คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ศูนย์ฝึกองครักษ์เฮมพ์เบิร์ก
ภาพตรงหน้าทำเอานักทำนายแห่งแฟรมมิลล์ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความทึ่งจัด ภาพสิ่งก่อสร้างสีขาวสะอาดตาสวยงามเปล่งประกายอยู่เบื้องหน้า รั้วใหญ่ล้อมรอบกว้างเสียจนเขาไม่สามารถมองมันทั้งหมดในคราวเดียว หน้าประตูทางเข้าที่สลักเสลาด้วยลวดลายวิจิตรสวยงามมีชาย 2 คนในชุดเครื่องแบบสีขาวและสีดำขลิบทองดูองอาจและสง่างามยืนขนาบข้างเฝ้าอยู่หน้าประตู
และมีหญิงสาวร่างเพรียวในชุดเครื่องแบบสีเงินยาวและกระโปรงจีบสั้นระต้นเข่าคอยตรวจสัมภาระและจดรายชื่อของบรรดาคนที่ทยอยกันเข้าไปในศูนย์ฝึกองครักษ์เฮมพ์เบิร์ก ความใหญ่โตของมันสามารถจุคนจากเมืองเล็กๆอย่างแฟรมมิลล์ได้แทบทุกคน เนื่องจากแฟรมมิลล์เป็นเมืองที่มีขนาดเล็กที่สุดในพื้นที่ฝั่งตะวันตก เล็กเสียจนถ้าไม่สังเกตดีๆในแผนที่ก็คงหาไม่เจอ
หลายคนมักมองผ่านจากเมืองแคมเปญน์ไปยังเมืองฮอนดูลัสโดยไม่รู้ว่ามีเมืองเล็กๆสงบเงียบเมืองหนึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองใหญ่ทั้งสอง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่แฟรมมิลล์จะเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีการค้าขายกับเมืองอื่นๆเท่าใดนัก คนของเมืองนี้ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แม้แต่สัญลักษณ์ของเมืองก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามีความโดดเด่นในเรื่องใด
อันที่จริงจะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่ามีเมืองๆนี้อยู่ร่วมในผืนดินตะวันตกด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกที่คนจากแฟรมมิลล์จะไม่เคยเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตมโหฬารแบบนี้
“โห ใหญ่ขนาดนี้จัดงานพิธีเฟลีอัปปาได้สบายเลย” คำพูดของฟรอนทำเอาคนที่กำลังต่อแถวเข้าไปในศูนย์ฝึกหัวเราะคิกคัก เพราะคำพูดแปลกๆกับการแต่งกายที่ทำให้เขาดูจะเป็นจุดสนใจยิ่งกว่าเคย
เสื้อคลุมสีม่วงผืนใหญ่มีรอยไหม้และขาดเป็นวงกว้าง เนื้อตัวของเขามอมแมมจากเขม่าควันไฟจนดูน่าขัน รอยเปื้อนดำๆบนใบหน้าขาวจัดบวกกับอาการตื่นเต้นในแววตาของเจ้าตัว มันก็ทำเอาคนรอบข้างเกิดจะเอ็นดูเจ้าหนุ่มประหลาดคนนี้ขึ้นมาทันใด
เสียก็แต่คนข้างตัวของเจ้าหมอนี่ที่กำลังฟึดฟัดยกใหญ่ ซาฟินอยากจะมุดหน้าหนีทุกครั้งที่เจ้าคนเพี้ยนนี่พูดอะไรที่ทำให้คนคิดว่ามันเป็นบ้า แล้วสายตาของทุกคนที่มองผ่านมายังเขาก็พาลคิดว่าเขาบ้าไปด้วยเช่นกันเพราะสภาพของเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ดูน่าขันข้างๆสักเท่าไหร่
สายตาของฟรอนมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวเข้าไปในศูนย์ฝึก เขาเห็นบางคนก็อายุราว 30 ปี บางคนก็ยังเป็นเด็กอายุประมาณ 12-13 ปะปนกันเข้าสมัครเขาจึงอดถามคนข้างตัวไม่ได้
