ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yamashi] cherry blossom... ~ยามเมื่อซากุระผลิบาน~

    ลำดับตอนที่ #2 : Sakura begins :01

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 56


       "แม่คะ บะหมี่ยี่ห้อ xxx ใกล้จะหมดแล้วนะ  หนูเขียนลงในรายการสั่งซื้อสินค้าเลยนะ" หญิงสาวตัวเล็กแต่กลับดูน่ากอดได้ทั้งที่อยู่ในชุดผ้ากัน เปื้อนสีฟ้าสดซึ่งได้แถมมาจากซอสปรุงรสสักยี่ห้อที่เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ เดินไปหยิบใบรายการสินค้าใต้เก๊ะหยิบออกมาเขียนด้วยท่าทางคล่องแคล่วพลาง เหลือบสายตามองผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งจ้องทีวีดวงตาเป็นประกาย
         "จัดการเลยจ้ายูมิกะลูกแม่ อีกนิดเดียวคิมุทาคุสุดหล่อก็จะออกมาแล้ว อรั๊ยย!" คุณแม่ยังสาวและทันสมัยพูดไปกัดหมอนไปจนคนเป็นลูกสาวถึงกับต้องส่ายหน้าแม้ ว่าอาการเหล่านั้นจะพบเห็นได้บ่อยก็ตาม ยูมิกะฉีกหน้ารายการสั่งของบนชั้นพร้อมกับมองหาที่ทับกระดาษจนไม่ทันได้ สังเกตว่ากำลังมีคนเข้ามาในร้าน
         
           "หายไปไหนเนี่ย เมื่อกี้ยังวางอยู่บนนี้อยู่เลย" เด็กหนุ่มแอบบ่นกับตัวเองในขณะที่กำลังก้มหาในเก๊ะที่เพิ่งเปิดไป
         
           "หานี่อยู่หรือเปล่าคะ?"
         
            น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ยูมิกะยืดตัวตรงมองคนมาใหม่ด้วยท่าทางแปลกใจ ใบหน้าที่ยิ้มร่าพร้อมกับยกมือโชว์ที่ทับกระดาษคล้ายกับจะอวดทำให้เด็กสาวต้องมองตาคว่ำแต่รอยยิ้มที่วาดออกกว้างก็แสดงให้เห็นว่าการที่เขาโผล่ในเวลา สี่ทุ่มแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องไม่ดีอย่างที่คิด
           
            "เรียวสุเกะคุง มาบ้านเราได้ยังไง!"
         
             ยูมิกะถามออกไปพลางเดินอ้อมเคาน์เตอร์ออกมายืนประจัญหน้ากับคนที่เพิ่ง มาใหม่ ยิ่งออกมายืนเทียบกันแบบนี้แล้วก็ยิ่งเห็นได้ชัดถึงพัฒนาการทางร่างกายของเรียวสุเกะที่สูงจนต้องแหงนคอมองในขณะที่เธอกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงซะจนน่าน้อยใจ
           
            "ก็หาไม่ยากนี่นา บ้านของยูมิกะคนดังของฮาโกเน่ ถามใครๆ ก็รู้แล้ว"
            
            "มั่วล่ะสิไม่ว่า"
            "ถ้ามั่วแล้วจะมาถูกหรือ ฮึ?"

            "นายนี่จริงๆ เลย แล้วมาหาตอนนี้มีอะไรเหรอ" ยูมิกะเอ่ยถามแต่คนตัวสูงกลับทำหน้าง้ำคล้ายกับจะงอนซะอย่างนั้น พอร่างเล็กสะกิดถามอีกรอบก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่ทำหน้าเคร่งขรึมจนยูมิกะเองก็ชักจะหวั่นใจว่าตัวเองพูดอะไรไม่ เข้าหูอีกคนหรือเปล่า
            "เรียวสุเกะคุง.."

