ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yamashi] cherry blossom... ~ยามเมื่อซากุระผลิบาน~

    ลำดับตอนที่ #6 : Sakura begins :05

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 56


          ห้องชมรมดนตรีของโรงเรียนอยู่บนชั้นสองฝั่งมุมสุดติดบันไดของอาคารกิจกรรม ที่ถูกแยกห่างออกมาจากอาคารเรียนรวมออกมาไม่ไกลมากนัก เสียงนักกีฬาชมรมกลางแจ้งยังคงดังมาให้ได้ยินเป็นระยะแม้ว่าเวลานี้จะเกือบ หกโมงเย็นเข้าไปแล้วก็ตาม

          มิราอิเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงผ่านทางหน้าต่างซึ่งเปิดอ้ารับลมหนาว เด็กชายขยับผ้าพันคอแล้วก้มหน้าก้มตาขีดเขียนกับงานที่ถูกยัดเยียดให้ทำจาก คนตัวสูงซึ่งกำลังนั่งตีกลองอยู่ในมุมของตัวเอง ถึงแม้มิราอิจะไม่อยากมองไม่อยากสนใจแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเรียวสุเกะเล่นได้ค่อน ข้างเก่ง เธอเองก็ฟังไม่ค่อยเป็นดูไม่ค่อยออกว่าตีกลองแบบไหนถึงจะเข้าขั้นมือโปร แต่จากที่จำใจต้องฟังเพราะอยู่ในห้องเดียวกันก็พอจะรู้ว่าอีกคนฝีมือไม่ ธรรมดา

         ท่าทางลงไม้เต็มแรงจนเหงื่อซกเต็มตัวอย่างกับไปออกวิ่งมาราธอน ไม่รู้ว่าปกติก็เป็นอย่างนี้หรือต้องการตีกระแทกให้เสียงดังรบกวนสมาธิของเธอก็ไม่รู้

         มิราอิถอนหายใจเมื่อเห็นว่างานที่ทำยังไม่ถึงครึ่งเลย ปวดมือก็ปวด เมื่อยก็เมื่อย คิดได้ดังนั้น ร่างน้อยก็ยกมือขึ้นบิดตัวยืดเส้นยืดสายพลันสายตาก็เผลอไปสบเข้ากับร่างสูง ที่กำลังมองตรงมาเช่นกัน

          ลำแขนบางลดลงพร้อมกับนั่งตัวตรง ก้มหน้าทำงานไม่พูดไม่จาอย่างที่ผ่านมา

         "ใกล้เสร็จหรือยัง"

         เรียวสุเกะถามพลางเดินเข้ามาดูความคืบหน้า ยมิราอิเลือกที่จะทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เธอกำลังจินตนาการว่ากำลังอยู่ในห้องคนเดียวด้วยซ้ำ แต่แล้วร่างน้อยก็เกร็งขึ้นมากะทันหันเมื่อคนที่คิดว่าอยู่ห่างออกไปไกลกลับ โน้มตัวเข้ามาใกล้ในระยะที่ได้กลิ่นเหงื่อชัดเจน

       "ถามไม่ยอมตอบ  ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นใบ้ด้วย"

        เรียวสุเกะชะโงกหน้าดูข้อมูลในสมุดบันทึกแล้วหันไปมองใบหน้าเล็กที่ผินหนีไปอีกทางทันทีจึงทำให้มองเห็นแค่เพียงปรางแก้มใสในระยะประชั้นชิด คนตัวสูงยิ้มก่อนจะแกล้งเอาหน้าเข้าไปใกล้ในขณะที่มิราอิรีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีราวกับโดนของร้อน

        "ไม่รู้สักเรื่องนายจะตายหรือไง" คนตัวเล็กว่ากระแทกเข้าให้แล้วรีบคว้าสมุดไปยังโต๊ะอีกฟากที่ห่างจากร่างสูง ไปไกลเป็นวาโดยมีสายตาของคนตัวสูงที่มองตามไปด้วยความขบขัน เรียวสุเกะนั่งลงบนโซฟาแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่มทีเดียวจนหมดขวด

