ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องครักษ์ฉบับเพี้ยน

    ลำดับตอนที่ #3 : ศูนย์ฝึกองครักษ์เฮมพ์เบิร์ก

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 50


    ภาพตรงหน้าทำเอานักทำนายแห่งแฟรมมิลล์ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความทึ่งจัด  ภาพสิ่งก่อสร้างสีขาวสะอาดตาสวยงามเปล่งประกายอยู่เบื้องหน้า  รั้วใหญ่ล้อมรอบกว้างเสียจนเขาไม่สามารถมองมันทั้งหมดในคราวเดียว  หน้าประตูทางเข้าที่สลักเสลาด้วยลวดลายวิจิตรสวยงามมีชาย 2 คนในชุดเครื่องแบบสีขาวและสีดำขลิบทองดูองอาจและสง่างามยืนขนาบข้างเฝ้าอยู่หน้าประตู  


    และมีหญิงสาวร่างเพรียวในชุดเครื่องแบบสีเงินยาวและกระโปรงจีบสั้นระต้นเข่าคอยตรวจสัมภาระและจดรายชื่อของบรรดาคนที่ทยอยกันเข้าไปในศูนย์ฝึกองครักษ์เฮมพ์เบิร์ก ความใหญ่โตของมันสามารถจุคนจากเมืองเล็กๆอย่างแฟรมมิลล์ได้แทบทุกคน  เนื่องจากแฟรมมิลล์เป็นเมืองที่มีขนาดเล็กที่สุดในพื้นที่ฝั่งตะวันตก  เล็กเสียจนถ้าไม่สังเกตดีๆในแผนที่ก็คงหาไม่เจอ   


    หลายคนมักมองผ่านจากเมืองแคมเปญน์ไปยังเมืองฮอนดูลัสโดยไม่รู้ว่ามีเมืองเล็กๆสงบเงียบเมืองหนึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองใหญ่ทั้งสอง  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่แฟรมมิลล์จะเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีการค้าขายกับเมืองอื่นๆเท่าใดนัก  คนของเมืองนี้ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก  แม้แต่สัญลักษณ์ของเมืองก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามีความโดดเด่นในเรื่องใด  


    อันที่จริงจะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่ามีเมืองๆนี้อยู่ร่วมในผืนดินตะวันตกด้วย  เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกที่คนจากแฟรมมิลล์จะไม่เคยเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตมโหฬารแบบนี้



              “
    โห  ใหญ่ขนาดนี้จัดงานพิธีเฟลีอัปปาได้สบายเลย  คำพูดของฟรอนทำเอาคนที่กำลังต่อแถวเข้าไปในศูนย์ฝึกหัวเราะคิกคัก  เพราะคำพูดแปลกๆกับการแต่งกายที่ทำให้เขาดูจะเป็นจุดสนใจยิ่งกว่าเคย 



                 เสื้อคลุมสีม่วงผืนใหญ่มีรอยไหม้และขาดเป็นวงกว้าง  เนื้อตัวของเขามอมแมมจากเขม่าควันไฟจนดูน่าขัน  รอยเปื้อนดำๆบนใบหน้าขาวจัดบวกกับอาการตื่นเต้นในแววตาของเจ้าตัว  มันก็ทำเอาคนรอบข้างเกิดจะเอ็นดูเจ้าหนุ่มประหลาดคนนี้ขึ้นมาทันใด



                    เสียก็แต่คนข้างตัวของเจ้าหมอนี่ที่กำลังฟึดฟัดยกใหญ่  ซาฟินอยากจะมุดหน้าหนีทุกครั้งที่เจ้าคนเพี้ยนนี่พูดอะไรที่ทำให้คนคิดว่ามันเป็นบ้า  แล้วสายตาของทุกคนที่มองผ่านมายังเขาก็พาลคิดว่าเขาบ้าไปด้วยเช่นกันเพราะสภาพของเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ดูน่าขันข้างๆสักเท่าไหร่



                  สายตาของฟรอนมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวเข้าไปในศูนย์ฝึก  เขาเห็นบางคนก็อายุราว 30 ปี  บางคนก็ยังเป็นเด็กอายุประมาณ 12-13  ปะปนกันเข้าสมัครเขาจึงอดถามคนข้างตัวไม่ได้



            “
    ซาฟิน  ที่นี่ไม่จำกัดอายุการสมัครเลยหรือไง  ฉันเห็นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่  หัวหงอกหัวดำเดินกันเกลื่อนเลย  แล้วอย่างนี้เด็กน้อยทั้งหลายจะไม่เสียเปรียบพวกผู้ชายร่างใหญ่ยักษ์หรือไง



