ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Sakura drop : 14
คาบเรียนสุดท้ายของวันศุกร์ดูคึกคักกว่าปกติหลังจากที่อาจารย์วิชาภาษาญี่ปุ่นสอนไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงก็ติดธุระกับผู้อำนวยการโรงเรียนเรื่องการประกวดวาดภาพที่จะมีขึ้นในอาทิตย์หน้า สองหนุ่มเรียวสุเกะและยูโตะรีบดิ่งออกจากห้องเรียนไปยังห้องชมรมทันทีเพื่อฝึกซ้อมเพลงที่จะนำไปแสดงเปิดหมวกซึ่งเป็นวันสุดท้ายแล้วพร้อมกับการปิดงานชมซากุระของอุทยานอย่างเป็นทางการ
"มึงอ่ะไม่ต้องกิน ไปกันได้แล้ว ยูมิกะเดี๋ยวฉันไปก่อน เก็บเค้กไว้ที่บ้านนะ เย็นนี้จะไปหา" ประโยคหลังคนตัวสูงหันมาบอกแล้วลากเพื่อนสนิทลงบันไดจากไปสวนทางกับโอคาดะหัวหน้าห้องซึ่งเดินหน้าตาเครียดขึงผ่านไปโดยไม่ทักทายอย่างทุกที เรียวสุเกะมองตามหลังเพื่อนร่วมห้องแล้วก็เดินตามยูโตะไป
"เธอมีความจำเป็นอะไรอย่างนั้นเหรอชิดะทำไมถึงไม่ไปลงชื่อให้อายาเสะ" เด็กสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนรักของอายาเสะร้องถามขึ้นอย่างใจเย็นทั้งที่เธอก็รู้สึกเจ็บปวดแทนเพื่อนของเธอที่ไม่สามารถวาดภาพได้ตามความตั้งใจได้
"...อย่าดูถูกความพยายามของอายาเสะด้วยความไม่รับผิดชอบของเธอ ถ้าหากทำไม่ได้ตั้งแต่แรกก็ไม่ควรจะรับปาก"
"เรียวสุเกะคุง..."
ยูมิกะชะโงกหน้าออกมาจากห้องเรียนเมื่อเห็นว่าคนรักของตัวเองกำลังเดินผ่านหน้าห้องพอดี ร่างเล็กที่ยังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนฉีกยิ้มหวานพร้อมกับยื่นจานขนมเค้กหน้าตาน่าทานมาให้
"ลองเอาไปชิมดูนะ พอดีว่าเราเพิ่งเรียนคหกรรมเสร็จน่ะ นากาจิม่าคุงด้วยนะ" ความใจดีเผื่อแผ่มาถึงเด็กหนุ่มตัวสูงซึ่งกระดี๊กระด๊าทันทีที่เห็นของกิน เรียวสุเกะยกคาฮองในมือขึ้นให้ดู
"ฉันไม่มีมือถือแล้ว ยูมิกะป้อนหน่อยสิ" บอกแล้วเดินเข้าไปชิด ยูมิกะยิ้มเขินจนแก้มขาวแดงปลั่งเป็นผลมะเขือเทศสุกก่อนจะใช้ช้อนพลาสติกตักเค้กยื่นป้อนให้กับคนตัวสูงที่โน้มตัวลงมาอ้าปากรับ เรียวสุเกะยิ้ม
"คิดอยู่แล้วว่าต้องอร่อย"
เมื่อได้รับคำชม ยูมิกะก็ยิ้มหวานจนตาหยี ยูโตะเห็นว่าสบโอกาสจึงเดินเข้ามาแทรกกลางทั้งสองคนแล้วอ้าปากกว้าง
"ต่อไปตาฉันบ้าง ยามาดะเอาคำโตๆ นะ" ยังไม่ทันที่เคย์โตะจะได้ลิ้มชิมรสชาติเค้กก้อนโตก็ถูกยูโตะถีบออกไปนอกระเบียงทันที
"ต่อไปตาฉันบ้าง ยามาดะเอาคำโตๆ นะ" ยังไม่ทันที่เคย์โตะจะได้ลิ้มชิมรสชาติเค้กก้อนโตก็ถูกยูโตะถีบออกไปนอกระเบียงทันที
"มึงอ่ะไม่ต้องกิน ไปกันได้แล้ว ยูมิกะเดี๋ยวฉันไปก่อน เก็บเค้กไว้ที่บ้านนะ เย็นนี้จะไปหา" ประโยคหลังคนตัวสูงหันมาบอกแล้วลากเพื่อนสนิทลงบันไดจากไปสวนทางกับโอคาดะหัวหน้าห้องซึ่งเดินหน้าตาเครียดขึงผ่านไปโดยไม่ทักทายอย่างทุกที เรียวสุเกะมองตามหลังเพื่อนร่วมห้องแล้วก็เดินตามยูโตะไป
ในเวลาเดียวกันฮารุกะก็นั่งอ่านมังงะในห้องขณะที่มิราอิกำลังนั่งทำการบ้านเพื่อรอเวลาให้ถึงหลังเลิกเรียนแล้วทั้งคู่จะได้ตามเอาของออกไปที่อุทยานเช่นเคย
"ชิดะ..." โอคาดะหัวหน้าห้องเรียกขึ้นพร้อมกับเดินมาหยุดลงตรงหน้ามิราอิ มิราอิวางปากกาในมือลงเมื่อเงยหน้าขึ้นพบว่าเพื่อนกำลังมองตรงมาด้วยสายตาเรียบเฉย การแสดงออกของหัวหน้าห้องที่ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ดีและน้ำเสียงที่ฟังดูผิดแผกไปจากปกติเรียกความสนใจจากบรรดาเพื่อนร่วมห้องให้หันเหสายตามามองทั้งคู่เป็นจุดเดียวไม่เว้นแม้กระทั่งฮารุกะที่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย
"ที่เราฝากให้ไปลงชื่ออายาเสะประกวดวาดภาพได้ไปหรือเปล่า" โอคาดะยังคงถามด้วยระดับน้ำเสียงเช่นเคย มิราอิเบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีหลังจากที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเพื่อนวานให้ไปลงชื่อสมัครที่ห้องกรรมการนักเรียนเมื่อหลายวันก่อน
"เรา..." มิราอิไม่มีแม้คำจะแก้ตัวด้วยซ้ำ หัวหน้าห้องถอนหายใจ
"เมื่อกี้อาจารย์เรียวโกะเรียกเราไปถามว่าทำไมห้องเราถึงไม่ส่งรายชื่อคนที่จะไปประกวดทั้งที่ก็หมดเขตนานแล้วด้วย แล้วทีนี้เราจะทำยังไงดีล่ะ" โอคาดะพยายามจะปรึกษาหารือกับเหตุการณ์ที่ได้ผิดพลาดไป เพื่อนทั้งห้องต่างนิ่งอึ้งกันไปทั้งหมด โดยเฉพาะอายาเสะที่กำลังฝึกหัดวาดภาพอยู่ที่โต๊ะของตัวเองอย่างตั้งใจ แต่พอรู้ว่าไม่มีชื่อของตัวเองเด็กสาวก็ทำได้แค่วางพู่กันลงพร้อมกับก้มหน้านิ่งอย่างยอมรับชะตากรรม
