ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Sakura begins :06
"ยูมิกะจัง! คุณน้าคิดถึงหนูที่สุดเลยลูก"
นางยามาดะยกมือทาบอกร้องเสียงดังเมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสุดสวาทขาดใจ พาเพื่อนสมัยเด็กเข้ามาในบ้าน ซึ่งเธอจำได้ไม่เคยลืมเลยว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่รักกันมากแค่ไหน ยูมิกะจังตัวน้อยที่ไม่ค่อยสบายบ่อยๆ มักจะชอบติดสอยห้อยตามไอ้เด็กตัวสูงลูกของเธอมาที่บ้านจนเห็นเป็นเรื่องชิน ตา
ดูเอาเถอะ ผ่านมาแค่ไม่กี่ปีก็โตเป็นสาวแล้ว ทั้งที่คิดว่าลูกที่เธอเบ่งออกมาดูดีกว่าใครในโลกแล้วเชียว พอมาเจอยูมิกะเวอร์ชั่นขยายส่วนแบบนี้แล้วน่ารักน่าชังน่าหมั่นเขี้ยวเป็น ที่สุด
"ผิดจากที่พูดไหมล่ะ"
เรียวสุเกะก้มกระซิบบอกยูมิกะที่ยิ้มหวานให้กับหญิงสูงวัยซึ่งตรงเข้ามาลาก แขนร่างเล็กให้เดินตามเข้าไปยังห้องนั่งเล่นด้านในบ้าน คนตัวสูงส่ายหน้ายิ้มๆ คุณนายยามาดะมักจะชอบพูดเสมอว่าเขาตอนเด็กก็น่ารักอยู่หรอก โตมาแล้วทำไมถึงได้ผิดอิมเมจจากที่คิดเอาไว้เสียเยอะแยะ แล้วก็ยังบ่นกับตัวเองอีกว่าสงสัยจะให้นมมากไปหน่อย
ตกลงว่าคุณแม่ต้องการจะให้ผมเติบโตมาแบบไหนเหรอครับ!
"ต๊าย ดูสิคุณ ยูมิกะจังหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ตัวเล็ก ยิ้มก็หวาน แก้มก็น่าหยิกแบบที่แม่ชอบเลย" คุณนายเธอยังคงเพ้อไม่หยุด ไม่วายยังหันไปหาเสียงสนับสนุนจากคุณสามีที่นั่งดูทีวีถัดไปอีกด้วย เรียวสุเกะเห็นแล้วก็นึกดีใจที่ตัวเองไม่ได้มีสรรพคุณแบบที่คุณแม่ชอบ ไม่งั้นคงจะน่ากลัวว่าต้องถูกทำอะไรพิเรนทร์ๆ เป็นแน่
"คุณแม่ครับ ห้ามทำไรอะไรประหลาดๆ กับยูมิกะด้วย ยูมิกะน่ะของผมนะ" ร่างสูงพูดขัดวิมานของผู้เป็นแม่และเดินเข้าไปคล้องคอคนตัวเล็กที่นั่งยิ้ม ท่าเดียว และในทันทีคุณนายยามาดะก็ยกมือขึ้นปิดปาก ตาเป็นประกายวิ้งๆ คล้ายกับกำลังอิมเมจิ้นอะไรบางอย่างที่คงไม่ใช่แบบคนปกติเขาคิดกัน
"เราก็รู้ว่าแม่เป็นยังไง ยังจะไปพูดแหย่อีกนะลูกคนนี้"
ฝ่ายคุณสามีส่ายหน้าระอาพลางนึกไปถึงตอนขนของย้ายบ้านจากโตเกียวมาที่ฮาโกเน่ รถบรรทุกที่ว่าใหญ่แล้วยังขนหนังสือทั้งแบบออริจินอลทั้งโดจินชิของคุณ เธอได้ไม่หมดเลย
"ยูมิกะจังอย่าไปสนใจเลยลูก คุณแม่เป็นยังไงบ้าง เห็นว่ากิจการกำลังไปได้สวยด้วยนี่"
"ก็ดีค่ะ วันนี้คุณแม่ก็ฝากขนมเค้กทำเองมาให้คุณน้าทั้งสองลองชิมด้วย" ยูมิกะหยิบกล่องขนาดใหญ่ขึ้นมามอบให้นางยามาดะที่รับมาด้วยอาการ ตื่นเต้น
"ขอบใจมากนะจ้ะ ไม่น่าลำบากเลย เอ้อ แล้วนี่ทานอะไรมากันหรือยัง"
"กินมาตั้งแต่บ้านยูมิกะแล้วล่ะครับ" เรียวสุเกะตอบแทนให้ในขณะที่ผู้เป็นแม่ได้แต่ทำหน้าเศร้าใจ ถึงแม้จะรู้ว่าที่ลูกชายตัวเองออกไปรับเพื่อนเสียค่ำก็เพราะว่ารอไปทานข้าว พร้อมกันที่บ้านของยูมิกะจัง ซึ่งถ้าหากมากินข้าวที่บ้านหลังนี้ก็ต้องปล่อยให้นางคาวาชิม่า ต้องกินข้าวคน เดียวคงไม่เหมาะ
"เสียดายไม่ได้ทานข้าวด้วยกัน เอาไว้วันหลังนะจ้ะยูมิกะจัง"
ร่างเล็กตอบรับคำของนางยามาดะไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกดีไม่น้อยที่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือเมื่อก่อน ครอบครัวของเรียวสุเกะก็ยังให้การต้อนรับอย่างดีเสมอมาจนยูมิกะเริ่มจะมีความกล้าและความตั้งใจในสิ่งที่กำลังใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี
