ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Sakura drop : 15
ฤดูสอบมิดเทอมผ่านพ้นไปพร้อมกับการประกาศผลรางวัลชนะเลิศของการประกวดวาดภาพ ซากุระอันเป็นสัญลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจของเมืองฮาโกเน่แห่งนี้ รูปภาพที่ได้รับรางวัลทุกตำแหน่งถูกติดโชว์เด่นบนบอร์ดหน้าอาคารเรียนรวมและ ก็เป็นไปตามที่คาดว่าห้องเอเป็นห้องชนะเลิศสูงสุดซึ่งคว้าคูปองฟรีค่าอาหาร กลางวันเหมาจ่ายไปตลอดทั้งเทอม
มิราอิและฮารุกะที่กำลังจะกลับบ้านเดินสวนกับเด็กห้องเอที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งส่งเสียงเฮลั่นดีใจกันอย่างถ้วนหน้า ฮารุกะมองตามแล้วก็ทำหน้าปลงแอบบ่นออกมาเล็กน้อย
"อีกแล้วเหรอเนี่ย พวกห้องเอได้ไปตลอดอ่ะ"
มิราอิยิ้มก่อนจะหันกลับไปมองที่บอร์ดข่าวก็พบว่าอายาเสะกำลังยืนเงยหน้ามอง ภาพของเธอซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองมาครอบครอง พลันเด็กสาวก็หันหน้ามาเจอกับทั้งสองก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายยิ้มออก มาให้แล้วเดินจากไปทันที มิราอิหันไปยิ้มกับฮารุกะพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองภาพวาดที่ได้อันดับหนึ่ง
เด็กชายหญิงสองคนกำลังนอนเล่นบนสะพานขนาดเล็กที่ยื่นออกไปสู่ทะเลสาบอะชิ เบื้องหน้าเป็นภูเขาไฟฟูจิและมีต้นซากุระรายล้อมสดใสสวยงามจนจินตนาการหยั่ง ลึกไปถึงว่าเด็กทั้งสองคนในภาพคงกำลังมีความสุขกันมากเลยทีเดียว ไม่แปลกใจที่ภาพนี้จะได้รับรางวัลเพราะแค่ดูก็รู้สึกถึงมิติความสดใสทั้ง ทิวทัศน์ธรรมชาติซึ่งเป็นองค์ประกอบของภาพหรือแม้กระทั่งเด็กผู้ชายทั้งสอง ก็ตาม
ดวงตาสวยเลื่อนมองชื่อเจ้าของผลงาน คาวาชิมะ ยูมิกะ
มิราอิเบนสายตากลับไปมองยังเด็กชายหญิงสองคนในภาพอีกครั้ง
"โห จะเฟอร์เฟคไปไหนเนี่ย น่าอิจฉาสุดๆ" ฮารุกะเปรยออกมาอย่างอดไม่ได้ ก็คนอะไรหน้าตาน่ารัก เรียนเก่ง นิสัยดี มีแฟนหล่อ แล้วยังจะวาดรูปสวยอีก อยากรู้จริงๆ ว่าตอนเด็กแม่เลี้ยงมาด้วยอะไร ฮารุกะจะได้บอกแม่ให้ซื้อมาเลี้ยงตัวเองบ้าง ว่าแต่คงไม่ทันแล้วล่ะ
"นั่นสินะ" มิราอิตอบรับเสียงเบา ในจังหวะที่กำลังจะเดินออกไปก็ทันทีกับบุคคลที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนากำลัง เดินผ่านมาพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่กว่าเป็นสองเท่า ยูมิกะเดินยิ้มทักทายเพื่อนฝูงห้องเอที่เข้ามาแสดงความยินดีด้วยตลอดทาง โดยมีเรียวสุเกะเดินถือกระเป๋าตามหลังมา
ดวงตาคมมองสบกับร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า ยมิราอิหลบตามองต่ำพร้อมกับถอยชิดติดกับฮารุกะขณะที่ทั้งคู่เดินผ่านไป ยูมิกะยิ้มหวานส่งผ่านมาให้โดยที่ฮารุกะโบกมือตอบรับทันที ทันใดนั้นคนตัวสูงก็หยุดเดินแล้วมองตรงมาที่มิราอินิ่ง
"พรุ่งนี้อย่าลืมนะ"
มิราอิเงียบขณะที่ฮารุกะยิ้มแฉ่งตอบอย่างต้องการจะอวด
"ไม่ลืมหรอกน่า กำลังจะไปซื้อของกันด้วย" เรียวสุเกะเลิกคิ้วยิ้มพลางมองคนที่กำลังก้มหน้าน้อยๆ แล้วเดินออกไปพร้อมกับยูมิกะซึ่งถามไถ่เรื่องที่จะไปเข้าค่ายเก็บตัว ด้วยความอยากรู้และอาสาที่จะช่วยอย่างเต็มที่
"จะไปพรุ่งนี้แล้วสินะ ให้เราไปเก็บของให้ไหม"
"ก็เอาสิ กำลังขี้เกียจพอดี"
"อะไรกัน งั้นเราไม่ไปดีกว่า ให้คนขี้เกียจรู้จักทำเองซะบ้าง"
"อาสาแล้วไม่ช่วยแบบนี้เรียกว่าใจร้ายนะครับ" บอกพร้อมกับยกมือขยี้ผมคนตัวเล็กไปมา ยูมิกะหัวเราะเสียงใสก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเลี้ยวหายไป ฮารุกะมองตามตาปรอยรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวสองคนนี้ทำไมดูมีออร่าแบบที่คน ทั่วไปเข้าไม่ถึงชอบกล อย่างยูโตะจิ๊จ๊ะพูดจาเลี่ยนหูกว่าเรียวสุเกะเยอะแต่ความละมุนละไมในการเอาใจใส่ดูจะผิดกับรายหลังลิบลับ
ขณะที่ฮารุกะกำลังมองตามสองคนนั้นไป มิราอิก็หันกลับไปมองยังภาพวาดแผ่นใหญ่ที่ติดไว้เด่นเป็นสง่าอีกครั้งก่อนที่ ริมฝีปากบางจะเหยียดยิ้มออกมา ยิ้ม...ที่สื่อไปไม่ถึงดวงตาแสนเศร้า
.
.
.