         Ringtone-- มิราอิหยิบมือถือขึ้นมารับเสียงอ่อย

        "ค่ะ  ค่ะ หนุทำงานชมรมอยู่คงอีกนาน คุณแม่ทานข้าวไปก่อนได้เลย ค่ะ แล้วหนุจะรีบกลับ" เมื่อเก็บมือถือเข้าในกระเป๋า ร่างเล็กก็นั่งทำงานต่อไปอย่างเงียบๆ มิราอิพยายามเร่งมือถึงแม้จะรู้ว่าคงไม่เสร็จในเร็วๆ นี้เป็นแน่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำต่อข้อมือบางก็ถูกคว้าให้ยืนขึ้นจากเก้าอี้ทั้งตัว โดยฝีมือของคนจอมบงการที่ชอบใช้กำลังเข้าข่มเฉกเช่นไอ้มนุษย์เสาไฟฟ้าที่มา ยืนทำหน้าเฉยอยู่ข้างๆ เธอ

          "อะไรอีกล่ะ!" คนตัวเล็กถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยถูกกดขี่ข่มเหงเท่านี้มาก่อนในชีวิตเลยให้ตายสิ

          "กลับบ้าน" มิราอิขมวดคิ้วกับคำพูดของคนตรงหน้า

          "ก็ไหนบอกว่า..."

          "ฉันเปลี่ยนใจแล้ว กลับบ้าน"

           เอาแต่ใจตัวเอง บ้าอำนาจ! มิราอิย่นจมูกตามแผ่นหลังของคนที่เดินไปหยิบกระเป๋า ในจังหวะที่ยมิราอิกำลังจะเก็บของก็มีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องชมรมคล้ายกับจะสำรวจ ทั้งเรียสุเกะและมิราอิหันไปมองผู้มาใหม่ซึ่งมีรูปร่างสูง หน้าตาถือว่าดีจัดและที่สำคัญดูนิ่งและสงบ บุคลิกมาดขรึมอย่างกับหลุดออกมาจากโลกการ์ตูนเพ้อฝันที่สาวๆ ชอบอ่านกันเป๊ะ

           "ยังไม่กลับบ้านกันอีกเหรอ" เด็กหนุ่มคนนั้นถามเสียงเรียบไม่ต่างไปจากการแต่งกายที่ดูเนี้ยบตั้งแต่หัว จรดเท้า เรียวสุเกะเดินแบกเป้เข้ามายืนเผชิญหน้าก่อนตอบ

          "แล้วนายเป็นใคร?" คนตัวสูงถามกลับไปทั้งที่เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าอีกคนอยู่ปีสองจากเข็มกลัด ที่ติดไว้บนหน้าอก เมื่อทั้งคู่มายืนเทียบกันใกล้ๆ แบบนี้แล้วมิราอิก็ตระหนักได้ว่าในโรงเรียนนี้คงไม่มีใครสูงเป็นเปรตเท่าหมอ นี่อีกแล้ว

           "ฉันจิเน็น ยูริ เป็นกรรมการนักเรียน พอดีเห็นไฟในห้องเปิดอยู่เลยแวะมาดู" ตอบคำถามด้วยอาการใจเย็น เรียวสุเกะเลิกคิ้วแล้วเดินผ่านออกไปที่ประตูในขณะที่ตอบ

           "เรากำลังจะกลับ ถ้าจะมาสำรวจความประพฤติขอบอกว่านี่ไม่ใช่ชั่วโมงเรียน"

            ยูริมองตามคนตัวสูงไปจนสุดสายตาก่อนจะหันมาที่มิราอิที่ยักไหล่ให้ทันที

            "หมอนั่นนิสัยไม่ค่อยดีน่ะ"

             ร่างเล็กบอกแล้วเดินออกไปจากห้องชมรมบ้าง ความจริงก็นึกเป็นห่วงคนเมื่อกี้นิดหน่อยที่อยู่ดีไม่ว่าดีดันมาเจอความหยาบ ของหมอนั่นเข้าให้ ทั้งที่ตอนอยู่กับเพื่อนในห้องก็พูดจาดีแบบคนปกติแท้ๆ แต่ทำไมเวลาที่อยู่กับเขาถึงได้ชอบก่อกวนบังคับนักก็ไม่รู้ แต่มิราอิก็ไม่แคร์อยู่แล้วเพราะเธอเองก็เกลียดหมอนั่นเหมือนกัน

             แต่จะว่าไป คณะกรรมการนักเรียนคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน      
               
             คิดพลางเดินลงมาจากบันได แต่พอเธอลงมาถึงชั้นล่างก็ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวันเมื่อพบว่าคนตัว สูงซึ่งอยู่ในชุดเชิ้ตสีขาวเปียกเหงื่อโดยที่เอาชายเสื้อออกนอกกางเกงกำลัง ยืนพิงกำแพงมองตรงมาที่เธอตาไม่กระพริบ มิราอิทำเป็นไม่สนใจอีกเช่นเคย แต่พอร่างสูงเดินจูงจักรยานตามมามิราิอิก็หันกลับไปคุยด้วยใบหน้าที่จริง จัง

            "มีอะไรพูดกันตรงๆ เลยดีกว่า ฉันเบื่อที่ต้องมาทำตามใจชอบของนายแล้ว จะเอายังไงว่ามา!"