พูดคุยกันจนเวลาล่วงเลยมาเกือบสี่ทุ่ม ยูมิกะจึงได้เดินตามเรียวสุเกะขึ้นบันไดไปยังห้องนอนที่นางยามาดะจัดไว้ให้ซึ่งมีขนาดใหญ่มากและที่สำคัญยังเป็นห้องเก็บเสียงที่ดูคร่าวๆ คล้ายกับสตูดิโอขนาดย่อมซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของที่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับดนตรี ทั้งกลอง ทั้งกีต้าร์แล้วไหนจะกล้องถ่ายรูปซึ่งมีถึงแปดตัววางเรียงกันบนชั้นราวกับ พิพิธภัณฑ์ก็ไม่ปาน
"เป็นห้องที่ฉันใช้เก็บของสะสมน่ะ"
"ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเรียวสุเกะคุงชอบสะสมของตั้งหลายอย่าง" คนตัวสูงยิ้มในขณะที่เดินไปเปิดเพลงซอฟท์ซาวน์สำเนียงสากลซึ่งเป็นจังหวะที่ ฟังง่ายและช่วยในการสร้างบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี
"ฉันชอบทำหลายอย่างน่ะ ดูน่าสนใจไปหมดก็เลยลองทำดูเรื่อยๆ ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้แหละ"
เพราะเป็นคนง่ายๆ ชอบอะไรง่ายๆ ไม่มีสิ่งที่เกลียดและไม่มีสิ่งไหนที่รักได้หมดใจ เรียวสุเกะรู้ในข้อนี้ของตัวเองดี เพราะเหตุนี้จึงทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนขี้เบื่อไปด้วย พอลองทำจนรู้ลึกหมดแล้วก็เบื่อและหันไปทำอย่างอื่น อาจจะเป็นนิสัยแย่ๆ ที่ไม่มีทางแก้เลยก็เป็นได้
"ดีจังเลยนะ เราไม่ค่อยได้สนใจอะไรเท่าไหร่นักหรอก" เพราะยูมิกะต้องทำงานช่วยแม่ ดูแลแม่ที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียว ทำให้ความสนใจต่อสิ่งรอบตัวลดลงไปเพราะมุ่งความสนใจไปที่ผู้เป็นแม่เพียง อย่างเดียว ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยได้ชอบอะไรนัก แต่ถ้าหากเกิดความรู้สึกว่ารักเธอคงทุ่มเทให้กับมันจนถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอกลายเป็นคนชอบยึดติดและคิดมาก
คิดมาก...เหมือนอย่างในตอนนี้ที่เขากำลังเป็นกังวล
หลังจากมาส่งเธอที่ห้องเรียวสุเกะก็ขอตัวออกไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเองที่อยู่ตรงข้ามแล้วกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง
ดวงตาสวยเลื่อนมองไปตามใบหน้าคมที่กำลังนั่งพิงกับขอบเตียง ในมือมีอุปกรณ์กล้องที่ยูมิกะไม่รู้จัก ริมฝีปากสีแดงสดเม้มคลายด้วยความประหม่าในขณะที่ก้าวเข้าไปนั่งลงเคียงข้าง ดวงตาคมยังคงก้มต่ำมองสิ่งของในมือราวกับกำลังให้ความสนใจนักหนา จนยูมิกะไม่กล้าที่จะเอ่ยเรียกชื่อออกไป
"ยูมิกะ..." เรียวสุเกะเรียกชื่อคนที่นั่งอยู่บนเตียงในขณะที่ไม่ได้ละสายตาไปจากอุปกรณ์กล้องในมือเลยแม้ แต่น้อย ผิดกับยูมิกะที่เพียงถูกเรียกก็จ้องคนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เกร็งเครียด ทันที
"...มีอะไรอยากจะพูดกับฉันหรือเปล่า"
คำถามที่เป็นเหมือนโอกาสล่องลอยมาอยู่ตรงหน้า ยูมิกะก้มหน้าต่ำ มือทั้งสองข้างกำแน่นบนหน้าตักด้วยความคิดที่แสนสับสน สิ่งที่เกิดขึ้นมันเร็วเกินไปหรือเปล่านะสำหรับเรียวสุเกะ แต่สำหรับเธอแล้ว ยูมิกะรู้ตัวดีว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร และเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมานานแค่ไหน เพราะต้องจากกันอย่างกะทันหันโดยที่ยังไม่ทันได้พูดออกไป ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกค้างคาที่ตกตะกอนอยู่ใต้ก้นบึงของจิตใจ การที่ได้กลับมาพบกันใหม่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์ ความรู้สึกที่ตกค้างจึงแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเธอไม่พูดออกไป เธอกลัวเหลือเกินว่าอาจจะมีบางอย่างมาพรากเขาทั้งสองให้ห่างกันออกไปไกลอีก