เจ็ดโมงเช้ารถบัสขนาดเล็กของโรงเรียนก็เข้ามาจอดบริเวณสนามฟุตบอลพร้อมกับ เหล่าคณะชมรมดนตรีได้เคลื่อนขบวนมาถึงที่หมายไม่เว้นแม้กระทั่งท่านประธานนักเรียนซึ่งเดินหอบกล่องขนาดเหมาะมือตรงดิ่งเข้ามาหาพร้อมกับจัดแจงที่นั่งตัวเองลงข้างเคย์โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครมาจุดธูปอัญเชิญให้เสียเวลา
"เชี่ยยะ มึงอยู่ชมรมดนตรีหรือไงแม่ง เสนอหน้ามาเชียวนะ" ฮิคารุเปิดประเด็นพร้อมกับขว้างเป้ขนาดใหญ่ลงบนที่นั่งตัวเองเฉียดหัวโคตะไป ไม่เกินเซนฯ
"ห่าฮิค มึงจะเรียกกูยูยะก็เอาเต็มๆ อย่ามาย่อ ฟังดูตลกชิบหาย"
"ทำไม ก็กูจะเรียกแบบนี้ มึงนั่นแหละมาทำไม งบพวกกูขอไปก็ไม่ให้ ขอรถบัสคันใหญ่เอารถกระป๋องมาให้กูเนี่ย แถมยังจะมายุบชมรมกูอีก กูไม่ถีบให้ก็บุญหัวมึงแล้วสาด" ทาคาคิเอานิ้วแหย่หูทันทีที่โดนสวดมาชุดใหญ่
"มึงจะด่ากูอีกนานไหม จะได้หลับรอ กูมาเนี่ยเพราะมาควบคุมความประพฤติพวกมึง จะซ้อมดนตรีแค่นี้แรดออกไปไกลมันน่าไว้ใจไหมกูถามหน่อย" ท่านประธานโรงเรียนตอบเสียงขรึมขณะที่เคย์แง้มฝากล่องที่หิ้วมาเสียไกลออกดู พบว่ามีทั้งเหล้า บุหรี่ ไพ่ ไฮโลเพียบ เหรัญญิกชมรมกรอกตาแล้วจัดการตีศีรษะคนที่วางมาดเสียงดัง
"มึงจะตามไปควบคุมพวกกูหรือว่าจะไปเปิดบ่อนที่ปอยเปตวะแม่ง มึงขนมายังกับไม่รู้สันดานเพื่อนมึง เชี่ยบุแบกเหล้าเชี่ยฮิคหอบไพ่ เจริญล่ะชมรมกู"
"จะทักทายกันอีกนานมั้ยครับพี่ พวกผมจะได้เหมารถไปกันเอง" ยูโตะที่นั่งอยู่เบาะหลังกับเรียวสะเกะตะโกนออกมาเมื่อเวลาผ่านไปเกือบจะเลย กำหนดออกเดินทาง โดยมีสาวน้อยอีกสองคนที่นั่งด้วยกันมองรุ่นพี่คุยกันตาแป๋ว โคตะปรบมือให้สัญญาณสงบศึกแล้วทั้งหมดก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางมุ่งตรงไปยังภูเขา แถบจังหวัดยามะนาชิซึ่งอยู่ถัดฮาโกเน่ไปไม่ไกล เนื่องจากงบประมาณมีไม่พอไปได้แค่นี้ก็ถือว่าเป็นบุญสำหรับชมรมแล้ว
ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงรถบัสก็เข้ามาจอดตรงหน้าโรงแรมหรูขนาดใหญ่ยักษ์ที่ เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัยแม้ว่าบริเวณนี้เป็นถึงยอดเขา ก็ตาม ยูโตะและทาคาคิรีบลากกระเป๋าแบกกีต้าร์ตรงดิ่งเข้าไปในตัวโรงแรมทันทีด้วย ความลัลล้าเต็มที่ อีกอย่างดูจากสภาพอากาศแล้วฝนคงจะตกลงมาอีกไม่นาน ถ้าได้นอนพักผ่อนในที่แสนสบายคงยิ่งกว่ามาเที่ยวพักตากอากาศ
"พวกมึงจะไปไหน" โคตะตะโกนถาม ยูโตะทำหน้าเลิกลั่กชี้เข้าไปในโรงแรมแล้วตอบไปตามความเข้าใจของตัวเอง
"ก็เอาของไปเก็บในโรงแรม"
ฮิคารุส่ายหน้า
"ระดับอย่างเราไม่พักโรงแรมกันหรอก เรามีบ้านพักส่วนตัว ด้านหลังนู่น" มิราอิและฮารุกะชะเง้อคอมองตามมือที่ฮิคารุชี้ไปก็พบว่าด้านหลังโรงแรมมี บ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ซึ่งมีสภาพแตกต่างกับโรงแรมราวฟ้ากับใต้ดินก็ไม่ปาน ด้วยสภาพที่เป็นบ้านไม้แลดูเก่าและโทรมเกือบจะพังมิพังแหล่ แถมยังมีหยากไย่เป็นพร็อบประกอบอย่างกับฉากบ้านในหนังผี
ยูโตะปล่อยกระเป๋าลงพื้นอย่างหมดแรงแล้วมองเข้าไปในโรงแรมตาละห้อย
"ทำไมมันต่างกันเป็นหน้ามือกับหลังตีนแบบนี้ล่ะพี่!"
"บ่นๆ ไปๆ แบกของไปที่พักของเรา" เคย์พูดขึ้น
จากนั้นทั้งหมดก็เดินผ่านโรงแรมหรูโดยมีโคตะเดินนำไปด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวสุดฤทธิ์
.
.
.
บ้านพักส่วนตัวที่ฮิคารุบอกเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวซึ่งเจ้าของเป็นลุงแก่ๆ วัยปลดเกษียณ ทั้งบ้านแบ่งออกเป็นสามโซน โดยส่วนที่อยู่ด้านในสุดจัดแบ่งเป็นห้องนอนรวม ถัดออกมาเป็นห้องนั่งเล่นที่รวมห้องทำอาหารและห้องน้ำไว้ด้วยกันและพื้นที่ สุดท้ายที่มีพื้นที่เกือบจะเท่าห้องนอนรวมเป็นห้องซ้อมดนตรีซึ่งภายในบุผนัง เป็นห้องเก็บเสียงอย่างดีและมีอุปกรณ์ดนตรีเพียบพร้อมอย่างไม่น่าเชื่อ
"ลุงเจ้าของบ้านบอกว่าเป็นบ้านพักของลูกชายที่เป็นนักดนตรีมืออาชีพน่ะ นานๆ ลูกชายแกจะแวะมาพักทีหนึ่ง ซึ่งอุปกรณ์พวกนี้แกก็ให้พวกเราใช้ได้ตามสะดวกกันเลย" เคย์อธิบายขณะที่พวกนักดนตรีของชมรมต่างก็ไปประจำตำแหน่งกันด้วยความ ตื่นเต้นไม่เว้นแม้กระทั่งทาคาคิที่รีบยึดไมค์เตรียมเป็นนักร้องประจำวง ทันทีทั้งที่หน้าที่หรือก็ไม่ใช่ (ฮิคบอก)
มิราอิและฮารุกะเดินสำรวจทั่วบ้านหลังจากที่เอาของไปเก็บเรียบร้อยแล้วทั้ง คู่ก็ตัดสินใจกันว่าจะออกไปซื้อของสดมาทำอาหารสำหรับมื้อเย็นกัน ส่วนมื้อเที่ยงก็ให้ทานข้าวกล่องแบบง่ายๆ ที่ซื้อมาเตรียมไว้แล้วน่าจะดีกว่าเพราะดูจากสภาพนักดนตรีมือใหม่ไฟแรงแล้ว คงอีกนานกว่าจะออกมาจากห้องซ้อมกัน
ทั้งสองคนต้องนั่งรถประจำทางลงมาจากยอดเขาซึ่งมีกำหนดเวลาเดินรถชัดเจนและก็ มีมาไม่บ่อยมากนักจนกระทั่งมาถึงซุปเปอร์มาเก็ตที่มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็มี ของให้เลือกซื้อหาได้ค่อนข้างเยอะ มิราอิมองสินค้าละลานตาแล้วสะกิดฮารุกะที่ดูมีความมั่นอกมั่นใจในการทำอาหาร มากจนน่าแปลกใจเพราะด้วยทักษะที่เห็นในคาบคหกรรมแล้ว ฮารุกะและมิราอิก็แทบจะสอบตกด้วยกันทั้งคู่
