คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Remember Test V ::: Nightingale bird [แก้ไขบางส่วน]
Nightingale bird
หลังจากเย็นวันนั้นที่พี่ซีลอนกลับมาก่อนกำหนดเพราะยกกองและเลื่อนไปถ่ายวันอื่นถึงว่าเป็นการดีที่สามารถไล่ทั้งสองคนกลับบ้านไปได้และตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอสองคนนั้นอีกเพราะสามวันที่เหลือก่อนจะเดินทางไปถ่ายละครเรื่องสั้นชมรมการแสดงให้นักแสดงนำหยุดพักเพื่ออ่านบทส่วนคนอื่นๆ ต้องเตรียมฉากและอีกมากมายจนกระทั่งวันนี้ที่ฉันมายืนอยู่หน้ารถบัสกับพี่ออร์คัสขณะที่ทุกคนกำลัวช่วยกันขนของขึ้นรถ
จะว่าไปพูดถึงออร์คัสเมื่อคืนฉันตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะหิวน้ำเลยกะจะมาหาน้ำดื่มข้างล่างแต่ก็ต้องชะงักเท้าไว้เมื่อบทสนทนาของพี่ซีลอนและพี่ออร์คัสที่ยังไม่นอนอยู่ข้างล่างในมือพี่สาวฉันมีบทละครเรื่องสั้นของพี่ออร์คัสอยู่
‘นายคิดยังไงถึงไงถึงได้เอาสองคนนั้นเข้ามาเล่นด้วยน่ะ!’
‘มันไม่ใช่ความคิดของฉันสักหน่อยแค่ทั้งสองคนถูกกำหนดให้มาเล่นต่างหาก’
‘ใครกันที่มันกำหนดแบบนี้’
‘คนที่เธอก็รู้อยู่ว่าใครน่าจะเดาออกได้’
‘กรอดดดด~ เจ้าบ้านั่นต้องการอะไรกันแน่’
‘อย่าคิดมาเลยซีลอนมันเป็นแค่การแสดงอีกอย่างมีฉันอยู่ทั้งคนที่สำคัญฉันมั่นใจว่าเดรกมันต้องไม่ทำอะไรที่เป็นผลเสียกับมันหรอก’
‘ฉันห่วงแต่ไรทอลต่างหากหมอนั่นความคิดมันแตกต่างจากเราไม่ใช่รึไง’
‘อย่าห่วงเลยตอนนี้ฉันก็มั่นใจว่ามันต้องคิดได้แล้ว ถ้าทำให้น้องเธอจำได้ก็เท่ากับทุกอย่างจะหวนกลับมาแม้กระทั่งความรู้สึก J’
‘โอเคถ้างั้นตัดปัญหาสองคนนั้นไปได้เหลือก็แต่ไอ้บทนี่!’ พี่ซีลอนขว้างบทนั้นลงบนโต๊ะ ‘นี่มันบทบ้าอะไรกัน’
‘ฉันไม่ได้เขียนมันขึ้นมาสักหน่อย คนเขียนบทก็คนในชมรมฉันมีหน้าที่กำกับการแสดง’
‘แล้วทำไมนายไม่คัดค้าน’
‘เพราะฉันเห็นว่ามันเหมาะดี ^^’
‘บ้าไปแล้วสิยกเลิกบทนี้เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวฉันจ้างคนเขียนบทที่บริษัทให้’
‘ไม่ได้หรอกซีลอนทุกอย่างเตรียมการเอาไว้แล้วและพรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางจะมาให้ยกเลิกง่ายๆ มันจะเสียเอานะ’
‘ฮึ่ย! พรุ่งนี้และวันมะรืนฉันต้องไปถ่ายชดเชยเพราะกองถ่ายคราวก่อนมีปัญหา’
‘ไม่เป็นไรหรอกหน่าบอกแล้วไงว่ามีฉันอยู่ทั้งคนแล้วไหนจะไอ้เดรกอีกวางใจได้ ^^’
นั่นเป็นบทสนทนากำกวมที่ฉันไม่เข้าใจแต่พอจับใจความได้ว่างานนี้ตัวเอกอีกคนคงไม่พ้นพี่ไรทอลไม่งั้นพี่ซีลอนคงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนถึงขนาดนี้หรอกอีกอย่างกองถ่ายก็เป็นแค่ละครเรื่องสั้นไม่มีอะไรมากสำหรับ ผอ. ของโรงเรียนคงไม่ต้องถ่อไปถึงเพราะเรื่องแค่นั้น และเพราะโชคดีที่ทั้งสองคนนั้นจะตามไปเองทีหลังฉันเลยไม่ต้องมาเป็นกลางให้สองคนนั้นทะเลาะกันอีก
“ขึ้นไปรอบนรถก่อนก็ได้เลยนะซิน”
“อ่อคะ (- -) (_ _) (- -)” ทันทีที่ได้คำสั่งของพี่ออร์คัสฉันก็เดินขึ้นมาบนรถที่มีคนของชมรมการแสดงบางส่วนขึ้นมารอก่อนแล้วในมือฉันมีบทละครเรื่องสั้นจากที่อ่านเนื้อเรื่องคร่าวๆ ตัวละครเอกสามคนนั้นคือ ลูซิเฟอร์ ซัลฟาและมิคาเอล
‘The pain of Lucifer’ นั่นคือชื่อของบทละครสั้นเรื่องนี้โดยต้นเหตุของเรื่องคือ ‘ลูซิเฟอร์’ หรือซาตานเจ้าแห่งโลกปีศาจได้วางแผนที่จะเข้ายึดครองสวรรค์โดยลักลอบเข้ามาดูลาดเลาบ่อยๆ วันหนึ่งในขณะที่ลูซิเฟอร์กำลังหลีกหนีเหล่าองครักษ์สวรรค์ที่จับได้ว่ามีปีศาจลักลอบเข้ามาไปในสวนดอกไม้ที่มีนางสวรรค์อย่าง ‘ซัลฟา’ กำลังมองดอกกุหลาบในมืออย่างเหม่อลอยใบหน้าใสๆ มีน้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาด
เมื่อลูซิเฟอร์ได้เห็นดังนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาเธอช้าๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ซัลฟาจึงหันไปมองเธอรู้ดีว่าชายคนนี้คือลูซิเฟอร์เพราะกลิ่นอายปีศาจนั้นแผ่ซ่านออกมาจนสัมผัสได้แต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทางเกรงกลัวแต่อย่างใด เขาเดินมาหยุดตรงหน้าเธอใบหน้าที่คล้ายกับหญิงสาวอันเป็นที่รักที่ได้จากไปเพราะเพื่อที่จะรักษาพลังชีวิตของเขาเธอจึงยอมสละชีวิตตัวเองเมื่อในครั้งอดีตชาติเธอผู้นี้คือหญิงสาวที่เกิดมาบนโลกมนุษย์เป็นแค่คนเดินดินธรรมดาแต่ในครั้งนี้เธอเกิดบนสวรรค์ความทรงจำบนโลกมนุษย์นั้นถูกลบเลือนออกหมดและเธอคือนางสวรรค์นางเดียวที่ถูกลบความจำเกี่ยวกับอดีตทั้งหมด
แค่เห็นลูซิเฟอร์ก็จำได้แล้วว่าเธอคนนี้คือผู้หญิงที่ตนรัก น้ำตาใสที่ไหลรินบนหน้านางก็พรั่งพรูมากกว่าเดิมที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจนเผลอกำดอกกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมจนฝ่ามือมีเลือดสีแดงฉานไหลออกมาเธอสะดุ้งเฮือกและปล่อยดอกกุหลาบนั้นให้ร่วงหล่น ลูซิเฟอร์ที่กำลังเข้าไปดูด้วยความห่วงใยก็ต้องชะงักเมื่อศัตรูที่แท้จริงนั้นโผล่ออกมากั้นเธอให้ห่างจากเขาซะก่อน และชายคนนั้นก็คือ ‘มิคาเอล’ ผู้ซึ่งเป็นคู่หมั้นของซัลฟากำลังจะเรียกองค์รักษ์แต่ลูซิเฟอร์ก็หลบหนีไปซะก่อน
หลายวันถัดไปซัลฟายิ่งฝันเรื่องที่อดีตตนเคยเป็นมนุษย์ชันเจนขึ้นเรื่อยๆ และในทุกๆ วันลูซิเฟอร์ก็ขึ้นมาบนสวรรค์เพื่อเฝ้ามองซัลฟาที่ชอบมาเดินเล่นในสวนดอกกุหลาบจนช่วงหลังๆ เขากล้าพอที่จะเข้าไปหานางเดินเล่นเป็นเพื่อนและด้วยความรู้สึกผูกพันทำให้ซัลฟาหลงรักลูซิเฟอร์อย่างหมดใจแทนที่จะเป็นคู่หมั้นของเธอ แต่อุปสรรคใหญ่หลวงเนื่องจากความรักระหว่างนางฟ้าและซาตานเป็นความรักต้องห้ามซึ่งจะบั่นทอนพลังชีวิตของซัลฟาจนอาจตายได้
แต่เธอไม่สนและยอมที่จะหนีไปที่โลกปีศาจกับลูซิเฟอร์และเพราะนั่นทำให้เธอล้มป่วยเมื่อเรื่องนี้รู้ถึงหูมิคาเอลเขาจึงตามไปที่โลกปีศาจและจะพาคู่หมั้นกลับให้ได้แต่ลูซิเฟอร์ก็ขัดขวางไว้จนถึงที่สุดจนกลายเป็นการต่อสู้ที่กระเทือนไปทั้งโลกปีศาจจนเลยไปถึงสวรรค์ ซัลฟาที่รู้เหตุการณ์ก็ออกมาห้ามทั้งสองไว้ในสภาพที่ตัวเองใกล้หมดพลังชีวิตเต็มทีเมื่อมิคาเอลเห็นดังนั้นจึงยื่นข้อเสนอเพื่อที่จะรั้งชีวิตนางฟ้าที่ตนรักเอาไว้เขาเป็นคนเดียวที่จะสามารถต่อพลังชีวิตให้ซัลฟาได้ถ้าเธออยู่กับเขาโดยข้อเสนอนี้ต้องให้ลูซิเฟอร์ยอมปล่อยซัลฟาและเขาจะยอมให้ลูซิเฟอร์ขึ้นสวรรค์ไปเฝ้ามองนางได้แต่ห้ามให้เธอเห็นเขาเด็ดขาด
เพราะลูซิเฟอร์เห็นแก่ชีวิตของซัลฟาที่ไม่อยากให้เธอมาตายเพราะเขาอีกเป็นครั้งที่สองเลยยอมตกลงรับข้อเสนอนั้นแต่ลูซิเฟอร์ขอเป็นคนลบความทรงจำนางเอง เมื่อความทรงจำทั้งหมดหายไปมิคาเอลจึงพาซัลฟาออกมาจากโลกปีศาจ
หลังจากวันนั้นลูซิเฟอร์ก็ขึ้นมาบนสวรรค์บ่อยๆ เฝ้ามองซัลฟาที่ไร้ความทรงจำเกี่ยวกับเขา สายตาเขาฉายแววเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเธออยู่แค่นี้แต่จับต้องไม่ได้ ไม่นานผู้หญิงที่เขารักและเฝ้ามองอยู่ทุกวันได้ให้กำเนิดบุตรตัวเล็กๆ ที่เธอมักจะพาลูกและมิคาเอลมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ประจำ นั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นเพราะต่อจากนี้เขาจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว น้ำตาซาตานค่อยๆ ไหลออกมาด้วยความรู้สึกที่มีแต่ซัลฟารอยยิ้มบางๆ ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าลูซิเฟอร์ก่อนที่เขาจะจากไป...
