมืองเพิร์ทแล้ว  นีเฮเอ่ยปัดเป็นนัยๆ  ซาฟินหัวเราะเล็กน้อยโดนคนตรงหน้าเล่นงานอีกจนได้



                “
    งั้นทักษะด้านร่างกายก็ต้องยกให้ท่านใช่มั้ย  เรื่องความแข็งแกร่งและความว่องไวจนได้ฉายาว่ามารเงาน่ะ  คงมีท่านคนเดียวที่เชี่ยวชาญและแนะนำได้ดีกว่าทุกคนในเพิร์ทล่ะสิ



                      หญิงสาวเอ่ยเสียงเย็นเยียบให้บุรุษในชุดดำเหมือนโดนห่วงที่มองไม่เห็นรัดตัว  นึกในใจว่าไม่น่าไปเรื่องมากกับสาวจ้าวเลย  ถ้าหากว่าไอ้เด็กนั่นมันห่วยแตกจริงมีหวังงานนี้หัวหน้าไวท์และแบล็คคงต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นเสียแล้ว


              “
    หัวหน้าไวท์รับผิดชอบเรื่องทักษะดาบ  ฉันรับผิดชอบเรื่องทักษะด้านร่างกาย แล้วท่านมารีอานน่าหัวหน้าแห่งเกรย์ล่ะจะรับผิดชอบเรื่องอะไรดี 

    หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยคลี่รอยยิ้มที่อ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความทะนง



               “
    คะแนนเสียงสองในสาม  ถ้าฉันที่ไม่ได้เห็นด้วยต้องไปร่วมรับผิดชอบกับพวกนาย  ศูนย์ฝึกองครักษ์เฮมพ์เบิร์กนี่คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเนอสเซอรี่แห่งเพิร์ทซะแล้วล่ะมั้ง


     
                    คำพูดน่ากลัวของเจ้าหล่อนทำเอาบุรุษสองคนที่เกลียดการยึดติดวาดมโนภาพในใจ หากว่าเขาต้องมานั่งฝึกไอ้เด็กใหม่นี่ทุกวันหลังการตรวจตราเมืองเขาต้องบ้าตายแน่  เว้นเสียแต่ว่าไอ้หมอนั่นมันจะไม่ได้อ่อนหัดอย่างที่คิด



             “
    ถ้าไอ้เด็กเวรนั่นมันไม่มีดีสักอย่างฉันจะจัดการมันเอง  นีเฮพูดเสียงแข็งดวงตากร้าวทอประกายดุดัน  ซาฟินถึงกับส่ายหัว  กลุ่มแบล็กมีหัวหน้าที่ขี้โมโหอย่างสุดๆไม่แปลกใจที่รุ่นน้องจะติดนิสัยไปตามๆกัน  แต่มารีอานน่ายิ้มอย่างพอใจ



                “
    ไปเรียกเด็กใหม่คนนั้นมาหน่อยสิ  เธอสั่งชายชุดดำคนเดิมที่ดูจะตื่นเต้น

    ได้ครับ  ผมว่าพวกท่านต้องชอบใจ  แต่ว่าเขาอาจจะเป็นคนแปลกๆหน่อยน่ะครับ  แต่ผมว่าเขาน่าจะเป็นรุ่นน้องที่ดีของเราได้ 



                       คำพูดของเขาสะกิดใจซาฟินอย่างประหลาดราวกับมีเทพองค์ใดมาชี้นิ้วบอกทาง

    เดี๋ยว  ที่ว่าแปลกน่ะ...หมายถึง  ซาฟินเอ่ยถามพลางภาวนาขออย่าให้เป็นคนแปลกๆอย่างที่ตนคิด  ชายชุดดำเอ่ยยิ้มๆ



              “
    ใช่ครับ  เขามีเครื่องประดับแปลกๆอยู่เต็มตัว  สวมเสื้อคลุมผืนใหญ่มีรอยไหม้ขาดๆหวิ่นๆและที่สำคัญเห็นว่ามาจากเมืองแฟรมมิลล์หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ  เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมตามเขามาให้เห็นตัวเป็นๆเลยดีกว่าครับ  ชายหนุ่มรีบเดินออกไป



                 ท่ามกลางสายตาเย้ยหยันของมารีอานน่า  ดวงตาดุกร้าวของนีเฮ  และดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายร้าวรานอย่างสุดทน