"นี่ฮารุกะ เราจะซื้อของกันยังไงเหรอ เราไม่รู้เรื่องด้วยเลยนะ"
ฮารุกะยิ้มร้ายก่อนจะควักเอาหนังสือขนาดพ็อกเกตบุคขึ้นมาอวด
"ไม่ต้องห่วง เราพกคู่มือทำอาหารมาด้วยแล้วก็คิดรายการอาหารสำหรับเข้าค่ายมาแล้ว นี่ๆ เราก็ซื้อตามวัสดุที่เขาบอกมา มีทั้งหมดแปดคนเราก็กะๆ ปริมาณเอา" บอกพร้อมกับเข็นรถตรงดิ่งเลือกซื้อผักหยิบๆ ใส่ไม่อั้นจนมิราอิต้องแอบส่ายหน้าเมื่อคิดว่างานผู้จัดการชมรมกับการเข้าค่าย ครั้งนี้จะไปด้วยกันรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้
จวบจนกระทั่งได้ของตามที่ต้องการ ทั้งสองคนก็หอบหิ้วของออกมานอกซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อรอรถกลับขึ้นยอด เขาแต่ปรากฏว่าฝนที่ทำท่าจะตกก่อนหน้านี้กลับเทกระหน่ำลงมาจนท้องฟ้ามืด ครึ้มปกคลุมไปทั่วทำให้ดูเหมือนว่าเกือบจะเป็นเวลาค่ำทั้งที่ตอนนี้แค่ บ่ายกว่าๆ
"แย่แล้ว" ฮารุกะเปรยพร้อมกับห่อไหล่ด้วยความหนาวสั่น ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะเข้าไปรอให้ฝนหยุดตกในซุปเปอร์ฯ แต่เพราะทั้งตัวถูกละอองฝนจับจนชื้นพอเข้าไปตากแอร์เย็นๆ ก็หนาวจนเด็กสาวทั้งสองทนไม่ไหวต้องออกมารอให้ฝนหยุดตกด้านนอกแต่ดูเหมือน ว่าสภาพอากาศจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย
สักพักเสียงมือถือของฮารุกะก็ดังขึ้น โชคยังดีที่บนยอดเขายังมีสัญญาณโทรศัพท์สามารถโทรติดต่อกันได้ ทันทีที่ฮารุกะวางสายก็หันมาบอกเพื่อนตัวน้อยที่ยืนปากสั่นอยู่ข้างๆ
"เดี๋ยวสองคนนั้นจะมารับ"
สองคนที่เอ่ยถึงคงไม่พ้นยูโตะและเรียวสุเกะซึ่งหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาทันทีที่เจอด้วยสภาพกึ่งเปียกปอนกันเต็มที่แม้จะกางร่มกันคนละคันก็ตาม ยูโตะตรงดิ่งเข้าไปหาฮารุกะ ส่วนเรียวสุเกะก็รีบเดินเข้ามาหาอีกคนเช่นกัน
"รอนานไหม รถข้างบนไม่ยอมลงมาส่ง พวกฉันเลยต้องวิ่งกันลงมา" เรียวสุเกะบอกไปตามความจริงเพราะทางด้านรถประจำทางเองคงกลัวถนนจะลื่น แม้ว่าระยะทางจากบนยอดเขาลงมาจะไม่ไกลนักเพราะเป็นภูเขาเตี้ยๆ แต่สภาพถนนลัดเลาะคดเคี้ยวพร้อมกับฝนที่ตกลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแบบนี้ ด้วยขากลับขึ้นเขาก็คงไม่มีกำหนดออกเดินทางเช่นกัน
"ไม่เป็นไร" มิราอิตอบเสียงเบาพลางห่อไหล่ด้วยความเย็นยะเยือก เรียวสุเกะเห็นแล้วตั้งใจจะเข้าไปกอดไหล่เพื่อให้คลายความหนาวอย่างวันนั้นที่เคยติดฝนด้วยกัน แต่ในครั้งนี้มิราอิไม่ยอมยืนอยู่นิ่งๆ เช่นเคย คนตัวเล็กขยับออกห่างทันทีที่ลำแขนแกร่งยื่นออกมาพร้อมกับพูดย้ำอีกครั้งเสียงสั่น
"เราไม่เป็นไร"
เรียวสุเกะมองเสี้ยวหน้าหวานนิ่งก่อนจะถอดเสื้อแจ็คเกตที่มีรอยเปียกแค่ตรงแขนห่ม ไหล่บอบบางพร้อมกับแตะข้อศอกรั้งร่างน้อยให้ออกเดินเข้ามาในร่มคันเดียวกัน ตามหลังเพื่อนสองคนซึ่งเดินนำไปแล้วข้างหน้า
มิราอิพยายามจะเดินเว้นระยะห่างจากคนที่เดินเคียงข้างไปด้วยกันจนปลายไหล่ถูกน้ำฝนสาดใส่หลายที เรียวสุเกะที่ทำหน้านิ่งมาตลอดทางถอนหายใจแล้วจับยัดคันร่มที่ถือจนอุ่นให้คนตัว เล็กเอาไปถือไว้ ก่อนที่ตัวเองจะวิ่งย้อนกลับเข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ตอีกครั้ง มิราอิหันขวับกลับไปดูที่จู่ๆ อีกคนก็วิ่งออกไปพร้อมกับมองหาฮารุกะที่เดินนำไปไกลจนเห็นเพียงแผ่นหลังขนาดเล็ก
ในจังหวะที่มิราิอิกำลังละล้าละลังว่าตัวเองควรจะทำยังไงดี เรียวสุเกะก็กลับออกมาพร้อมกับร่มคันใหม่ที่พอมิราอิเห็นก็ตาโตด้วยความคาดไม่ถึง มือน้อยกำปลายคันร่มแน่นขึ้นพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น
คนตัวสูงเดินมาหยุดลงตรงหน้าพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน
"ฉันตัวใหญ่ไปร่มคันเดียวกับเธอก็เบียดกัน ยังไงก็ตากฝนอยู่ดี คนละอันแบบนี้เธอจะได้สบายใจ" ประโยคหลังร่างสูงพูดออกมาเสียงเบา มิราอิเงยหน้าขึ้นมองพบเพียงรอยยิ้มที่ดูคล้ายกับจะหงอยเล็กน้อยจนร่างเล็กใจหาย มิราอิกระพริบตาถี่ๆ พยายามที่จะไม่สนใจก่อนจะเดินนำออกไปโดยมีอีกคนเดินตามมาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางเม็ดฝนที่ยังคงตกลงมากระหน่ำ
.
.
.
"ฮัดเช้ย!"
มิราอิละสายตาจากหนังสือตำราอาหารของฮารุกะแล้วมองไปยังเพื่อนสนิทที่กำลัง หั่นผักพร้อมกับจามออกมาเป็นรอบที่สาม มือน้อยจัดการใส่เครื่องปรุงลงไปตามรายการหนังสือแล้วถามออกไปเสียงอ่อนด้วย ความเป็นห่วง
"ไหวหรือเปล่าฮารุกะ ไปพักก่อนก็ได้นะ"
ฮารุกะหันมายิ้มกว้าง
"ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เราออกกำลังกายบ่อย แข็งแรงอยู่แล้ว" บอกพร้อมกับโชว์ลีลาหั่นผักพลิ้วเสียจนกิ่งก้านใบกระเด็นกระดอนไปไกล ทั้งคู่ทำไปขำไปจนในที่สุดผลงานก็ออกมาเป็นที่น่าภูมิใจแม้ว่าหน้าตาจะดูติด ลบแต่รสชาติฮารุกะมั่นใจว่าเกินร้อยแน่นอน