ลูซิเฟอร์เป็นมารร้ายที่น่าชิงชังความชั่วร้ายของเขานั้นมีไม่จำกัดแต่บทนี้จะทำให้ผู้ชมได้เห็นความเศร้าอีกด้านของผู้เป็นมารร้ายความอ่อนโยนที่มีให้แก่ผู้หญิงคนหนึ่งความเสียสละเพื่อที่จะให้เธอผู้นั้นมีชีวิตรอดมันช่างเป็นความรักที่งดงามใช่มั้ยละ
ตุ้บ!
“เสร็จแล้วเหรอ?” ฉันหันไปถามพี่ออร์คัสที่เดินมานั่งข้างๆ ฉัน
“ใช่แล้วละเพราะงั้น Let go >O</”
@ เกาะตระกูลเธซีรอน
ตอนที่เรือเข้ามาเทียบชายหาดของเกาะนี้สายตาฉันเห็นผู้คนเดินเยอะแยะไปหมดตอนแรกนึกว่านักท่องเที่ยวแต่กลับกลายเป็นคนของตระกูลเธซีลอนที่ถูกสั่งให้มาดูแลเกาะนี้สรุปง่ายๆ เลยว่าคนในชุดสูทหน้าโหดอยู่ล้อมรอบเกาะนี้ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่ปลอดภัย -_-; แล้วไหนจะมีแม่บ้านอีกนับไม่ถ้วนเมื่อกี้เหมือนฉันจะเห็นคนใส่ชุดเชฟเดินยกอาหารกันให้ขวักไขว่
สรุปโดยรวมอีกครั้ง... ที่อยู่อุดมสมบรูณ์ ความปลอดภัยร้อนเปอร์เซ็นต์ ที่อยู่อาศัยดูหรูหราและสะอาดตา ที่นี่มีครบเครื่องแม้กระทั่งห้องสตูดิโอ - -; ดูเพอร์เฟกต์มากใช่มั้ยละสามารถอยู่เกาะนี้ตลอดชีวิตยังได้เลย
จากจุดนี้สามารถแยกได้สองทาง ทางขวาจะเป็นบ้านพักตากอากาศที่เรียงกันเป็นสองแถวขึ้นไปแบบขั้นบันได (ใครอยู่บนสุดก็ขึ้นจนเหนื่อยเลยละ - -) ซึ่งทางนี้จะเป็นที่พักของพวกเรายี่สิบกว่าชีวิต (บ้านๆ หนึ่งมีห้าห้อง สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัวและพื้นที่ตรงกลางสามารถเป็นได้ทั้งห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นสารพัดอย่างเลยละ) และฉันที่กำลังจะลากกระเป๋าเดินตามคนในชมรมไปก็ถูกพี่ออร์คัสลากคอมาอีกฝั่งซึ่งเป็นบ้านพักเหมือนกันแต่ดูจะหรูกว่ามากทีเดียวไม่เหมือนเป็นบ้านพักแต่เหมือนคฤหาสน์ตากอากาศมากกว่า -_-; ขนาดทางเข้าบ้านฝั่งนี้ยังมีคนยืนคุ้มกันเลย
“พี่ลากฉันมาทำไมคะ -_-“
“เธอต้องอยู่ในสายตาพี่น่ะ ซีลอนบอกเอาไว้ ^_^” ถึงขนาดต้องอยู่ในสายตาเลยเรอะ =_= ที่นี่มันจะมีอันตรายอะไรตรงไหน
“เลยให้ฉันมาอยู่ที่นี่?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกที่นี่เป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับคนในสิบตระกูลนะ ยูเรเนียก็จะอยู่ที่นี่ด้วย ^^” อ่อ... ลืมบอกไปว่ายูเรเนียก็อยู่ชมรมนี้จะบอกว่าอยู่ท่าจะไม่ใช่เพราะยูเรเนียเป็นรองประธานชมรมและเธอก็มาทริปนี้ด้วย
จะว่าไปที่บอกว่าผู้หญิงคนนี้คือศัตรูคู่กัดของฉันนี่เริ่มชักจะเชื่อละ ตลอดระยะทางที่มานี่ยัยนั่นหาเรื่องกัดฉันไม่เลิกจนกระทั่งมาถึงที่นี่ก็สะบัดหน้าเดินเข้ามาก่อน -_-; นี่ถ้าเป็นฉันเมื่อก่อนคงต้องมีความแรงเท่ากับยัยนี่ไม่ก็แรงกว่าแน่ๆ =_=;;
“แล้วทำไมต้องแยกบ้านแบบนี้คะ =_=?”