              เรียวสุเกะเลิกคิ้วทำหน้าขันเมื่อได้ยินน้ำเสียงหาเรื่องที่ใส่มาไม่ยั้ง

              "ก็ไม่ยังไง แค่จะไปส่ง"

               มิราอิขมวดคิ้วแทนคำตอบ เธอไม่รู้อีกฝ่ายจะมาไม้ไหน แต่แทนที่เธอจะยืนกรานปฏิเสธแบบทุกครั้งกลับทำหน้าครุ่นคิดแล้วยอม เดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย

              "ไปก็ได้"

              และก็เป็นตามคาดที่คนตัวสูงจะมองด้วยความแปลกใจ

               "มาแปลก แต่ก็เอาเถอะ อ่ะ ถือกระเป๋าให้ด้วย" เรียวสุเกะโยนเป้ของตัวเองให้ร่างเล็กเอาไปถือ มิราอิรับมาแล้วขึ้นไปนั่งซ้อนบนเบาะหลัง จากนั้นคนทั้งคู่ก็ขี่จักรยานไปตามถนนเลียบสนามฟุตบอลซึ่งมีนักเรียนทำ กิจกรรมอยู่เพียงไม่กี่คน

               มิราอิเหลือบมองคนข้างหน้าที่กำลังมองตรงไปตามเส้นทางยาวเหยียด มือน้อยค่อยๆ เปิดซิปกระเป๋าหามือถือที่มิราอิแอบสังเกตเห็นเรียวสุเกะเอาใส่ไว้ในนี้ตอนที่ อยู่ในห้องชมรม ในขณะที่ร่างเล็กกำลังหาของวุ่นวาย เรียวสุเกะที่ตั้งใจปั่นจักรยานกลับลอบอมยิ้มเพราะเขารู้ทันตั้งแต่ที่มิราอิไม่ ปฏิเสธคำชวนแล้ว

               คนอะไรหลอกก็ง่าย ยั่วโมโหก็ง่าย

              "ถ้าจะหามือถือในนั้นไม่มีหรอก ไม่ต้องคุ้ยให้เสียเวลา"

               มิราอิชะงักมือทันที คนตัวเล็กเงยหน้ามองร่างสูงซึ่งเห็นแค่ใบหน้าเพียงเสี้ยวก็รู้ดีว่าหมอนี่กำลังหัวเราะเยาะเธออยู่อย่างแน่นอน

               "ฉันจะลง จอดเดี๋ยวนี้!"

                ตอบรับคำขอที่แสนห้วนด้วยการเบรคกึกอย่างกะทันหันจนคนตัวเล็กเซถลุนไปข้าง หน้าพาให้ลำตัวและศีรษะแนบไปกับแผ่นหลังหนา ใกล้ชิดจนกระทั่งได้กลิ่นโคโลญจ์เย็นๆ เจือจางไปตามกระแสลมทั้งที่เห็นชัดอยู่แล้วว่าร่างสูงออกแรงตีกลองจนเหงื่อ ท่วมตัวไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

                 "ทำบ้าอะไรเนี่ย!" มิราอิแหวเข้าให้แต่เรียวสุเกะกลับหัวเราะชอบใจก่อนจะปั่นลงเนินเพื่อเลี้ยวไปตาม เส้นทางที่มุ่งไปสู่ย่านชุมชนของเมืองใหญ่ผ่านอุโมงค์ต้นซากุระที่มีเพียง แสงรำไรจากโคมไฟประดับถนนที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายเมตร

                 "บ้านอยู่ที่ไหน" เรียวสุเกะเอี้ยวตัวมาถามในระหว่างที่ปั่นจักรยานผ่านสะพานข้ามคลองขนาดเล็กซึ่งเป็นหางของทะเลสาบอาชิ

                 "ซอยบาระ 21"

                   เหนื่อยใจจะต่อปากต่อคำด้วย มิราอิจึงบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เพราะถึงแม้มิราอิจะไม่อยากให้หมอนี่รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน ต่อให้ทำเป็นเมิน ยังไงไอ้คนบ้าอำนาจก็ต้องหาทางหลอกล่อเอาจนได้ วันนี้มิราอิเหนื่อยเกินที่จะรับมือแล้ว เธออยากจะกลับไปให้ถึงบ้านเร็วๆ และที่สำคัญมิราอิอยากจะอยู่ห่างจากหมอนี่เต็มทน