                         ฟรอนเอ่ยเมื่อสายตาเขาเห็นเด็กอายุประมาณ 15-16 คนหนึ่ง  ที่มีขบวนแห่รื่นเริงขบวนใหญ่มาส่งถึงหน้าศูนย์ฝึก  เสียงดนตรีเป่าบรรเลงอย่างยิ่งใหญ่อลังการดึงดูดให้คนแถวนั้นหันมามองเป็นจุดสนใจเดียว  เด็กหนุ่มสวมหมวกสีขาวที่นั่งอยู่บนเกวียนนำหน้าขบวนแห่ทำหน้าหงุดหงิดใส่บรรดาคนที่กำลังเป่าแตรเสียงดังจนคนทั้งหมดต้องหันไปมอง  

                         
                        หญิงสาวเอวบางสองคนกำลังโปรยดอกไม้ตามทางให้เด็กหนุ่มคนนั้น  ก่อนที่ชายร่างอ้วนใหญ่สวมสร้อยทองเส้นหนาตึ้บและสวมแหวนทองฝังอัญมณีเม็ดเบ้อเร้อ ที่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อของเขากระโดดลงจากเกวียนทองเล่มมหึมาแล้วลากลูกชายมากอดอย่างสุดหวง




                “
    เดส  พ่อเชื่อว่าลูกต้องทำได้  ลูกไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังอยู่แล้ว  แต่จำไว้อย่างนะลูกไม่ว่าผลจะเป็นยังไงลูกจะสอบได้หรือไม่ได้ยังไง  เมื่อลูกกลับบ้านพ่อจะจัดเลี้ยงคนทั้งเมืองต้อนรับลูกไปเลย  พ่อของเขาพูดด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง  คนเป็นลูกได้แต่พยักหน้าหงึกๆในอ้อมแขนและส่งเสียงเบาๆบอกพ่อเขา



                “
    ครับ  ขอบคุณครับพ่อ 

    บิดาของเขาปล่อยเด็กหนุ่มออกจากวงแขนด้วยน้ำตา  ทำให้เด็กหนุ่มครางเสียงอ่อน

    พ่อ  ผมไม่ได้ไปตายนะ  คำพูดของเขายิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อร้องไห้หนักกว่าเดิม  รวมถึงบรรดาคนรับใช้คุณหนูสุดหวงก็พลอยน้ำตาไหลอาบแก้มไปด้วย 



                “
    ผมจะส่งข่าวหาพ่อปีละครั้งละกัน  คนเป็นพ่อสะอื้นหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดดวงตา

    อาทิตย์ละครั้งสิลูก  คนเป็นพ่อต่อรอง

    3 เดือนครั้งก็พอแล้วพ่อ  คนเป็นลูกเริ่มหงุดหงิด

    งั้นสองอาทิตย์ครั้งละกัน  แต่เมื่อมองเห็นหน้าหงิกงอของลูกชาย  เขาก็เอ่ยในที่สุด

    งั้นเดือนละครั้งก็ได้  ตกลง  เดือนละครั้งพอ  เด็กหนุ่มรีบพยักหน้ากระโดดเข้าสวมกอดคุณพ่อที่รู้ใจ  จนทำให้บรรดาคนที่มาร่วมขบวนต่างหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาไปตามๆกัน



                       เด็กหนุ่มผละออกจากอ้อมกอดบิดาแล้วโบกมืออำลา

    โชคดีนะพ่อ  ดูแลสุขภาพด้วย  พูดจบเขาก็หันไปหาหญิงแก่ๆที่ยืนข้างๆ

    โซฟีด้วย  อย่าลืมดูแลคุณพ่อล่ะ  แล้วห้ามใส่น้ำตาลลงในชาของพ่อนะ  หญิงแก่พยักหน้าน้ำตาอาบแก้ม  มองดูเด็กหนุ่มที่เธอเลี้ยงมากับมือเดินไปยังประตูทางเข้าด้วยความมาดมั่น



               “
    คุณหนูต้องทำได้  อิฉันมั่นใจค่ะ  เธอเอ่ยกับคุณผู้ชายของเธอที่บัดนี้ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญยกใหญ่  ก่อนที่ขบวนแห่ส่งคุณหนูจะเริ่มบรรเลงเพลงรื่นเริงแล้วค่อยๆทยอยกลับทางเก่าไปจนลับสายตา



                        ฟรอนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกขบขันก่อนจะหันไปหาคนที่เขาเอ่ยถามด้วยเมื่อครู่