“เพื่อความเป็นส่วนตัวน่ะ ^^” อ๋อ... อย่างนี้เองสินะถึงต้องแยกบ้านพี่ซีลอนก็เคยบอกว่าคนพวกนี้ถือตัวจะตาย
“จะนอนก็ไปข้างบนไป๊! เท้าแกมันจะเกยหน้าฉันอยู่แล้วนะเว้ยไอ้แมกม่า >O<!”
ทันทีที่เข้ามาในบ้านที่คิดว่าจะสงบสุขกลับมีเสียงดังโวยวาย และคนมากมายอยู่ปะปรายเต็มบ้าน -_-^ ไหนว่าชอบความสงบสุขโลกส่วนตัวสูง แต่ไหงที่นี่กลับดูวุ่นวายซะเหลือเกินแต่ถึงที่นี่จะมีแค่สองชั้นแต่ก็กว้างพอที่จะมีหลายห้องเพียงพอสำหรับคนพวกนี้ (แอบมองเห็น -.-)
“ไอ้เดรกกับไรทอลยังมาไม่ถึงเรอะ?” พี่ออร์คัสส่งกระเป๋าให้แม่บ้านแล้วหันไปถามพวกซีคริทเซเว่นที่นั่งนอนกับสะเปะสะปะ
“ยังไม่เห็นเลย พวกเค้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้วละ *O*” โมมิจิที่นั่งกินเค้กอยู่หันมาตอบ
“แล้วนี่ใครบอกให้พวกแกมา - -“
“บอกไอ้ออกัสสิ ทันทีที่รู้ว่าจะมีปาร์ตี้หลังถ่ายละครจบมันก็ลากคอพวกฉันมายัดขึ้นรถและถีบลงเกาะ J” ชายตาคมกริบที่ฉันเจอในผับพร้อมกับคนพวกนี้วันนั้นเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับกาแฟร้อนๆ บนจานในมือที่ถืออยู่
“ก็ฉันชอบปาร์ตี้... ไหนๆ ก็มาเมืองไทยแล้วมาเยี่ยมเกาะตระกูลเธซีลอนหน่อยจะเป็นไรไป :D”
“ตามสบายแล้วกันหายากนะที่จะเห็นพวกแกรวมตัวกันแบบนี้... มีเรื่องอะไรที่น่าสนุกหรือไง J”
ครืดดดดดดด~
“มันก็ต้องมีแน่นอนสิ ^^” ประตูหน้าบ้านเปิดออกโดยชายคนนี้ในชุดคลุมอาบน้ำ (ดูเหมือนเขาเพิ่งจะขึ้นจากสระน้ำมากกว่า) ผมสีน้ำตาลอมแดงถูกเสยขึ้นไปด้วยน้ำเปียกๆ เผยให้เห็นโครงหน้าเรียวสวยไร้ที่ติ เขาเดินมาทางฉันเพื่อที่จะผ่านไปแต่ก็ไม่วายหยุดแล้วก้มลงจุ๊บแก้มฉัน -_-+ “สวัสดีซินที่รัก :D”
“อย่ารุ่มร่ามกับซิดนีย์หน่าเคลริค - - เดี๋ยวฉันจะโดน...” จริงๆ ก็แอบใจเต้นอยู่เหมือนกันนะที่หนุ่มหล่อแบบเขาเดินเข้ามาหอมแก้มแอบขนลุกเกรียวเลยละ - -^ แต่ประโยคเตือนของพี่ออร์คัสยังไม่สมบรูณ์กระเป๋าที่ดูท่าว่าจะหนักมากลอยละลิ่วปลิวละล่องผ่านหน้าฉันไปแบบเฉียดฉิวแต่ไปโดนหัวผู้ชายที่ชื่อว่า ‘เคลริค’ ที่กำลังจะเดินไปเข้าอย่างจัง
ปั้ก!
“โอ้ เจ็บน่าดู ^O^” ออกัส
“เฮ้ย! ทำอะไรของแกวะ ไม่รู้หรือไงว่าทำร้ายองค์รัชทายาทอย่างฉันมีความผิดใหญ่หลวง -_-+” พี่เคลริคสะบัดหน้าไปทิศทางที่กระเป๋ามาและเจอตัวการยืนอยู่หน้าประตูคือพี่เดรกนั่นเอง
“ถ้าไหนๆ จะมีความผิดแล้วฉันจะยำแกให้จมดินเลยเอาสิ =_=+”
ขลุกขลักๆ
ในขณะที่สองคนกำลังทะเลาะกันแม่บ้านก็ยกกระเป๋าอีกใบเข้ามาก่อนเจ้าของกระเป๋านั้นจะเดินตามมาใบหน้าที่แสนมีความสุขนั่นหลายวับไปเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ในบ้านนี้
“พวกแก -_-^” อีกคนก็คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าเป็นใครก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นละ
“สวัสดีพี่ น่าตกใจนะที่เราสองพี่น้องโคจรมาเจอกัน J” ชิปเปอร์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่สดหนังสือลงแล้วยิ้มทักทายพี่ชาย
“โคจรมาเจอกัน? หึๆ เปล่าเลยฉันน่ะอยู่ของฉันแกต่างหากที่โคจรมาหาฉันเอง ^^” พี่ไรทอลยิ้มตอบก่อนจะเดินเข้ามานั่งบนโซฟาที่ว่าง “น่าตกใจจริงนะที่กบในกะลาอย่างพวกนายออกมาจากคฤหาสน์ในฝันนั่น มีอะไรดีๆ งั้นรึ?”