"เมื่อกี้อาจารย์เรียวโกะเรียกเราไปถามว่าทำไมห้องเราถึงไม่ส่งรายชื่อคนที่จะไปประกวดทั้งที่ก็หมดเขตนานแล้วด้วย แล้วทีนี้เราจะทำยังไงดีล่ะ" โอคาดะพยายามจะปรึกษาหารือกับเหตุการณ์ที่ได้ผิดพลาดไป เพื่อนทั้งห้องต่างนิ่งอึ้งกันไปทั้งหมด โดยเฉพาะอายาเสะที่กำลังฝึกหัดวาดภาพอยู่ที่โต๊ะของตัวเองอย่างตั้งใจ แต่พอรู้ว่าไม่มีชื่อของตัวเองเด็กสาวก็ทำได้แค่วางพู่กันลงพร้อมกับก้มหน้านิ่งอย่างยอมรับชะตากรรม
"เธอมีความจำเป็นอะไรอย่างนั้นเหรอชิดะทำไมถึงไม่ไปลงชื่อให้อายาเสะ" เด็กสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนรักของอายาเสะร้องถามขึ้นอย่างใจเย็นทั้งที่เธอก็รู้สึกเจ็บปวดแทนเพื่อนของเธอที่ไม่สามารถวาดภาพได้ตามความตั้งใจได้
มิราอิกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากด้วยความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาจนปลายนิ้วแอบสั่นไหว ทั้งหมดเป็นความผิดของยเธอที่ลืมเสียสนิทใจ ไม่น่าลืมเลยจริงๆ
"เราลืม..."
"ลืม!" เด็กสาวร้องเสียงสูงสวนขึ้น "ฉันไม่ได้อยากจะว่าหรอกนะ เพราะฉันไม่ได้เดือดร้อนกับความไม่ใส่ใจของเธอ คูปองฟรีค่าอาหารฉันเชื่อว่าพวกเราในห้องนี้ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ แต่เธอรู้ไหมว่าอายาเสะเค้าตั้งใจกับการประกวดวาดภาพในครั้งนี้แค่ไหน รู้บ้างไหมว่าเธอต้องนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพื่อขลุกอยู่กับการวาดรูปเป็นสิบเป็นร้อย หรือว่าเธอเห็นว่าเป็นแค่การประกวดภายในโรงเรียนเล็กๆ ไม่สำคัญอะไร แต่ฉันอยากจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ..."
เด็กสาวพูดประโยคยาวเหยียดด้วยดวงตาที่แดงก่ำเมื่อหันไปมองเพื่อนของเธอที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองภาพวาดในมือ ไหล่บางสั่นสะท้อนไหวเป็นภาพที่ใครๆ เห็นก็ต้องสะเทือนใจเกือบจะน้ำตาคลอ
"ลืม!" เด็กสาวร้องเสียงสูงสวนขึ้น "ฉันไม่ได้อยากจะว่าหรอกนะ เพราะฉันไม่ได้เดือดร้อนกับความไม่ใส่ใจของเธอ คูปองฟรีค่าอาหารฉันเชื่อว่าพวกเราในห้องนี้ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ แต่เธอรู้ไหมว่าอายาเสะเค้าตั้งใจกับการประกวดวาดภาพในครั้งนี้แค่ไหน รู้บ้างไหมว่าเธอต้องนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพื่อขลุกอยู่กับการวาดรูปเป็นสิบเป็นร้อย หรือว่าเธอเห็นว่าเป็นแค่การประกวดภายในโรงเรียนเล็กๆ ไม่สำคัญอะไร แต่ฉันอยากจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ..."
เด็กสาวพูดประโยคยาวเหยียดด้วยดวงตาที่แดงก่ำเมื่อหันไปมองเพื่อนของเธอที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองภาพวาดในมือ ไหล่บางสั่นสะท้อนไหวเป็นภาพที่ใครๆ เห็นก็ต้องสะเทือนใจเกือบจะน้ำตาคลอ
"...อย่าดูถูกความพยายามของอายาเสะด้วยความไม่รับผิดชอบของเธอ ถ้าหากทำไม่ได้ตั้งแต่แรกก็ไม่ควรจะรับปาก"
เมื่อเพื่อนรักของอายาเสะพูดจบทั้งห้องก็เงียบสนิทยิ่งกว่าเดิม ทุกสายตามองตรงมาที่มิราอิด้วยความตำหนิจนฮารุกะชักจะทนไม่ไหว เธอเดินออกไปยืนเคียงข้างเพื่อนแล้วพูดเสียงดัง
"ชิดะเขาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกอะไรสักหน่อย คนเราก็ต้องมีลืมบ้าง พลาดกันบ้างสิ ทำไมต้องพูดว่ากันแรงๆ ด้วย"
"แล้วอายาเสะล่ะ พวกเธอจะรับผิดชอบกันยังไงในเมื่อมันหมดเขตกันไปตั้งนานแล้ว แล้วรูปพวกนี้ล่ะ รูปที่ตั้งใจจะเอาไปประกวดล่ะ จะให้วาดเอาไว้ดูเองหรือไง ไม่ตลกไปหน่อยเหรอ"
"ก็..." มือน้อยคว้าแขนเพื่อนหมับแล้วกำแน่นจนฮารุกะที่ตั้งใจจะตอบโต้ให้ต้องหยุดพูดอย่างกะทันหัน ฮารุกะหันไปหามิราอิที่ส่ายหน้าบอกไม่ให้พูดอะไรออกไปทำให้ฮารุกะได้แต่ทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อย
ครืด เสียงเก้าอี้ลากพร้อมกับที่อายาเสะลุกขึ้นยืน
"ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไรหรอก" เด็กสาวบอกเสียงสั่นแล้วคว้ากระเป๋าเดินออกไปนอกห้องทันทีโดยมีเพื่อนสาววิ่งตามไปติดๆ หลังจากนั้นเพื่อนร่วมห้องก็ทยอยเดินออกไปจากห้องทีละคนจนในที่สุดหัวหน้าห้องก็ก้าวตามเพื่อนๆ ออกไปอย่างเงียบเชียบ มิราอิก้มหน้าก้มตาเก็บหนังสือเรียนของตัวเองเข้ากระเป๋าโดยไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาจนฮารุกะนึกอยากจะระเบิดตัวเองด้วยความอึดอัดใจแทน
"ชิดะ..."