มือน้อยกำพรวนกระดิ่งในมือแน่น ดวงตาสวยปิดลงพร้อมกับแก้มขาวเริ่มแดงปลั่ง
"ถ้า...ถ้าหากเราจะบอกว่า เราชอบเรียวสุเกะคุง จะว่ายังไง"
คำถามที่ฟังก็รู้ได้ทันทีว่าคนพูดกำลังสั่นสะท้านแค่ไหน มือขาวที่กำลังหมุนเลนส์หยุดชะงัก ดวงตาคมนิ่งไปนานก่อนจะหันกลับมาหาคนที่อยู่บนเตียงที่กำลังหลับตาปี๋คอยฟังคำตอบ ด้วยหัวใจที่เต้นระทึกหนัก เสียงเพลงสากลยังคงคลอเบาๆ ท่ามกลางเสียงลมหายใจที่ได้ยินเพียงแผ่ว
เรียวสุเกะเลื่อนสายตาลงมองมือขาวที่กำพรวนกระดิ่งแน่นก่อนจะมองตรงไปที่ใบหน้า ของเพื่อนในวัยเด็กที่ตอนนี้กำลังลืมตาขึ้นมองด้วยสายตาที่พร้อมจะยอมรับกับ ความเป็นจริง
คนตัวสูงยิ้ม
"ก็เอาสิ ถ้างั้นเรามาเป็นแฟนกันนะ"
คำตอบที่ได้รับ สายตาที่คนตรงหน้าสื่อตอบกลับมาทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นถี่จนแทบหายใจไม่ออก ยูมิกะยิ้มกว้างได้มากเท่ากับความรู้สึกยินดีที่ถาโถมเข้ามา และเมื่อร่างสูงรั้งเอวให้เข้าไปชิดใกล้พร้อมกับสวมกอดเอาไว้แนบกาย ความอบอุ่นมากมายล้นปรี่จนบอกไม่ถูกเลยว่ากำลังมีความสุขมากมายแค่ไหน
คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจพูดออกไป
ดีใจที่เรียวสุเกะเองก็คิดไม่ต่างกัน
.
.
.
ติ้ด ติ้ด...
"ครับ"
เสียงมือถือดังขึ้นรอบที่สามทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจรับสายทั้งที่ตั้งใจจะทำ เป็นไม่สนใจ เรียวสุเกะขยี้ตาพลางมองไปรอบเตียงพบโพสอิทที่แปะบนหมอนว่า ขอตัวกลับก่อนทำให้คนตัวสูงยิ้มบางเบาพร้อมกับมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาสิบ โมงกว่าแล้ว
"เฮ้ย เรียวสุเกะ แกมีเบอร์ชิดะหรือเปล่า" คำถามของรุ่นพี่ปีสาม อิโนโอะ เคย์ทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
"ไม่มีอ่ะเคย์จัง ทำไมเหรอ"
"ก็ว่าจะบอกให้มิราอิเอาสมุดบัญชีไปส่งสภานักเรียนให้น่ะ พี่ลืมบอกไปว่าพรุ่งนี้หมดเขตส่งแล้ว" ฝ่ายนั้นบ่นงึมงำมาอีกสองสามประโยคและกำลังจะบอกวางสายแต่คนตัวสูงกลับพูด แทรกขึ้นก่อน
"เดี๋ยวผมจะบอกให้ตั้งแต่เช้าเลย เคย์จังมีเรื่องเท่านี้ใช่ไหมครับ"
"ฝากด้วยละกัน อย่าลืมนะ ส่งก่อนบ่ายสาม"
"ครับ"
อีกคนบอกขอบใจแล้ววางสายไป ในขณะที่ร่างสูงกลับกดยิ้มลึกอย่างนึกสนุกแล้วเปลี่ยนใจไปบอกเจ้าตัวที่บ้าน เลยดีกว่า ไม่นานหลังจากนั้นเรียวสุเกะก็ปั่นจักรยานมาหยุดตรงหน้าบ้านของมิราอิที่ปิดเงียบ เด็กหนุ่มถอดหมวกแก็ปออกมาถือพร้อมกับเดินไปกดกริ่ง สักพักก็มีหญิงสาวหน้าตาไม่ผิดเพี้ยนไปจากมิราอิเดินออกมาเปิดประตูให้
"มาหาใครคะ" พี่สาวของมิราอิเอ่ยถาม
"ผมมาหาชิดะน่ะครับ"
"อ่อ มิราอิน่ะเหรอ ออกไปห้องสมุดตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมาเลยจ้ะ" หญิงสาวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ในขณะที่เรียวสุเกะเองก็ยิ้มตอบบางๆ พร้อมกับถามกลับทันที
"ผมขอเบอร์โทรศัพท์เขาไว้ได้ไหมครับ"
"ได้สิจ้ะ"
ระหว่างที่เธอกดเมมเบอร์ของน้องสาวในมือถือให้ เรียวสุเกะก็ถามขึ้นอีกครั้ง
"เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าห้องสมุดอยู่ไหนครับ"
.
.
.