"เย็นมากแล้ว เดี๋ยวเราไปตามพวกนั้นเข้ามาทานข้าวก่อนนะ" ฮารุกะอาสาแล้ววิ่งออกไปทันที มิราอิชะโงกหน้าออกไปมองท้องฟ้าด้านนอกที่เริ่มจะไร้เมฆปกคลุมแม้ฝนจะยังคงตก โปรยปรายไม่ยอมหยุดเลยก็ตาม
ขณะที่ทุกคนขอตัวไปอาบน้ำ สองคนก็ค่อยๆ ทยอยนำอาหารไปจัดวางบนโต๊ะยาวกลางห้องนั่งเล่น เพียงไม่นานบรรดานักดนตรีมือสมัครเล่นก็ออกมานั่งเรียงพร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยมีโคตะนั่งหัวโต๊ะในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่และเป็นถึงประธานชมรมซึ่งถัดมา เป็นเคย์และฮิคารุขนาบข้างอย่างกับหวางเฉาหม๋าฮั่นก็ไม่ปาน
"ตายห่ะ โรงพยาบาลอยู่ไกลไหมมึง ดูสภาพแล้วกูออกไปซื้อมาม่ามาแดกน่าจะปลอดภัยกว่า" ทาคาคิพูดจบปุ๊บเคย์ก็ขว้างหมอนรองนั่งยัดหน้าทันทีโดยที่มิราอิและฮารุกะ ได้แต่ยิ้มหน้าแหย
"ปากเหรอไอ้ยะ น้องเค้าอุตส่าห์ทำให้ปลวกอย่างมึงกินก็ดีแล้ว"
"กูก็พูดล้อเล่นไปอย่างนั้นแหละ แหม ว่าไม่ได้เลยนะผู้จัดการชมรมพวกมึงเนี่ย" แอบเหน็บพร้อมกับคีบผัดผักเข้าปากก่อนใครเพื่อน โคตะยิ้มตาหยีก่อนจะพูดตอบ
"สมบัติของชมรมเว้ย"
"ของผมต่างหาก" ยูโตะอ้อมแอ้มบอกเสียงเบาพร้อมกับโดนฮารุกะหยิกพุงเข้าให้ทันที
หลังจากที่รับประทานอาหารมื้อเย็นกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาตั้งวงมั่วสุม จับกลุ่มกันเล่นไพ่โดยที่แต่ละคนถือขวดเหล้ากันคนละขวดโดยไม่ได้สำเหนียกเลย ว่าตัวเองยังไม่บรรลุนิติภาวะกันเลย มิราอิและฮารุกะช่วยกันปูที่นอนจนเสร็จก็เดินออกมานั่งเล่นดูทีวีไปตามประสา สักพักยูโตะก็เดินเข้ามานั่งข้างฮารุกะก่อนจะคุยกันหงุงหงิงเสียงเบาราว กับอยู่ในโลกส่วนตัว
มิราอิยิ้มแล้วก็เผลอไปสบตากับคนตัวสูงที่เพิ่งกลับมาจากไปโทรศัพท์ข้างนอกมา คนตัวเล็กเมินหน้ากลับมาจ้องทีวีทันทีพร้อมกับกอดหมอนแน่น พยายามทำเป็นไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปร่วมวงกับพวกรุ่นพี่แม้ว่ามิราอิจะรู้สึกตัวถึงสายตาคมของใครอีกคนที่คอยจ้องมองตลอดเวลาก็ตาม
ผ่านไปสักพักฮารุกะก็เอนศีรษะซบลงบนไหล่หนาของยูโตะด้วยอาการปวดหัวหนึบ พร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนผ่าว คนตัวเล็กพึมพำบ่นงอแงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง
"พากลับไปนอนพักในห้องเถอะว่ะ สงสัยจะโดนฝนเล่นงาน" เคย์ร้องตะโกนมาบอกยูโตะที่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นกังวล เด็กหนุ่มพูดปลอบฮารุกะราวกับเด็กน้อยตลอดทางที่พาเข้าไปนอนยังห้องด้านใน มิราอิพอเห็นเพื่อนไม่สบายก็ลุกขึ้นหวังจะตามไปดูแล แต่เคย์ก็ร้องเรียกเอาไว้พร้อมกับกวักมือไหวๆ
"ปล่อยไปเถอะ ไอ้โตะมันประคบประหงมขนาดนั้นไม่เป็นอะไรหรอก ชิดะคุงมานี่ดีกว่ามา หาไรสนุกๆ ทำ" มิราอิอยากจะเข้าไปดูเพื่อนแต่เพราะถูกรุ่นพี่เอ่ยปากชวนแบบนี้คนตัวเล็กจึง ได้แต่เดินเข้าไปร่วมวงอย่างช่วยไม่ได้ และทันทีที่มีคนมาเพิ่มทาคาคิที่เมาได้ที่ก็จัดการล้างไพ่ในมือทันที
"มาเข้าค่ายก็ต้องเล่นเกมส์เปิดใจกันหน่อยดิวะ ใจป่าว?" ถามพร้อมกับเอาขวดเหล้าชี้หน้าเพื่อนรอบวง ฮิคารุร้องรับคำท้าลั่นอย่างอารมณ์ดีขณะที่มิราอิได้แต่ทำหน้าลำบากใจโดยมีสายตาของคนที่นั่งตรงข้ามมองจ้องมาจนร่างเล็กไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกไป
"ใครได้ไพ่ผี แจ็ค แหม่ม คิง ต้องตอบคำถามคนในวงหนึ่งข้อ ห้ามเบี้ยว ห้ามโกหก ใครโกหกขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาดลบันดาลให้วงดนตรีโรงเรียนเราตกรอบ" เจ้าของไอเดียกำหนดกติกาเองเสร็จสรรพพร้อมกับที่โคตะใช้มือไถกะโหลกเข้าให้ ที่เลือกเรื่องมาแช่งได้โดนใจป๋าเต็มๆ
"กูในฐานะคนที่หล่อที่สุดขอจับไพ่ก่อน" ทาคาคิเริ่มจับไพ่ที่วางตั้งไว้กลางวงเป็นคนแรกปรากฏว่าไพ่ออกมาเป็นสี่ โพธิ์แดง จากนั้นก็เป็นเรียวสุเกะที่ได้ไพ่หกข้าวหลามตัด เคย์ได้สองโพธิ์แดง ฮิคารุได้แปดโพธิ์ดำและมิราอิที่เปิดไพ่ออกมาได้แหม่มดอกจิก ทุกคนในวงฮาครืนขณะที่ร่างเล็กเริ่มหน้าเจื่อน
"ขอถามน้องน้อยของพวกเราว่า มีแฟนหรือยังครับ" โคตะยกมือถามก่อนเป็นคนแรก ยูริสั่นหน้าพรืดทันที
"ยังไม่มีค่ะ"
"อ่าวเฮ้!" คนถามยกมือทำท่าดีใจอย่างอารมณ์ดี โคตะได้สิทธิ์จับไพ่แต่ก็ผ่านมาได้กระทั่งวนมาถึงมิราอิอีกรอบ มือน้อยพลิกไพ่ออกมากลายเป็นคิงดอกจิก ไพ่ผีตกลงมาที่มิราอิอีกครั้งและครั้งนี้ฮิคารุเป็นฝ่ายขอถามบ้าง
"ถ้ายังไม่มีแฟน แล้วคนที่ชอบมีหรือเปล่า?"
คำถามที่มาพร้อมกับอาการอึกอัก มิราอิเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อทุกสายตามุ่งตรงมาที่เธอเป็นจุดเดียว คำถามแค่นี้มิราอิตอบให้ก็ได้ถ้าใครคิดจะมาถามกันตรงๆ แต่เพราะที่นี่ในตอนนี้มีใครอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังรอฟังคำตอบเช่นกัน นั่นทำให้มิราอิไม่อยากจะบอกออกไปแต่เพราะได้ตกลงกันไว้แล้ว คนตัวเล็กจึงได้แต่พยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบพร้อมกับรุ่นพี่ทั้งสามคนเป่าปากหวือทันที