                      ขออย่าให้เป็นนายฟรอน  นีลโบร์เพี้ยนนั่นเลย

     

     



                   ฟรอนยังคงมีอาการมึนหัวและอ่อนเพลียอย่างช่วยไม่ได้เพราะการเข้าทรงแต่ละครั้งต้อง
    ใช้พลังจิตวิญญาณมากมายแถมขณะที่เข้าทรงร่างกายเขายังถูกใช้งานอย่างหนักแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาสอบผ่านด่านแรกมาได้ด้วยดีทั้งที่เจ้าตัวก็จำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย  

    รู้แต่ว่าปู่นั่นเจ๋งจริงอย่างที่โม้ที่เอาหินเข้าทรงมาให้เขาและทำการรวมร่างกันได้อย่างกลมกลืนจนไม่มีใครผิดสังเกต  ด้วยความสามารถที่ล้นเหลือของปู่กับพละกำลังวัยหนุ่มของเขาทำให้ปู่ถึงกับฟิตปั๋งราวม้าพยศทำลายสถิติ 17.28 วินาที  ทำให้เขาได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษได้รับการสัมภาษณ์ทันที



               “
    เข้าไปในห้องนี้แล้วจะมีคนรอสัมภาษณ์นายอยู่  ชายชุดดำดันตัวเขาผ่านประตูเข้าไปยังห้องตรงหน้า

    ภาพที่เห็นทำเอาฟรอนถึงกับทำตัวไม่ถูก  ห้องนั้นสวยงามและดูหรูหรามีเก้าอี้นวมลายทองน่าสบายตั้งอยู่ 4 ตัว  ด้านหน้ามีโต๊ะกระจกสวยดูมีราคาตั้งอยู่ซึ่งชายในชุดดำทั้งตัวใช้เท้าทั้งสองวางพาดไว้  ดวงตาสีนิลแข็งกร้าวมองตรงมาที่เขาอย่างกวนอารมณ์จนฟรอนรู้สึกว่าดวงตานั่นกำลังจับผิดตัวเขาอยู่  เก้าอี้ตรงกลางมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่เมื่อฟรอนเห็นแล้วถึงกับนิ่งอึ้ง



                   เธอเป็นหญิงสาวร่างเพรียวทุกสัดส่วนใบหน้าของเธอสวยสดและขาวผ่อง ริมฝีปากแดงเรื่อเต็มอิ่มกำลังยิ้มอย่างเดาความหมายไม่ถูกมาที่เขา  เรือนผมยาวสีทองนุ่มสลวยถูกมัดรวบอย่างเป็นระเบียบ  ดวงตาสีอำพันกลมโตสงบนิ่ง  ทั้งรูปร่างหน้าตาและท่าทางของเธองามสง่าดุจราชินีในหมู่แมกไม้ถ้าเขาเจอเธอในป่าเขาต้องคิดว่าเธอเป็นนางไม้จำแลงมาแน่ๆ



                   ดวงตาสีม่วงตัดใจละจากใบหน้างามไปมองบุรุษคนสุดท้ายในห้อง  บุรุษที่ทำให้เลือดในกายของเขาวิ่งเร็วจนขนลุกซู่ไปถึงต้นคอกับดวงตาสีฟ้าสุกสกาวที่คุ้นเคย

    ซาฟิน!!!!!



                   ดวงตาสีฟ้ามองเขาด้วยแววตานิ่งสงบดูน่ากลัวไม่เหมือนคราวก่อนที่ได้พบกัน  เขาอยู่ในชุดสีขาวขลิบทองทั้งตัวดูสง่าราวเทพบุตรเรือนผมสีเงินที่เขาเคยเห็นว่ายุ่งเหยิงบัดนี้ถูกถักเป็นเปียเรียบร้อยสวยงาม  ทิ้งมาดคนที่เขาเห็นว่าแอบนอนเล่นในคุกไปจนหมดสิ้น 