“J” จบคำถามของพี่ไรทอลพวกซีคริททุกคน (รวมทั้งพี่เดรกด้วย) พร้อมใจหันมายิ้มแทนคำตอบ
“ตามสบายพวกแกเถอะ -_- ฉันขอตัวไปดูความคืบหน้าของฉาก” พี่ออร์คัสเอ่ยอย่างเหนื่อยๆ แต่ก่อนจะเดินออกไปก็ยังไม่ลืมหันมาหาฉัน “อ้อ... แล้วก็ตามสบายนะซินจนกว่าจะถึงเย็นพวกนักแสดงจะทำอะไรก็ทำ”
“เฮ~ >_<” ตอนแรกฉันกะว่าจะไปเดินชิวๆ ที่หาดซะหน่อยแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าถูกฉุดตัวให้อยู่รื่นเริงในบ้านพัก (หรือคฤหาสน์ดี - -) ซะได้ ออกัสก็ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการจัดปาร์ตี้ยามเช้าเปิดเพลงเสียงดังสะนั่นม่านถูกปิดเพื่อกันแสงข้างนอกเล็ดลอดเข้ามาที่นี่เลยกลายเป็นผับดีๆ นี่เอง พวกซีคริทเซเว่น พี่ไรทอลและยูเรเนียก็ถูกลากมาปาร์ตี้ด้วย (จะว่ากันตามจริงแล้วมีแต่ฉันคนเดียวละมั้งที่ถูกลากน่ะ)
“สำหรับตอนนี้เธอคงดื่มได้แต่น้ำมะนาวนี่ใช่มั้ยละ ดื่มไปก่อนแล้วกันนะ ^^” พี่ไรทอลที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันหยิบน้ำมะนาวที่แม่บ้านเอามาให้ (ไม่รู้ว่าสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่) ส่งมาให้ฉัน
“ฮ่ะๆ สำหรับตอนนี้เหรอ? แล้วโดยปกติฉันดื่มของพวกนี้งั้นรึไง?” ฉันจับแก้วของพี่ไรทอลในมือเขายกขึ้นในระดับสายตา
“เธอชอบมันเลยละที่รัก J” ใบหน้าหล่อค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนริมฝีปากนุ่มนั่นจะแตะเบาๆ ที่แก้มฉันและเพราะการกระทำนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองฝั่งที่นั่งตรงข้าม -_-;
“-_-+”
“ดีจริงนะที่พี่ได้รับบทมิคาเอลเล่นเป็นคนรักของเธอ” ใบหน้าของพี่ไรทอลค่อยๆ เลื่อนกลับไปที่เดิมแต่ทุกครั้งที่เขาโน้มหน้าลงมาทำเอาฉันใจเต้นไม่เป็นจังหวะทุกที ไม่มีใครหรอกที่จะไม่หวั่นไหวไปกับผู้ชายคนนี้น่ะ
“ดีใจ? ทำไมละคะ -_-?”
“เพราะไม่ว่ายังไงซัลฟาก็ต้องอยู่กับมิคาเอลไงละ ^^”
“ได้แต่กายเป็นพี่ยังภูมิใจอยู่อีกเหรอ?” ทันทีที่ฉันถามคำถามนี้ออกไปนัยน์ตาสีดำสนิทสั่นวูบจนฉันสังเกตได้
“ถึงยังไงก็ยังได้มาอยู่เคียงค้างไม่ใช่หรือไง สำหรับมิคาเอลพี่คิดว่าเท่านั้นคงเพียงพอแล้วละ ^_^”
“พี่คิดอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรอ? ในใจมิคาเอลไม่ต้องการอย่างอื่นแล้วหรือไง”
“พี่คิดว่าไม่ละ ขอแค่คนที่รักเลือกที่จะอยู่กับเราเท่านี้ก็ไม่ต้องการอะไรที่มากกว่านี้แล้วต่อให้ซัลฟาจะเลือกที่จะรักหรือไม่ก็ตาม ^^”
“ฮ่าๆ พี่เข้าใจบทมิคาเอลจังนะ”
“พี่เข้าใจตัวเองมากกว่า J” ว่าจบพี่ไรทอลก็ยกแก้วในมือที่มีมือฉันถืออยู่ด้วยดื่มวิสกี้ในแก้วนั้นหมดรวดเดียวก่อนจะลุกขึ้นแล้วปลีกตัวขึ้นข้างบนออกจากปาร์ตี้นี้ไปอย่างเนียนๆ
บางทีฉันควรจะปลีกตัวไปบ้างดีกว่าถึงยังไงปาร์ตี้นี้ฉันก็ไม่ได้สนุกร่วมด้วยสักหน่อย
ตุ้บ!