“ซาฟิน ที่นี่ไม่จำกัดอายุการสมัครเลยหรือไง ฉันเห็นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ หัวหงอกหัวดำเดินกันเกลื่อนเลย แล้วอย่างนี้เด็กน้อยทั้งหลายจะไม่เสียเปรียบพวกผู้ชายร่างใหญ่ยักษ์หรือไง”
ฟรอนเอ่ยเมื่อสายตาเขาเห็นเด็กอายุประมาณ 15-16 คนหนึ่ง ที่มีขบวนแห่รื่นเริงขบวนใหญ่มาส่งถึงหน้าศูนย์ฝึก เสียงดนตรีเป่าบรรเลงอย่างยิ่งใหญ่อลังการดึงดูดให้คนแถวนั้นหันมามองเป็นจุดสนใจเดียว เด็กหนุ่มสวมหมวกสีขาวที่นั่งอยู่บนเกวียนนำหน้าขบวนแห่ทำหน้าหงุดหงิดใส่บรรดาคนที่กำลังเป่าแตรเสียงดังจนคนทั้งหมดต้องหันไปมอง
หญิงสาวเอวบางสองคนกำลังโปรยดอกไม้ตามทางให้เด็กหนุ่มคนนั้น ก่อนที่ชายร่างอ้วนใหญ่สวมสร้อยทองเส้นหนาตึ้บและสวมแหวนทองฝังอัญมณีเม็ดเบ้อเร้อ ที่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อของเขากระโดดลงจากเกวียนทองเล่มมหึมาแล้วลากลูกชายมากอดอย่างสุดหวง
“เดส พ่อเชื่อว่าลูกต้องทำได้ ลูกไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังอยู่แล้ว แต่จำไว้อย่างนะลูกไม่ว่าผลจะเป็นยังไงลูกจะสอบได้หรือไม่ได้ยังไง เมื่อลูกกลับบ้านพ่อจะจัดเลี้ยงคนทั้งเมืองต้อนรับลูกไปเลย” พ่อของเขาพูดด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง คนเป็นลูกได้แต่พยักหน้าหงึกๆในอ้อมแขนและส่งเสียงเบาๆบอกพ่อเขา
“ครับ ขอบคุณครับพ่อ”
บิดาของเขาปล่อยเด็กหนุ่มออกจากวงแขนด้วยน้ำตา ทำให้เด็กหนุ่มครางเสียงอ่อน
“พ่อ ผมไม่ได้ไปตายนะ” คำพูดของเขายิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อร้องไห้หนักกว่าเดิม รวมถึงบรรดาคนรับใช้คุณหนูสุดหวงก็พลอยน้ำตาไหลอาบแก้มไปด้วย
“ผมจะส่งข่าวหาพ่อปีละครั้งละกัน” คนเป็นพ่อสะอื้นหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดดวงตา
“อาทิตย์ละครั้งสิลูก” คนเป็นพ่อต่อรอง
“3 เดือนครั้งก็พอแล้วพ่อ” คนเป็นลูกเริ่มหงุดหงิด
“งั้นสองอาทิตย์ครั้งละกัน” แต่เมื่อมองเห็นหน้าหงิกงอของลูกชาย เขาก็เอ่ยในที่สุด
“งั้นเดือนละครั้งก็ได้ ตกลง เดือนละครั้งพอ” เด็กหนุ่มรีบพยักหน้ากระโดดเข้าสวมกอดคุณพ่อที่รู้ใจ จนทำให้บรรดาคนที่มาร่วมขบวนต่างหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาไปตามๆกัน
เด็กหนุ่มผละออกจากอ้อมกอดบิดาแล้วโบกมืออำลา
“โชคดีนะพ่อ ดูแลสุขภาพด้วย” พูดจบเขาก็หันไปหาหญิงแก่ๆที่ยืนข้างๆ
“โซฟีด้วย อย่าลืมดูแลคุณพ่อล่ะ แล้วห้ามใส่น้ำตาลลงในชาของพ่อนะ” หญิงแก่พยักหน้าน้ำตาอาบแก้ม มองดูเด็กหนุ่มที่เธอเลี้ยงมากับมือเดินไปยังประตูทางเข้าด้วยความมาดมั่น
“คุณหนูต้องทำได้ อิฉันมั่นใจค่ะ” เธอเอ่ยกับคุณผู้ชายของเธอที่บัดนี้ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญยกใหญ่ ก่อนที่ขบวนแห่ส่งคุณหนูจะเริ่มบรรเลงเพลงรื่นเริงแล้วค่อยๆทยอยกลับทางเก่าไปจนลับสายตา
ฟรอนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกขบขันก่อนจะหันไปหาคนที่เขาเอ่ยถามด้วยเมื่อครู่
“ตกลงว่าไง ไม่มีการจำกัดอายุหรอ”
ซาฟินเอ่ยขณะที่เขาก้าวยาวๆไปยังประตูทางเข้าที่แถวเริ่มสั้นลงจนเกือบจะไม่มีคนแล้ว
“ไม่มีหรอก ที่นี่เค้าวัดกันที่ความสามารถ ถ้าความสามารถถึงก็ผ่าน ไม่ถึงก็จบ ถึงยังไงถ้ามีความพยายามจริงปีหน้าก็มาสอบใหม่ได้เรื่อยๆ”
คำตอบที่ฟรอนพยักหน้าช้าๆอย่างเห็นด้วยเพราะดูจะเป็นการคัดเลือกที่ยุติธรรมที่สุด ก่อนที่จะเอ่ยถามต่อตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องใหม่ๆ
“แล้วที่นี่เคยมีคนอายุน้อยที่สุดสอบเข้าได้ประมาณอายุเท่าไหร่นายรู้มั้ย”
ซาฟินหัวเราะๆหึหึในลำคอก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“10 ปี”
“หา!! 10 ปีเนี่ยนะ” ดวงตาสีม่วงแดงเบิกกว้างอย่างลืมตัว พลันนึกไปว่าเมื่อตอนเขาอายุ 10 ปี กำลังทำอะไรอยู่ คงไม่ใช่มาหาเรื่องฝึกหนักตั้งแต่เด็กอย่างนี้แน่
“ใช่ รุ่นนั้นเป็นปีที่มีเด็กอายุน้อยที่สุดสอบเข้าได้ 2 คน คนหนึ่งอายุ 10 ปี อีกคนหนึ่ง 11 ปี”
ฟรอนพยักหน้ารับรู้ พลางนึกอยากจะเห็นหน้าของเด็กน้อยทั้งคู่เป็นบุญตา อย่างนั้นถ้าเขาสอบผ่านเขาก็คงต้องเรียกเด็กที่อายุน้อยกว่าสองคนนั่นว่ารุ่นพี่สิเนอะ
“แล้วคนที่อายุมากสุดที่สอบเข้าได้ล่ะ” เขาถามต่อ ซาฟินตอบเสียงเรียบอย่างเคย
“86 ปี แต่ไม่ทันได้เข้าฝึกหรอก หลังจากที่ผ่านการคัดเลือกแล้วก็หัวใจวายตายไปซะก่อน ตรงลานกว้างที่สอบนั่นแหละ มันเลยเป็นอาถรรพ์ที่เด็กคนไหนไปทดสอบตรงตำแหน่งที่เขาตายมักจะสอบไม่ผ่านเสียทุกคน” คำตอบที่ฟรอนไม่อยากจะถามต่อ เมื่อเขาเดินมาจนถึงหน้าประตูทางเข้าที่มีคนอยู่แค่สองสามคน
“ตำแหน่งไหนกัน ฉันจะได้เลี่ยงๆไว้หน่อยก็ดี” ฟรอนเอ่ยอย่างจริงจัง แต่คนตรงหน้าขยับรอยยิ้ม
“ตำแหน่งที่ 33”
ฟรอนทวนความจำที่ได้ยินมาถ้าหากเขาเข้าไปสอบแล้วสามารถเลือกอะไรได้เขาจะเลี่ยงทุกอย่างที่มีเลข 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง
“เดี๋ยวนายบอกชื่อให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเข้าไปข้างใน จะมีคนบอกนายเองว่าต้องทำอะไรบ้าง โชคดี ฟรอน นีลโบร์ เอ่อ ยินดีที่ได้พบกับนาย” ซาฟินพูดแค่นั้นแล้วเขาก็เดินไปยังหญิงสาวร่างเพรียวที่ใส่ชุดเครื่องแบบสีเงินขลิบทองสง่าคนนั้น
แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองเห็นสารรูปของเขาเธอก็อุทานเสียงดังจนต้องเอามือปิดปาก แต่นั่นก็เรียกสายตาของชายชุดขาวและชุดดำที่ยืนขนาบข้างให้สังเกตเห็นด้วยทั้งสองคนพากันกลั้นหัวเราะจนท้องแข็งถ้าไม่ใช่เพราะสายตาดุๆที่คนตรงหน้าส่งให้จนเงียบ หญิงสาวทำหน้างงก่อนจะเอ่ยทั้งที่ยังเอามือป้องปากอยู่
“ทำไมท่านถึง...เสื้อผ้า แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้ไง มิน่าล่ะท่านมารีอานน่าถึงหงุดหงิดแต่เช้าเชียว” เธอเอ่ยเสียงหวานแต่ฟังเหมือนออกแนวตำหนิเล็กน้อย ซาฟินยิ้มแห้งๆให้สาวเจ้า