    ตกลงว่าไง  ไม่มีการจำกัดอายุหรอ 

    ซาฟินเอ่ยขณะที่เขาก้าวยาวๆไปยังประตูทางเข้าที่แถวเริ่มสั้นลงจนเกือบจะไม่มีคนแล้ว

    ไม่มีหรอก  ที่นี่เค้าวัดกันที่ความสามารถ  ถ้าความสามารถถึงก็ผ่าน  ไม่ถึงก็จบ  ถึงยังไงถ้ามีความพยายามจริงปีหน้าก็มาสอบใหม่ได้เรื่อยๆ



                       คำตอบที่ฟรอนพยักหน้าช้าๆอย่างเห็นด้วยเพราะดูจะเป็นการคัดเลือกที่ยุติธรรมที่สุด  ก่อนที่จะเอ่ยถามต่อตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องใหม่ๆ

    แล้วที่นี่เคยมีคนอายุน้อยที่สุดสอบเข้าได้ประมาณอายุเท่าไหร่นายรู้มั้ย 



                        ซาฟินหัวเราะๆหึหึในลำคอก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

    10 ปี

    หา!!  10 ปีเนี่ยนะ  ดวงตาสีม่วงแดงเบิกกว้างอย่างลืมตัว  พลันนึกไปว่าเมื่อตอนเขาอายุ 10 ปี กำลังทำอะไรอยู่  คงไม่ใช่มาหาเรื่องฝึกหนักตั้งแต่เด็กอย่างนี้แน่



                “
    ใช่  รุ่นนั้นเป็นปีที่มีเด็กอายุน้อยที่สุดสอบเข้าได้ 2 คน  คนหนึ่งอายุ 10 ปี  อีกคนหนึ่ง  11 ปี

    ฟรอนพยักหน้ารับรู้  พลางนึกอยากจะเห็นหน้าของเด็กน้อยทั้งคู่เป็นบุญตา  อย่างนั้นถ้าเขาสอบผ่านเขาก็คงต้องเรียกเด็กที่อายุน้อยกว่าสองคนนั่นว่ารุ่นพี่สิเนอะ



                “
    แล้วคนที่อายุมากสุดที่สอบเข้าได้ล่ะ  เขาถามต่อ  ซาฟินตอบเสียงเรียบอย่างเคย

    86  ปี  แต่ไม่ทันได้เข้าฝึกหรอก  หลังจากที่ผ่านการคัดเลือกแล้วก็หัวใจวายตายไปซะก่อน  ตรงลานกว้างที่สอบนั่นแหละ  มันเลยเป็นอาถรรพ์ที่เด็กคนไหนไปทดสอบตรงตำแหน่งที่เขาตายมักจะสอบไม่ผ่านเสียทุกคน  คำตอบที่ฟรอนไม่อยากจะถามต่อ  เมื่อเขาเดินมาจนถึงหน้าประตูทางเข้าที่มีคนอยู่แค่สองสามคน



                “
    ตำแหน่งไหนกัน  ฉันจะได้เลี่ยงๆไว้หน่อยก็ดี  ฟรอนเอ่ยอย่างจริงจัง  แต่คนตรงหน้าขยับรอยยิ้ม

    ตำแหน่งที่  33

    ฟรอนทวนความจำที่ได้ยินมาถ้าหากเขาเข้าไปสอบแล้วสามารถเลือกอะไรได้เขาจะเลี่ยงทุกอย่างที่มีเลข 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง



              “
    เดี๋ยวนายบอกชื่อให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเข้าไปข้างใน  จะมีคนบอกนายเองว่าต้องทำอะไรบ้าง  โชคดี  ฟรอน  นีลโบร์  เอ่อ  ยินดีที่ได้พบกับนาย  ซาฟินพูดแค่นั้นแล้วเขาก็เดินไปยังหญิงสาวร่างเพรียวที่ใส่ชุดเครื่องแบบสีเงินขลิบทองสง่าคนนั้น  

       
                  แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองเห็นสารรูปของเขาเธอก็อุทานเสียงดังจนต้องเอามือปิดปาก  แต่นั่นก็เรียกสายตาของชายชุดขาวและชุดดำที่ยืนขนาบข้างให้สังเกตเห็นด้วยทั้งสองคนพากันกลั้นหัวเราะจนท้องแข็งถ้าไม่ใช่เพราะสายตาดุๆที่คนตรงหน้าส่งให้จนเงียบ  หญิงสาวทำหน้างงก่อนจะเอ่ยทั้งที่ยังเอามือป้องปากอยู่



              “
    ทำไมท่านถึง...เสื้อผ้า  แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้ไง  มิน่าล่ะท่านมารีอานน่าถึงหงุดหงิดแต่เช้าเชียว  เธอเอ่ยเสียงหวานแต่ฟังเหมือนออกแนวตำหนิเล็กน้อย  ซาฟินยิ้มแห้งๆให้สาวเจ้า