ห้องสมุดประจำเมืองในเวลาเกือบบ่ายโมงแบบนี้ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการเท่า ไหร่ทำให้สถานที่ดูโล่งไปถนัดตา มิราอิปิดหนังสือที่เพิ่งอ่านจบลงหลังจากที่อ่านมันมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วเด็กสาวจึเดินเอาหนังสือไปเก็บ
จริงๆ มิราอิตั้งใจจะมาอ่านหนังสือที่นี่ตั้งแต่เช้า แต่เพราะแวะไปหาฮารุกะและก็ถูกฝ่ายนั้นชวนคุยกว่าจะออกมาถึงห้องสมุด ได้ก็ปาไปเกือบเที่ยง แต่เพราะไม่อยากเสียเที่ยวมิราอิจึงตัดสินใจนั่งอ่านอยู่ที่นี่ไปเลยเพราะเธอยังทำบัญชีไม่เสร็จ คงต้องรีบกลับไปสะสางก่อนจะถึงพรุ่งนี้เช้า
"นึกแล้วว่าจะต้องเจออยุ่ที่นี่ สมกับเป็นมิราอิจริงๆ"
มิราอิหันขวับไปมองคนพูดที่กำลังนั่งบนโซฟา เด็กสาวขมวดคิ้วทำหน้าแปลกใจเพราะมิราอิจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอใน ห้องชมรมดนตรีเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา แล้วทำไมถึงได้มาที่นี่ทั้งที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะมาอ่านหนังสือหรือทำรายงาน เลยด้วยซ้ำ
"ไม่ยักกะรู้ว่าคณะกรรมการนักเรียนมาตรวจสอบความประพฤติถึงที่นี่ด้วย" พูดเหน็บกลับไปในขณะที่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเสียงดังลั่น
"นี่เราจำพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอมิราอิ" เท้าที่กำลังก้าวชะงักแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนและเดินตรงมาหาเธอด้วยรอยยิ้ม มิราอิขมวดคิ้วพลางพิจารณาใบหน้าของคนตรงหน้าก่อนที่ร่างเล็กจะร้องเสียงดัง ลั่น
"ยูริ!!"
มิราอิวิ่งไปกระโดดกอดอีกคนเต็มแรงจนคนตัวสูงเซแทบล้มหงายหลัง ร่างเล็กผละออกมามองหน้ายูริให้ชัดๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับตีหมับเข้าไปบนท่อนแขนของอีกคนจนยูริต้องร้องเสียง หลง
"ยูริทำไมไม่บอกกันบ้าง อยู่ที่โอซาก้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาเรียนที่นี่ได้" ยูริฟังคำถามจากน้องสาวตัวน้อยแล้วก็ถึงกับต้องอมยิ้ม ยังเป็นเด็กพลังเหลือเฟือไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
"ใครบอกพี่ไม่บอก บอกไปแล้ววันก่อน เห็นหน้าคุ้นๆ เลยเดินไปหา แถมแนะนำชื่อแล้วก็ยังทำหน้าเมินใส่เราอีก คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องจำพี่ไม่ได้"
"ก็มันจำไม่ได้จริงๆ นี่" คนตัวเล็กโอดเสียงเบา ก็ตอนนั้นไม่ทันได้ฟังว่ายยูริบอกว่าชื่ออะไรนี่นาเพราะมัวแต่นึกเขม่นไอ้ มนุษย์เสาไฟฟ้าอยู่ และที่สำคัญญาติคนสำคัญอย่างยูริก็ไม่ได้เจอกันตั้งนานทั้งที่เป็นลูกของคุณ ลุงแท้ๆ ต้องโทษคุณพ่อเลยที่ย้ายที่ทำงานไปเรื่อยจนแทบไม่ได้ติดต่อกับญาติคนอื่นๆ เลย
"แล้วพี่ก็ไม่ได้อยู่โอซาก้าด้วย พี่อยู่ที่ฮาโกเน่ตั้งแต่เกิด เมาตัวหนังสือหรือเปล่าเราเนี่ย"
"จริงด้วยสินะ แหะๆ ลืมไป"
คนตัวเล็กยกมือเกาศีรษะแกรกๆ พอยูริพูดมาถึงตรงนี้ก็พอจะจำได้บ้างว่าคุณแม่เคยพูดถึงตอนที่ย้ายมาที่นี่ ใหม่ๆ แต่เพราะมิราอิมัวแต่ง่วงเลยไม่ทันได้ฟัง เด็กชายยิ้มทำตาละห้อยแบบขอโทษขอโพย ยูริเลยจัดการลงมะเหงกให้เป็นการลงโทษ
แม้จะห่างกันแค่ปีเดียวแต่ยูริที่เป็นลูกคนเดียวก็เอ็นดูมิราอิเสมือนเป็นน้องน้อยวัยอนุบาลก็ไม่ปาน
"แล้วยูริรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่"
"ก็โทรไปถามที่บ้านเราน่ะสิ รีบเดินเถอะวันนี้พี่จะพาไปเลี้ยง"
"เย้!"