“เอ่อ มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ พอดีไปเจอกับพวกที่ไม่ค่อยธรรมดา” หญิงสาวเชิดหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างเสียงดังฟังชัด
“ที่ไม่ธรรมดาน่ะท่านได้เจอแน่ ท่านมารีอานน่าเวลาโมโหน่ะก็ไม่เหมือนผู้หญิงธรรมดาหรอกนะคะ” คราวนี้ซาฟินกลืนน้ำลาย เขาชักไม่มั่นใจแล้วว่าอนาคตนักปกครองจะต้องมีแต่ผู้ชายเท่านั้น
“รีบไปเถอะค่ะ ยังทัน” เธอรีบเปิดทางให้ซาฟินเข้าไปก่อนจะหันมาทำงานตรงหน้า
ฟรอนไม่ทันสังเกตเห็นว่าซาฟินหายไปไหน เพราะตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยืนต่อแถวอยู่ หญิงสาวกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าของชายหนุ่มโดยเฉพาะหัวกะโหลกลิงที่ดูน่าสยดสยองของเขาก่อนที่จะมองใบหน้าดำ เปื้อน ที่มีรอยยิ้มพราย
“ชื่ออะไรล่ะ” เธอถาม
“ฟรอน นีลโบร์ ครับ เป็นนักทำนายจากเมืองแฟรมมิลล์”
ชื่อเมืองที่ไม่เคยได้ยินทำเอาหญิงสาวสะดุดเล็กน้อยเหลือบตามองคนตรงหน้ากะว่าจะถามถึงที่ตั้งของเมือง แต่เธอก็ต้องชะงักเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเธอกำลังเคี้ยวกัดบางอย่างที่ดูเหมือนขนนกสีสดใสและดวงตาสีสวยเหมือนอัญมณีคู่นั้นไม่ได้มองมาที่เธอเลย ทำให้เธอตัดสินใจสะกดชื่อเมืองมั่วๆตามที่ได้ยินมาเอง
“ขอตรวจสัมภาระหน่อยสิ” เธอเอ่ย ชายหนุ่มพยักหน้าและยอมทำตามโดยดี
ฟรอนเปิดเสื้อคลุมของเขาออก มันทำเอาองครักษ์ที่เฝ้าประตูทั้งสามต้องทำตาโตด้วยความตกใจเมื่อสิ่งของที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมมีเยอะเสียจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้เดินแบกมาทั้งวัน แล้วดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นซะเกือบทั้งหมด
“นี่อะไรน่ะ” บุรุษในชุดดำเอ่ยถาม หยิบของที่ดูเหมือนถุงใบหนาหยาบสีคล้ำขึ้นมาดู
“อ๋อ อันนั้นที่ใส่น้ำดื่มน่ะ ทำมาจากกระเพาะแพะตากแห้ง” คำพูดที่ทำเอาหญิงสาวชุดเงินถึงกับทำหน้าเหยเกกับอุปกรณ์ดื่มน้ำที่น่าสะอิดสะเอียนเธอจดบันทึกของประหลาดลงไปในกระดาษแผ่นยาว
“แล้วนี่อะไรล่ะ” คราวนี้บุรุษในชุดขาวหยิบของที่ดูเหมือนลูกแก้วสีเขียวใสขึ้นมาดู
“อ๋อ อันนั้นลูกตามังกรน่ะ เค้าว่าเป็นยาอายุวัฒนะห้าร้อยปีถึงจะมีสักตัว แต่ต้องเป็นมังกรที่ตาบอดตั้งแต่เกิดและไม่เคยดื่มนมแม่มันมาก่อนถึงจะมีดวงตาสีแก้วได้”
ฟรอนและบุรุษอีกสองคนดูจะสนุกสนานกับข้าวของแปลกๆตรงหน้าทำเอาหญิงสาวเริ่มตัวสั่นสะกดอารมณ์แทบไม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไอ้เด็กใหม่ตรงหน้ามันกำลังเริ่มเล่าถึงเมืองลับแลที่ไม่เคยมีใครเห็นของมันด้วยความสนุกสนาน แล้วไอ้องครักษ์สองตัวนั่นก็กำลังฟังอย่างติดลม
“พิธีเฟลีอัปปาคือการที่ทุกคนมารวมกันที่ลานกว้างเหมือนเป็นงานเลี้ยงใหญ่ จะมีการรำวงแล้วจากนั้นก็เชือดแพะกินกันอย่างสดๆ...”