                   แต่ดูเหมือนความปรารถนาของเธอจะไม่เป็นผลเอาเสียเลยเมื่อเรียวสุเกะเลี้ยวรถเข้า ร้านราเม็งระหว่างทางแทนที่จะเป็นบ้านของเธอ ถ้าไม่คิดจะไปส่งก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะถามทำไมก็ไม่รู้

                   "ถ้านายหิวมากฉันก็ขอตัวกลับบ้านแล้วกัน" หลังจากที่ลงจากเบาะรถได้มิราอิก็พูดบอกพลางเตรียมตัวเดินกลับ แต่มือหนากลับฉุดแขนเอาไว้พร้อมกับลากเข้าไปในร้านที่มีคนนั่งทานกันเต็ม

                   "มิโสะจัดเต็มสองชามครับลุง"

                   สั่งเสร็จก็หันมายิ้มในขณะที่มิราอินึกอยากจะกระแทกเสียงถอนหายใจใส่หน้าหมอ นี่ให้รู้สำนึกเสียบ้างว่าได้พรากเวลาพักผ่อนของคนอื่นด้วยความเอาแต่ใจของตัวเอง นึกอยากจะลากไปไหนก็ได้ เธอไม่ใช่ตุ๊กตานะจะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

                    คนตัวเล็กแอบบ่นในใจแต่สายตาเขม่นจ้องคนตัวสูงแบบไม่ปิดบัง ไม่รู้ว่าประสาทการรับรู้ของเรียวสุเกะตายด้านหรือว่าหมอนี่เพี้ยนกันแน่ถึงได้ทำ เป็นไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทีของเขาที่แสดงออกชัดว่าไม่อยากอยู่ด้วยจนจะทนไม่ ไหวแล้วเนี่ย

                   "นี่ถามจริง นายต้องการอะไรกันแน่ มายุ่งกับฉันทำไมนักหนา ตอนนี้ฮารุกะก็เข้าชมรมแล้ว เราก็ไม่มีอะไรจะต้องติดค้างกัน นายก็ควรจะลบรูปนั้นซะ แล้วเราก็เลิกแล้วต่อกัน ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายแบบเดิมให้ประสาทเสีย โอเคไหม" มิราอิยื่นข้อเสนอให้กับทางออกของปัญหาที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่เรียวสุเกะกลับเลิกคิ้วกดยิ้มน้อยๆ ดูกวนโมโหชอบกล

                   "ตอนนี้คงเกลียดฉันมากล่ะสิ เอาไว้หายเกลียดเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่"

          มิราอิถอนหายใจดังพรืด

         "ไม่เกลียดแล้วก็ได้ ฉันจะเฉยๆ กับนาย โอเค๊?"

          "ดูก็รู้ว่าโกหก อ่ะ ราเมงมาแล้ว กินสิ เลยเวลาอาหารเย็นมาแล้วไม่ใช่เหรอ" เรียวสุเกะบอกในขณะที่ราเมงสองถ้วยใหญ่ขนาดพิเศษมาเสิร์ฟตรงหน้าดูน่าอร่อย มิราอิเหล่มองคนตัวสูงที่เริ่มโซ้ยเอาๆ อย่างคนหิวจัดแล้วรู้สึกเหนื่อยใจที่จะพูด ความจริงเธอเองก็หิวแล้ว ร่างเล็กจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารของตัวเองบ้าง

          ไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก็มาถึงหน้าบ้านของมิราอิที่เพียงคนตัวสูงจอดรถ ร่างเล็กก็แทบจะกระโดดลงทันที มิราอิรีบเดินไปเปิดประตูรั้วแล้วหันกลับมาหายูโตะที่ยังคงไม่ไปไหน

           "ฉันไม่ขอบคุณหรอกนะ"

           ร่างสูงยิ้ม

           "ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินอยู่แล้ว" มิราอิหน้าตึงก่อนจะวิ่งเข้ารั้วบ้านไปทิ้งไว้เพียงคนตัวสูงที่มองตามไปจนเห็น ว่าอีกคนเข้าไปในบ้านแล้ว จึงได้เลี้ยวรถกลับไปยังบ้านของตัวเองที่อยู่อีกมุมเมือง

            .
            .
            .