คนตัวเล็กกระโดดดีใจใหญ่ก่อนจะออกแรงลากพี่ชาย เพียงไม่นานทั้งคู่ก็เดินออกมาจากห้องสมุดโดยยูมะถอยรถสกูตเตอร์ไฟฟ้าออก มารับแถมยังใส่หมวกกันน็อคสีหวานให้อย่างใจดี
"ยูริจะพาไปที่ไหนอ่ะ บอกหน่อยดิ"
"บอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ จริงไหม"
"จริงที่สุด"
มิราอิพยักหน้าแข็งขันแต่ยูริกลับหัวเราะเสียงดังให้กับคำพูดตอบรับของน้องสาวที่มักจะตอบอะไรประหลาดๆ ให้นึกขันอยู่เสมอ ทั้งคู่ขับรถออกไปและในทันใด ร่างสูงซึ่งแอบอยู่ข้างอาคารก็จูงจักรยานออกมาและมองตามทั้งคู่ไปจนสุดสายตา
นางยามาดะยกมือทาบอกร้องเสียงดังเมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสุดสวาทขาดใจ พาเพื่อนสมัยเด็กเข้ามาในบ้าน ซึ่งเธอจำได้ไม่เคยลืมเลยว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่รักกันมากแค่ไหน ยูมิกะจังตัวน้อยที่ไม่ค่อยสบายบ่อยๆ มักจะชอบติดสอยห้อยตามไอ้เด็กตัวสูงลูกของเธอมาที่บ้านจนเห็นเป็นเรื่องชิน ตา
ดูเอาเถอะ ผ่านมาแค่ไม่กี่ปีก็โตเป็นสาวแล้ว ทั้งที่คิดว่าลูกที่เธอเบ่งออกมาดูดีกว่าใครในโลกแล้วเชียว พอมาเจอยูมิกะเวอร์ชั่นขยายส่วนแบบนี้แล้วน่ารักน่าชังน่าหมั่นเขี้ยวเป็น ที่สุด
"ผิดจากที่พูดไหมล่ะ"
เรียวสุเกะก้มกระซิบบอกยูมิกะที่ยิ้มหวานให้กับหญิงสูงวัยซึ่งตรงเข้ามาลาก แขนร่างเล็กให้เดินตามเข้าไปยังห้องนั่งเล่นด้านในบ้าน คนตัวสูงส่ายหน้ายิ้มๆ คุณนายยามาดะมักจะชอบพูดเสมอว่าเขาตอนเด็กก็น่ารักอยู่หรอก โตมาแล้วทำไมถึงได้ผิดอิมเมจจากที่คิดเอาไว้เสียเยอะแยะ แล้วก็ยังบ่นกับตัวเองอีกว่าสงสัยจะให้นมมากไปหน่อย
ตกลงว่าคุณแม่ต้องการจะให้ผมเติบโตมาแบบไหนเหรอครับ!
"ต๊าย ดูสิคุณ ยูมิกะจังหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ตัวเล็ก ยิ้มก็หวาน แก้มก็น่าหยิกแบบที่แม่ชอบเลย" คุณนายเธอยังคงเพ้อไม่หยุด ไม่วายยังหันไปหาเสียงสนับสนุนจากคุณสามีที่นั่งดูทีวีถัดไปอีกด้วย เรียวสุเกะเห็นแล้วก็นึกดีใจที่ตัวเองไม่ได้มีสรรพคุณแบบที่คุณแม่ชอบ ไม่งั้นคงจะน่ากลัวว่าต้องถูกทำอะไรพิเรนทร์ๆ เป็นแน่
"คุณแม่ครับ ห้ามทำไรอะไรประหลาดๆ กับยูมิกะด้วย ยูมิกะน่ะของผมนะ" ร่างสูงพูดขัดวิมานของผู้เป็นแม่และเดินเข้าไปคล้องคอคนตัวเล็กที่นั่งยิ้ม ท่าเดียว และในทันทีคุณนายยามาดะก็ยกมือขึ้นปิดปาก ตาเป็นประกายวิ้งๆ คล้ายกับกำลังอิมเมจิ้นอะไรบางอย่างที่คงไม่ใช่แบบคนปกติเขาคิดกัน
"เราก็รู้ว่าแม่เป็นยังไง ยังจะไปพูดแหย่อีกนะลูกคนนี้"
ฝ่ายคุณสามีส่ายหน้าระอาพลางนึกไปถึงตอนขนของย้ายบ้านจากโตเกียวมาที่ฮาโกเน่ รถบรรทุกที่ว่าใหญ่แล้วยังขนหนังสือทั้งแบบออริจินอลทั้งโดจินชิของคุณ เธอได้ไม่หมดเลย
"ยูมิกะจังอย่าไปสนใจเลยลูก คุณแม่เป็นยังไงบ้าง เห็นว่ากิจการกำลังไปได้สวยด้วยนี่"
"ก็ดีค่ะ วันนี้คุณแม่ก็ฝากขนมเค้กทำเองมาให้คุณน้าทั้งสองลองชิมด้วย" ยูมิกะหยิบกล่องขนาดใหญ่ขึ้นมามอบให้นางยามาดะที่รับมาด้วยอาการ ตื่นเต้น
"ขอบใจมากนะจ้ะ ไม่น่าลำบากเลย เอ้อ แล้วนี่ทานอะไรมากันหรือยัง"
"กินมาตั้งแต่บ้านยูมิกะแล้วล่ะครับ" เรียวสุเกะตอบแทนให้ในขณะที่ผู้เป็นแม่ได้แต่ทำหน้าเศร้าใจ ถึงแม้จะรู้ว่าที่ลูกชายตัวเองออกไปรับเพื่อนเสียค่ำก็เพราะว่ารอไปทานข้าว พร้อมกันที่บ้านของยูมิกะจัง ซึ่งถ้าหากมากินข้าวที่บ้านหลังนี้ก็ต้องปล่อยให้นางคาวาชิม่า ต้องกินข้าวคน เดียวคงไม่เหมาะ
"เสียดายไม่ได้ทานข้าวด้วยกัน เอาไว้วันหลังนะจ้ะยูมิกะจัง"