“พอได้แล้ว เก็บของน่ากลัวพวกนี้ไปด้วย เดี๋ยวก็ได้นั่งโม้อยู่ตรงนี้จนหมดเวลาสอบหรอก” เธอเอ่ยอย่างหงุดหงิดพลางเช็คชื่ออนุญาตให้คนจากเมืองแฟรมมิลล์คนนี้เข้าไปได้
ฟรอนโบกมือให้กับองครักษ์ทั้งสองคนซึ่งโบกตอบกลับมาอย่างถูกใจ
“สอบให้ได้นะฟรอน แล้วเป็นไปได้อยู่ฝ่ายไวท์ให้ได้ด้วยล่ะ” ชายชุดขาวเอ่ย
“ฉันจะบอกให้ อยู่แบล็คเจ๋งกว่าเป็นไหนๆ” ชายชุดดำเอ่ยแย้ง
ฟรอนพยักหน้ารับส่งๆไป ในใจนึกแต่ว่าไอ้แบล็คๆไวท์ๆนี่คงเป็นชื่อม้าล่ะมั้ง
“ยังไงก็ได้แต่อย่ามาอยู่เกรย์ละกัน” หญิงสาวถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เริ่มตะหงิดใจว่าไอ้คนไม่ธรรมดาที่ซาฟินว่าดูท่าจะไม่ใช่คนอื่นคนไกลแล้วล่ะ คิดยังไม่ทันจบเจ้าคนไม่ธรรมดาที่กำลังคิดถึงก็ตะโกนกลับมาว่า
“ไม่ต้องห่วงครับพี่สาว ผมไม่ชอบม้าเกย์อยู่แล้ว”
ลานกว้างทางด้านหน้าของศูนย์ฝึกใหญ่โตมโหฬารเสียจนเมื่อเขามองไปรอบตัวก็ถึงกับตาลายเพราะจำนวนผู้สมัครหลายร้อยคนที่กำลังเตรียมตัวทดสอบสมรรถภาพร่างกายซึ่งเป็นด่านแรกอยู่ มีคนใส่เสื้อสีดำ ขาวและเงินอย่างละ 4 คนคอยยืนเรียกผู้สมัครทีละ 12 คนให้เข้ามาทดสอบหลังฉากกั้นทำให้คนภายนอกมองไม่เห็นว่าเขาทำการทดสอบแบบใด
ฟรอนหาวอย่างเบื่อหน่ายเกาหัวแกร่กๆ พลางคิดว่าคงอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงชื่อของเขา เจ้าตัวจึงตัดสินใจเลือกหาที่ดีๆสักที่ที่ไกลๆผู้คนและเสียงไม่ดังมากเพราะตอนนี้ทางสนามด้านที่ให้ผู้สมัครรอคิววุ่นวายและสับสนไปด้วยบรรดาคนที่กำลังคุยโตโอ้อวด และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
ซึ่งเขาบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเดินเลาะแนวรั้วต้นไม้เพื่อไปยังต้นไม้ใหญ่เงียบสงบข้างหน้า
“นายเห็นดาบนี่มั้ย ถลุงจากถ่านหินภูเขาไฟเชียวน้า ของแท้แน่นอนจากเมืองเอเวอเรสต์ฉันเดินทางไปขุดถ่านหินนี่ด้วยตัวเองเลย รับรองฟันฉับเข้าทีหินก็หิน เหล็กก็เหล็กเหอะวะ แหลก!!”