“กินเค้กกะเค้ามั้ย *O*” ฉันที่กำลังจะลุกก็ต้องสะดุ้งเมื่อพี่โมมิจิทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ กะทันหันพร้อมเค้กส่วนหนึ่งที่พร่องไปครึ่งหนึ่งแล้วและตุ๊กตากระต่ายที่หนีบไว้ในวงแขน
“อะ... เอ่อ ไม่ดีกว่าคะ -_-;”
สงสัยจะต้องนั่งตรงนี้จนกว่าจะถึงเย็นแล้วละ =__=^^
ตอนเย็น...
ทันทีที่ถึงเวลาพี่ออร์คัสก็ส่งตัวแทนมาพาฉัน พี่ไรทอลและพี่เดรกไปที่ห้องแต่งตัวสตูดิโอ (แน่นอนว่าแยกชายหญิง - -*) ฉันถูกจับให้แต่งชุดกระโปรงยาวที่เหมือนพวกตัวละครแฟนตาซีแต่เป็นสีขาวทั้งตัวอันเนื่องมาจากซัลฟาในตัวละครเป็นนางฟ้า
“เอาละ เสร็จแล้วจ้ะ ^O^ สีผมและสีตาเธอคงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอกเพราะมันเข้ากับคาแร็กเตอร์ตัวละครอยู่แล้ว” พี่โซเฟียที่เป็นสไตลิสยิ้มแฉ่งกับผลงานตัวเองก่อนจะดึงให้ฉันลุกขึ้นแล้วจับหมุนตัวเช็คความเรียบร้อยอีกที
เย็นนี้ฉากที่เราจะถ่ายกันคือฉากที่ลูซิเฟอร์กำลังวางแผนและลักลอบเข้ามาที่สวรรค์บ่อยครั้งจนกระทั่งโดนจับได้เลยต้องหลบหนีแล้วมาเจอซัลฟาที่สวนดอกไม้ ฉากนี้ฉันต้องบิ้วอารมณ์เศร้าอยู่ลึกๆ และปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาราวกับว่าในหัวต้องการคิดถึงใครสักคนแต่กลับคิดไม่ออกเสียที (จริงๆ แล้วฉันตีบทไม่แตกหรอก - - แต่ได้พี่นาร์เซียร์เพื่อนของพี่ออร์คัสเป็นติวเตอร์ให้)
แกร๊ก...
“เสร็จรึยัง?” เป็นพี่นาร์เซียร์ที่เข้ามาตามฉันดูเหมือนจะถ่ายฉากของพี่เดรกหรือลูซิเฟอร์เสร็จแล้วสินะ
“เสร็จแล้วละเซีย โอเคเลย ^^”
“พอดีเลย ไปกันเถอะซิดนีย์ ^_^”
“O_O!” ใบหน้าตกตะลึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉันทันทีที่ก้าวออกมาในสตูดิโอเพราะชายแปลกหน้า... จะว่างั้นก็ไม่ใช่สิแค่เปลี่ยนไปนิดหน่อยจากเรือนผมสีน้ำตาลไหม้เป็นผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นัยน์ตาสีน้ำเงินกลายเป็นสีแดงเพลิงที่เข้ากับลุคนี้ของเขาสุดๆ
“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม แปลกอะไรงั้นรึ?” ฉันที่กำลังอึ้งค้างเสียงของพี่เดรกก็กระตุ้นให้หลุดออกจากภวังค์
“พี่เปลี่ยนสีผมเหรอ -O-;” แต่สีตาคงใส่คอนแทคเลนส์ละมั้ง
“เปล่าหรอก... แค่ชั่วคราวเท่านั้นแค่ล้างออกก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วทำไม? คิดถึงสีผมเก่าๆ ของฉันหรือไง ^_^”
“ฮ่ะๆ -O-; พี่ในลุคนี้ก็ดูดีอีกแบบน่ะนะ”
“จริงน่ะเหรอ...” จู่ๆ พี่เดรกในลุคลูซิเฟอร์ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนทำให้ฉันมองเห็นใบหน้าหล่อนั่นชัดเจน “ฉันรู้ดีอยู่แล้วน่ะ J”
ฟุบ!
สเลทโผล่เข้ามาคั่นกลางระหว่างฉันและพี่เดรกโดยฝีมือของมิคาเอล ไม่สิพี่ไรทอที่แต่งเป็นมิคาเอลต่างหากเรือนผมเดิมสีน้ำตาลแดงกลายเป็นสีบลอนด์ทองแบบเดียวกันกับฉันเด๊ะ
“ไม่ต้องมาด่า ตอนนี้ฉันความคิดฉันละแกตรงกันแล้ว J เพราะงั้นฉันจะสกัดกั้นแกทุกวีถีทาง”
“เพื่อ?”
“หึ...” พี่ไรทอลส่งสเลทนั้นให้พี่นาร์เซียร์ก่อนจะกระชากคอพี่เดรกไปคุยอีกทาง
“ไม่ต้องไปสนใจหรอกนะซิดนีย์ไปเถอะ -_-;” ฉันถูกพี่นาร์เซียร์ลากมาจากตรงนั้นตรงมาหาพี่ออร์คัสที่นั่งทำหน้าที่ผู้กำกับโดยข้างๆ นั้นมียูเรเนียดูฉากที่เพิ่งถ่ายไปด้วย
“อ้าว... แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอซิดนีย์ ^O^”
“โฮะ! แต่งหน้าทาปากฉันคิดถึงแกคนเก่าเลยนะเนี่ย J” บอกแล้วว่ายัยนี่ชอบกระแหนะกระแหนเป็นที่สุด -_-
“พอหน่ายูเรเนีย - -* เอาละเริ่มกันสักทีเลทมาเยอะแล้ว” พี่ไรทอลหันไปเอ็ดคนข้างๆ ก่อนจะตะโกนบอกทีมงาน (หรืออีกนัยๆ คือเด็กในชมรมนั่นเอง) “ฉากนี้จะเป็นตอนที่ซัลฟาร้องไห้แล้วลูซิเฟอร์เดินเข้ามาและซินก็พูดตามบทนะ”
ฉันถูกพามานั่งกลางสวนดอกกุหลาบที่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พี่นาร์เซียร์ส่งกุหลาบดอกหนึ่งมาใส่มือก่อนจะเดินออกไปจากฉาก
“ซีนหนึ่ง เทคหนึ่ง เทปเดิน ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง”
ปั้ก!