ร่างเล็กตอบรับคำของนางยามาดะไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกดีไม่น้อยที่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือเมื่อก่อน ครอบครัวของเรียวสุเกะก็ยังให้การต้อนรับอย่างดีเสมอมาจนยูมิกะเริ่มจะมีความกล้าและความตั้งใจในสิ่งที่กำลังใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี
พูดคุยกันจนเวลาล่วงเลยมาเกือบสี่ทุ่ม ยูมิกะจึงได้เดินตามเรียวสุเกะขึ้นบันไดไปยังห้องนอนที่นางยามาดะจัดไว้ให้ซึ่งมีขนาดใหญ่มากและที่สำคัญยังเป็นห้องเก็บเสียงที่ดูคร่าวๆ คล้ายกับสตูดิโอขนาดย่อมซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของที่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับดนตรี ทั้งกลอง ทั้งกีต้าร์แล้วไหนจะกล้องถ่ายรูปซึ่งมีถึงแปดตัววางเรียงกันบนชั้นราวกับ พิพิธภัณฑ์ก็ไม่ปาน
"เป็นห้องที่ฉันใช้เก็บของสะสมน่ะ"
"ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเรียวสุเกะคุงชอบสะสมของตั้งหลายอย่าง" คนตัวสูงยิ้มในขณะที่เดินไปเปิดเพลงซอฟท์ซาวน์สำเนียงสากลซึ่งเป็นจังหวะที่ ฟังง่ายและช่วยในการสร้างบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี
"ฉันชอบทำหลายอย่างน่ะ ดูน่าสนใจไปหมดก็เลยลองทำดูเรื่อยๆ ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้แหละ"
เพราะเป็นคนง่ายๆ ชอบอะไรง่ายๆ ไม่มีสิ่งที่เกลียดและไม่มีสิ่งไหนที่รักได้หมดใจ เรียวสุเกะรู้ในข้อนี้ของตัวเองดี เพราะเหตุนี้จึงทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนขี้เบื่อไปด้วย พอลองทำจนรู้ลึกหมดแล้วก็เบื่อและหันไปทำอย่างอื่น อาจจะเป็นนิสัยแย่ๆ ที่ไม่มีทางแก้เลยก็เป็นได้
"ดีจังเลยนะ เราไม่ค่อยได้สนใจอะไรเท่าไหร่นักหรอก" เพราะยูมิกะต้องทำงานช่วยแม่ ดูแลแม่ที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียว ทำให้ความสนใจต่อสิ่งรอบตัวลดลงไปเพราะมุ่งความสนใจไปที่ผู้เป็นแม่เพียง อย่างเดียว ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยได้ชอบอะไรนัก แต่ถ้าหากเกิดความรู้สึกว่ารักเธอคงทุ่มเทให้กับมันจนถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอกลายเป็นคนชอบยึดติดและคิดมาก
คิดมาก...เหมือนอย่างในตอนนี้ที่เขากำลังเป็นกังวล
หลังจากมาส่งเธอที่ห้องเรียวสุเกะก็ขอตัวออกไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเองที่อยู่ตรงข้ามแล้วกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง
ดวงตาสวยเลื่อนมองไปตามใบหน้าคมที่กำลังนั่งพิงกับขอบเตียง ในมือมีอุปกรณ์กล้องที่ยูมิกะไม่รู้จัก ริมฝีปากสีแดงสดเม้มคลายด้วยความประหม่าในขณะที่ก้าวเข้าไปนั่งลงเคียงข้าง ดวงตาคมยังคงก้มต่ำมองสิ่งของในมือราวกับกำลังให้ความสนใจนักหนา จนยูมิกะไม่กล้าที่จะเอ่ยเรียกชื่อออกไป
"ยูมิกะ..." เรียวสุเกะเรียกชื่อคนที่นั่งอยู่บนเตียงในขณะที่ไม่ได้ละสายตาไปจากอุปกรณ์กล้องในมือเลยแม้ แต่น้อย ผิดกับยูมิกะที่เพียงถูกเรียกก็จ้องคนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เกร็งเครียด ทันที
"...มีอะไรอยากจะพูดกับฉันหรือเปล่า"
คำถามที่เป็นเหมือนโอกาสล่องลอยมาอยู่ตรงหน้า ยูมิกะก้มหน้าต่ำ มือทั้งสองข้างกำแน่นบนหน้าตักด้วยความคิดที่แสนสับสน สิ่งที่เกิดขึ้นมันเร็วเกินไปหรือเปล่านะสำหรับเรียวสุเกะ แต่สำหรับเธอแล้ว ยูมิกะรู้ตัวดีว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร และเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมานานแค่ไหน เพราะต้องจากกันอย่างกะทันหันโดยที่ยังไม่ทันได้พูดออกไป ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกค้างคาที่ตกตะกอนอยู่ใต้ก้นบึงของจิตใจ การที่ได้กลับมาพบกันใหม่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์ ความรู้สึกที่ตกค้างจึงแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเธอไม่พูดออกไป เธอกลัวเหลือเกินว่าอาจจะมีบางอย่างมาพรากเขาทั้งสองให้ห่างกันออกไปไกลอีก