                 ฟรอนเริ่มอยู่ไม่สุขในเมื่อเจ้าตัวดีที่เขาไว้ใจอุตส่าห์บอกเรื่องสำคัญเกี่ยวกับเคล็ดลับการสอบเข้า ดั้นมากลายเป็นผู้คุมการสอบครั้งสำคัญ  มีหวังเขาต้องถูกแม่สาวสวยกับไอ้คนหน้าดุนั่นฉีกเป็นชิ้นๆแน่  ทั้งสามคนดูอายุยังไม่เกิน 25 ปีด้วยซ้ำแต่ได้เป็นคนคุมพวกองครักษ์ทั้งหมด  ถ้าไม่เก่งจนเหลือเชื่อก็คงโหดสุดขั้ว แล้วไอ้ชุดเต็มยศกับป้ายทองประกาศเกียรติคุณนั่นคนที่มีสวมมีใส่มันน่าเกรงขามน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ



                       ว่าแล้วเจ้าตัวก็คิดไปถึงเหตุผลที่ซาฟินต้องไปนอนอยู่ในคุก ชักไม่มั่นใจว่าคนตรงหน้าจะพูดจริงรึเปล่า

    ฟรอนรีบก้มหน้าอย่างที่เขาคิดว่าสายตาอาฆาตของทั้งสามคงจะส่งมาไม่ถึงเขา

    นั่งลงก่อนสิ  หญิงสาวในชุดสีเงินเอ่ย  ฟรอนขยับขึ้นไปนั่งยองๆอยู่บนเก้าอี้นวมลายสวยแล้วกอดเข่าก้มหน้า  ภาพที่ทำเอามารีอานน่าและนีเฮถึงกับขมมวดคิ้วด้วยความงุนงงแต่ซาฟินถึงกับแอบขยับยิ้ม



                “
    นี่  แกน่ะนั่งให้มันเหมือนคนปกติเค้านั่งกันหน่อยสิ  นีเฮเอ่ยอย่างหงุดหงิดรำคาญใจ

    ฮะ  อะไรนะครับ  แต่เมื่อฟรอนเงยหน้าขึ้นมาทั้งสามคนก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อดวงตาที่เขาเห็นว่าเป็นสีม่วงเข้มตอนแรกมันกลับกลายเป็นสีขาวสนิททั้งตาจนดูเหมือนคนไร้วิญญาณ



                        มารีอานน่าหายใจกระตุก  นีเฮถึงกับสบถคำหยาบออกมาเสียงดังและซาฟินเบิกตากว้าง

    ฟรอน  ตานาย  ซาฟินอุทาน

    ฟรอนสังเกตเห็นความผิดปกติของร่างกายมันเป็นผลข้างเคียงจากการเข้าทรงที่ทำให้มีร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้เขาสามารถโดนวิญญาณอื่นๆเข้าแทรกได้หากไม่ระวังตัว



                    ฟรอนรวบรวมสติแล้วสะบัดหัวไล่ความอ่อนเพลียไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นสบมองกับทั้งสามคนในห้องด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆพร้อมกับเอ่ยปัด

    เอ่อ  อ่า  ผมชอบเล่นแบบนี้เวลาแสบตาน่ะครับ  เอาตาดำเข้าไปพักผ่อนแล้วเอาตาขาวออกมาใช้งานแทนบ้าง  เขาหัวเราะแห้งๆเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร



              “
    นายรู้ใช่มั้ยว่านี่เป็นการสอบสัมภาษณ์ด่านสุดท้ายที่จะทำให้นายสอบเข้าที่นี่ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบพลังอื่นๆแบบคนทั่วไป  มารีอานน่าเอ่ยขึ้นในที่สุด

    ฟรอนพยักหน้า



            “
    งั้นในฐานะคนที่คัดเลือกเข้ากลุ่มฉันจะขอถามบางคำถามเพื่อคัดเลือกนายเข้ามาในกลุ่มของพวกเราคนใดคนหนึ่ง  หวังว่านายคงจะตอบทุกคำถามตามที่นายคิดนะฟรอน  นีลโบร์  เธอเอ่ยแล้วเริ่มยิงคำถาม

    ถ้าหากว่านายเห็นรัชทายาทพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ถูกจับเป็นตัวประกัน  ในฐานะที่เป็นคนของศูนย์ฝึกองครักษ์นายจะทำยังไง 



                       ใบหน้าขาวขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดสักครู่แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มกว้างอย่างที่ซาฟินเข้าใจความหมายนั้นดี