"ฮารุกะวันนี้ไปอุทยานคนเดียวได้ไหม เราขอตัวกลับบ้านก่อนนะ ขอโทษจริงๆ" ฮารุกะมองสบตากับเพื่อนที่แลดูเคว้งคว้างอย่างน่าใจหาย แต่ความเด็ดเดี่ยวที่สามารถมองเห็นจากท่าทางที่ยังคงสงบได้ทำให้เธอได้แต่ถอนหายใจ
"อื้อ เธอกลับไปพักเถอะ ไม่เป็นไรนะอย่างน้อยเธอก็ยังมีเรานะ"
มิราอิยิ้มบางก่อนจะพยักหน้ารับรู้ ฮารุกะเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางลังเลคล้ายกับไม่อยากจะปล่อยให้เพื่อนต้องอยู่คนเดียว แต่มิราอิก็ยิ้มตอบกลับมาและโบกมือให้ว่าไม่เป็นไร เธอจึงได้ยอมเดินจากมาในที่สุด
ทันทีที่เพื่อนลับหายไป ห้องเรียนที่ว่างเปล่าแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะเงียบเหงาไปในทันตา มิราอิทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเองอย่างช้าๆ ริมฝีปากที่บางสั่นถูกขบกัดจนเจ็บชาเพื่อกั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมาจนไหล่ไหวสะท้าน ก่อนที่มือน้อยทั้งสองข้างจะยกขึ้นมาปิดหน้ารองรับหยาดน้ำตาที่ทะลักไหลเปรอะเปื้อนจนเต็มมือ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร มิราอิมักจะทำพลาดเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร มิราอิมักจะทำพลาดเสมอ
พลาด... ด้วยตัวของเธอเอง
.
.
.
ฮารุกะเดินเข้ามาในลานอุทยานด้วยท่าทีเหม่อลอย ดวงตาโตแป๋วมองสบตากับยูโตะที่กำลังลองเสียงกีต้าร์แล้วก็ร้องไห้ออกมาดื้อๆ จนคนที่มองตอบกลับมาทิ้งกีต้าร์ลงพื้นอย่างไม่สนใจไยดีก่อนจะรีบวิ่งเข้ามา หาคนตัวเล็กซึ่งคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์ก็ตามเข้ามาดูด้วยความตกใจ
"ฮารุกะ พารุจังเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม!" ถามออกไปด้วยความร้อนรน ฮารุกะกราดสายตามองหน้าทุกคนที่มารุมล้อมแล้วก็เอ่ยเสียงแผ่ว
"ชิดะ..."
"ทำไม ชิดะเป็นอะไร!"
แค่เพียงชื่อของอีกคนที่หลุดออกมาก็ทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงถามกลับทันที ฮารุกะยกมือปาดน้ำตาแรงๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องออกมาอย่างช้าๆ ยังไม่ทันที่จะเล่าจนจบด้วยซ้ำเรียวสุเกะก็วิ่งพรวดพราดออกไปคว้าจักรยานของตัวเองถีบออกตัวด้วยความเร็วสูงมุ่ง ตรงไปยังโรงเรียนทันที เรียวสุเกะได้ยินเสียงรุ่นพี่เรียกเอาไว้แต่เขาไม่ได้ใส่ใจเมื่อคิดไปถึงใครอีกคน ที่กำลังอยู่ลำพังคนเดียว
.
.
.
มิราอิเงยหน้ามองป้ายสภานักเรียนก่อนจะขออนุญาตเข้าไปด้านในซึ่งมีเหล่ากรรมการนักเรียนกำลังนั่งทำงานกันอยู่ ถัดไปด้านในเป็นโต๊ะประธานนักเรียนซึ่งมีเด็กหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งอ่าน หนังสือเล่มหน้าด้วยหน้าตาเครียดจัด มิราอิรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไปหยุดลงตรงหน้าโต๊ะท่านประธานใหญ่ที่พอเห็น ว่ามีคนมาหาก็รีบปิดหนังสือการ์ตูนซึ่งยัดไส้ไว้ข้างในเก็บลงลิ้นชักทันที
"เข้ามามีอะไรเหรอน้อง" ทักไปราวกับตัวเองอาวุโสกว่าเสียหลายปี มิราอิเม้มริมฝีปากก่อนพูด
"รายชื่อคนที่สมัครวาดภาพยังส่งตอนนี้ทันไหมคะ" ทาคาคิขมวดคิ้วฉับทันที มีด้วยเหรอวะ ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย มิราอิเห็นว่ารุ่นพี่เงียบไปจึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"ฉันรู้ว่าหมดเขตสมัครแล้ว แต่รุ่นพี่ช่วยรับเพิ่มไปอีกคนได้ไหมคะ"
ทาคาคิยกมือเกาศีรษะแกรกๆ วันๆ เอาแต่ไปนั่งกินขนมกับไอ้บุกับไอ้ฮิคจนไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้ที่โรงเรียนเขา มีงานอะไรกันไปถึงไหน เด็กหนุ่มกำลังจะโบกมือไล่ให้น้องคนนี้กลับบ้านกลับช่องก็พอดียูริเดิน เข้ามาหาพร้อมกับจ้องหน้าคนตัวเล็กตาไม่กระพริบ
"ถ้าหมายถึงรายชื่อคนที่จะประกวดวาดภาพซากุระล่ะก็ส่งไปให้ ผอ. แล้วล่ะ พี่เกรงว่าจะส่งรายชื่อเพิ่มเติมไม่ทันแล้ว มิราอิมีอะไรอย่างนั้นเหรอ" คำตอบของญาติผู้พี่ทำเอาเด็กน้อยใจหาย มิราอิส่ายหน้าแล้วพึมพำขอบคุณเบาๆ ก่อนจะขอตัวเดินออกมาจากห้อง ยูริตั้งใจจะเดินตามออกไปด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่เคยเห็นน้องเป็นแบบนี้แต่ ก็ถูกเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน
"ยูริๆ มาช่วยอนุมัติกิจกรรมชมรมต่างๆ หน่อยสิ พี่เพลียว่ะ อ่านหนังสือทั้งวัน" ท่านประธานใหญ่บอกแล้วก็คว้าหนังสือเล่มโตออกมาอ่านหน้าตาจริงจัง ยูริมองตามแผ่นหลังบางแล้วตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องสภานักเรียนเพื่อทำ งานตามหน้าที่ของตน
มิราอิเดินขึ้นตึกที่เงียบสงัดไปยังห้องของผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งอยู่ชั้นบนสุด ในจังหวะที่เดินมาถึงหน้าห้องขนาดใหญ่ ผอ. สาวสูงวัยก็ดูเหมือนเพิ่งจะกลับเข้ามาในห้องเช่นเดียวกัน มิราอิรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
"ท่าน ผอ.คะ..."