ร่างใหญ่เดินก้มหน้าห่อตัวหลบหลีกผู้คนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ทอดเงาร่มรื่นดูเย็นสบาย เขานั่งลงพลางสูดหายใจลึกๆ บรรยากาศที่หอมกลิ่นดอกไม้อ่อนๆทำให้เขาเริ่มเคลิ้ม ร่างใหญ่ทิ้งตัวลงนอนราบกับพื้นหญ้าใช้ลำแขนทั้งสองข้างของตนต่างหมอนหนุน ดวงตาสีม่วงเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่สดใส รอยยิ้มน้อยๆปรากฏที่มุมปากอย่างสบายอารมณ์ก่อนเจ้าตัวจะหลับตาพริ้มเข้าสู่พวังไปด้วยความเหนื่อยล้า
สายลมเย็นพัดผ่านทำเอาฟรอนเกือบๆจะได้ฝันกลางวันเมื่อจู่ๆร่างใหญ่ร่างหนึ่งก็ร่วงผลุงลงมาจากต้นไม้ทำให้คนที่กำลังเคลิ้มๆอยู่หลุดจากฝันทันใด
“เฮ้ย” ฟรอนสะดุ้งสุดตัวเมื่อมองเห็นว่าคนที่ร่วงลงมานั้นเป็นชายแก่หงำเหงือกเสียจนเขาแทบไม่เหลือฟันสักซีกแล้ว เขายังคงมองอย่างงงงวยเมื่อร่างที่ผอมแห้งเหลือแต่กระดูกของชายแก่ค่อยๆลุกขึ้นนั่งคลำก้นแล้วคลานกวาดมือไปตามพื้นเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง เขาหรี่ตามองหาบนพื้นหญ้าทำให้ฟรอนคิดว่าเขาคงตาไม่ดี
“เอ่อ หาอะไรหรอปู่” ฟรอนเอ่ยถาม ชายแก่สะดุ้งสุดตัวหันมองมาทางต้นเสียงเมื่อเขาเห็นฟรอน เขาก็ยิ้มอย่างถูกใจ
“โอ้ ไอ้หนุ่มแกมองเห็นข้าด้วยหรือวะ” คำถามที่ฟรอนมุ่นหัวคิ้ว ชายแก่ไม่เหลือฟันที่ปากสักซีกทำให้ทุกคำพูดของเขาฟังเข้าใจยากเหลือเกิน
“เห็นสิ ปู่กำลังหาอะไรอยู่ล่ะ”
“เอ้อ ข้ากำลังหาอะไรอยู่วะ” ชายแก่เกาหัวแกร่กๆขมวดคิ้วใบหน้าของเขาเหมือนกำลังระลึกความจำก่อนที่เขาจะโบกมือไปมาในอากาศอย่างไม่ใส่ใจ
“เออ ช่างมันวะเดี๋ยวนึกได้แล้วค่อยหาต่อ ว่าแต่แกเหอะไอ้หนุ่ม” เขาหันมามองฟรอนอย่างสนใจ
“จะมาสอบเข้าที่นี่รึ” เขาถาม
ฟรอนพยักหน้ารับ นึกเอะใจจึงถามบ้าง
“แล้วปู่จะมาสอบที่นี่เหมือนกันหรอ” ฟรอนมองดูใบหน้าเหี่ยวย่นที่บัดนี้ดวงตาทั้งสองของเขาแทบจะมองไม่เห็นและร่างกายที่ผอมแห้งจนน่าจะเดินไม่ได้ถ้าไม่มีไม้พยุง เขาแอบขำอยู่ในใจ
หึหึ เดี๋ยวได้กลายเป็นตำนานอาถรรพ์อีกรายชัวร์
“นี่ไอ้หนุ่ม แกคิดจะดูถูกข้าก็ให้มันน้อยๆหน่อย ข้าไม่ได้เป็นตัวอาถรรพ์อย่างที่ไอ้พวกเด็กใหม่อ่อนหัดที่สอบไม่ติดนั่นว่าสักกะหน่อย” ชายแก่ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ แต่ทำเอาฟรอนถึงกับร้องอ๋อ
ฟรอนเริ่มเข้าใจความหมายของชายแก่ที่ตกใจเมื่อรู้ว่าเขามองเห็น ความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นของเขามีติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่นทำให้พ่อของเขาเกิดความคิดที่จะใช้พลังนี้ของเขาให้เกิดประโยชน์ในทางผิดๆ
“ที่แท้ปู่น่ะเองที่คอยแช่งให้เด็กใหม่ๆสอบไม่ผ่านอยู่ทุกๆปี” ชายแก่สะดุ้งเฮือก
ไอ้บ้านี่มันไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยรึไงฟะ
“ข้าไม่ได้แช่งพวกเด็กใหม่ซะหน่อย พวกนั้นมันไม่มีฝีมือเองต่างหากแล้วบังเอิญที่ๆมันทดสอบดั้นเป็นตรงที่ๆข้าตายอีก เรื่องก็เลยกลายเป็นว่าข้าไปอิจฉาเด็กใหม่ซะอย่างนั้น” ชายแก่ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย
“แต่อย่างว่าปู่ตายไปตั้งนานแล้วก็ให้โอกาสพวกรุ่นใหม่ๆบ้างเหอะ คนตายยึดติดน่ะมันไม่ดีหรอกนะ เสียคนแก่หมด” ฟรอนพูดพลางเหม่อมองไปยังสวนสวยเบื้องหน้าแต่ชายแก่ถึงกับหมดอารมณ์เมื่อไอ้เด็กรุ่นหลานตรงหน้ามันไม่ได้ฟังคนเสียคนแก่อย่างที่มันว่าพูดเลยสักนิด
“เออ เอาก็เอา จะคิดยังไงก็ช่างเหอะ” ชายแก่ส่ายหน้าอย่างปลงๆ
“ด่านทดสอบยากมั้ยปู่” ฟรอนเอ่ยถามหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
ชายแก่ทำท่าคิดหนักเกาหัวอย่างคิดคำพูดยาก
“มันก็ไม่ยากถ้าร่างกายแกพร้อม ด่านแรกก็เป็นแค่พวกทดสอบกำลังกายให้ถึงเกณฑ์ตามที่เค้ากำหนดเวลาไว้ ด่านต่อไปเป็นการทดสอบพลังดาบและเวท มันก็แล้วแต่ความสามารถของคนอีกนั่นแหละ ส่วนด่านสุดท้ายเป็นการสอบสัมภาษณ์จากผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ไวท์ แบล็คและเกรย์ ถ้าผ่านหมดก็จบ ง่ายๆ แต่ส่วนใหญ่ถึงแม้จะผ่านทุกด่านแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนสอบสัมภาษณ์จะถูกใจพวกหัวหน้ากลุ่มนั่นรึเปล่า”
คำตอบที่ฟรอนสนใจเป็นพิเศษก่อนจะเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“แล้วไอ้พวก ไวท์ แบล็ค เกรย์ นี่มันคืออะไรล่ะ เอ่อ ไม่เกี่ยวกับม้าใช่มั้ย”
“ม้าบ้านแกรึไงมีสามสี หัดสนใจมองรอบตัวซะบ้าง เห็นมั้ยเนี่ยว่าที่นี่มีเครื่องแบบสามสี สีขาว ดำแล้วก็สีเงิน คนที่สอบเข้านี่ก็แบ่งตามว่าหัวหน้าสีไหนจะถูกใจคนไหนแล้วก็เลือกกันตรงนั้นเลยว่าจะเอาใครมาเป็นรุ่นน้อง”
“แล้วอย่างนี้ไม่มีกรณีแย่งคนคนเดียวกันบ้างหรอ”
“ไม่หรอก หัวหน้าพวกนี้เนี่ยมักจะเลือกเอารุ่นน้องที่นิสัยคล้ายๆตัวเอง อย่างพวกแบล็คนี่มันมีหัวหน้าสุดโหดเป็นคนคุม ไอ้พวกที่อยู่ในนั้นก็ไม่วายเป็นพวกสุดเฮี้ยวไปตามๆกัน ส่วนพวกไวท์นี่มีหัวหน้าเป็นประเภทเรื่อยๆ รักสงบ เพราะฉะนั้นพวกอยู่ฝ่ายไวท์ก็จะเป็นประเภทเอื่อยๆแต่รักพวกพ้องแล้วก็เป็นพวกที่เอาตัวรอดเก่ง
ส่วนเกรย์นี่เป็นพวกที่แตกต่างไปเลย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมดแต่ผู้ชายก็มีนะ เป็นพวกฉลาด ผู้ดี เรียกได้ว่าพวกที่อยู่เกรย์นี่เป็นพวกสังคมชั้นสูงเลยก็ว่าได้ คนจากที่นี่มักจะเก่งและสุขุมเยือกเย็นแต่บางครั้งก็หยิ่งผยองจนเกินไป นี่แหละสามสีในตำนานแห่งเฮมพ์เบิร์ก ไวท์ แบล็ค เกรย์”
ชายแก่ดูจะภูมิใจกับข้อมูลที่ตนเองรู้
“แล้วอย่างนี้มันไม่เหมือนเป็นการแบ่งแยกไปหน่อยหรือไง สอบผ่านเหมือนกันแท้ๆ” ฟรอนพูดตามความคิด