             "คนเรานะ คิดจะย้ายบ้านหนีก็หนีมาไม่บอกไม่กล่าว พอเจอกันจะได้พูดคุยก็เอาแต่เดินหนี พอมาหาถึงที่กลับถามมาได้ว่ามาทำไม ถ้าฉันบอกว่ามาหาเพราะอยากเจออยากคุยด้วย ยูมิกะยังจะให้ฉันอยู่ที่นี่อยู่หรือเปล่า" คนตัวสูงร่ายยาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยูมิกะฟังแล้วก็นึกอยากจะบอกอยากจะอธิบาย แต่แค่จะเอ่ยปากก็ดูเหมือนอะไรก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย

             "คิดเงินด้วยค่ะ"
              
             ลูกค้าร้องบอกพลางวางสินค้าประจำตัวสำหรับผู้หญิงลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน ยูมิกะเงยหน้ามองเสี้ยวหน้าคมที่ผินหนีแล้วได้แต่ถอนใจก่อนจะเดิน หลีกออกมาคิดเงินให้ลูกค้า แต่ทันทีที่หันหลังเรียวสุเกะก็เดินดุ่มๆ ออกไปจากร้านสะดวกซื้อของเธอที่วันนี้ยูมิกะคิดว่าลูกค้าดูจะมากกว่า ปกติ จะปลีกตัวออกไปตอนนี้ก็ไม่ได้ด้วยสิ
             
             ยูมิกะคิดเงินด้วยท่าทางร้อนรนจนคนเป็นแม่ที่เพิ่งเดินออกมาถึงกับต้องเลิก คิ้วมองด้วยความสงสัย ลูกสาวของเธอปกติมักจะเย็นเป็นน้ำเอื่อยๆ แต่ไหงวันนี้กลับดูยืนไม่ติดที่เสียอย่างนั้น
             "ยูมิกะ เป็นอะไรไปลูก ไปพักก่อนไป เดี๋ยวตรงนี้แม่จัดการเอง"
            
              ทันทีที่ผู้เป็นแม่ยืนประจำตำแหน่ง ยูมิกะก็รีบรุดออกมาพลางถอดชุดกันเปื้อนทิ้งบนหลังตู้จนผู้เป็นแม่อดที่จะ บ่นเล็กน้อยไม่ได้ หากแต่เวลานี้ยูมิกะแทบไม่ได้คิดถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากคำที่เรียวสุเกะเพิ่งพูดออกมา แต่เพราะยูมิกะแสดงออกไม่เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเธอเป็นเด็กขี้อายที่ใครๆ ก็ชอบมาล้อ เธอจึงไม่รู้จะแสดงออกแบบไหนให้รู้ว่าเธอเองก็ดีใจมากไม่ต่างกันที่เราได้ กลับมาเจอกันอีกครั้ง

             ยูมิกะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรียวสุเกะรู้สึกไม่ดีเลย

             ภายนอกร้านแลดูว่างเปล่าเมื่อเปิดประตูออกมา ถนนเส้นเล็กในย่านชุมชนแห่งนี้ไร้เงาพาหนะเคลื่อนไหว มีเพียงสายลมเย็นฉ่ำจากอากาศต้นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมาเพียงบางเบา รี ยูมิกะมักจะถูกล้อเสมอว่าเป็นคนเชื่องช้า เฉื่อยชาขาดความกระตือรือล้น เธอเองก็พยายามปรับปรุงแต่ดูเหมือนมันจะยังไม่ดีพอ
       
             "เรียวสุเกะคุงคงไปแล้วสินะ ยูมิกะคิดแบบนี้ใช่ไหมล่ะ"

             เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ยูมิกะหันขวับไปมองราวกับว่าคนพูดกำลัง อ่านใจของเธอออก ริมฝีปากบางสั่นระริกถูกขบกัดเอาไว้แน่นเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังตามหากลับยืน กอดอกพิงกับประตูหน้าร้านของเขาด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม

              "เรียวสุเกะคุงคงโกรธเราอยู่แน่ๆ แล้วเราจะทำยังไงดีน้า กำลังคิดแบบนี้อยู่ล่ะสิยูมิกะจังง"


              "อวดรู้"


              ยูมิกะเถียงเพื่อนตัวสูงเสียงแผ่ว หากแต่อีกคนกลับยิ้มกว้างมากกว่าเดิมพร้อมกับเดินเข้ามาหาจนชิด

              "ก็ยังดีกว่ากว่าคนอวดดีที่กำลังขี้แง ตัวเองอยากง้อเค้าแท้ๆ แต่ทำเป็นปากเก่ง ใช่ไหมล่ะฮึ?" เรียวสุเกะพูดพร้อมกับใช้นิ้วแตะซับน้ำบริเวณหางตาออกให้อย่างแผ่วเบา ทุกคำพูดทุกการกระทำ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่ายูมิกะจะคิดจะรู้สึกยังไง มีเพียงเรียวสุเกะเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้