    ไม่เห็นยากสักนิด  ผมก็จะรีบไปตามพวกพี่ๆคนอื่นมาช่วยท่านยังไงล่ะ  เพราะรัชทายาทพระองค์สุดท้ายหน้าตาเป็นยังไงผมก็ยังไม่เคยเห็น  ถ้าเกิดผมบุ่มบ่ามเข้าไปช่วยแล้วนั่นเกิดเป็นแค่มหาดเล็กคนหนึ่งผมมิต้องเข้าไปตายเปล่าแทนที่จะได้ช่วยรัชทายาทตัวจริงหรอกหรอ



               คำตอบที่ทำให้มารีอานน่าอ้าปากค้างอย่างไม่เคยหลุดทำต่อหน้าคนอื่นมาก่อน  นีเฮหัวเราะออกมาอย่างเครียดๆ  คำตอบตรงหน้ามันก็ชวนให้ขำก้ากใส่หน้ามารีอานน่าอยู่หรอก เสียแต่ว่านั่นจะยิ่งเป็นข้ออ้างของคนหัวหมออย่างเธอที่ทำให้เขาต้องติดแหงกอยู่กับมันตลอดหลังจากนี้



                “
    แล้วถ้าเกิดสมมุติว่าคนๆนั้นเป็นรัชทายาทตัวจริงถูกจับอยู่ล่ะ  ซาฟินเอ่ยถามต่ออย่างเหนื่อยใจ  เจ้าตัวดีตรงหน้ายังคงยิ้มร่า เอ่ยตอบอย่างมั่นใจ



                “
    ผมก็ต้องรีบไปตามพวกพี่มาเหมือนเดิมนั่นแหละ  เพราะถ้าถึงขนาดองครักษ์ส่วนพระองค์ปล่อยให้ท่านโดนจับได้แปลว่าเจ้าคนร้ายนั่นต้องโคตรเก่งมหากาฬ  ลำพังถ้าผมที่เป็นองครักษ์ปลายแถวบุ่มบ่ามอวดดีเข้าไปช่วยท่านมีหวังรัชทายาทคนสำคัญได้ดวงจู๋แน่



                “
    พอ...พอแล้ว  มารีอานน่ายกมือขึ้นห้ามอย่างสุดทน  ฝืนเก็บอารมณ์เอาไว้

    แกคิดแต่จะพึ่งพวกรุ่นพี่รึไง  ไม่คิดจะทำอะไรด้วยตัวเองเลยงั้นหรอ  นีเฮเอ่ย สีหน้าของเขาดูกวนอารมณ์แต่แฝงไปด้วยความดูถูกในน้ำเสียง



                       ฟรอนหัวเราะกับคำพูดนั้นอย่างลืมตัว

    เจียมตัวเองแล้วค่อยๆเรียนรู้  ดีกว่าอวดเก่งแล้วให้คนอื่นจับได้ทีหลังว่าที่จริงแล้วน่ะไม่มีดีให้อวดเลยสักกะนิด  ทันทีที่พูดจบเสียงตบโต๊ะก็ดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อมือใหญ่วาดปังลงบนโต๊ะกระจกแก้วอย่างที่ไม่มีใครมองทัน  ทำเอาเจ้าคนปากหาเรื่องหุปปากสนิท



            “
    เมื่อกี้นี้...แกว่าไงนะ  นีเฮเอ่ยช้าๆลุกขึ้นยืนใบหน้าที่กวนอารมณ์ของเขามองตรงมาที่ฟรอนทำเอาเจ้าตัวใจหายไปอยู่ตาตุ่ม  โชคดีก็แต่ซาฟินเอ่ยขัดไว้ทันไม่งั้นเข้ามีหวังโดนลูกตบแบบที่โต๊ะกระจกนั่นเพิ่งชิมลางไปแน่ๆ



              “
    เขาพูดผิดตรงไหนนีเฮ  ถ้าฉันเดาไม่ผิดถึงแม้นายจะคิดว่าทุกๆอย่างต้องทำด้วยตัวเองถึงจะคู่ควร  แต่นายคงไม่ปฏิเสธถ้าจะบอกว่าคนที่ไม่มีดีแต่ขี้อวดเป็นพวกน่ารำคาญอย่างสุดๆใช่มั้ยล่ะ  ซาฟินพูดด้วยรอยยิ้มที่สะกิดอารมณ์คนตรงหน้าได้ไม่แพ้กัน