            เวลาเกือบเที่ยงของวันเสาร์ ร้านสะดวกซื้อยูมิกะยังคงหนาแน่นไปด้วยผู้คนไม่ขาดสาย แต่นางคาวาชิมะผู้เป็นเจ้าของร้านก็ยังคงทำงานด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ ยูมิกะที่เพิ่งเปลี่ยนเวรเฝ้าร้านกับแม่เดินถือน้ำหวานและขนมขึ้นไปบน ห้องของตัวเองเพื่อไปรับแขกเพื่อนซึ่งมาทำการบ้านด้วยกันในเวลานี้เป็นประจำ

            "มายุรอนานป่าว?"

             "หิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย นึกว่าปีนไปซื้อขนมบนยอดเขาฟูจิซะอีก" มายุที่นอนอ่านการ์ตูนบนเตียงของเพื่อนร้องโอดอย่างหิวกระหายทั้งที่ก็เพิ่ง จะกินมาจากบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมง

              "ขอโทษทีน้าที่ให้คอย" ยูมิกะบอกเสียงอ่อนพร้อมกับยิ้มหวานอย่างเอาใจ มายุเห็นแล้วก็นึกหมั่นเขี้ยว คนอะไรยิ้มทีนึกว่าโลกสว่างวิ้งๆ จนแสบตา

              "เวลายามาดะที่ห้องให้คอยแบบนี้ป่าวเนี่ย" คนที่มีหน้าตาน่ารักไม่แพ้กันถามขึ้น อันที่จริงแล้วมายุก็ไม่ได้รอนานอะไรแต่แค่อยากลองถามเพื่อนของตัวเองดูก็เท่านั้น เพราะรอจนป่านนี้แล้วเจ้าตัวก็ยังไม่เห็นจะบอกอะไรให้รู้บ้างเลย ทั้งที่เห็นได้ชัดเจนขนาดนั้น

               "เรียวสุเกะคุงไม่เคยขึ้นมาที่ห้องหรอก" ยูมิกะตอบเสียงเบา มายุเลิกคิ้วทำเป็นหันไปอ่านการ์ตูนต่อคล้ายกับไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

              "งั้นเหรอ แต่วันนี้เธอจะไปค้างที่บ้านหมอนั่นนี่"

               ทั้งที่พยายามไม่นึกถึงเรื่องที่กำลังจะมาถึงเพราะไม่อยากให้ตัวเองตื่นเต้น จนเกินไป แต่พอมายุพูดสะกิดก็รู้ได้เลยว่ายูมิกะเองก็ค่อนข้างจะเป็นกังวลนิดหน่อย อาจเป็นเพราะเวลาที่ไม่ได้เจอกันนานถึงสี่ปีทำให้ความสนิทใจมีไม่เท่าเดิม หรืออาจจะเป็นเพราะยูมิกะเองที่ความรู้สึกที่เคยมีได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

              "ก็...ก็ใช่"

              มายุเหลือบตามองแก้มขาวของเพื่อนที่เริ่มจะแดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัดถนัดตา มือน้อยคว้าขนมเข้าปากแล้วหยิบอีกชิ้นยื่นไปตรงหน้ายูมิกะซึ่งเงยหน้า มองด้วยความสงสัยแต่ก็รับมาถือไว้ในขณะที่อีกคนยิ้มกว้างให้เต็มแก้ม

             "พยายามเข้าล่ะ"

              ยูมิกะนิ่งไปนานก่อนจะยิ้มออกมา ดวงตาสวยรื้นน้ำตาในขณะที่พยักหน้า ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เพื่อนที่คบกันมานานทำไมถึงจะไม่รู้ และสิ่งที่เพื่อนสามารถช่วยได้ในเวลานี้คือให้กำลังใจหนุนหลังก็เพียงพอที่ อีกคนจะกล้าก้าวเดินต่อไปแล้ว

             "มายุ ขอบคุณนะ"

             คนที่ถูกขอบคุณหันมายิ้มตอบ

            "เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นการบ้านเลขแทนได้ป่ะ เนี่ยยังไม่แตะเลย เอามาลอกด่วนๆ" ยูมิกะส่ายหน้ายิ้มๆ ในตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายลงมาก ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงบ้าง สิ่งที่หวังจะสมปรารถนาได้หรือเปล่า แต่ยูมิกะก็อยากจะลองพยายามดูสักครั้ง ถึงแม้ว่าผลที่ออกมาอาจจะตรงข้ามเลยก็ตาม อย่างน้อยเธอก็ยังรู้ว่ายังมีเพื่อนอยู่ด้วยกันตรงนี้

             อย่างน้อยเธอก็รู้ดีว่าไม่ว่ายังไง เรียวสุเกะคุงก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเธอเสมอ


    TBC.

                                         +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×