"อ้าว ว่าไงล่ะจ้ะ มีเรื่องอะไร" หญิงสูงวัยมองผ่านแว่นตากรอบหนามาที่ร่างเล็กอย่างใจดี มิราอิยิ้มด้วยความรู้สึกที่ใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย
"เรื่องรายชื่อคนประกวดขอส่งเพิ่มตอนนี้ได้ไหมคะ"
ทันทีที่พูดบอกจุดประสงค์ออกไป หญิงสูงวัยก็ทำหน้าเคร่งขึ้นมาทันที
"กฏมีไว้เพื่อกำหนดกติกาซึ่งทางโรงเรียนแจ้งชัดเจนแล้วตั้งแต่ต้น กติกาบอกเอาไว้ว่าหมดเขตก็คือหมดสิทธิ์ตามนั้น ครูทำตามคำร้องขอของเธอไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะถ้าหากครูยอมก็เท่ากับว่าพวกเธอเองมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าห้องอื่น โปรดทำความเข้าใจและรับทราบกติกาด้วยนะ" ท่าน ผอ. พูดแล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องทันที มิราอิหน้าม่อยลงก่อนจะเดินหันหลังจากมาเมื่อคิดพิจารณาไตร่ตรองตามคำพูดของ ผู้อาวุโสกว่าแล้วว่าเป็นความจริงที่มิราอิจะต้องยอมรับให้ได้
ร่างเล็กเดินไปตามทางระเบียงเงียบสนิทอย่างเชื่องช้าพร้อมกับน้ำตาที่เริ่ม ปริ่มคลอต่อให้ต้องถูกเกลียดมากกว่านี้มิราอิก็ยอมรับได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง แต่โอกาสที่เพื่อนพลาดไป มิราอิจะเรียกร้องกลับคืนมาได้อย่างไร
มิราอิจะทำยังไงเพื่อไม่ให้ความพยายามของเพื่อนนั้นสูญเปล่า
"กรุณาด้วยครับ! ได้โปรดรับพวกเราห้อง 1- C ด้วยเถอะครับ!"
เสียงที่คุ้นเคยดังก้องไปทั้วโถงชั้นบน มิราอิหันหลังกลับไปพร้อมดวงตาที่เบิกโพลงเมื่อเห็นร่างสูงกำลังนั่งก้มหน้าคุกเข่าขอร้องอยู่หน้าห้องผู้อำนวยการที่มิราอิเพิ่งจากมา ริมฝีปากบางสั่นระริกถูกขบกัดจนช้ำ ดวงตาสวยเป็นประกายฉ่ำไหวสั่นมองตรงไปยังใบหน้าหล่อเหลาของคนที่เขาพยายามจะ บอกกับตัวเองว่าเป็นเพียงแค่คนอื่น
"เรียวสุเกะ..."
พึมพำออกมาพร้อมกับน้ำตาหยดแรกไหลเป็นทางยาวชื่อที่ไม่เคยเอ่ยเรียก พอเปล่งเสียงออกไปยิ่งตอกย้ำตัวเองให้รับรู้ถึงสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ เรียวสุเกะยังคงตะโกนคำเดิมซ้ำๆ พร้อมกับโค้งคำนับเพื่อหวังความเมตตาว่าท่าน ผอ.จะปราณีให้ มิราอิสะอื้นฮักแล้วเดินเข้าไปหาคนตัวสูงอย่างช้าๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงเคียงข้างร่างสูงที่ยื่นมือออกมารับ เพียงแค่มือน้อยถูกกุมเอาไว้ก็รับรู้ถึงความหมายของการที่มีคนอยู่เคียงข้าง ความเดียวดายที่รู้สึกมาตลอดถูกความอบอุ่นกลืนหายจนรู้สึกเข้มแข็งและมี กำลังใจขึ้นมาได้ราวกับมีปาฎิหารย์
"ไม่เป็นไรนะ" เรียวสุเกะบอกเสียงอ่อนพร้อมกับยื่นมือเช็ดน้ำตาให้ มิราอิพยักหน้าและพยายามที่จะยิ้มออกมาแม้น้ำตาจะยังคงไหลรินก็ตาม
"ได้โปรดเถอะครับ ท่าน ผอ!" เรียวสุเกะตะโกนขึ้นมาเสียงดังอีกครั้งพร้อมกับบีบมือน้อยแน่น
"กรุณาด้วยค่ะ..." มิราอิบอกเสียงสะอื้นสั่นพร้อมกับก้มหน้าลงแนบพื้นด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด มิราอิไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่เธอพอจะสามารถทำได้ก็หวังจะให้เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นบรรเทาลง
ทั้งสองคนคุกเข่าขอร้องหน้าห้อง ผอ. นานจนฟ้าเริ่มมืดสลัว หญิงสูงวัยวางแว่นตาลงบนโต๊ะทำงานแล้วลุกเดินออกไปยืนริมหน้าต่างเพ่งมองต้น ซากุระที่เห็นเด่นกลางขอบสนามฟุตบอลก่อนจะหันกลับมาสบตากับอาจารย์เรียวโกะ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้นของห้องซีซึ่งนั่งอยู่ในห้องมาตั้งนานแล้ว
"เด็กห้องเธอนี่จริงๆ เลย"
.
.
.