“ไม่หรอก ตอนแรกๆผู้ใหญ่หลายคนก็คิดอย่างนั้นแต่พวกหัวหน้ากลุ่มทั้งสามคนไม่มีใครเป็นคนคิดให้แบ่งแยกตามการแต่งตัวหรอกนะ แต่เผอิญมันช่วยไม่ได้ที่ทั้งสามคนนั่นต่างก็มีแฟนคลับเป็นพวกรุ่นน้องอย่างเหนียวแน่น มันเลยเกิดกระแสทำตามขวัญใจของตัวเอง ไปๆมาๆการแต่งตัวสามสไตล์ก็กลายมาเป็นหนึ่งในการคัดเลือกไปซะอย่างนั้น พวกผู้ใหญ่เลยเห็นว่าก็ดีไปอย่างที่การดูแลคนในกลุ่มแบ่งๆกันไป จะได้ไม่ต้องให้คนๆเดียวรับผิดชอบ”
“เคยมีทะเลาะกันระหว่างกลุ่มบ้างมั้ย” คนอยากรู้ยังซักต่อ
“ส่วนมากชื่อก็บอกอยู่แล้วไวท์ แบล็ค มันต่างกันสุดขั้วสองกลุ่มนี่มีหัวหน้าที่งี่เง่าพอกัน มันเลยพาลเอารุ่นน้องงี่เง่าไปด้วย ลำบากพวกเกรย์คอยห้ามทัพบ่อยๆ”
ฟรอนพยักหน้ารับรู้
“แล้วปู่ได้อยู่กลุ่มไหนล่ะ” ฟรอนถาม ชายแก่ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
“ฉันน่ะหรอ ฉันเป็นเกรย์การ์ดแห่งเฮมพ์เบิร์กน่ะสิไอ้หนู”
คำตอบที่ฟรอนถึงกับขำก้าก จนคนแก่กว่าเริ่มหน้าแดงอย่างมีอารมณ์
“แกขำอะไรไอ้เด็กน้อย”
“ก็ปู่ดูไม่เหมือนพวกสังคมชั้นสูงอย่างที่ว่าเลย” ชายแก่มีสีหน้าเรียบนิ่งกับคำพูดของเขาแล้วเอ่ยอย่างมีอารมณ์
“ก็ฉันฉลาดพอไงไอ้หนู แล้วก็ไม่ปากหมาเหมือนแกด้วย” ชายแก่พูดเสียงดัง แต่เจ้าคนปากหมาตรงหน้ากลับหยิบเศษหญ้าข้างตัวขึ้นมาดมเล่นอย่างไม่สนใจฟัง ทำเอาชายแก่ถึงกับถอนหายใจอย่างหมดอารมณ์
“ช่างแกวะไอ้เด็กเปรต”
“หือ ปู่ว่าไงนะ” ฟรอนหันมามองอย่างไม่ใส่ใจฟัง ทำเอาอารมณ์ของปู่ขาดผึงอย่างคนที่ชื่อว่าเสียคนแก่
“แกไปตายไปไอ้เด็กเปรต” เขาตะโกนเสียงดังลั่นทำเอาฟรอนต้องยกมือขึ้นปิดหูขวา
“ทีไอ้เรื่องสำคัญเอ็งดันไม่ฟัง พอไอ้เรื่องปัญญาอ่อนล่ะหูผึ่งนัก”
ชายแก่ตวาดเสียงดังทำเอาฟรอนถึงกับยิ้มแหยๆ พาลคิดในใจว่าดูยังไงก็ไม่เหมือนพวกชั้นสูงอย่างที่โม้ไว้สักนิด แต่เมื่อได้ระเบิดอารมณ์ชายแก่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย อาจเป็นเพราะว่าหลายปีมานี้ไม่เคยมีใครรับฟังเรื่องของเขาเลย
ก็ถือว่าโชคดีที่ได้มีคนมานั่งคุยด้วยในยามที่เหงาใจ
ถึงคนตรงหน้ามันจะแปลกคนไปสักหน่อย แต่มันก็ดูไม่มีพิษมีภัย
คิดจบก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบของที่ดูเหมือนแผ่นหินกลมเล็กๆขนาดเท่าเหรียญ 5 กิลที่ด้านหนึ่งสลักลวดลายเป็นรูปสามเหลี่ยมสีทองสองรูปหันปลายชนกันขึ้นมา
ฟรอนเบิ่งตาโตอย่างสนใจ
“เอ้าไอ้หนู วันนี้ถือว่าข้าใจดีที่สุดในรอบ 86 ปีเลยนะเฟ้ย”
พูดจบก็โยนหินเล็กๆนั่นให้ฟรอน เขารับมาดูอย่างสนใจ
“แกรู้วิธีใช้มันใช่มั้ย พ่อยิปซีหน้าหล่อ” ฟรอนพยักหน้าอย่างงงๆแล้วเขาก็นึกได้
“หรือว่า ปู่จะ...” ชายแก่ที่ความสามารถไม่แก่ตามตัวหลิ่วตาให้เขาพลางเอ่ยเสียงดังฟังชัด
“ด้วยพลังของแก และความช่วยเหลือของข้า จะช่วยให้แกสอบติดที่นี่ได้ร้อยเปอร์เซนต์อย่างไม่ต้องกังวลเลยไอ้หนุ่ม”
เขาหัวเราะเสียงดังก้องขึ้นฟ้าเป็นเวลาเดียวกับที่ฟรอนตระหนักได้ว่าแค่วันแรกของการเหยียบย่างเข้ามาเฮมพ์เบิร์กเขาได้พบเจอคนที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
ความคิดเห็น