ทุกคนเริ่มวนจับไพ่กันอีกรอบ และก็ผ่านกันมาได้ตลอด มิราอิจับไพ่บนสุดแล้วนึกภาวนาขอให้ตัวเองไม่โชคร้ายจนเกินไปแต่พอเปิดหน้าไพ่ กลับกลายว่าเป็นคิงโพธิ์แดงโชว์หราจนคนตัวเล็กนึกอยากจะให้คนที่ไม่สบายเป็น ตัวเธอเองเสียมากกว่า
"คำถามต่อไป คนที่แอบชอบก็มาเข้าค่ายเหมือนกันใช่ไหม" เคย์เป็นฝ่ายถามขึ้น มิราอิก้มหน้าตอบออกไปเสียงเบาขณะที่ใจเริ่มสั่น
"ค่ะ"
ฮิคารุ โคตะและทาคาคิร้องเพลงเคาะขวดเหล้าอย่างร่าเริงที่ได้ฟังคำตอบ ไพ่วนกลับมาที่มิราอิอีกครั้ง มือน้อยที่ยื่นออกไปเปิดไพ่เริ่มสั่นแล้วก็แทบจะน้ำตาร่วงเมื่อเปิดออกมาพบ ว่าเป็นแจ็คข้าวหลามตัด เคย์ยกมือถามก่อนเพื่อนทันที
"คนที่ชอบคือยามาดะ เรียวสุเกะใช่หรือไม่"
สามคนที่เคาะขวดร้องรำทำเพลงเงียบสนิทในทันทีที่เพื่อนเอ่ยคำถามออกไปทะลุ กลางปล้องตรงๆ เสียอย่างนั้น มิราอิเงยหน้ามองสบตาเคย์ด้วยดวงตาที่แดงก่ำราวกับกำลังพยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่กำลังรินไหล มิราอิเม้มริมฝีปากที่สั่นไหวขบเอาไว้พร้อมกับเลื่อนสาย ตาไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงกำลังมองตรงมาและ รอคอยฟังคำตอบใจจดจ่อ
เจ้าตัวมานั่งอยู่ตรงนี้แล้วเธอควรจะบอกออกไปอย่างไรดี
TBC.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มิราอิและฮารุกะที่กำลังจะกลับบ้านเดินสวนกับเด็กห้องเอที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งส่งเสียงเฮลั่นดีใจกันอย่างถ้วนหน้า ฮารุกะมองตามแล้วก็ทำหน้าปลงแอบบ่นออกมาเล็กน้อย
"อีกแล้วเหรอเนี่ย พวกห้องเอได้ไปตลอดอ่ะ"
มิราอิยิ้มก่อนจะหันกลับไปมองที่บอร์ดข่าวก็พบว่าอายาเสะกำลังยืนเงยหน้ามอง ภาพของเธอซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองมาครอบครอง พลันเด็กสาวก็หันหน้ามาเจอกับทั้งสองก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายยิ้มออก มาให้แล้วเดินจากไปทันที มิราอิหันไปยิ้มกับฮารุกะพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองภาพวาดที่ได้อันดับหนึ่ง
เด็กชายหญิงสองคนกำลังนอนเล่นบนสะพานขนาดเล็กที่ยื่นออกไปสู่ทะเลสาบอะชิ เบื้องหน้าเป็นภูเขาไฟฟูจิและมีต้นซากุระรายล้อมสดใสสวยงามจนจินตนาการหยั่ง ลึกไปถึงว่าเด็กทั้งสองคนในภาพคงกำลังมีความสุขกันมากเลยทีเดียว ไม่แปลกใจที่ภาพนี้จะได้รับรางวัลเพราะแค่ดูก็รู้สึกถึงมิติความสดใสทั้ง ทิวทัศน์ธรรมชาติซึ่งเป็นองค์ประกอบของภาพหรือแม้กระทั่งเด็กผู้ชายทั้งสอง ก็ตาม
ดวงตาสวยเลื่อนมองชื่อเจ้าของผลงาน คาวาชิมะ ยูมิกะ
มิราอิเบนสายตากลับไปมองยังเด็กชายหญิงสองคนในภาพอีกครั้ง
"โห จะเฟอร์เฟคไปไหนเนี่ย น่าอิจฉาสุดๆ" ฮารุกะเปรยออกมาอย่างอดไม่ได้ ก็คนอะไรหน้าตาน่ารัก เรียนเก่ง นิสัยดี มีแฟนหล่อ แล้วยังจะวาดรูปสวยอีก อยากรู้จริงๆ ว่าตอนเด็กแม่เลี้ยงมาด้วยอะไร ฮารุกะจะได้บอกแม่ให้ซื้อมาเลี้ยงตัวเองบ้าง ว่าแต่คงไม่ทันแล้วล่ะ
"นั่นสินะ" มิราอิตอบรับเสียงเบา ในจังหวะที่กำลังจะเดินออกไปก็ทันทีกับบุคคลที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนากำลัง เดินผ่านมาพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่กว่าเป็นสองเท่า ยูมิกะเดินยิ้มทักทายเพื่อนฝูงห้องเอที่เข้ามาแสดงความยินดีด้วยตลอดทาง โดยมีเรียวสุเกะเดินถือกระเป๋าตามหลังมา
ดวงตาคมมองสบกับร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า ยมิราอิหลบตามองต่ำพร้อมกับถอยชิดติดกับฮารุกะขณะที่ทั้งคู่เดินผ่านไป ยูมิกะยิ้มหวานส่งผ่านมาให้โดยที่ฮารุกะโบกมือตอบรับทันที ทันใดนั้นคนตัวสูงก็หยุดเดินแล้วมองตรงมาที่มิราอินิ่ง
"พรุ่งนี้อย่าลืมนะ"
มิราอิเงียบขณะที่ฮารุกะยิ้มแฉ่งตอบอย่างต้องการจะอวด
"ไม่ลืมหรอกน่า กำลังจะไปซื้อของกันด้วย" เรียวสุเกะเลิกคิ้วยิ้มพลางมองคนที่กำลังก้มหน้าน้อยๆ แล้วเดินออกไปพร้อมกับยูมิกะซึ่งถามไถ่เรื่องที่จะไปเข้าค่ายเก็บตัว ด้วยความอยากรู้และอาสาที่จะช่วยอย่างเต็มที่
"จะไปพรุ่งนี้แล้วสินะ ให้เราไปเก็บของให้ไหม"
"ก็เอาสิ กำลังขี้เกียจพอดี"
"อะไรกัน งั้นเราไม่ไปดีกว่า ให้คนขี้เกียจรู้จักทำเองซะบ้าง"
"อาสาแล้วไม่ช่วยแบบนี้เรียกว่าใจร้ายนะครับ" บอกพร้อมกับยกมือขยี้ผมคนตัวเล็กไปมา ยูมิกะหัวเราะเสียงใสก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเลี้ยวหายไป ฮารุกะมองตามตาปรอยรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวสองคนนี้ทำไมดูมีออร่าแบบที่คน ทั่วไปเข้าไม่ถึงชอบกล อย่างยูโตะจิ๊จ๊ะพูดจาเลี่ยนหูกว่าเรียวสุเกะเยอะแต่ความละมุนละไมในการเอาใจใส่ดูจะผิดกับรายหลังลิบลับ
ขณะที่ฮารุกะกำลังมองตามสองคนนั้นไป มิราอิก็หันกลับไปมองยังภาพวาดแผ่นใหญ่ที่ติดไว้เด่นเป็นสง่าอีกครั้งก่อนที่ ริมฝีปากบางจะเหยียดยิ้มออกมา ยิ้ม...ที่สื่อไปไม่ถึงดวงตาแสนเศร้า
.
.
.