สายตาฉันทอดมองดอกกุหลาบตีแววตาเศร้าสร้อยราวกับกำลังคิดถึงอะไรอยู่สักอย่าง น้ำตาค่อยๆ ขับให้ไหลรินลงมา ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาทางด้านหลังช้าๆ และหยุดในที่สุดรอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้นบนหน้าฉันตามบทที่ซัลฟารู้ว่าชายคนนั้นคือลูซิเฟอร์เจ้าแห่งโลกปีศาจ
“ท่านรู้ความหมายของดอกกุหลาบนี้หรือเปล่า” ฉันยังคงบีบน้ำตาให้ไหลอยู่อย่างนั้น ดอกกุหลาบในมือค่อยๆ ยกขึ้นมาในระดับสายตาแต่คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบได้เพียงแต่ความเงียบ
“...”
“ไม่รู้งั้นเหรอ... ข้าบอกให้เอามั้ย?” ฉันค่อยๆ หันหน้าไปทางเขาแล้วยิ้มทั้งน้ำตาที่ค่อยๆ เหือดแห้งและยื่นดอกกุหลาบให้เขา
“เจ้าคือใคร...” ใบหน้าและแววตาของเขาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ มีเพียงความสงบนิ่งจนฉันรู้สึกว่านั่นมันคืออารมณ์ของเขาจริงๆ
“ข้าคือซัลฟา...เป็นนางฟ้าสรวงสวรรค์”
“ซัลฟา...”
“น่าเศร้านะที่ดอกกุหลาบสีแดงมันต้องแลกมาด้วยชีวิตของนกตัวหนึ่ง” ฉันค่อยๆ ลดมือที่ถือดอกกุหลาบยื่นให้ลูซิเฟอร์ลงแต่สายตาฉันยังคงจดจ้องอยู่ที่ดอกกุหลาบสีแดงนั้น
“...” อะไรเนี่ย - - ทำไมจู่ๆ เงียบไปฉันจำได้ว่าเขาต้องพูดบทต่อไม่ใช่หรอแต่เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขาดวงตาดุดันที่สงบนิ่งในตอนแรกกลับกลายเป็นเบิกกว้างด้วยความตกใจนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั่นสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
“พี่เดรก...”
“คัท!!!... นายทำบ้าอะไรยะเนี่ย!” เหมือนว่าเสียงคัทของยูเรเนียนั้นจะทำให้พี่เดรกกลับมามีสติเหมือนเดิม
“ฉันขอใหม่แล้วกัน” พี่เดรกยกมือขึ้นมากุมขมับตัวเองเหมือนกับจะสะกดกั้นอะไรสักอย่าง
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าบทนี้มันไม่เวิร์ค -_-“ ในขณะที่มีคนวิ่งเข้ามาซับใบหน้ายูเรเนียก็หันไปคุยกับประธานแต่เสียงหล่อนนี่ตะโกนดังลั่นสตูดิโอเลย
“อย่าบ่นเหมือนซีลอนหน่า - -* ทุกอย่างมันเตรียมการไปแล้วแก้ไขอะไรก็ไม่ทันแล้ว”
“เหอะ!”
“โอเคแล้วใช่มั้ย เอธานอล -_-“
“เออ - -“
“เดี๋ยวเริ่มตอนที่ซัลฟาพูดถึงเรื่องดอกไม้ใหม่แล้วกัน... เอ้า กล้องพร้อม!”
“ซีนหนึ่ง เทคสอง เทปเดิน ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง”
ปั้ก!
“น่าเศร้านะที่ดอกกุหลาบสีแดงมันต้องแลกมาด้วยชีวิตของนกตัวหนึ่ง” ฉันเริ่มบทพูดก่อนและเพราะบทนั้นทำให้ภาพในหัวมันฉายเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมา
‘นี่พรุ่งนี้วาเลนไทน์แล้วนะ อยากได้ดอกกุหลาบหรือเปล่า ^^’ ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าร้านขายดอกไม้และข้างๆ เธอคือผู้หญิงที่ท่าทางคุ้นๆ คนหนึ่งคราวนี้ไม่ใช่ภาพเรือนรางแต่เพราะแสงสีขาวบางอย่างทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าของทั้งสองคนได้
‘ไม่’
‘ทำไมละ - -’
‘ฉันแค่ไม่ชอบดอกกุหลาบ’
‘เธอมีอคติเหรอไง -_-’
‘จะว่างั้นก็ได้’
‘ขอเหตุผลที่มันฟังขึ้นสิ =_=’
‘เพราะตำนานนกไนติงเกลละมั้ง J’
‘-_-???’