                        ดวงตาของนีเฮเต็มไปด้วยความเย็นชาจนน่ากลัว 

    คำถามที่สองนะ ฟรอน 



                        มารีอานน่าเอ่ยทำลายความสงบและแฝงไปด้วยอารมณ์ที่มั่นคง  ฟรอนคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก  มีชีวิตอยู่ท่ามกลางปีศาจจอมโหดสองตัวแถมยังคุมซะอยู่หมัด  ถึงแม้จะไม่ได้คุมกันด้วยกำลังแต่อย่างน้อยถ้าไม่มีเธอสักคนศูนย์ฝึกนี่คงได้แบ่งแยกแตกหักกันไปข้างหนึ่ง



                “
    อาวุธที่นายถนัดใช้คืออะไร

    คำถามที่ฟรอนนิ่งไปสักพักแล้วเริ่มกัดเล็บนิ้วหัวแม่มือตัวอย่างใช้ความคิด  ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยโม้ให้คนตรงหน้าฟังโดยไม่กล้าหันไปสบตาของซาฟิน



                 “
    ผมถนัดหลายอย่างครับ  ฟันดาบ  ยิงธนู  มีดสั้น  อย่างเมื่อกี้นี้ผมก็ยิงทุกดอกเข้าเป้าหมดทั้ง 10 ดอกเลย  เขาพูดจบ  มารีอานน่าพยักหน้าน้อยๆ  ทั้งที่อุตส่าห์เตือนตัวเองว่าอย่าหันไปมองเจ้าคนที่มันรู้ทันแต่ตาเจ้ากรรมมันดันเผลอหันไปมองถึงได้พบแต่แววตานิ่งๆน่ากลัวตอบกลับมา

     

                         หวังว่าซาฟินคงไม่บอกให้เขาลองโชว์ให้ดูนะ

    โชคดีที่ซาฟินก็ไม่คิดอยากให้มันโชว์ถ้าไม่อย่างนั้นมารีอานน่าอาจจะวีนแตกได้

    ศูนย์ฝึกเราต้องการคนที่มีความสามารถมากๆ  ได้นายที่เก่งหลายอย่างมาอยู่ฉันก็ดีใจ  ดวงตาสีอำพันคู่สวยเริ่มคลายความกังวลไปเล็กน้อย



                  “
    คำถามข้อที่สาม  คราวนี้เสียงดังแทรกมาจากบุรุษในชุดขาวคนเดียวในห้องฟรอนจำใจต้องหันไปสบตากับดวงตาสีฟ้าเย็นชา


                “
    นายคงเคยได้ยินที่คนข้างนอกเค้าพูดกันบ่อยๆว่า  พวกองครักษ์เราน่ะเป็นประเภท  อึดแต่โง่  แข็งแกร่งแต่ขาดไหวพริบ  รวดเร็วแต่ไม่รอบคอบ  หรือถ้าไม่ซ้ำชั้นจนแก่หงำเหงือกก็คงถูกไล่ออกจนหมด  ดวงตาสีฟ้าวาววับขณะที่ฟรอนถึงกับลืมหายใจ



                “
    นายมีความเห็นกับเรื่องนี้ยังไง

    คราวนี้เสียงตบโต๊ะดังสนั่นกว่าครั้งแรกเมื่อมือที่วาดลงโต๊ะไม่ได้มีแค่เฉพาะมือของนีเฮ

    ใครมันกล้าพูดจาดูถูกเราแบบนั้น  เสียงหวานแต่ชวนขนลุกเอ่ยกร้าว  ดวงตาสีฟ้าของซาฟินออกแววขบขัน



                “
    ฉันก็ไปได้ยินมานิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง

    หนอย  ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ฉันจะเลาะกรามของมันออกมาตรงนั้นเลย  จะสอนให้มันรู้ซะบ้างว่าคนรู้ดีส่วนมากอายุไม่ค่อยยืน  นีเฮเอ่ยพร้อมกำหมัดแน่น



                     ฟรอนตัวชาวาบไม่กล้าเงยขึ้นสบตาคนทั้งสามนึกด่าพ่อในใจที่เล่าเรื่องมั่วๆให้เขาฟังเสียยกใหญ่แถมส่งเขามาแหย่รังแตนถึงที่  ขืนอยู่ไปเรื่อยๆถ้าไม่ป่วยตายเพราะพิษแตนเขาก็คงจมน้ำลายตัวเองตายแน่