ประตูหน้าห้องผู้อำนวยการเปิดออกพร้อมกับอาจารย์เรียวโกะเดินออกมา ทั้งมิราอิและเรียวสุเกะต่างก็หันมาสบตากันแล้วเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ที่ส่งยิ้มมา ให้อ่อนๆ
"พวกเธอลุกขึ้นกันได้แล้ว"
ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ทั้งสองคนก็ยังคงนั่งที่เดิมผู้เป็นอาจารย์ถอนหายใจ
"ท่าน ผอ. บอกว่าอนุญาตให้เพิ่มรายชื่อเข้าไปได้"
"จริงเหรอคะ!" มิราอิร้องย้ำขึ้นมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เมื่อคุณครูพยักหน้าตอบมาให้คนตัวเล็กก็หันมายิ้มกับเรียวสุเกะที่ยิ้มตอบกลับมา อย่างดีใจ
"แต่ถ้าห้องเราชนะ รางวัลคูปองฟรีค่าอาหารกลางวันก็อดนี่เป็นเงื่อนไข" มิราอิพยักหน้ารับทราบด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่ให้เพื่อนได้มีโอกาสลงแข่งก็พอ ขอบพระคุณอาจารย์มากๆ ค่ะ"
"ขอบคุณมากครับ" เรียวสุเกะและมิราอิยืนโค้งคำนับจนศีรษะแตะหัวเข่า
อาจารย์เรียวโกะยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ได้มีโอกาสมาสอนและได้เป็น ครูประจำชั้นของห้องซี สิ่งที่เธอเคี่ยวเข็ญไม่ใช่การเรียนที่เก่งกล้าเพียงอย่างเดียว แต่เธอต้องการเห็นความใส่ใจของคนในห้องที่มีให้แก่กัน และเธอก็เชื่อว่าหลังจากวันนี้ทุกคนต้องให้อภัยเพื่อนตัวน้อยได้อย่างหมดใจ หลังจากที่เด็กชายได้พยายามในแบบของตัวเองแล้ว
.
.
.
ทั้งสองคนเดินลงบันไดออกมาจากตึกผู้บริหาร บรรยากาศรอบตัวอาคารดูเงียบสงบมีเพียงแสงไฟดาวน์ไลฟ์ไม่กี่ดวงทอแสงสีอ่อน ตามรายทาง เรียวสุเกะเดินนำออกไปตามถนนเส้นเล็กเลียบสนามฟุตบอลโดยมีมิราอิเดินตามเว้นระยะ ห่างมาอย่างเงียบเชียบ
จู่ๆ คนตัวสูงก็หยุดเดินทำให้มิราอิต้องหยุดตามไปด้วย ร่างเล็กมองตามสายตาของเรียวสุเกะก็พบว่าภาพตรงหน้าเป็นต้นซากุระเพียงต้นเดียว ที่ยืนต้นกลางขอบสนามฟุตบอลอย่างโดดเด่นเห็นได้จากแสงไฟมุมสนามสาดทอเข้ามา แม้ว่าตอนนี้กลีบซากุระจะร่วงโรยไปเกือบหมดจนเห็นเพียงแต่กิ่งก้านที่แผ่ ขยายเพียงเท่านั้นก็ตาม
ทั้งคู่ทอดสายตามองกลีบดอกไม่กี่กลีบที่กำลังร่วงลงมาอย่างช้าๆ ราวกับต้องการจะหยุดเวลาไว้เพียงแค่นี้แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เมื่อกลีบสุด ท้ายได้ร่วงหล่นลงมานอนแนบลงกับพื้นสนามหญ้าอย่างแผ่วเบา มิราอิหันหน้าไปมองเสี้ยวหน้าหล่อคมแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน
"ขอบคุณนะ"
ขอบคุณที่ทำให้เธอมีความกล้า ขอบคุณที่ทำให้เธอเข้มแข็งและขอบคุณ ที่ทำให้เธอไม่ต้องอยู่เพียงลำพังในเวลาที่ไม่เหลือใคร
เรียวสุเกะละสายตาจากต้นซากุระมามองใบหน้าหวานแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
"เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม"
มิราอิเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเรียวสุเกะจึงเดินเข้ามาหาช้าๆ พร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาใสแจ๋วแล้วบอกออกไปเสียงนุ่ม
"เปลี่ยนคำว่าเรา ไม่ให้เป็นคนอื่นได้ไหม"
คำร้องขอที่มาพร้อมกับสายตาเว้าวอนทำให้คนตัวเล็กยืนนิ่งไม่ไหวติงไม่ต่างไป จากดวงตาเรียวสวยที่ถูกสะกดให้ต้องมองตอบสบตากับร่างสูง ยูโตะจะรู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่พูดออกมาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอเลยด้วยซ้ำ เพราะสำหรับมิราอิแล้วคำว่าคนอื่นที่ก่อเป็นกำแพงขึ้นมาได้พังครืนทลายไป ตั้งแต่ที่ได้เห็นหน้าเรียวสุเกะโผล่เข้ามาในเวลาที่มิราอิอ่อนแอสับสนอย่างที่สุด แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มิราอิถึงได้รู้และยอมรับกับตัวเองได้เต็มหัวใจว่าคนที่เขาพยายามผลักไสกลับ กลายเป็นคนที่เขาอยากให้คอยจับมือเดินไปด้วยกัน ในวินาทีที่มืออุ่นประคองกอบกุมมิราอิเพิ่งตระหนักกับตัวเองว่าได้พลาดไปแล้ว
เธอรักเรียวสุเกะหมดใจไปแล้ว
ริมฝีปากบางขยับออกเป็นคำพูด
กริ๊งงง เสียงมือถือของเรียวสุเกะดังขึ้น มิราอิเม้มริมปากที่เตรียมจะเอ่ยบอกขณะที่คนตัวสูงกดรับโทรศัพท์ทันที
"อือ ฉันยังอยู่ที่โรงเรียน งั้นยูมิกะรออยู่ที่บ้านก่อนนะจะไปหา ครับ แล้วเจอกัน" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเรียกชื่อของคนที่ทำให้หัวใจดวงน้อยวูบโหวง มิราอิเบี่ยงตัวหลบก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองพร้อมกับกัดริมฝีปากจนเป็นเส้นขาว
ดีแล้วที่ไม่พูดออกไป
"ชิดะ! ยามาดะ! อยู่นี่เอง ตามหาตั้งนาน"
ฮารุกะตะโกนเสียงดังพร้อมกับวิ่งโร่เข้ามาหาตามหลังมาด้วยยุโตะที่วิ่งแบกกีต้าร์ตามมา ทั้งสองคนวิ่งตามเรียวสุเกะมาแต่ก็ไม่ทันจนได้จึงได้แต่นั่งรอที่ห้องเรียน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครกลับมาโทรไปที่บ้านของทั้งคู่ก็บอกว่ายังไม่กลับ ฮารุกะร้อนใจจนแทบจะเป็นแปลงร่างเป็นหนูแฮมสเตอร์ติดจั่น เดือดร้อนยูโตะต้องคอยหาไอติมเย็นๆ มาดับร้อนให้เป็นชั่วโมงๆ
"เป็นยังไงบ้างชิดะ ไหนบอกจะกลับบ้าน เราเป็นห่วงแทบแย่ โทรไปก็ไม่รับกันเลย"
มิราอิยิ้ม
"ไม่เป็นไรแล้ว เนี่ยกำลังจะกลับบ้าน ไปส่งเราที่บ้านนะฮารุกะ" ฮารุกะพยักหน้าทันทีแล้วก็เดินออกไปพร้อมกับมิราอิโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังดูใจกันอยู่อย่างยูโตะเลย มิราอิเหลียวหลังกลับมามองหนุ่มตัวลูงแล้วก็นึกขอโทษในใจ แต่เพราะตอนนี้เธอไม่ไหวจริงๆ ถ้าหากต้องกลับไปพร้อมอีกคน มิราอิก็ขอเลือกที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นที่เคยจะดีกว่า
เรียวสุเกะมองตามแผ่นหลังบางไปสุดทางก่อนจะมองหน้าจอมือถือที่เพิ่งดับไป
.