    เอ่อ  มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ  พอดีไปเจอกับพวกที่ไม่ค่อยธรรมดา  หญิงสาวเชิดหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างเสียงดังฟังชัด



               “
    ที่ไม่ธรรมดาน่ะท่านได้เจอแน่  ท่านมารีอานน่าเวลาโมโหน่ะก็ไม่เหมือนผู้หญิงธรรมดาหรอกนะคะ  คราวนี้ซาฟินกลืนน้ำลาย  เขาชักไม่มั่นใจแล้วว่าอนาคตนักปกครองจะต้องมีแต่ผู้ชายเท่านั้น

    รีบไปเถอะค่ะ  ยังทัน  เธอรีบเปิดทางให้ซาฟินเข้าไปก่อนจะหันมาทำงานตรงหน้า



                 ฟรอนไม่ทันสังเกตเห็นว่าซาฟินหายไปไหน  เพราะตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยืนต่อแถวอยู่
      หญิงสาวกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าของชายหนุ่มโดยเฉพาะหัวกะโหลกลิงที่ดูน่าสยดสยองของเขาก่อนที่จะมองใบหน้าดำ เปื้อน  ที่มีรอยยิ้มพราย




                “
    ชื่ออะไรล่ะ  เธอถาม

    ฟรอน  นีลโบร์  ครับ เป็นนักทำนายจากเมืองแฟรมมิลล์

    ชื่อเมืองที่ไม่เคยได้ยินทำเอาหญิงสาวสะดุดเล็กน้อยเหลือบตามองคนตรงหน้ากะว่าจะถามถึงที่ตั้งของเมือง  แต่เธอก็ต้องชะงักเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเธอกำลังเคี้ยวกัดบางอย่างที่ดูเหมือนขนนกสีสดใสและดวงตาสีสวยเหมือนอัญมณีคู่นั้นไม่ได้มองมาที่เธอเลย  ทำให้เธอตัดสินใจสะกดชื่อเมืองมั่วๆตามที่ได้ยินมาเอง



                “
    ขอตรวจสัมภาระหน่อยสิ  เธอเอ่ย  ชายหนุ่มพยักหน้าและยอมทำตามโดยดี

    ฟรอนเปิดเสื้อคลุมของเขาออก  มันทำเอาองครักษ์ที่เฝ้าประตูทั้งสามต้องทำตาโตด้วยความตกใจเมื่อสิ่งของที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมมีเยอะเสียจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้เดินแบกมาทั้งวัน  แล้วดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นซะเกือบทั้งหมด



                “
    นี่อะไรน่ะ  บุรุษในชุดดำเอ่ยถาม  หยิบของที่ดูเหมือนถุงใบหนาหยาบสีคล้ำขึ้นมาดู

    อ๋อ  อันนั้นที่ใส่น้ำดื่มน่ะ  ทำมาจากกระเพาะแพะตากแห้ง  คำพูดที่ทำเอาหญิงสาวชุดเงินถึงกับทำหน้าเหยเกกับอุปกรณ์ดื่มน้ำที่น่าสะอิดสะเอียนเธอจดบันทึกของประหลาดลงไปในกระดาษแผ่นยาว



                “
    แล้วนี่อะไรล่ะ  คราวนี้บุรุษในชุดขาวหยิบของที่ดูเหมือนลูกแก้วสีเขียวใสขึ้นมาดู

    อ๋อ  อันนั้นลูกตามังกรน่ะ  เค้าว่าเป็นยาอายุวัฒนะห้าร้อยปีถึงจะมีสักตัว  แต่ต้องเป็นมังกรที่ตาบอดตั้งแต่เกิดและไม่เคยดื่มนมแม่มันมาก่อนถึงจะมีดวงตาสีแก้วได้  

                 
                  ฟรอนและบุรุษอีกสองคนดูจะสนุกสนานกับข้าวของแปลกๆตรงหน้าทำเอาหญิงสาวเริ่มตัวสั่นสะกดอารมณ์แทบไม่อยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไอ้เด็กใหม่ตรงหน้ามันกำลังเริ่มเล่าถึงเมืองลับแลที่ไม่เคยมีใครเห็นของมันด้วยความสนุกสนาน  แล้วไอ้องครักษ์สองตัวนั่นก็กำลังฟังอย่างติดลม




              “
    พิธีเฟลีอัปปาคือการที่ทุกคนมารวมกันที่ลานกว้างเหมือนเป็นงานเลี้ยงใหญ่  จะมีการรำวงแล้วจากนั้นก็เชือดแพะกินกันอย่างสดๆ...