              "ใครบอกว่าขี้แงกันเล่า กำลังยิ้มอยู่เนี่ย เห็นป่าว?" ยูมิกะพยายามฉีกยิ้มกว้างทั้งที่ดวงตายังคงปริ่มน้ำ เรียวสุเกะยิ้มขำแล้วพยักหน้าพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของคนที่ตัวเล็กกว่า

               "อืม เห็นแล้วว่ากำลังยิ้ม ยิ้มน่ารักซะด้วยสิ"
              
              
               "บ้า-"
               เวลาสี่ปีที่ไม่ได้เจอกัน เรียวสุเกะไปหัดคำพูดพวกนี้จากไหนกัน คนที่กำลังยิ้มเต็มแก้มกลับก้มหน้างุดในทันที เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ เรียวสุเกะยูมิกะจึงได้แต่ช้อนสายตาขึ้นมองอีกคนที่เอาแต่อมยิ้มมองมาที่เธอ

               "ดึกแล้ว เราเข้าบ้านก่อนนะ"


               คนตัวเล็กบอกพร้อมกับเตรียมตัวเดินเข้าบ้าน หากแต่คนตัวสูงกลับรั้งข้อมือเอาไว้ให้หันกลับมา


              "ราตรีสวัสดิ์นะ"


              "อืม ราตรีสวัสดิ์"

             
              แผ่นหลังที่ค่อยๆ หายลับไปกับความมืดมิดของค่ำคืนที่เริ่มจะเหน็บหนาว หากแต่ฤดูกาลที่วนเวียนมาอีกครั้งกลับไม่ได้ทำให้จิตใจที่เคยแห้งแล้งรู้สึก อย่างที่เคยเป็น ยูมิกะแหงนมองท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยดวงดาวนับร้อยพันต่างแข่งขันส่อง แสงสว่างสุกสกาวเต็มเวิ้งฟ้า สวยงามจนอดที่จะยิ้มระบายออกมาจนเต็มแก้มไม่ได้


              ยูมิกะส่ายหน้าขันตัวเองก่อนจะหันกลับเข้าไปในร้าน สวนทางกับลูกค้าคนสุดท้ายที่เพิ่งก้าวออกไป บานประตูร้านสะดวกซื้อประจำย่านชุมชนปิดลงพร้อมกับไฟหน้าร้านที่ดับสนิท เด็กสาวร่างเล็กที่เพิ่งก้าวออกมาจากร้านหยุดเดินเพื่อแหงนมองขึ้นไปบนท้อง ฟ้า


              มีเพียงความมืดมิดที่ปกคลุมไปไกลสุดลูกหูลูกตา
              มิราอิเห็นเพียงเท่านั้นจริงๆ....

             .
             .
             .

             เช้าวันใหม่มาพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นกว่าที่ผ่านมาพาให้แฟชั่นฤดูหนาวยัง คงต่อเนื่องแม้จะเปลี่ยนผันวันฤดูกาล ภายในห้อง 1-C ที่ถึงแม้จะเปิดเรียนไปแค่วันแรกแต่บรรดาเหล่านักเรียนกลับจับกลุ่มพูดคุย กันอย่างสนุกสนาน ไม้เว้นแม้กระทั่งกลุ่มชายล้วนซึ่งดูจะเสียงดังกันเป็นพิเศษ
           
           "เฮ้ย เรียวสุเกะ "

           เด็กชายตัวสูงใช้เท้าสะกิดเรียกเพื่อนในขณะที่สายตาคอยเหลือบไปมองบริเวณ หน้าชั้นตลอดเวลา เรียวสุเกะที่กำลังนั่งเกากีต้าร์ครางอือในลำคอรับรู้แต่นิ้วเรียวยาวยังคงสะกิด สายกีต้าร์ไปมาตามจังหวะโน้ตที่กำลังมองเพ่งจากหนังสือดนตรีที่วางบนโต๊ะ เรียน

           "นี่ ชมรมดนตรีเรายังขาดผู้จัดการชมรมป่ะวะ?"