.
.
ฮารุกะเดินเข้ามาในลานอุทยานด้วยท่าทีเหม่อลอย ดวงตาโตแป๋วมองสบตากับยูโตะที่กำลังลองเสียงกีต้าร์แล้วก็ร้องไห้ออกมาดื้อๆ จนคนที่มองตอบกลับมาทิ้งกีต้าร์ลงพื้นอย่างไม่สนใจไยดีก่อนจะรีบวิ่งเข้ามา หาคนตัวเล็กซึ่งคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์ก็ตามเข้ามาดูด้วยความตกใจ
"ฮารุกะ พารุจังเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม!" ถามออกไปด้วยความร้อนรน ฮารุกะกราดสายตามองหน้าทุกคนที่มารุมล้อมแล้วก็เอ่ยเสียงแผ่ว
"ชิดะ..."
"ทำไม ชิดะเป็นอะไร!"
แค่เพียงชื่อของอีกคนที่หลุดออกมาก็ทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงถามกลับทันที ฮารุกะยกมือปาดน้ำตาแรงๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องออกมาอย่างช้าๆ ยังไม่ทันที่จะเล่าจนจบด้วยซ้ำเรียวสุเกะก็วิ่งพรวดพราดออกไปคว้าจักรยานของตัวเองถีบออกตัวด้วยความเร็วสูงมุ่ง ตรงไปยังโรงเรียนทันที เรียวสุเกะได้ยินเสียงรุ่นพี่เรียกเอาไว้แต่เขาไม่ได้ใส่ใจเมื่อคิดไปถึงใครอีกคน ที่กำลังอยู่ลำพังคนเดียว
.
.
.
มิราอิเงยหน้ามองป้ายสภานักเรียนก่อนจะขออนุญาตเข้าไปด้านในซึ่งมีเหล่ากรรมการนักเรียนกำลังนั่งทำงานกันอยู่ ถัดไปด้านในเป็นโต๊ะประธานนักเรียนซึ่งมีเด็กหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งอ่าน หนังสือเล่มหน้าด้วยหน้าตาเครียดจัด มิราอิรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไปหยุดลงตรงหน้าโต๊ะท่านประธานใหญ่ที่พอเห็น ว่ามีคนมาหาก็รีบปิดหนังสือการ์ตูนซึ่งยัดไส้ไว้ข้างในเก็บลงลิ้นชักทันที
"เข้ามามีอะไรเหรอน้อง" ทักไปราวกับตัวเองอาวุโสกว่าเสียหลายปี มิราอิเม้มริมฝีปากก่อนพูด
"รายชื่อคนที่สมัครวาดภาพยังส่งตอนนี้ทันไหมคะ" ทาคาคิขมวดคิ้วฉับทันที มีด้วยเหรอวะ ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย มิราอิเห็นว่ารุ่นพี่เงียบไปจึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"ฉันรู้ว่าหมดเขตสมัครแล้ว แต่รุ่นพี่ช่วยรับเพิ่มไปอีกคนได้ไหมคะ"
ทาคาคิยกมือเกาศีรษะแกรกๆ วันๆ เอาแต่ไปนั่งกินขนมกับไอ้บุกับไอ้ฮิคจนไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้ที่โรงเรียนเขา มีงานอะไรกันไปถึงไหน เด็กหนุ่มกำลังจะโบกมือไล่ให้น้องคนนี้กลับบ้านกลับช่องก็พอดียูริเดิน เข้ามาหาพร้อมกับจ้องหน้าคนตัวเล็กตาไม่กระพริบ
"ถ้าหมายถึงรายชื่อคนที่จะประกวดวาดภาพซากุระล่ะก็ส่งไปให้ ผอ. แล้วล่ะ พี่เกรงว่าจะส่งรายชื่อเพิ่มเติมไม่ทันแล้ว มิราอิมีอะไรอย่างนั้นเหรอ" คำตอบของญาติผู้พี่ทำเอาเด็กน้อยใจหาย มิราอิส่ายหน้าแล้วพึมพำขอบคุณเบาๆ ก่อนจะขอตัวเดินออกมาจากห้อง ยูริตั้งใจจะเดินตามออกไปด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่เคยเห็นน้องเป็นแบบนี้แต่ ก็ถูกเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน
"ยูริๆ มาช่วยอนุมัติกิจกรรมชมรมต่างๆ หน่อยสิ พี่เพลียว่ะ อ่านหนังสือทั้งวัน" ท่านประธานใหญ่บอกแล้วก็คว้าหนังสือเล่มโตออกมาอ่านหน้าตาจริงจัง ยูริมองตามแผ่นหลังบางแล้วตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องสภานักเรียนเพื่อทำ งานตามหน้าที่ของตน
มิราอิเดินขึ้นตึกที่เงียบสงัดไปยังห้องของผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งอยู่ชั้นบนสุด ในจังหวะที่เดินมาถึงหน้าห้องขนาดใหญ่ ผอ. สาวสูงวัยก็ดูเหมือนเพิ่งจะกลับเข้ามาในห้องเช่นเดียวกัน มิราอิรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
"ท่าน ผอ.คะ..."