    เอ้า  ตอบมาสินายมีความเห็นว่าไงฟรอน  นีลโบร์  ซาฟินเน้นย้ำทำให้คนปากหาเรื่องตรงหน้าเอ่ยตะกุกตะกัก



                 “
    คือ  มันต้องเป็นคนโง่มากที่คิดอย่างนั้น  เพราะที่นี่มีแต่คนเก่งๆแล้วก็ฉลาด  พวกที่คิดจะตบตาหลอกลวงล่ะก็ถือว่าโง่เต็มทนแล้ว  ฟรอนพูดเสียงแห้ง  เขาเห็นซาฟินยิ้มเยาะใส่เขา  มารีอานน่าพยักหน้าแม้จะยังไม่คลายอารมณ์โกรธสักเท่าไหร่แต่เธออยากให้การสัมภาษณ์จบเสียที



               “
    คำถามสุดท้าย  ถ้าเสร็จคำถามนี้แล้วนายจะได้เข้าเป็นองครักษ์ที่นี่อย่างเต็มตัวสักที  ถ้าฉันให้นายเลือกระหว่างดาบในตำนานกับมงกุฎทองคำ  นายจะเลือกอะไร 



                       คำถามที่ฟรอนกัดฟันอย่างลำบากใจกับคำถามสุดท้ายที่เลือกยากเสียเหลือเกิน  ทั้งดาบในตำนานและมงกุฎทองคำมันเป็นของมีค่าที่หากเลือกสิ่งหนึ่งก็ไม่อยากเสียสิ่งหนึ่งไป  สำหรับคนที่มาจากเมืองไม่ค่อยเจริญอย่างฟรอนแล้วมันช่างเหมาะสมที่จะเป็นคำถามสุดท้ายที่วัดใจกันจริงๆ



                       ซาฟินก้มหน้าเล็กน้อยแอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่ยุ่งเหยิงสุดขีดของคนตรงหน้า 

    เรื่องอื่นล่ะแก้ตัวเร็วเป็นไฟ แต่พอเรื่องเงินๆทองๆล่ะคิดซะรอบคอบเชียว 

    ยิ้มแล้วก็พาลสงสัยว่ามันคงลืมนึกไปว่าเป็นแค่คำถามสมมติ



                       แต่แล้วเมื่อคำตอบของคนที่คิดอย่างรอบคอบเอ่ยมาก็ทำเอาทั้งสามองครักษ์ถึงกับอึ้งไปตามกัน

    ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากเลือกทั้งสองอย่างเลย  คำตอบที่ทำให้ซาฟินเลิกคิ้วงงๆ  แต่ฟรอนเอ่ยต่ออย่างมั่นใจเต็มที่ในความคิดของตน



               “
    เป็นไปได้ผมอยากได้เป็นเงินสดแทน  เพราะมันใช้ง่ายจ่ายสะดวก  ไปที่ไหนก็ใช้ได้  แต่ดาบในตำนานกับมงกุฎทองนั่นถึงได้มาในครอบครองก็ตัดใจเอาไปขายไม่ลงหรอก  เพราะฉะนั้นแทนที่เอาไปขายแล้วจะได้เงิน กลับต้องมาแบกไปมากลัวคนขโมยเป็นภาระอีก  ถึงแม้เงินจะไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตแต่มันก็มีค่าต่อการมีชีวิตอยู่  โบราณถึงว่าของมีค่าที่สุดในโลกนี้ก็คือเงิน  นั่นแหละถูกต้องที่สุด



                     เจ้าตัวพูดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยความมั่นใจเต็มร้อย  ใบหน้าขาวเผยรอยยิ้มภูมใจในผลงานตัวเอง  คำถามสุดท้ายเสร็จไปแล้ว  แล้วเขาก็ทำได้เป็นอย่างดี  ถ้าทุกอย่างเป็นจริงตาที่พ่อบอก

    เขาไม่มีความผิดใดๆในเมืองเพิร์ทอีกแล้ว



                        ฟรอนมัวแต่นั่งโยกตัวหยิบสำรับไพ่ขึ้นมาเรียงตกแต่งอย่างสบายอารมณ์  ทำให้เขาไม่ได้สังเกตคนอีกสามคนที่เหลือเลย