           " อือ"
       
           เรียวสุเกะรับคำแต่ยังคงให้ความสนใจกับกีต้าร์ที่เพิ่งได้มาใหม่ อันที่จริงทั้งเรียวสุเกะและยูโตะเป็นเพื่อนกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วจากการที่ ทั้งสองคนเล่นบอร์ดที่เกี่ยวกับดนตรี มีความสนใจในเรื่องเดียวกันจนกลายมาเป็นเพื่อนที่รู้จักกันในอินเตอร์เนต จะว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือเพราะความโชคดีของเรียวสุเกะก็ไม่รู้ที่ทำให้เขา ย้ายมาเรียนที่นี่ นอกจากจะได้รู้จักเพื่อนใหม่อย่างยูโตะแล้วเขายังได้มาพบกับเพื่อนสมัย เด็กอย่างยูมิกะอีกด้วย
         
         และแน่นอนว่าทั้งสองย่อมเลือกที่จะเข้าชมรมดนตรีอย่างไม่มีข้อแม้

           "ไปชวนชิมาซากิให้หน่อยดิวะ" ยูโตะกระซิบบอกหลังจากอ้ำอึ้งมานาน แต่เรียวสุเกะก็เหมือนจะไม่ได้สนอย่างที่เคย

           " ชวนเองดิ"

           " กู...ไม่กล้า"
           
           
             เรียวสุเกะละสายตาจากหนังสือขึ้นมองเพื่อนที่ตัวใหญ่ไม่แพ้เขาเท่าไหร่นักหรอก แต่กลับทำท่าประหนึ่งสาวน้อยแรกแย้มแก้มแดงหูแดง เห็นได้ชัดแบบนี้แอบชอบเพื่อนร่วมห้องอย่าง ชิมาซากิ ฮารุกะ แหงแซะ วันๆ เห็นแต่คุยเรื่องดนตรีไม่คิดว่าหมอนี่จะแอบชอบใครเป็นเหมือนกัน แถมยังเดาะไปชอบน้องน้อยของห้องที่ดูจะห้าวเอาการเสียด้วย
         
             "มึงไม่ได้ยินรึไง ชิมาซากิเขาจะเข้าชมรมเบสบอล กูว่ามึงหาทางจีบวิธีอื่นเหอะว่ะ"

             "เฮ้ย  ไอ้นี่.. กูเปล่าชอบ..." ยูโตะก้มหน้าเขินอาย ยกมือเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกประโยคต่อมาเสียงเบา "...แต่กูรัก"

             " สัด!"

             เด็กหนุ่มประเคนชูนิ้วใจกลางโลกมอบสรรเสริญเพื่อนเป็นของแถมหลังจากได้ฟัง ประโยคเสี่ยวแดกที่ขนาดเขาฟังยังแอบอ้วก ไม่ต้องพูดถึงฮารุกะ  ถ้ารายนั้นไม่ชกก็คงเตะกลับมาให้เป็นคำตอบ

              "โธ่ ช่วยกูหน่อยดิ มึงไปชวนชิดะมาก็ได้ เค้าเป็นเพื่อนกัน ถ้าชิดะยอมมาเป็นผู้จัดการชมรม ฮารุกะของกูก็ต้องตามมาแน่" แทบจะกอดแข้งกอดขาขอร้องกันเลยทีเดียว เรียวสุเกะพยักหน้าเออออเพราะทนรำคาญไม่ไหว ถ้าเขาไม่ทำตามที่มันขอร้องคงได้แดดิ้นขาดใจตายในสิบวินาทีนี้แน่นอน

               เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเดินไปยังบริเวณหน้าห้องอันเป็นอาณาเขตของเหล่าเด็ก เรียนเพื่อตรงไปยังเป้าหมายซึ่งเป็นเด็กหญิงที่มีรูปร่างขนาดเล็กบางกว่า ผู้หญิงด้วยกันเสียอีก มือหนาฉวยเก้าอี้จากแถวนั้นมานั่งลงตรงหน้า ชิดะ มิราอิที่กำลังก้มหน้าก้มตากับการบ้านที่อาจารย์เพิ่งสั่งไปเมื่อคาบที่แล้ว นี่เอง

                เรียวสุเกะเหลือบตามองเพื่อนที่กำลังหลบมุมเชียร์อยู่หลังห้องแล้วตัดสินใจพูดออกไป


                "นี่ชิดะ สนใจอยากเข้าชมรมดนตรีไหม"


                "ไม่"