    พอได้แล้ว  เก็บของน่ากลัวพวกนี้ไปด้วย  เดี๋ยวก็ได้นั่งโม้อยู่ตรงนี้จนหมดเวลาสอบหรอก  เธอเอ่ยอย่างหงุดหงิดพลางเช็คชื่ออนุญาตให้คนจากเมืองแฟรมมิลล์คนนี้เข้าไปได้



                       ฟรอนโบกมือให้กับองครักษ์ทั้งสองคนซึ่งโบกตอบกลับมาอย่างถูกใจ

    สอบให้ได้นะฟรอน  แล้วเป็นไปได้อยู่ฝ่ายไวท์ให้ได้ด้วยล่ะ  ชายชุดขาวเอ่ย

    ฉันจะบอกให้   อยู่แบล็คเจ๋งกว่าเป็นไหนๆ”   ชายชุดดำเอ่ยแย้ง  

                        ฟรอนพยักหน้ารับส่งๆไป  ในใจนึกแต่ว่าไอ้แบล็คๆไวท์ๆนี่คงเป็นชื่อม้าล่ะมั้ง

    ยังไงก็ได้แต่อย่ามาอยู่เกรย์ละกัน  หญิงสาวถอนหายใจอย่างเซ็งๆ  เริ่มตะหงิดใจว่าไอ้คนไม่ธรรมดาที่ซาฟินว่าดูท่าจะไม่ใช่คนอื่นคนไกลแล้วล่ะ  คิดยังไม่ทันจบเจ้าคนไม่ธรรมดาที่กำลังคิดถึงก็ตะโกนกลับมาว่า

    ไม่ต้องห่วงครับพี่สาว  ผมไม่ชอบม้าเกย์อยู่แล้ว

     

     

    ลานกว้างทางด้านหน้าของศูนย์ฝึกใหญ่โตมโหฬารเสียจนเมื่อเขามองไปรอบตัวก็ถึงกับตาลายเพราะจำนวนผู้สมัครหลายร้อยคนที่กำลังเตรียมตัวทดสอบสมรรถภาพร่างกายซึ่งเป็นด่านแรกอยู่  มีคนใส่เสื้อสีดำ  ขาวและเงินอย่างละ 4 คนคอยยืนเรียกผู้สมัครทีละ 12 คนให้เข้ามาทดสอบหลังฉากกั้นทำให้คนภายนอกมองไม่เห็นว่าเขาทำการทดสอบแบบใด



                       ฟรอนหาวอย่างเบื่อหน่ายเกาหัวแกร่กๆ  พลางคิดว่าคงอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงชื่อของเขา  เจ้าตัวจึงตัดสินใจเลือกหาที่ดีๆสักที่ที่ไกลๆผู้คนและเสียงไม่ดังมากเพราะตอนนี้ทางสนามด้านที่ให้ผู้สมัครรอคิววุ่นวายและสับสนไปด้วยบรรดาคนที่กำลังคุยโตโอ้อวด  และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน



                        ซึ่งเขาบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเดินเลาะแนวรั้วต้นไม้เพื่อไปยังต้นไม้ใหญ่เงียบสงบข้างหน้า

    นายเห็นดาบนี่มั้ย  ถลุงจากถ่านหินภูเขาไฟเชียวน้า  ของแท้แน่นอนจากเมืองเอเวอเรสต์ฉันเดินทางไปขุดถ่านหินนี่ด้วยตัวเองเลย  รับรองฟันฉับเข้าทีหินก็หิน  เหล็กก็เหล็กเหอะวะ  แหลก!!”



                   ร่างใหญ่เดินก้มหน้าห่อตัวหลบหลีกผู้คนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ทอดเงาร่มรื่นดูเย็นสบาย  เขานั่งลงพลางสูดหายใจลึกๆ  บรรยากาศที่หอมกลิ่นดอกไม้อ่อนๆทำให้เขาเริ่มเคลิ้ม  ร่างใหญ่ทิ้งตัวลงนอนราบกับพื้นหญ้าใช้ลำแขนทั้งสองข้างของตนต่างหมอนหนุน  ดวงตาสีม่วงเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่สดใส  รอยยิ้มน้อยๆปรากฏที่มุมปากอย่างสบายอารมณ์ก่อนเจ้าตัวจะหลับตาพริ้มเข้าสู่พวังไปด้วยความเหนื่อยล้า



                    สายลมเย็นพัดผ่านทำเอาฟรอนเกือบๆจะได้ฝันกลางวันเมื่อจู่ๆร่างใหญ่ร่างหนึ่งก็ร่วงผลุงลงมาจากต้นไม้ทำให้คนที่กำลังเคลิ้มๆอยู่หลุดจากฝันทันใด