มือน้อยกำพรวนกระดิ่งในมือแน่น ดวงตาสวยปิดลงพร้อมกับแก้มขาวเริ่มแดงปลั่ง
"ถ้า...ถ้าหากเราจะบอกว่า เราชอบเรียวสุเกะคุง จะว่ายังไง"
คำถามที่ฟังก็รู้ได้ทันทีว่าคนพูดกำลังสั่นสะท้านแค่ไหน มือขาวที่กำลังหมุนเลนส์หยุดชะงัก ดวงตาคมนิ่งไปนานก่อนจะหันกลับมาหาคนที่อยู่บนเตียงที่กำลังหลับตาปี๋คอยฟังคำตอบ ด้วยหัวใจที่เต้นระทึกหนัก เสียงเพลงสากลยังคงคลอเบาๆ ท่ามกลางเสียงลมหายใจที่ได้ยินเพียงแผ่ว
เรียวสุเกะเลื่อนสายตาลงมองมือขาวที่กำพรวนกระดิ่งแน่นก่อนจะมองตรงไปที่ใบหน้า ของเพื่อนในวัยเด็กที่ตอนนี้กำลังลืมตาขึ้นมองด้วยสายตาที่พร้อมจะยอมรับกับ ความเป็นจริง
คนตัวสูงยิ้ม
"ก็เอาสิ ถ้างั้นเรามาเป็นแฟนกันนะ"
คำตอบที่ได้รับ สายตาที่คนตรงหน้าสื่อตอบกลับมาทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นถี่จนแทบหายใจไม่ออก ยูมิกะยิ้มกว้างได้มากเท่ากับความรู้สึกยินดีที่ถาโถมเข้ามา และเมื่อร่างสูงรั้งเอวให้เข้าไปชิดใกล้พร้อมกับสวมกอดเอาไว้แนบกาย ความอบอุ่นมากมายล้นปรี่จนบอกไม่ถูกเลยว่ากำลังมีความสุขมากมายแค่ไหน
คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจพูดออกไป
ดีใจที่เรียวสุเกะเองก็คิดไม่ต่างกัน
.
.
.
ติ้ด ติ้ด...
"ครับ"
เสียงมือถือดังขึ้นรอบที่สามทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจรับสายทั้งที่ตั้งใจจะทำ เป็นไม่สนใจ เรียวสุเกะขยี้ตาพลางมองไปรอบเตียงพบโพสอิทที่แปะบนหมอนว่า ขอตัวกลับก่อนทำให้คนตัวสูงยิ้มบางเบาพร้อมกับมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาสิบ โมงกว่าแล้ว
"เฮ้ย เรียวสุเกะ แกมีเบอร์ชิดะหรือเปล่า" คำถามของรุ่นพี่ปีสาม อิโนโอะ เคย์ทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
"ไม่มีอ่ะเคย์จัง ทำไมเหรอ"
"ก็ว่าจะบอกให้มิราอิเอาสมุดบัญชีไปส่งสภานักเรียนให้น่ะ พี่ลืมบอกไปว่าพรุ่งนี้หมดเขตส่งแล้ว" ฝ่ายนั้นบ่นงึมงำมาอีกสองสามประโยคและกำลังจะบอกวางสายแต่คนตัวสูงกลับพูด แทรกขึ้นก่อน
"เดี๋ยวผมจะบอกให้ตั้งแต่เช้าเลย เคย์จังมีเรื่องเท่านี้ใช่ไหมครับ"
"ฝากด้วยละกัน อย่าลืมนะ ส่งก่อนบ่ายสาม"
"ครับ"
อีกคนบอกขอบใจแล้ววางสายไป ในขณะที่ร่างสูงกลับกดยิ้มลึกอย่างนึกสนุกแล้วเปลี่ยนใจไปบอกเจ้าตัวที่บ้าน เลยดีกว่า ไม่นานหลังจากนั้นเรียวสุเกะก็ปั่นจักรยานมาหยุดตรงหน้าบ้านของมิราอิที่ปิดเงียบ เด็กหนุ่มถอดหมวกแก็ปออกมาถือพร้อมกับเดินไปกดกริ่ง สักพักก็มีหญิงสาวหน้าตาไม่ผิดเพี้ยนไปจากมิราอิเดินออกมาเปิดประตูให้
"มาหาใครคะ" พี่สาวของมิราอิเอ่ยถาม
"ผมมาหาชิดะน่ะครับ"
"อ่อ มิราอิน่ะเหรอ ออกไปห้องสมุดตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมาเลยจ้ะ" หญิงสาวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ในขณะที่เรียวสุเกะเองก็ยิ้มตอบบางๆ พร้อมกับถามกลับทันที
"ผมขอเบอร์โทรศัพท์เขาไว้ได้ไหมครับ"
"ได้สิจ้ะ"
ระหว่างที่เธอกดเมมเบอร์ของน้องสาวในมือถือให้ เรียวสุเกะก็ถามขึ้นอีกครั้ง
"เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าห้องสมุดอยู่ไหนครับ"
.
.
.