                    ร่างเล็กสวนตอบกลับทันทีทั้งยังไม่ยอมละสายตาจากที่สิ่งที่กำลังทำอยู่ เรียวสุเกะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความที่เริ่มจะลำบากใจเล็กน้อย

                "ไม่ต้องเล่นดนตรีก็ได้ ไปเป็นแค่ผู้จัดการวง"


                 "ฉันบอกว่าไม่"

                  ดวงตาใสตวัดขึ้นจ้องตอบพร้อมกับก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อไป เรียวสุเกะแอบคิดในใจว่าถ้าชวนชิมาซากิตรงๆ เลยจะง่ายกว่ามาพูดกับยัยนี่ไหมเนี่ย ยิ่งมองท่าทีที่ดูไม่สนใจใครของเพื่อนร่วมห้องคนนี้แล้วเด็กหนุ่มก็นึกอยาก จะเอาชนะขึ้นมาดื้อๆ เคลื่อนไหวไวเท่าความคิด มือหนาจับมือบางที่กำลังขีดเขียนให้หยุดเอาไว้พร้อมกับดวงตาที่แสดงถึงความ ไม่พอใจจากร่างเล็กที่เพ่งมองตรงมาทันที


                 "คิดจะทำอะไร"


                  เรียวสุเกะยักคิ้วท่าทางไม่ยี่หระกับน้ำเสียงราบเรียบ


                  "การบ้านเค้าเอาไว้ทำที่บ้าน แต่ตอนนี้มาคุยกันก่อน"

                   "ฉันคิดว่าบอกนายไปชัดเจนแล้วนะว่า ไม่" มิราอิกระแทกเสียงตอบแต่ก็ทำเพียงให้ได้ยินกันแค่สองคนพร้อมกับพยายามดึงมือ ตัวเองออกมา แต่อีกคนกลับยื้อเอาไว้ ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางที่ดูไม่ชอบใจของคนตัวเล็ก เรียวสุเกะก็แกล้งบีบมือขาวรั้งเอาไว้พร้อมกับยิ้มราวกับกำลังสนุกเต็มทน


                     "จะยอมไม่ยอม" คนตัวสูงขู่ แต่มิราอิกลับส่ายหน้าดิก

                      "ไม่มีวันยอม ปล่อยนะ ไอ้บ้า!" ร่างเล็กใช้มืออีกข้างเข้าช่วยโดยการทุบลงบนฝ่ามืออีกคนหนักๆ แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะไม่สะทกสะเทือนเลยด้วยซ้ำ มิราอิเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างนึกโมโหที่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ คิดจะมาแกล้งฉันหรือไง ไอ้เสาไฟฟ้า!
                      
                       
                      "เจ็บ..."


                      "บอกมาก่อนสิว่าจะยอมเข้าชมรมดนตรี"


                      "ก็ฉันเจ็บนี่"


                      น้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือมาพร้อมกับใบหน้าที่ก้มงุด เรียวสุเกะมองมือบางที่ตอนนี้แดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด คนตัวสูงรีบปล่อยมืออีกคนพร้อมกับใช้อีกมือลูบถูให้อย่างแผ่วเบา เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเผลอทำไปถึงขนาดนี้ แต่ในจังหวะนั้นมิราอิกลับเป็นฝ่ายดึงมือออกมาพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืนอย่าง กะทันหัน พอเรียวสุเกะเงยหน้ามองตามก็พบว่าอีกคนกำลังยิ้มอย่างคนที่กุมชัยชนะไว้เต็มอ้อม แขน


                      "...."
            
                       คนตัวเล็กแลบลิ้นแล้ววิ่งออกไปนอกห้องทันที ทิ้งไว้ให้เรียวสุเกะมองตามด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังถูกสบประมาท เด็กหนุ่มยกมุมปากยิ้มในจังหวะที่ยูโตะเข้ามาถามไถ่ถึงความคืบหน้าโดยไม่ ลืมเหลือบตาเหล่มองฮารุกะที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป


    "เป็นไงวะ?"


    เรียวสุเกะยิ้ม


    "มึงเตรียมเก็บเอาไปฝันเปียกได้เลย รับรองกูพายัยนั่นเข้าชมรมเราได้แน่"


    TBC.

              ++++++++++++++++

                    ขอโทษ สำหรับบางคำที่ไม่เหมาะสม  เพื่อความสนุกของเรื่องค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×