               “
    เฮ้ย  ฟรอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อมองเห็นว่าคนที่ร่วงลงมานั้นเป็นชายแก่หงำเหงือกเสียจนเขาแทบไม่เหลือฟันสักซีกแล้ว  เขายังคงมองอย่างงงงวยเมื่อร่างที่ผอมแห้งเหลือแต่กระดูกของชายแก่ค่อยๆลุกขึ้นนั่งคลำก้นแล้วคลานกวาดมือไปตามพื้นเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง  เขาหรี่ตามองหาบนพื้นหญ้าทำให้ฟรอนคิดว่าเขาคงตาไม่ดี



               “
    เอ่อ  หาอะไรหรอปู่  ฟรอนเอ่ยถาม  ชายแก่สะดุ้งสุดตัวหันมองมาทางต้นเสียงเมื่อเขาเห็นฟรอน เขาก็ยิ้มอย่างถูกใจ

    โอ้  ไอ้หนุ่มแกมองเห็นข้าด้วยหรือวะ  คำถามที่ฟรอนมุ่นหัวคิ้ว  ชายแก่ไม่เหลือฟันที่ปากสักซีกทำให้ทุกคำพูดของเขาฟังเข้าใจยากเหลือเกิน



                “
    เห็นสิ  ปู่กำลังหาอะไรอยู่ล่ะ

    เอ้อ  ข้ากำลังหาอะไรอยู่วะ  ชายแก่เกาหัวแกร่กๆขมวดคิ้วใบหน้าของเขาเหมือนกำลังระลึกความจำก่อนที่เขาจะโบกมือไปมาในอากาศอย่างไม่ใส่ใจ



                “
    เออ  ช่างมันวะเดี๋ยวนึกได้แล้วค่อยหาต่อ  ว่าแต่แกเหอะไอ้หนุ่ม  เขาหันมามองฟรอนอย่างสนใจ
                       
    จะมาสอบเข้าที่นี่รึ  เขาถาม



                        ฟรอนพยักหน้ารับ  นึกเอะใจจึงถามบ้าง

    แล้วปู่จะมาสอบที่นี่เหมือนกันหรอ  ฟรอนมองดูใบหน้าเหี่ยวย่นที่บัดนี้ดวงตาทั้งสองของเขาแทบจะมองไม่เห็นและร่างกายที่ผอมแห้งจนน่าจะเดินไม่ได้ถ้าไม่มีไม้พยุง  เขาแอบขำอยู่ในใจ



                        หึหึ  เดี๋ยวได้กลายเป็นตำนานอาถรรพ์อีกรายชัวร์

    นี่ไอ้หนุ่ม  แกคิดจะดูถูกข้าก็ให้มันน้อยๆหน่อย  ข้าไม่ได้เป็นตัวอาถรรพ์อย่างที่ไอ้พวกเด็กใหม่อ่อนหัดที่สอบไม่ติดนั่นว่าสักกะหน่อย  ชายแก่ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ  แต่ทำเอาฟรอนถึงกับร้องอ๋อ

    ฟรอนเริ่มเข้าใจความหมายของชายแก่ที่ตกใจเมื่อรู้ว่าเขามองเห็น  ความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นของเขามีติดตัวมาตั้งแต่เกิด  นั่นทำให้พ่อของเขาเกิดความคิดที่จะใช้พลังนี้ของเขาให้เกิดประโยชน์ในทางผิดๆ

                “
    ที่แท้ปู่น่ะเองที่คอยแช่งให้เด็กใหม่ๆสอบไม่ผ่านอยู่ทุกๆปี  ชายแก่สะดุ้งเฮือก

    ไอ้บ้านี่มันไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยรึไงฟะ

    ข้าไม่ได้แช่งพวกเด็กใหม่ซะหน่อย  พวกนั้นมันไม่มีฝีมือเองต่างหากแล้วบังเอิญที่ๆมันทดสอบดั้นเป็นตรงที่ๆข้าตายอีก  เรื่องก็เลยกลายเป็นว่าข้าไปอิจฉาเด็กใหม่ซะอย่างนั้น  ชายแก่ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย



                 “
    แต่อย่างว่าปู่ตายไปตั้งนานแล้วก็ให้โอกาสพวกรุ่นใหม่ๆบ้างเหอะ  คนตายยึดติดน่ะมันไม่ดีหรอกนะ  เสียคนแก่หมด  ฟรอนพูดพลางเหม่อมองไปยังสวนสวยเบื้องหน้าแต่ชายแก่ถึงกับหมดอารมณ์เมื่อไอ้เด็กรุ่นหลานตรงหน้ามันไม่ได้ฟังคนเสียคนแก่อย่างที่มันว่าพูดเลยสักนิด



                “
    เออ  เอาก็เอา  จะคิดยังไงก็ช่างเหอะ  ชายแก่ส่ายหน้าอย่างปลงๆ

    ด่านทดสอบยากมั้ยปู่  ฟรอนเอ่ยถามหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง

    ชายแก่ทำท่าคิดหนักเกาหัวอย่างคิดคำพูดยาก



               “
    มันก็ไม่ยากถ้าร่างกายแกพร้อม  ด่านแรกก็เป็นแค่พวกทดสอบกำลังกายให้ถึงเกณฑ์ตามที่เค้ากำหนดเวลาไว้  ด่านต่อไปเป็นการทดสอบพลังดาบและเวท  มันก็แล้วแต่ความสามารถของคนอีกนั่นแหละ  ส่วนด่านสุดท้ายเป็นการสอบสัมภาษณ์จากผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม  ไวท์  แบล็คและเกรย์  ถ้าผ่านหมดก็จบ  ง่ายๆ  แต่ส่วนใหญ่ถึงแม้จะผ่านทุกด่านแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนสอบสัมภาษณ์จะถูกใจพวกหัวหน้ากลุ่มนั่นรึเปล่า



                        คำตอบที่ฟรอนสนใจเป็นพิเศษก่อนจะเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น

    แล้วไอ้พวก  ไวท์  แบล็ค  เกรย์  นี่มันคืออะไรล่ะ  เอ่อ  ไม่เกี่ยวกับม้าใช่มั้ย

    ม้าบ้านแกรึไงมีสามสี  หัดสนใจมองรอบตัวซะบ้าง  เห็นมั้ยเนี่ยว่าที่นี่มีเครื่องแบบสามสี  สีขาว  ดำแล้วก็สีเงิน  คนที่สอบเข้านี่ก็แบ่งตามว่าหัวหน้าสีไหนจะถูกใจคนไหนแล้วก็เลือกกันตรงนั้นเลยว่าจะเอาใครมาเป็นรุ่นน้อง    



                “
    แล้วอย่างนี้ไม่มีกรณีแย่งคนคนเดียวกันบ้างหรอ

    ไม่หรอก  หัวหน้าพวกนี้เนี่ยมักจะเลือกเอารุ่นน้องที่นิสัยคล้ายๆตัวเอง  อย่างพวกแบล็คนี่มันมีหัวหน้าสุดโหดเป็นคนคุม ไอ้พวกที่อยู่ในนั้นก็ไม่วายเป็นพวกสุดเฮี้ยวไปตามๆกัน  ส่วนพวกไวท์นี่มีหัวหน้าเป็นประเภทเรื่อยๆ  รักสงบ  เพราะฉะนั้นพวกอยู่ฝ่ายไวท์ก็จะเป็นประเภทเอื่อยๆแต่รักพวกพ้องแล้วก็เป็นพวกที่เอาตัวรอดเก่ง  


    ส่วนเกรย์นี่เป็นพวกที่แตกต่างไปเลย  ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมดแต่ผู้ชายก็มีนะ  เป็นพวกฉลาด  ผู้ดี  เรียกได้ว่าพวกที่อยู่เกรย์นี่เป็นพวกสังคมชั้นสูงเลยก็ว่าได้  คนจากที่นี่มักจะเก่งและสุขุมเยือกเย็นแต่บางครั้งก็หยิ่งผยองจนเกินไป  นี่แหละสามสีในตำนานแห่งเฮมพ์เบิร์ก  ไวท์  แบล็ค  เกรย์



                       ชายแก่ดูจะภูมิใจกับข้อมูลที่ตนเองรู้

    แล้วอย่างนี้มันไม่เหมือนเป็นการแบ่งแยกไปหน่อยหรือไง  สอบผ่านเหมือนกันแท้ๆ  ฟรอนพูดตามความคิด



              “
    ไม่หรอก  ตอนแรกๆผู้ใหญ่หลายคนก็คิดอย่างนั้นแต่พวกหัวหน้ากลุ่มทั้งสามคนไม่มีใครเป็นคนคิดให้แบ่งแยกตามการแต่งตัวหรอกนะ  แต่เผอิญมันช่วยไม่ได้ที่ทั้งสามคนนั่นต่างก็มีแฟนคลับเป็นพวกรุ่นน้องอย่างเหนียวแน่น  มันเลยเกิดกระแสทำตามขวัญใจของตัวเอง ไปๆมาๆการแต่งตัวสามสไตล์ก็กลายมาเป็นหนึ่งในการคัดเลือกไปซะอย่างนั้น  พวกผู้ใหญ่เลยเห็นว่าก็ดีไปอย่างที่การดูแลคนในกลุ่มแบ่งๆกันไป  จะได้ไม่ต้องให้คนๆเดียวรับผิดชอบ



