ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Sakura begins :09
รถโดยสารประจำทางจอดลงหน้าสถานีรถไฟของเมืองโมโตฮาโกเน่แห่งนี้แล้วมิราอิและฮารุกะเดินลงมาจากรถเพื่อมุ่งตรงเข้าไปยังสถานีด้านในซึ่งพบว่ามีอีกสองหนุ่มยืนรอกันอยู่แล้ว มิราอิมาในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีเหลืองสลับขาวสดใสส่วนฮารุกะที่อยู่ในชุดเอี๊ยมสีฟ้าออร่าน่ารักกระแทกตายูโตะจนต้องยืนไว้อาลัยให้กับอาการ แพ้คนตาแป๋วของตัวเองซึ่งทำเอาหมดเรี่ยวแรงไปชั่วขณะเลยทีเดียว
"มาครบแล้วก็ไปกันเถอะ"
เรียวสุเกะเดินนำเข้าไปซื้อตั๋วสี่ใบก่อนจะเอาไปให้ยูโตะสองใบส่วนตัวเองก็เก็บ ไว้อีกสองใบ ทั้งสี่คนรอไม่นานรถไฟก็เข้ามาจอดเทียบท่าสถานีและแน่นอนว่าจากลำดับที่นั่งมิราอิก็ถูกกันที่ออกไปให้ยูโตะสวมรอยในทันที ส่วนตัวเองก็เด้งออกมานั่งกับเรียวสุเกะซึ่งเอาหมวกแก็ปปิดหน้าไว้คล้ายกำลังนอน หลับ
"เราจะไปที่ไหนกันก่อนดี" ฮารุกะหันมาถามตาใสด้วยความเข้าใจส่วนตัวว่าจะไปทำรายงานทั้งสี่คนพร้อมกันเลย ยูโตะแอบใช้เท้าเขี่ยขาเรียวสุเกะจนเด็กหนุ่มต้องถอดหมวกแก็ปออกมาตอบแทนเพื่อน ที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าคนข้างตัวไม่เลิก
มึงกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากรึไงวะถึงไม่พูดเอง ไอ้คุณโตะ!
"เราจะแยกกันไปทำรายงานเลย ชิมาซากิกับยูโตะก็ลงที่สถานีโชโกกุ โนะ โมริส่วนฉันกับชิดะก็นั่งเลยไปลงที่โอดาวาระ แล้วตอนกลับก็แยกกันกลับ จะได้ถึงบ้านเร็วๆ ไง"
"เอาแบบนั้นเหรอ แต่ ว้า- เสียดายเราเลยไม่ได้ไปด้วยกันเลย" ฮารุกะหันมาพูดกับมิราอิด้วยน้ำเสียงเหงาหงอยไม่ต่างไปจากใบหน้าที่เริ่มจะ ซีดเล็กน้อยพอรู้ว่าต้องไปกับยูโตะสองต่อสอง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะออกอาการลิงโลดอย่างเห็นได้ชัด เพราะนี่คือจุดประสงค์แท้จริงของการมาทำรายงาน ปกติมีหรือจะทุ่มทุนสร้างขนาดนี้ แค่นั่งหาข้อมูลในเน็ตก็ขี้เกียจจะตายอยู่แล้ว
ทั้งมิราอิและฮารุกะไม่ไปด้วยกันน่ะดีแล้ว ยูโตะจะได้ทำอะไรๆ(?)ได้สะดวก
มิราอิแอบส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อพอจะมองออกอยู่บ้างว่าพวกนั้นตั้งใจจะทำอะไรกัน
หลังจากนั้นไม่นานก็มาถึงสถานีโชโกกุฯ ยูริโบกมือให้เพื่อนตัวน้อยและก็แอบอวยพรขอให้วันนี้เพื่อนของเธอมีชีวิตรอด ปลอดภัยกลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพ เมื่อขบวนรถไฟเริ่มเคลื่อนอีกครั้ง คนตัวเล็กก็เหล่มามองคนข้างตัวคล้ายกับจะจับผิด
"หวังว่าเพื่อนนายคงไม่ทำอะไรพิเรน กับฮารุกะหรอกนะ"
"หืม? ที่ว่าพิเรนน่ะมันอะไรล่ะ" เรียวสุเกะเลิกคิ้วถามเหมือนไม่เข้าใจในความหมายที่มิราอิต้องการสื่อ ร่างเล็กจิ๊ปากไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันหน้าหนีถึงแม้แสงแดดของตอนสายจะสาดเข้า มาจนรู้สึกร้อนไปหมดก็ตาม
ร่างสูงยิ้ม แล้วถอดหมวกแก็ปที่ตัวเองสวมอยู่ออกไปวางแหมะบนศีรษะเล็กก่อนจะเอนหลังพิงเบาะด้วยท่าทางสบายอารมณ์
"ยูโตะมันไม่ทำอะไรหรอก แค่จะจีบยังไม่กล้าเลย ก็แค่พานั่งกระเช้าขึ้นเขาชมพระอาทิตย์ตกดินอะไรทำนองนั้น ไม่คิดว่าบรรยากาศจะโรแมนติกพอให้เพื่อนเธอหันมาสนใจมันบ้างเหรอ" มิราอิขยับหมวกแก็ปของอีกคนให้เข้าที่แล้วเอียงหน้ามาแลบลิ้นใส่พร้อมกับว่า ให้เบาๆ
"โคตรเสี่ยว-"
"คอยดูแล้วกันว่าเพื่อนเธอจะคิดว่าโคตรเสี่ยวหรือเปล่า"
มิราอิมองสบตากับดวงตาเป็นประกายระยับแล้วก็คิดได้ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่หมอนี่บอกแน่นอน มิราอิชักจะเป็นห่วงริวทาโร่ซะแล้วสิ
.