เจ็ดโมงเช้ารถบัสขนาดเล็กของโรงเรียนก็เข้ามาจอดบริเวณสนามฟุตบอลพร้อมกับ เหล่าคณะชมรมดนตรีได้เคลื่อนขบวนมาถึงที่หมายไม่เว้นแม้กระทั่งท่านประธานนักเรียนซึ่งเดินหอบกล่องขนาดเหมาะมือตรงดิ่งเข้ามาหาพร้อมกับจัดแจงที่นั่งตัวเองลงข้างเคย์โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครมาจุดธูปอัญเชิญให้เสียเวลา
"เชี่ยยะ มึงอยู่ชมรมดนตรีหรือไงแม่ง เสนอหน้ามาเชียวนะ" ฮิคารุเปิดประเด็นพร้อมกับขว้างเป้ขนาดใหญ่ลงบนที่นั่งตัวเองเฉียดหัวโคตะไป ไม่เกินเซนฯ
"ห่าฮิค มึงจะเรียกกูยูยะก็เอาเต็มๆ อย่ามาย่อ ฟังดูตลกชิบหาย"
"ทำไม ก็กูจะเรียกแบบนี้ มึงนั่นแหละมาทำไม งบพวกกูขอไปก็ไม่ให้ ขอรถบัสคันใหญ่เอารถกระป๋องมาให้กูเนี่ย แถมยังจะมายุบชมรมกูอีก กูไม่ถีบให้ก็บุญหัวมึงแล้วสาด" ทาคาคิเอานิ้วแหย่หูทันทีที่โดนสวดมาชุดใหญ่
"มึงจะด่ากูอีกนานไหม จะได้หลับรอ กูมาเนี่ยเพราะมาควบคุมความประพฤติพวกมึง จะซ้อมดนตรีแค่นี้แรดออกไปไกลมันน่าไว้ใจไหมกูถามหน่อย" ท่านประธานโรงเรียนตอบเสียงขรึมขณะที่เคย์แง้มฝากล่องที่หิ้วมาเสียไกลออกดู พบว่ามีทั้งเหล้า บุหรี่ ไพ่ ไฮโลเพียบ เหรัญญิกชมรมกรอกตาแล้วจัดการตีศีรษะคนที่วางมาดเสียงดัง
"มึงจะตามไปควบคุมพวกกูหรือว่าจะไปเปิดบ่อนที่ปอยเปตวะแม่ง มึงขนมายังกับไม่รู้สันดานเพื่อนมึง เชี่ยบุแบกเหล้าเชี่ยฮิคหอบไพ่ เจริญล่ะชมรมกู"
"จะทักทายกันอีกนานมั้ยครับพี่ พวกผมจะได้เหมารถไปกันเอง" ยูโตะที่นั่งอยู่เบาะหลังกับเรียวสะเกะตะโกนออกมาเมื่อเวลาผ่านไปเกือบจะเลย กำหนดออกเดินทาง โดยมีสาวน้อยอีกสองคนที่นั่งด้วยกันมองรุ่นพี่คุยกันตาแป๋ว โคตะปรบมือให้สัญญาณสงบศึกแล้วทั้งหมดก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางมุ่งตรงไปยังภูเขา แถบจังหวัดยามะนาชิซึ่งอยู่ถัดฮาโกเน่ไปไม่ไกล เนื่องจากงบประมาณมีไม่พอไปได้แค่นี้ก็ถือว่าเป็นบุญสำหรับชมรมแล้ว
ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงรถบัสก็เข้ามาจอดตรงหน้าโรงแรมหรูขนาดใหญ่ยักษ์ที่ เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัยแม้ว่าบริเวณนี้เป็นถึงยอดเขา ก็ตาม ยูโตะและทาคาคิรีบลากกระเป๋าแบกกีต้าร์ตรงดิ่งเข้าไปในตัวโรงแรมทันทีด้วย ความลัลล้าเต็มที่ อีกอย่างดูจากสภาพอากาศแล้วฝนคงจะตกลงมาอีกไม่นาน ถ้าได้นอนพักผ่อนในที่แสนสบายคงยิ่งกว่ามาเที่ยวพักตากอากาศ
"พวกมึงจะไปไหน" โคตะตะโกนถาม ยูโตะทำหน้าเลิกลั่กชี้เข้าไปในโรงแรมแล้วตอบไปตามความเข้าใจของตัวเอง
"ก็เอาของไปเก็บในโรงแรม"
ฮิคารุส่ายหน้า
"ระดับอย่างเราไม่พักโรงแรมกันหรอก เรามีบ้านพักส่วนตัว ด้านหลังนู่น" มิราอิและฮารุกะชะเง้อคอมองตามมือที่ฮิคารุชี้ไปก็พบว่าด้านหลังโรงแรมมี บ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ซึ่งมีสภาพแตกต่างกับโรงแรมราวฟ้ากับใต้ดินก็ไม่ปาน ด้วยสภาพที่เป็นบ้านไม้แลดูเก่าและโทรมเกือบจะพังมิพังแหล่ แถมยังมีหยากไย่เป็นพร็อบประกอบอย่างกับฉากบ้านในหนังผี
ยูโตะปล่อยกระเป๋าลงพื้นอย่างหมดแรงแล้วมองเข้าไปในโรงแรมตาละห้อย
"ทำไมมันต่างกันเป็นหน้ามือกับหลังตีนแบบนี้ล่ะพี่!"
"บ่นๆ ไปๆ แบกของไปที่พักของเรา" เคย์พูดขึ้น
จากนั้นทั้งหมดก็เดินผ่านโรงแรมหรูโดยมีโคตะเดินนำไปด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวสุดฤทธิ์
.
.
.
บ้านพักส่วนตัวที่ฮิคารุบอกเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวซึ่งเจ้าของเป็นลุงแก่ๆ วัยปลดเกษียณ ทั้งบ้านแบ่งออกเป็นสามโซน โดยส่วนที่อยู่ด้านในสุดจัดแบ่งเป็นห้องนอนรวม ถัดออกมาเป็นห้องนั่งเล่นที่รวมห้องทำอาหารและห้องน้ำไว้ด้วยกันและพื้นที่ สุดท้ายที่มีพื้นที่เกือบจะเท่าห้องนอนรวมเป็นห้องซ้อมดนตรีซึ่งภายในบุผนัง เป็นห้องเก็บเสียงอย่างดีและมีอุปกรณ์ดนตรีเพียบพร้อมอย่างไม่น่าเชื่อ
"ลุงเจ้าของบ้านบอกว่าเป็นบ้านพักของลูกชายที่เป็นนักดนตรีมืออาชีพน่ะ นานๆ ลูกชายแกจะแวะมาพักทีหนึ่ง ซึ่งอุปกรณ์พวกนี้แกก็ให้พวกเราใช้ได้ตามสะดวกกันเลย" เคย์อธิบายขณะที่พวกนักดนตรีของชมรมต่างก็ไปประจำตำแหน่งกันด้วยความ ตื่นเต้นไม่เว้นแม้กระทั่งทาคาคิที่รีบยึดไมค์เตรียมเป็นนักร้องประจำวง ทันทีทั้งที่หน้าที่หรือก็ไม่ใช่ (ฮิคบอก)
มิราอิและฮารุกะเดินสำรวจทั่วบ้านหลังจากที่เอาของไปเก็บเรียบร้อยแล้วทั้ง คู่ก็ตัดสินใจกันว่าจะออกไปซื้อของสดมาทำอาหารสำหรับมื้อเย็นกัน ส่วนมื้อเที่ยงก็ให้ทานข้าวกล่องแบบง่ายๆ ที่ซื้อมาเตรียมไว้แล้วน่าจะดีกว่าเพราะดูจากสภาพนักดนตรีมือใหม่ไฟแรงแล้ว คงอีกนานกว่าจะออกมาจากห้องซ้อมกัน
ทั้งสองคนต้องนั่งรถประจำทางลงมาจากยอดเขาซึ่งมีกำหนดเวลาเดินรถชัดเจนและก็ มีมาไม่บ่อยมากนักจนกระทั่งมาถึงซุปเปอร์มาเก็ตที่มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็มี ของให้เลือกซื้อหาได้ค่อนข้างเยอะ มิราอิมองสินค้าละลานตาแล้วสะกิดฮารุกะที่ดูมีความมั่นอกมั่นใจในการทำอาหาร มากจนน่าแปลกใจเพราะด้วยทักษะที่เห็นในคาบคหกรรมแล้ว ฮารุกะและมิราอิก็แทบจะสอบตกด้วยกันทั้งคู่
"นี่ฮารุกะ เราจะซื้อของกันยังไงเหรอ เราไม่รู้เรื่องด้วยเลยนะ"
ฮารุกะยิ้มร้ายก่อนจะควักเอาหนังสือขนาดพ็อกเกตบุคขึ้นมาอวด