‘หน้านายมันบอกว่าโง่สุดๆ จะอธิบายให้แล้วกัน...มีนกไนติงเกลตัวน้อยตัวหนึ่งแอบหลงรักเด็กหนุ่มชื่อ ครีเตอุส เธอเฝ้ามองเขาอยู่ที่กิ่งไม้ริมหน้าต่างห้องนอนของเขา แล้วร้องเพลงกล่อมเขาให้หลับฝันทุกคืน รวมทั้งบอกเล่าเรื่องราวของเขาให้สายลมและ ดวงดาวได้ฟังทุกคืน แต่ครีเตอุสไม่เคยสนใจ’
‘มันเป็นนกไม่ใช่เหรอหลงรักคนเนี่ยนะ - -’
‘อย่าขัดได้มั้ยยะ - -*... เป็นเพราะเขาตกหลุมรักลูกสาวของเศรษฐีแสนสวยที่ชื่อว่าเฟลิเซีย เขาเฝ้าทำทุกอย่างเพื่อให้เฟลิเซียสนใจ แต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะรอบกายของเฟลิเซียนั้นรายล้อมด้วยลูกหลานขุนนาง ที่มีฐานะทัดเทียมกัน ในวันหนึ่งเฟลิเซียได้ยื่นข้อเสนอแก่เขาว่าจะตกลงไปร่วมงานเต้นรำของหมู่บ้านด้วยหากว่าครีเตอุสสามารถหาดอกกุหลาบแดงไร้หนามที่สวยที่สุด และมีกลิ่นหอมที่สุดมาให้เธอได้ ครีเตอุสดีใจมากกับข้อเสนอนี้เขารีบกลับไปที่บ้านเพื่อหาดอกไม้อย่างที่เฟลิเซียว่า แต่จนแล้วจนรอดเขาก็หาดอกกุหลาบแดงไร้หนามไม่ได้ เขาหาจนท้อและเสียใจมาก...’
‘พอเถอะ ไร้สาระฉันไม่อยากฟัง /(- -)\’
‘นี่!’
‘จ๊ะฟังก็ฟัง - -*’
‘...เจ้านกไนติงเกลน้อยที่รับรู้ความรู้สึกของครีเตอุสทั้งหมดสงสารเขาจับใจและเจ็บปวดมากกว่าเขาหลายร้อยเท่า เธอได้บินเสาะหาไปทั่วและพบกับต้นกุหลาบสีแดงดอกหนึ่ง แต่ทว่ามันไม่ยอมออกดอกให้ นกไนติงเกลเฝ้าอ้อนวอนอยู่นานจนต้นกุหลาบใจอ่อนแต่มีข้อแม้ว่าจะออกดอกให้ต่อเมื่อนกไนติงเกลร้องเพลงท่ามกลางแสงจันทร์ และเอาหนามจากต้นกุหลาบทิ่มแทงตัวเอง เลือดจากหัวใจของเธอจะย้อมสีของดอกกุหลาบให้เป็นสีแดง’
‘...’
‘ไม่ขัดแล้วเหรอ J’
‘เอ๊ะ! นี่เธอจะเอายังไง - -^’
‘หึ... แล้วรู้อะไรมั้ยนกไนติงเกลน่ะยอมทำตามข้อเสนอนั้น เธอร้องเพลงจนเสียงเหือดหายและปล่อยให้หนามกุหลาบทิ่มแทงหัวใจจนขาดใจตาย แต่ก่อนตายนกไนติงเกลได้อวยพรให้ครีเตอุสว่า “ขอให้กุหลาบแดงดอกนี้นำมาซึ่งความสุขอันเป็นนิรันดร์” ’
‘ความสุชอันเป็นนิรันดร์งั้นรึ’
‘อือ... เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อครีเตอุสตื่นขึ้นมาเขาได้พบกุหลาบแดงที่สวยที่สุด เขาดีใจมากรีบนำไปมอบให้แก่เฟลิเซียทันที แต่เมื่อไปถึงเฟลิเซียกลับปฏิเสธที่จะไปกับเขาเพราะได้มีชายหนุ่มมอบอัญมณีซึ่งล้ำค่ากว่าให้แก่เธอแล้วครีเตอุสเสียใจมาก เขาเขวี้ยงกุหลาบดอกนั้นทิ้งอย่างไม่สนใจใยดี โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากุหลาบดอกนั้นแลกกับชีวิตของคนที่รักเขาอย่างหมดหัวใจ’
‘บางทีฉันคิดว่าเธออ่านเรื่องพวกนี้มากเกินไป’
‘ให้ตายเถอะ... นึกแล้วเชียวว่านายไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเศร้าเสียใจต่อการเสียสละของนกตัวนั้นสินะ’
‘ต้องมีงั้นรึ?’
‘...มันจะดีมากทีเดียวถ้าฉันมีความรู้สึกแบบนกตัวนั้นบ้าง รักเขาอย่างหมดใจจนไม่แบ่งให้ใครอื่น รู้มั้ยสถานะของฉันกับนายตอนนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวงที่จะหักหลังคนๆ หนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะ’
‘...’
‘เรายุติความสัมพันธ์นี้ยังทันนะ เด...’
‘พรุ่งนี้วาเลนไทน์ใช่มั้ย... ฉันจองตัวเธอทั้งวันนะและอาจจะเลยไปทั้งคืนด้วย J’
ความคิดเห็น