.
.
ถัดมาอีกเก้าสถานีทั้งคู่ก็เดินทางผ่านสะพานเชื่อมถนนซึ่งมีรางรถไฟและแยก ส่วนถนนให้รถวิ่งอย่างเป็นสัดส่วน จนมาถึงโอดาวาระ โจว ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดคานากาวะและเป็นเหมือนประตู สู่ฮาโกเน่ ความจริงแล้วเรียวสุเกะเคยมาทัศนศึกษาที่นี่เมื่อสมัยที่เรียนมัธยมต้นที่โตเกียว เพราะอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก แต่เพราะว่าอยากเปิดโอกาสให้ยูโตะมากกว่าซึ่งโชโกกุฯ มีสถานที่น่าเที่ยวหลายแห่งเหมาะแก่การสร้างบรรยากาศทำความคุ้นเคยกันและกัน ได้เป็นอย่างดี
ทั้งคู่เดินไปตามถนนเลียบสระน้ำขนาดใหญ่ซึ่งล้อมรอบตัวปราสาทไว้ทั้งหลัง ในระหว่างนั้นเรียวสุเกะก็ยกกล้องออกมาถ่ายเก็บบรรยากาศรอบๆ ขณะที่มิราอิเอาแต่เดินดุ่มๆ อย่างรีบเร่งเพื่อจะไปให้ถึงตัวปราสาทโดยเร็วจนคนตัวสูงอดที่จะร้องถามแกม เหน็บไม่ได้
"ถ้ารีบขนาดนั้น ว่ายน้ำข้ามไปไม่เร็วกว่าเหรอไง"
มิราอิหันหลังฉับกลับมาแล้วเท้าสะเอวมองคนที่แกล้งถ่ายนั่นถ่ายนี่อย่างเชื่อง ช้า คิดดูแล้วกันว่าถ่ายแม้กระทั่งมดบนถนน อารมณ์สุนทรีย์ไม่เข้ากับหน้าแบบนี้เห็นชัดว่าตั้งใจจะแกล้งแน่ๆ
"นายก็รีบเดินหน่อยสิ รีบไปเก็บข้อมูลแล้วก็รีบกลับ"
ป้องปากตะโกนบอกเสร็จก็เดินข้ามลิ่วนำไปทันที เรียวสุเกะกดยิ้มแล้วเดินตามไป จนกระทั่งทั้งคู่เข้ามาในตัวปราสาทที่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ เนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญห้ามถ่ายรูป เรียวสุเกะจึงได้แต่เดินเก็บรายละเอียดภายในตัวปราสาท ขณะที่มิราอิก็เอาสมุดขึ้นมาจดตามป้ายกำกับในแต่ละจุด คนตัวเล็กเหล่มองร่างสูงที่เอาแต่ยืนนิ่ง
"นี่ ไม่คิดจะช่วยกันจดหน่อยเหรอ" เรียวสุเกะหลิ่วตามองแล้วเดินเข้ามาหันหลังให้
"อ่ะ ให้รองจด" มิราอิมองด้านหลังอีกคนแล้วก็แกล้งกระแทกสมุดลงบนแผ่นหลังกว้างแรงๆ
"นายนี่กินแรงจริงๆ"
"ก็ช่วยไม่ได้นี่ ฉันไม่ได้เอาสมุดมา เอาน่า เสร็จแล้วเดี๋ยวเลี้ยงข้าว" มิราอิตวัดตาขึ้นมองเสี้ยวหน้าที่เอี้ยวมาตอบ ก่อนจะเปรยออกมาไม่จริงจังคล้ายกับจะพึมพำกับตัวเองมากกว่า
"ตกลงนายตั้งใจจะมาทำงานจริงไหมเนี่ย"
"จริงๆ ก็มีจุดประสงค์อื่นอยู่เหมือนกัน อยากฟังไหมล่ะ"
มิราอิเห็นสายตาคนอยากให้รู้แล้วก็เลือกที่จะส่ายหน้าทันที
"ไม่ต้อง หันหลังตรงๆ สิ ฉันเขียนไม่ถนัด" เรียวสุเกะยิ้มเมื่ออีกคนจงใจเฉไฉ แต่ไม่เป็นไรเพราะเขาตั้งใจไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาคนตัวเล็กก็คงจะได้รู้เองนั่นแหละ จวบจนกระทั่งเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนตามที่ต้องการแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องออกจาก ปราสาท แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดและตรงกับงานเทศกาลปลูกซากุระซึ่งมีเป็นประจำ ทุกปีทำให้ผู้คนหนาแน่นกว่าที่เคย มิราอิพยายามเดินหลีกผู้คนออกมาตรงบริเวณทางเดิน แต่ด้วยตัวที่เล็กจึงทำได้ค่อนข้างลำบากจนดูงกเงิ่นในสายตาของคนตัวสูงที่ เดินนำไปไกล
เรียวสุเกะหยุดรอสักพัก แต่แล้วเด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้ามาคว้ามือน้อยก่อนจะใช้ลำตัวกันบังเบียดกับ บรรดาฝูงชนพาออกไปจากตัวปราสาทมาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่มีผู้คนบางตาลง
"ปล่อยได้แล้ว" มิราอิบอกเสียงอ่อน
"เดี๋ยวก็ได้ถูกเบียดตกแม่น้ำไปหรอก"
เรียวสุเกะหันมาบอก มิราอิได้แต่ทำตาคว่ำ พูดแบบนี้หาว่าเธอเตี้ยงั้นเหรอ!