"ไม่ต้องห่วง เราพกคู่มือทำอาหารมาด้วยแล้วก็คิดรายการอาหารสำหรับเข้าค่ายมาแล้ว นี่ๆ เราก็ซื้อตามวัสดุที่เขาบอกมา มีทั้งหมดแปดคนเราก็กะๆ ปริมาณเอา" บอกพร้อมกับเข็นรถตรงดิ่งเลือกซื้อผักหยิบๆ ใส่ไม่อั้นจนมิราอิต้องแอบส่ายหน้าเมื่อคิดว่างานผู้จัดการชมรมกับการเข้าค่าย ครั้งนี้จะไปด้วยกันรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้
จวบจนกระทั่งได้ของตามที่ต้องการ ทั้งสองคนก็หอบหิ้วของออกมานอกซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อรอรถกลับขึ้นยอด เขาแต่ปรากฏว่าฝนที่ทำท่าจะตกก่อนหน้านี้กลับเทกระหน่ำลงมาจนท้องฟ้ามืด ครึ้มปกคลุมไปทั่วทำให้ดูเหมือนว่าเกือบจะเป็นเวลาค่ำทั้งที่ตอนนี้แค่ บ่ายกว่าๆ
"แย่แล้ว" ฮารุกะเปรยพร้อมกับห่อไหล่ด้วยความหนาวสั่น ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะเข้าไปรอให้ฝนหยุดตกในซุปเปอร์ฯ แต่เพราะทั้งตัวถูกละอองฝนจับจนชื้นพอเข้าไปตากแอร์เย็นๆ ก็หนาวจนเด็กสาวทั้งสองทนไม่ไหวต้องออกมารอให้ฝนหยุดตกด้านนอกแต่ดูเหมือน ว่าสภาพอากาศจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย
สักพักเสียงมือถือของฮารุกะก็ดังขึ้น โชคยังดีที่บนยอดเขายังมีสัญญาณโทรศัพท์สามารถโทรติดต่อกันได้ ทันทีที่ฮารุกะวางสายก็หันมาบอกเพื่อนตัวน้อยที่ยืนปากสั่นอยู่ข้างๆ
"เดี๋ยวสองคนนั้นจะมารับ"
สองคนที่เอ่ยถึงคงไม่พ้นยูโตะและเรียวสุเกะซึ่งหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาทันทีที่เจอด้วยสภาพกึ่งเปียกปอนกันเต็มที่แม้จะกางร่มกันคนละคันก็ตาม ยูโตะตรงดิ่งเข้าไปหาฮารุกะ ส่วนเรียวสุเกะก็รีบเดินเข้ามาหาอีกคนเช่นกัน
"รอนานไหม รถข้างบนไม่ยอมลงมาส่ง พวกฉันเลยต้องวิ่งกันลงมา" เรียวสุเกะบอกไปตามความจริงเพราะทางด้านรถประจำทางเองคงกลัวถนนจะลื่น แม้ว่าระยะทางจากบนยอดเขาลงมาจะไม่ไกลนักเพราะเป็นภูเขาเตี้ยๆ แต่สภาพถนนลัดเลาะคดเคี้ยวพร้อมกับฝนที่ตกลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแบบนี้ ด้วยขากลับขึ้นเขาก็คงไม่มีกำหนดออกเดินทางเช่นกัน
"ไม่เป็นไร" มิราอิตอบเสียงเบาพลางห่อไหล่ด้วยความเย็นยะเยือก เรียวสุเกะเห็นแล้วตั้งใจจะเข้าไปกอดไหล่เพื่อให้คลายความหนาวอย่างวันนั้นที่เคยติดฝนด้วยกัน แต่ในครั้งนี้มิราอิไม่ยอมยืนอยู่นิ่งๆ เช่นเคย คนตัวเล็กขยับออกห่างทันทีที่ลำแขนแกร่งยื่นออกมาพร้อมกับพูดย้ำอีกครั้งเสียงสั่น
"เราไม่เป็นไร"
เรียวสุเกะมองเสี้ยวหน้าหวานนิ่งก่อนจะถอดเสื้อแจ็คเกตที่มีรอยเปียกแค่ตรงแขนห่ม ไหล่บอบบางพร้อมกับแตะข้อศอกรั้งร่างน้อยให้ออกเดินเข้ามาในร่มคันเดียวกัน ตามหลังเพื่อนสองคนซึ่งเดินนำไปแล้วข้างหน้า
มิราอิพยายามจะเดินเว้นระยะห่างจากคนที่เดินเคียงข้างไปด้วยกันจนปลายไหล่ถูกน้ำฝนสาดใส่หลายที เรียวสุเกะที่ทำหน้านิ่งมาตลอดทางถอนหายใจแล้วจับยัดคันร่มที่ถือจนอุ่นให้คนตัว เล็กเอาไปถือไว้ ก่อนที่ตัวเองจะวิ่งย้อนกลับเข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ตอีกครั้ง มิราอิหันขวับกลับไปดูที่จู่ๆ อีกคนก็วิ่งออกไปพร้อมกับมองหาฮารุกะที่เดินนำไปไกลจนเห็นเพียงแผ่นหลังขนาดเล็ก
ในจังหวะที่มิราิอิกำลังละล้าละลังว่าตัวเองควรจะทำยังไงดี เรียวสุเกะก็กลับออกมาพร้อมกับร่มคันใหม่ที่พอมิราอิเห็นก็ตาโตด้วยความคาดไม่ถึง มือน้อยกำปลายคันร่มแน่นขึ้นพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น
คนตัวสูงเดินมาหยุดลงตรงหน้าพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน
"ฉันตัวใหญ่ไปร่มคันเดียวกับเธอก็เบียดกัน ยังไงก็ตากฝนอยู่ดี คนละอันแบบนี้เธอจะได้สบายใจ" ประโยคหลังร่างสูงพูดออกมาเสียงเบา มิราอิเงยหน้าขึ้นมองพบเพียงรอยยิ้มที่ดูคล้ายกับจะหงอยเล็กน้อยจนร่างเล็กใจหาย มิราอิกระพริบตาถี่ๆ พยายามที่จะไม่สนใจก่อนจะเดินนำออกไปโดยมีอีกคนเดินตามมาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางเม็ดฝนที่ยังคงตกลงมากระหน่ำ
.
.
.
"ฮัดเช้ย!"
มิราอิละสายตาจากหนังสือตำราอาหารของฮารุกะแล้วมองไปยังเพื่อนสนิทที่กำลัง หั่นผักพร้อมกับจามออกมาเป็นรอบที่สาม มือน้อยจัดการใส่เครื่องปรุงลงไปตามรายการหนังสือแล้วถามออกไปเสียงอ่อนด้วย ความเป็นห่วง
"ไหวหรือเปล่าฮารุกะ ไปพักก่อนก็ได้นะ"
ฮารุกะหันมายิ้มกว้าง
"ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เราออกกำลังกายบ่อย แข็งแรงอยู่แล้ว" บอกพร้อมกับโชว์ลีลาหั่นผักพลิ้วเสียจนกิ่งก้านใบกระเด็นกระดอนไปไกล ทั้งคู่ทำไปขำไปจนในที่สุดผลงานก็ออกมาเป็นที่น่าภูมิใจแม้ว่าหน้าตาจะดูติด ลบแต่รสชาติฮารุกะมั่นใจว่าเกินร้อยแน่นอน
"เย็นมากแล้ว เดี๋ยวเราไปตามพวกนั้นเข้ามาทานข้าวก่อนนะ" ฮารุกะอาสาแล้ววิ่งออกไปทันที มิราอิชะโงกหน้าออกไปมองท้องฟ้าด้านนอกที่เริ่มจะไร้เมฆปกคลุมแม้ฝนจะยังคงตก โปรยปรายไม่ยอมหยุดเลยก็ตาม
ขณะที่ทุกคนขอตัวไปอาบน้ำ สองคนก็ค่อยๆ ทยอยนำอาหารไปจัดวางบนโต๊ะยาวกลางห้องนั่งเล่น เพียงไม่นานบรรดานักดนตรีมือสมัครเล่นก็ออกมานั่งเรียงพร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยมีโคตะนั่งหัวโต๊ะในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่และเป็นถึงประธานชมรมซึ่งถัดมา เป็นเคย์และฮิคารุขนาบข้างอย่างกับหวางเฉาหม๋าฮั่นก็ไม่ปาน
"ตายห่ะ โรงพยาบาลอยู่ไกลไหมมึง ดูสภาพแล้วกูออกไปซื้อมาม่ามาแดกน่าจะปลอดภัยกว่า" ทาคาคิพูดจบปุ๊บเคย์ก็ขว้างหมอนรองนั่งยัดหน้าทันทีโดยที่มิราอิและฮารุกะ ได้แต่ยิ้มหน้าแหย
"ปากเหรอไอ้ยะ น้องเค้าอุตส่าห์ทำให้ปลวกอย่างมึงกินก็ดีแล้ว"