"อ้าว ว่าไงล่ะจ้ะ มีเรื่องอะไร" หญิงสูงวัยมองผ่านแว่นตากรอบหนามาที่ร่างเล็กอย่างใจดี มิราอิยิ้มด้วยความรู้สึกที่ใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย
"เรื่องรายชื่อคนประกวดขอส่งเพิ่มตอนนี้ได้ไหมคะ"
ทันทีที่พูดบอกจุดประสงค์ออกไป หญิงสูงวัยก็ทำหน้าเคร่งขึ้นมาทันที
"กฏมีไว้เพื่อกำหนดกติกาซึ่งทางโรงเรียนแจ้งชัดเจนแล้วตั้งแต่ต้น กติกาบอกเอาไว้ว่าหมดเขตก็คือหมดสิทธิ์ตามนั้น ครูทำตามคำร้องขอของเธอไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะถ้าหากครูยอมก็เท่ากับว่าพวกเธอเองมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าห้องอื่น โปรดทำความเข้าใจและรับทราบกติกาด้วยนะ" ท่าน ผอ. พูดแล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องทันที มิราอิหน้าม่อยลงก่อนจะเดินหันหลังจากมาเมื่อคิดพิจารณาไตร่ตรองตามคำพูดของ ผู้อาวุโสกว่าแล้วว่าเป็นความจริงที่มิราอิจะต้องยอมรับให้ได้
ร่างเล็กเดินไปตามทางระเบียงเงียบสนิทอย่างเชื่องช้าพร้อมกับน้ำตาที่เริ่ม ปริ่มคลอต่อให้ต้องถูกเกลียดมากกว่านี้มิราอิก็ยอมรับได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง แต่โอกาสที่เพื่อนพลาดไป มิราอิจะเรียกร้องกลับคืนมาได้อย่างไร
มิราอิจะทำยังไงเพื่อไม่ให้ความพยายามของเพื่อนนั้นสูญเปล่า
"กรุณาด้วยครับ! ได้โปรดรับพวกเราห้อง 1- C ด้วยเถอะครับ!"
เสียงที่คุ้นเคยดังก้องไปทั้วโถงชั้นบน มิราอิหันหลังกลับไปพร้อมดวงตาที่เบิกโพลงเมื่อเห็นร่างสูงกำลังนั่งก้มหน้าคุกเข่าขอร้องอยู่หน้าห้องผู้อำนวยการที่มิราอิเพิ่งจากมา ริมฝีปากบางสั่นระริกถูกขบกัดจนช้ำ ดวงตาสวยเป็นประกายฉ่ำไหวสั่นมองตรงไปยังใบหน้าหล่อเหลาของคนที่เขาพยายามจะ บอกกับตัวเองว่าเป็นเพียงแค่คนอื่น
"เรียวสุเกะ..."
พึมพำออกมาพร้อมกับน้ำตาหยดแรกไหลเป็นทางยาวชื่อที่ไม่เคยเอ่ยเรียก พอเปล่งเสียงออกไปยิ่งตอกย้ำตัวเองให้รับรู้ถึงสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ เรียวสุเกะยังคงตะโกนคำเดิมซ้ำๆ พร้อมกับโค้งคำนับเพื่อหวังความเมตตาว่าท่าน ผอ.จะปราณีให้ มิราอิสะอื้นฮักแล้วเดินเข้าไปหาคนตัวสูงอย่างช้าๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงเคียงข้างร่างสูงที่ยื่นมือออกมารับ เพียงแค่มือน้อยถูกกุมเอาไว้ก็รับรู้ถึงความหมายของการที่มีคนอยู่เคียงข้าง ความเดียวดายที่รู้สึกมาตลอดถูกความอบอุ่นกลืนหายจนรู้สึกเข้มแข็งและมี กำลังใจขึ้นมาได้ราวกับมีปาฎิหารย์
"ไม่เป็นไรนะ" เรียวสุเกะบอกเสียงอ่อนพร้อมกับยื่นมือเช็ดน้ำตาให้ มิราอิพยักหน้าและพยายามที่จะยิ้มออกมาแม้น้ำตาจะยังคงไหลรินก็ตาม
"ได้โปรดเถอะครับ ท่าน ผอ!" เรียวสุเกะตะโกนขึ้นมาเสียงดังอีกครั้งพร้อมกับบีบมือน้อยแน่น
"กรุณาด้วยค่ะ..." มิราอิบอกเสียงสะอื้นสั่นพร้อมกับก้มหน้าลงแนบพื้นด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด มิราอิไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่เธอพอจะสามารถทำได้ก็หวังจะให้เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นบรรเทาลง
ทั้งสองคนคุกเข่าขอร้องหน้าห้อง ผอ. นานจนฟ้าเริ่มมืดสลัว หญิงสูงวัยวางแว่นตาลงบนโต๊ะทำงานแล้วลุกเดินออกไปยืนริมหน้าต่างเพ่งมองต้น ซากุระที่เห็นเด่นกลางขอบสนามฟุตบอลก่อนจะหันกลับมาสบตากับอาจารย์เรียวโกะ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้นของห้องซีซึ่งนั่งอยู่ในห้องมาตั้งนานแล้ว
"เด็กห้องเธอนี่จริงๆ เลย"
.
.
.
ประตูหน้าห้องผู้อำนวยการเปิดออกพร้อมกับอาจารย์เรียวโกะเดินออกมา ทั้งมิราอิและเรียวสุเกะต่างก็หันมาสบตากันแล้วเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ที่ส่งยิ้มมา ให้อ่อนๆ
"พวกเธอลุกขึ้นกันได้แล้ว"
ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ทั้งสองคนก็ยังคงนั่งที่เดิมผู้เป็นอาจารย์ถอนหายใจ
"ท่าน ผอ. บอกว่าอนุญาตให้เพิ่มรายชื่อเข้าไปได้"
"จริงเหรอคะ!" มิราอิร้องย้ำขึ้นมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เมื่อคุณครูพยักหน้าตอบมาให้คนตัวเล็กก็หันมายิ้มกับเรียวสุเกะที่ยิ้มตอบกลับมา อย่างดีใจ
"แต่ถ้าห้องเราชนะ รางวัลคูปองฟรีค่าอาหารกลางวันก็อดนี่เป็นเงื่อนไข" มิราอิพยักหน้ารับทราบด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่ให้เพื่อนได้มีโอกาสลงแข่งก็พอ ขอบพระคุณอาจารย์มากๆ ค่ะ"
"ขอบคุณมากครับ" เรียวสุเกะและมิราอิยืนโค้งคำนับจนศีรษะแตะหัวเข่า
อาจารย์เรียวโกะยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ได้มีโอกาสมาสอนและได้เป็น ครูประจำชั้นของห้องซี สิ่งที่เธอเคี่ยวเข็ญไม่ใช่การเรียนที่เก่งกล้าเพียงอย่างเดียว แต่เธอต้องการเห็นความใส่ใจของคนในห้องที่มีให้แก่กัน และเธอก็เชื่อว่าหลังจากวันนี้ทุกคนต้องให้อภัยเพื่อนตัวน้อยได้อย่างหมดใจ หลังจากที่เด็กชายได้พยายามในแบบของตัวเองแล้ว
.