    นีเฮยังยังอ้าปากค้างกับคำตอบและคำอธิบายความสำคัญเรื่องเงินสดของคนตรงหน้าที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะขำหรือเครียดดีเมื่อมารีอานน่าเอ่ยกระซิบเสียงเคร่ง



                 “
    นายสองคนผลัดกันขัดเกลาความประพฤติและหัวคิดของหมอนี่คนละหนึ่งอาทิตย์

    เป็นคำพูดที่นีเฮและซาฟินเถียงไม่ออกว่ามันคงไม่จำเป็น

    นีเฮพิงหลังลงบนพนักพิงพลางเอามือกุมศีรษะใบหน้าของเขาเซ็งหน่ายยามเหลือบตามองบุรุษตรงหน้าที่ยังคงนั่งยิ้มโยกตัวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว



                 “
    ฉันว่า...คนแบบนี้คงไม่เหมาะกับกลุ่มแบล็คเท่าไหร่มั้ง  นีเฮเอ่ยปัดเป็นคนแรก  เรียกให้ดวงตาสีฟ้าและสีอำพันหันมองคนหนีเอาตัวรอด  แต่เจ้าของดวงตาสีดำทำเพิกเฉยหน้าตาย

    อย่ามาตลกนะ  เกรย์ของฉันก็รับไม่ไหวหรอก  หัวหน้าเกรย์เอ่ยต่อแล้วรีบหลบสายตาของอีกคนที่จะกลายเป็นผู้รับผิดชอบที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว



                “
    งั้นแปลว่ามันเหมาะกับไวท์มากรึไง  ซาฟินแค่นหัวเราะเอ่ยเสียงเรียบใบหน้านิ่งสงบ  แต่นีเฮยิ้มกว้าง

    ฟรอน  นีลโบร์  นายขอบคุณหัวหน้าไวท์ซะสิเมื่อกี้เขาเอ่ยรับนายเป็นรุ่นน้องแล้ว  นีเฮกวักมือเรียกฟรอน  ทำเอาคนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ยิ้มกว้างกระโดดลงจากเก้าอี้นวมแล้วรีบเดินเข้ามาหาคนที่โดนยัดเยียดแกมบังคับ 



               “
    นายควรจะฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่นายคนนี้ให้ดีนะ  เขาตบหลังฟรอนเบาๆแล้วดันไปใกล้ซาฟินที่ตอนนี้ใบหน้าสงบฉุนขาด

    แกไม่ตายดีแน่นีเฮ  ซาฟินกระซิบเสียงแผ่วเบาแต่คนถูกว่าแค่ยักคิ้วพร้อมรอยยิ้มกวนบาทาอย่างที่สุด



               “
    มาได้ทุกเมื่อเลยท่านซาฟิน  คนปัดความรับผิดชอบหัวเราะร่าทิ้งให้ผู้ที่ต้องรับภาระฮึดฮัดอยู่ในใจคนเดียว  ตรงหน้าเขาเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยิ้มร่าโผเข้ามากอดเขาอย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อนพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่เขาอยากจะอ้วกใส่มันนัก



                “
    ขอบใจมากซาฟินที่นายเลือกฉันเข้ากลุ่ม  ขอบใจนะ

    จะบ้าตาย!!

    เจ้าตัวป่วนเดินออกไปแล้วแต่เจ้าเพื่อนร่วมงานทั้งสองมันยังทำเอาเขาปวดหัวไม่หยุด  คนหนึ่งเอาแต่หัวเราะอย่างสะใจ ส่วนอีกคนก็เอาแต่ละอายจนไม่กล้าสบตา 



                        ซาฟินถอนใจ

    แค่วันแรกที่เจอกับหนุ่มเพี้ยนนี่เขายังรู้สึกปวดหัวสุดทนแล้วยิ่งวันต่อๆไปเขาต้องเจอหน้ามันทุกวันมีหวังเขาจะต้องเหมือนตกนรกทั้งเป็นแน่ๆ

    **อาจจะยาวไปนิด แต่ยังไงก็ช่วยเม้นด้วยนะ
    ปล. รับฟังทุกความเห็นด้วยความยินดีจ้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×