"กูก็พูดล้อเล่นไปอย่างนั้นแหละ แหม ว่าไม่ได้เลยนะผู้จัดการชมรมพวกมึงเนี่ย" แอบเหน็บพร้อมกับคีบผัดผักเข้าปากก่อนใครเพื่อน โคตะยิ้มตาหยีก่อนจะพูดตอบ
"สมบัติของชมรมเว้ย"
"ของผมต่างหาก" ยูโตะอ้อมแอ้มบอกเสียงเบาพร้อมกับโดนฮารุกะหยิกพุงเข้าให้ทันที
หลังจากที่รับประทานอาหารมื้อเย็นกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาตั้งวงมั่วสุม จับกลุ่มกันเล่นไพ่โดยที่แต่ละคนถือขวดเหล้ากันคนละขวดโดยไม่ได้สำเหนียกเลย ว่าตัวเองยังไม่บรรลุนิติภาวะกันเลย มิราอิและฮารุกะช่วยกันปูที่นอนจนเสร็จก็เดินออกมานั่งเล่นดูทีวีไปตามประสา สักพักยูโตะก็เดินเข้ามานั่งข้างฮารุกะก่อนจะคุยกันหงุงหงิงเสียงเบาราว กับอยู่ในโลกส่วนตัว
มิราอิยิ้มแล้วก็เผลอไปสบตากับคนตัวสูงที่เพิ่งกลับมาจากไปโทรศัพท์ข้างนอกมา คนตัวเล็กเมินหน้ากลับมาจ้องทีวีทันทีพร้อมกับกอดหมอนแน่น พยายามทำเป็นไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปร่วมวงกับพวกรุ่นพี่แม้ว่ามิราอิจะรู้สึกตัวถึงสายตาคมของใครอีกคนที่คอยจ้องมองตลอดเวลาก็ตาม
ผ่านไปสักพักฮารุกะก็เอนศีรษะซบลงบนไหล่หนาของยูโตะด้วยอาการปวดหัวหนึบ พร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนผ่าว คนตัวเล็กพึมพำบ่นงอแงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง
"พากลับไปนอนพักในห้องเถอะว่ะ สงสัยจะโดนฝนเล่นงาน" เคย์ร้องตะโกนมาบอกยูโตะที่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นกังวล เด็กหนุ่มพูดปลอบฮารุกะราวกับเด็กน้อยตลอดทางที่พาเข้าไปนอนยังห้องด้านใน มิราอิพอเห็นเพื่อนไม่สบายก็ลุกขึ้นหวังจะตามไปดูแล แต่เคย์ก็ร้องเรียกเอาไว้พร้อมกับกวักมือไหวๆ
"ปล่อยไปเถอะ ไอ้โตะมันประคบประหงมขนาดนั้นไม่เป็นอะไรหรอก ชิดะคุงมานี่ดีกว่ามา หาไรสนุกๆ ทำ" มิราอิอยากจะเข้าไปดูเพื่อนแต่เพราะถูกรุ่นพี่เอ่ยปากชวนแบบนี้คนตัวเล็กจึง ได้แต่เดินเข้าไปร่วมวงอย่างช่วยไม่ได้ และทันทีที่มีคนมาเพิ่มทาคาคิที่เมาได้ที่ก็จัดการล้างไพ่ในมือทันที
"มาเข้าค่ายก็ต้องเล่นเกมส์เปิดใจกันหน่อยดิวะ ใจป่าว?" ถามพร้อมกับเอาขวดเหล้าชี้หน้าเพื่อนรอบวง ฮิคารุร้องรับคำท้าลั่นอย่างอารมณ์ดีขณะที่มิราอิได้แต่ทำหน้าลำบากใจโดยมีสายตาของคนที่นั่งตรงข้ามมองจ้องมาจนร่างเล็กไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกไป
"ใครได้ไพ่ผี แจ็ค แหม่ม คิง ต้องตอบคำถามคนในวงหนึ่งข้อ ห้ามเบี้ยว ห้ามโกหก ใครโกหกขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาดลบันดาลให้วงดนตรีโรงเรียนเราตกรอบ" เจ้าของไอเดียกำหนดกติกาเองเสร็จสรรพพร้อมกับที่โคตะใช้มือไถกะโหลกเข้าให้ ที่เลือกเรื่องมาแช่งได้โดนใจป๋าเต็มๆ
"กูในฐานะคนที่หล่อที่สุดขอจับไพ่ก่อน" ทาคาคิเริ่มจับไพ่ที่วางตั้งไว้กลางวงเป็นคนแรกปรากฏว่าไพ่ออกมาเป็นสี่ โพธิ์แดง จากนั้นก็เป็นเรียวสุเกะที่ได้ไพ่หกข้าวหลามตัด เคย์ได้สองโพธิ์แดง ฮิคารุได้แปดโพธิ์ดำและมิราอิที่เปิดไพ่ออกมาได้แหม่มดอกจิก ทุกคนในวงฮาครืนขณะที่ร่างเล็กเริ่มหน้าเจื่อน
"ขอถามน้องน้อยของพวกเราว่า มีแฟนหรือยังครับ" โคตะยกมือถามก่อนเป็นคนแรก ยูริสั่นหน้าพรืดทันที
"ยังไม่มีค่ะ"
"อ่าวเฮ้!" คนถามยกมือทำท่าดีใจอย่างอารมณ์ดี โคตะได้สิทธิ์จับไพ่แต่ก็ผ่านมาได้กระทั่งวนมาถึงมิราอิอีกรอบ มือน้อยพลิกไพ่ออกมากลายเป็นคิงดอกจิก ไพ่ผีตกลงมาที่มิราอิอีกครั้งและครั้งนี้ฮิคารุเป็นฝ่ายขอถามบ้าง
"ถ้ายังไม่มีแฟน แล้วคนที่ชอบมีหรือเปล่า?"
คำถามที่มาพร้อมกับอาการอึกอัก มิราอิเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อทุกสายตามุ่งตรงมาที่เธอเป็นจุดเดียว คำถามแค่นี้มิราอิตอบให้ก็ได้ถ้าใครคิดจะมาถามกันตรงๆ แต่เพราะที่นี่ในตอนนี้มีใครอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังรอฟังคำตอบเช่นกัน นั่นทำให้มิราอิไม่อยากจะบอกออกไปแต่เพราะได้ตกลงกันไว้แล้ว คนตัวเล็กจึงได้แต่พยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบพร้อมกับรุ่นพี่ทั้งสามคนเป่าปากหวือทันที
ทุกคนเริ่มวนจับไพ่กันอีกรอบ และก็ผ่านกันมาได้ตลอด มิราอิจับไพ่บนสุดแล้วนึกภาวนาขอให้ตัวเองไม่โชคร้ายจนเกินไปแต่พอเปิดหน้าไพ่ กลับกลายว่าเป็นคิงโพธิ์แดงโชว์หราจนคนตัวเล็กนึกอยากจะให้คนที่ไม่สบายเป็น ตัวเธอเองเสียมากกว่า
"คำถามต่อไป คนที่แอบชอบก็มาเข้าค่ายเหมือนกันใช่ไหม" เคย์เป็นฝ่ายถามขึ้น มิราอิก้มหน้าตอบออกไปเสียงเบาขณะที่ใจเริ่มสั่น
"ค่ะ"
ฮิคารุ โคตะและทาคาคิร้องเพลงเคาะขวดเหล้าอย่างร่าเริงที่ได้ฟังคำตอบ ไพ่วนกลับมาที่มิราอิอีกครั้ง มือน้อยที่ยื่นออกไปเปิดไพ่เริ่มสั่นแล้วก็แทบจะน้ำตาร่วงเมื่อเปิดออกมาพบ ว่าเป็นแจ็คข้าวหลามตัด เคย์ยกมือถามก่อนเพื่อนทันที
"คนที่ชอบคือยามาดะ เรียวสุเกะใช่หรือไม่"
สามคนที่เคาะขวดร้องรำทำเพลงเงียบสนิทในทันทีที่เพื่อนเอ่ยคำถามออกไปทะลุ กลางปล้องตรงๆ เสียอย่างนั้น มิราอิเงยหน้ามองสบตาเคย์ด้วยดวงตาที่แดงก่ำราวกับกำลังพยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่กำลังรินไหล มิราอิเม้มริมฝีปากที่สั่นไหวขบเอาไว้พร้อมกับเลื่อนสาย ตาไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงกำลังมองตรงมาและ รอคอยฟังคำตอบใจจดจ่อ
เจ้าตัวมานั่งอยู่ตรงนี้แล้วเธอควรจะบอกออกไปอย่างไรดี
TBC.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น