ห้องสมุดประจำเมืองในเวลาเกือบบ่ายโมงแบบนี้ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการเท่า ไหร่ทำให้สถานที่ดูโล่งไปถนัดตา มิราอิปิดหนังสือที่เพิ่งอ่านจบลงหลังจากที่อ่านมันมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วเด็กสาวจึเดินเอาหนังสือไปเก็บ
จริงๆ มิราอิตั้งใจจะมาอ่านหนังสือที่นี่ตั้งแต่เช้า แต่เพราะแวะไปหาฮารุกะและก็ถูกฝ่ายนั้นชวนคุยกว่าจะออกมาถึงห้องสมุด ได้ก็ปาไปเกือบเที่ยง แต่เพราะไม่อยากเสียเที่ยวมิราอิจึงตัดสินใจนั่งอ่านอยู่ที่นี่ไปเลยเพราะเธอยังทำบัญชีไม่เสร็จ คงต้องรีบกลับไปสะสางก่อนจะถึงพรุ่งนี้เช้า
"นึกแล้วว่าจะต้องเจออยุ่ที่นี่ สมกับเป็นมิราอิจริงๆ"
มิราอิหันขวับไปมองคนพูดที่กำลังนั่งบนโซฟา เด็กสาวขมวดคิ้วทำหน้าแปลกใจเพราะมิราอิจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอใน ห้องชมรมดนตรีเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา แล้วทำไมถึงได้มาที่นี่ทั้งที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะมาอ่านหนังสือหรือทำรายงาน เลยด้วยซ้ำ
"ไม่ยักกะรู้ว่าคณะกรรมการนักเรียนมาตรวจสอบความประพฤติถึงที่นี่ด้วย" พูดเหน็บกลับไปในขณะที่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเสียงดังลั่น
"นี่เราจำพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอมิราอิ" เท้าที่กำลังก้าวชะงักแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนและเดินตรงมาหาเธอด้วยรอยยิ้ม มิราอิขมวดคิ้วพลางพิจารณาใบหน้าของคนตรงหน้าก่อนที่ร่างเล็กจะร้องเสียงดัง ลั่น
"ยูริ!!"
มิราอิวิ่งไปกระโดดกอดอีกคนเต็มแรงจนคนตัวสูงเซแทบล้มหงายหลัง ร่างเล็กผละออกมามองหน้ายูริให้ชัดๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับตีหมับเข้าไปบนท่อนแขนของอีกคนจนยูริต้องร้องเสียง หลง
"ยูริทำไมไม่บอกกันบ้าง อยู่ที่โอซาก้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาเรียนที่นี่ได้" ยูริฟังคำถามจากน้องสาวตัวน้อยแล้วก็ถึงกับต้องอมยิ้ม ยังเป็นเด็กพลังเหลือเฟือไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
"ใครบอกพี่ไม่บอก บอกไปแล้ววันก่อน เห็นหน้าคุ้นๆ เลยเดินไปหา แถมแนะนำชื่อแล้วก็ยังทำหน้าเมินใส่เราอีก คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องจำพี่ไม่ได้"
"ก็มันจำไม่ได้จริงๆ นี่" คนตัวเล็กโอดเสียงเบา ก็ตอนนั้นไม่ทันได้ฟังว่ายยูริบอกว่าชื่ออะไรนี่นาเพราะมัวแต่นึกเขม่นไอ้ มนุษย์เสาไฟฟ้าอยู่ และที่สำคัญญาติคนสำคัญอย่างยูริก็ไม่ได้เจอกันตั้งนานทั้งที่เป็นลูกของคุณ ลุงแท้ๆ ต้องโทษคุณพ่อเลยที่ย้ายที่ทำงานไปเรื่อยจนแทบไม่ได้ติดต่อกับญาติคนอื่นๆ เลย
"แล้วพี่ก็ไม่ได้อยู่โอซาก้าด้วย พี่อยู่ที่ฮาโกเน่ตั้งแต่เกิด เมาตัวหนังสือหรือเปล่าเราเนี่ย"
"จริงด้วยสินะ แหะๆ ลืมไป"
คนตัวเล็กยกมือเกาศีรษะแกรกๆ พอยูริพูดมาถึงตรงนี้ก็พอจะจำได้บ้างว่าคุณแม่เคยพูดถึงตอนที่ย้ายมาที่นี่ ใหม่ๆ แต่เพราะมิราอิมัวแต่ง่วงเลยไม่ทันได้ฟัง เด็กชายยิ้มทำตาละห้อยแบบขอโทษขอโพย ยูริเลยจัดการลงมะเหงกให้เป็นการลงโทษ
แม้จะห่างกันแค่ปีเดียวแต่ยูริที่เป็นลูกคนเดียวก็เอ็นดูมิราอิเสมือนเป็นน้องน้อยวัยอนุบาลก็ไม่ปาน
"แล้วยูริรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่"
"ก็โทรไปถามที่บ้านเราน่ะสิ รีบเดินเถอะวันนี้พี่จะพาไปเลี้ยง"
"เย้!"
คนตัวเล็กกระโดดดีใจใหญ่ก่อนจะออกแรงลากพี่ชาย เพียงไม่นานทั้งคู่ก็เดินออกมาจากห้องสมุดโดยยูมะถอยรถสกูตเตอร์ไฟฟ้าออก มารับแถมยังใส่หมวกกันน็อคสีหวานให้อย่างใจดี
"ยูริจะพาไปที่ไหนอ่ะ บอกหน่อยดิ"
"บอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ จริงไหม"
"จริงที่สุด"
มิราอิพยักหน้าแข็งขันแต่ยูริกลับหัวเราะเสียงดังให้กับคำพูดตอบรับของน้องสาวที่มักจะตอบอะไรประหลาดๆ ให้นึกขันอยู่เสมอ ทั้งคู่ขับรถออกไปและในทันใด ร่างสูงซึ่งแอบอยู่ข้างอาคารก็จูงจักรยานออกมาและมองตามทั้งคู่ไปจนสุดสายตา
TBC.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น