               “
    เคยมีทะเลาะกันระหว่างกลุ่มบ้างมั้ย  คนอยากรู้ยังซักต่อ

    ส่วนมากชื่อก็บอกอยู่แล้วไวท์ แบล็ค  มันต่างกันสุดขั้วสองกลุ่มนี่มีหัวหน้าที่งี่เง่าพอกัน  มันเลยพาลเอารุ่นน้องงี่เง่าไปด้วย  ลำบากพวกเกรย์คอยห้ามทัพบ่อยๆ



                       ฟรอนพยักหน้ารับรู้

    แล้วปู่ได้อยู่กลุ่มไหนล่ะ  ฟรอนถาม  ชายแก่ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ

    ฉันน่ะหรอ  ฉันเป็นเกรย์การ์ดแห่งเฮมพ์เบิร์กน่ะสิไอ้หนู 



                       คำตอบที่ฟรอนถึงกับขำก้าก  จนคนแก่กว่าเริ่มหน้าแดงอย่างมีอารมณ์

    แกขำอะไรไอ้เด็กน้อย

    ก็ปู่ดูไม่เหมือนพวกสังคมชั้นสูงอย่างที่ว่าเลย  ชายแก่มีสีหน้าเรียบนิ่งกับคำพูดของเขาแล้วเอ่ยอย่างมีอารมณ์



              “
    ก็ฉันฉลาดพอไงไอ้หนู  แล้วก็ไม่ปากหมาเหมือนแกด้วย  ชายแก่พูดเสียงดัง  แต่เจ้าคนปากหมาตรงหน้ากลับหยิบเศษหญ้าข้างตัวขึ้นมาดมเล่นอย่างไม่สนใจฟัง  ทำเอาชายแก่ถึงกับถอนหายใจอย่างหมดอารมณ์

    ช่างแกวะไอ้เด็กเปรต



                “
    หือ  ปู่ว่าไงนะ  ฟรอนหันมามองอย่างไม่ใส่ใจฟัง  ทำเอาอารมณ์ของปู่ขาดผึงอย่างคนที่ชื่อว่าเสียคนแก่

    แกไปตายไปไอ้เด็กเปรต  เขาตะโกนเสียงดังลั่นทำเอาฟรอนต้องยกมือขึ้นปิดหูขวา

    ทีไอ้เรื่องสำคัญเอ็งดันไม่ฟัง  พอไอ้เรื่องปัญญาอ่อนล่ะหูผึ่งนัก



                   ชายแก่ตวาดเสียงดังทำเอาฟรอนถึงกับยิ้มแหยๆ  พาลคิดในใจว่าดูยังไงก็ไม่เหมือนพวกชั้นสูงอย่างที่โม้ไว้สักนิด  แต่
    เมื่อได้ระเบิดอารมณ์ชายแก่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย  อาจเป็นเพราะว่าหลายปีมานี้ไม่เคยมีใครรับฟังเรื่องของเขาเลย



                        ก็ถือว่าโชคดีที่ได้มีคนมานั่งคุยด้วยในยามที่เหงาใจ

    ถึงคนตรงหน้ามันจะแปลกคนไปสักหน่อย  แต่มันก็ดูไม่มีพิษมีภัย

    คิดจบก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบของที่ดูเหมือนแผ่นหินกลมเล็กๆขนาดเท่าเหรียญ 5 กิลที่ด้านหนึ่งสลักลวดลายเป็นรูปสามเหลี่ยมสีทองสองรูปหันปลายชนกันขึ้นมา



                       ฟรอนเบิ่งตาโตอย่างสนใจ

    เอ้าไอ้หนู  วันนี้ถือว่าข้าใจดีที่สุดในรอบ 86 ปีเลยนะเฟ้ย

    พูดจบก็โยนหินเล็กๆนั่นให้ฟรอน  เขารับมาดูอย่างสนใจ



                “
    แกรู้วิธีใช้มันใช่มั้ย  พ่อยิปซีหน้าหล่อ  ฟรอนพยักหน้าอย่างงงๆแล้วเขาก็นึกได้

    หรือว่า  ปู่จะ...  ชายแก่ที่ความสามารถไม่แก่ตามตัวหลิ่วตาให้เขาพลางเอ่ยเสียงดังฟังชัด

    ด้วยพลังของแก  และความช่วยเหลือของข้า  จะช่วยให้แกสอบติดที่นี่ได้ร้อยเปอร์เซนต์อย่างไม่ต้องกังวลเลยไอ้หนุ่ม 



             เขาหัวเราะเสียงดังก้องขึ้นฟ้าเป็นเวลาเดียวกับที่ฟรอนตระหนักได้ว่าแค่วันแรกของการเหยียบย่างเข้ามาเฮมพ์เบิร์กเขาได้พบเจอคนที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×