.
.
ทั้งสองคนเดินลงบันไดออกมาจากตึกผู้บริหาร บรรยากาศรอบตัวอาคารดูเงียบสงบมีเพียงแสงไฟดาวน์ไลฟ์ไม่กี่ดวงทอแสงสีอ่อน ตามรายทาง เรียวสุเกะเดินนำออกไปตามถนนเส้นเล็กเลียบสนามฟุตบอลโดยมีมิราอิเดินตามเว้นระยะ ห่างมาอย่างเงียบเชียบ
จู่ๆ คนตัวสูงก็หยุดเดินทำให้มิราอิต้องหยุดตามไปด้วย ร่างเล็กมองตามสายตาของเรียวสุเกะก็พบว่าภาพตรงหน้าเป็นต้นซากุระเพียงต้นเดียว ที่ยืนต้นกลางขอบสนามฟุตบอลอย่างโดดเด่นเห็นได้จากแสงไฟมุมสนามสาดทอเข้ามา แม้ว่าตอนนี้กลีบซากุระจะร่วงโรยไปเกือบหมดจนเห็นเพียงแต่กิ่งก้านที่แผ่ ขยายเพียงเท่านั้นก็ตาม
ทั้งคู่ทอดสายตามองกลีบดอกไม่กี่กลีบที่กำลังร่วงลงมาอย่างช้าๆ ราวกับต้องการจะหยุดเวลาไว้เพียงแค่นี้แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เมื่อกลีบสุด ท้ายได้ร่วงหล่นลงมานอนแนบลงกับพื้นสนามหญ้าอย่างแผ่วเบา มิราอิหันหน้าไปมองเสี้ยวหน้าหล่อคมแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน
"ขอบคุณนะ"
ขอบคุณที่ทำให้เธอมีความกล้า ขอบคุณที่ทำให้เธอเข้มแข็งและขอบคุณ ที่ทำให้เธอไม่ต้องอยู่เพียงลำพังในเวลาที่ไม่เหลือใคร
เรียวสุเกะละสายตาจากต้นซากุระมามองใบหน้าหวานแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
"เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม"
มิราอิเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเรียวสุเกะจึงเดินเข้ามาหาช้าๆ พร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาใสแจ๋วแล้วบอกออกไปเสียงนุ่ม
"เปลี่ยนคำว่าเรา ไม่ให้เป็นคนอื่นได้ไหม"
คำร้องขอที่มาพร้อมกับสายตาเว้าวอนทำให้คนตัวเล็กยืนนิ่งไม่ไหวติงไม่ต่างไป จากดวงตาเรียวสวยที่ถูกสะกดให้ต้องมองตอบสบตากับร่างสูง ยูโตะจะรู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่พูดออกมาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอเลยด้วยซ้ำ เพราะสำหรับมิราอิแล้วคำว่าคนอื่นที่ก่อเป็นกำแพงขึ้นมาได้พังครืนทลายไป ตั้งแต่ที่ได้เห็นหน้าเรียวสุเกะโผล่เข้ามาในเวลาที่มิราอิอ่อนแอสับสนอย่างที่สุด แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มิราอิถึงได้รู้และยอมรับกับตัวเองได้เต็มหัวใจว่าคนที่เขาพยายามผลักไสกลับ กลายเป็นคนที่เขาอยากให้คอยจับมือเดินไปด้วยกัน ในวินาทีที่มืออุ่นประคองกอบกุมมิราอิเพิ่งตระหนักกับตัวเองว่าได้พลาดไปแล้ว
เธอรักเรียวสุเกะหมดใจไปแล้ว
ริมฝีปากบางขยับออกเป็นคำพูด
กริ๊งงง เสียงมือถือของเรียวสุเกะดังขึ้น มิราอิเม้มริมปากที่เตรียมจะเอ่ยบอกขณะที่คนตัวสูงกดรับโทรศัพท์ทันที
"อือ ฉันยังอยู่ที่โรงเรียน งั้นยูมิกะรออยู่ที่บ้านก่อนนะจะไปหา ครับ แล้วเจอกัน" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเรียกชื่อของคนที่ทำให้หัวใจดวงน้อยวูบโหวง มิราอิเบี่ยงตัวหลบก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองพร้อมกับกัดริมฝีปากจนเป็นเส้นขาว
ดีแล้วที่ไม่พูดออกไป
"ชิดะ! ยามาดะ! อยู่นี่เอง ตามหาตั้งนาน"
ฮารุกะตะโกนเสียงดังพร้อมกับวิ่งโร่เข้ามาหาตามหลังมาด้วยยุโตะที่วิ่งแบกกีต้าร์ตามมา ทั้งสองคนวิ่งตามเรียวสุเกะมาแต่ก็ไม่ทันจนได้จึงได้แต่นั่งรอที่ห้องเรียน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครกลับมาโทรไปที่บ้านของทั้งคู่ก็บอกว่ายังไม่กลับ ฮารุกะร้อนใจจนแทบจะเป็นแปลงร่างเป็นหนูแฮมสเตอร์ติดจั่น เดือดร้อนยูโตะต้องคอยหาไอติมเย็นๆ มาดับร้อนให้เป็นชั่วโมงๆ
"เป็นยังไงบ้างชิดะ ไหนบอกจะกลับบ้าน เราเป็นห่วงแทบแย่ โทรไปก็ไม่รับกันเลย"
มิราอิยิ้ม
"ไม่เป็นไรแล้ว เนี่ยกำลังจะกลับบ้าน ไปส่งเราที่บ้านนะฮารุกะ" ฮารุกะพยักหน้าทันทีแล้วก็เดินออกไปพร้อมกับมิราอิโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังดูใจกันอยู่อย่างยูโตะเลย มิราอิเหลียวหลังกลับมามองหนุ่มตัวลูงแล้วก็นึกขอโทษในใจ แต่เพราะตอนนี้เธอไม่ไหวจริงๆ ถ้าหากต้องกลับไปพร้อมอีกคน มิราอิก็ขอเลือกที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นที่เคยจะดีกว่า
เรียวสุเกะมองตามแผ่นหลังบางไปสุดทางก่อนจะมองหน้าจอมือถือที่เพิ่งดับไป
TBC.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น