คนตัวเล็กชะเง้อมองไปยังร้านขายข้าวกล่องสำเร็จรูปที่เรียวสุเกะอาสาเบียดกับฝูง คนไปซื้อมาให้ในขณะที่บอกให้มิราอินั่งจองม้านั่งใต้ต้นซากุระที่ปลูกเป็นแถว ไปตามถนนเป็นทางยาวสุดสายตา ยามที่ลมพัดผ่านมาแต่ละครั้ง กลีบซากุระสีชมพูหวานก็ลอยปลิวแผ่บนผิวน้ำพาให้คนเฝ้ามองเพลินตาได้ไม่ยาก
"มาแล้ว" เรียวสุเกะเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นกล่องเบนโตะให้ มิราอิอ้อมแอ้มขอบคุณไม่เต็มเสียงแล้วขยับที่ให้คนตัวสูงได้เข้ามานั่งลงเคียง ข้าง ทั้งคู่นั่งกินไปได้สักพัก คนตัวสูงก็คีบกุ้งเทมปุระใส่ลงในเบนโตะของอีกคนก่อนจะจัดการที่เหลือจนหมด
"อะไร" มิราอิถามด้วยความแปลกใจ
"ก็ให้ไง กินเยอะๆ จะได้มีแรงทำกิจกรรมต่อไป"
"กิจกรรมต่อไป? เดินทางกลับน่ะเหรอ"
"ใช่ที่ไหนล่ะ" คนตัวสูงโบ้ยหน้าไปทางด้านหลังปราสาทที่เป็นป่าซากุระขนาดย่อม
"ช่วงวันหยุดนี้จะมีเทศกาลปลูกต้นซากุระเพื่อทดแทนต้นเดิมที่อาจจะมีอันต้อง ถูกทำลายไป ไหนๆ เราก็มาถึงที่กันแล้วจะไม่ลองเข้าร่วมหน่อยเหรอ น่าสนุกดีนะ" คนตัวสูงอธิบายอย่างอารมณ์ดีราวกับศึกษามาก่อนล่วงหน้าซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ ไหน ทันทีที่รู้ว่าเรียวสุเกะจะมาทำรายงานที่โอดาวาระ โจว ยูมิกะก็รีบแนะนำให้มาปลูกซากุระ และเจ้าตัวก็ยังอดบ่นเสียดายที่ไม่ได้มาด้วย
ไว้ปีหน้าก็ยังไม่สาย...
"นี่เหรอจุดประสงค์อื่นของนาย" มิราอิถามขึ้นและอีกคนก็พยักหน้าตอบทันที คนตัวเล็กส่ายหน้าแล้วมองนาฬิกาที่เริ่มจะบอกเวลาบ่ายกว่าแล้ว สงสัยวันนี้กว่าจะกลับถึงบ้านคงอีกนาน
.
.
.
ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่เพียงบ่ายโมงแต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มมาอย่างรวดเร็ว เรียวสุเกะเดินถือต้นกล้าเข้ามาเพียงต้นเดียวแล้วก็เดินนำมิราอิเข้าไปด้านในที่ เจ้าหน้าที่จัดเอาไว้ให้ คนตัวสูงลงมือขุดดินด้วยอุปกรณ์ที่นำติดมาในขณะที่มิราอิก็เดินไปตักน้ำที่บ่อ รวมกลางสนามมาเตรียมไว้รอ
"ปลูกมันแล้วเราไม่ต้องคอยมาดูแลเหรอ" คนตัวเล็กถามด้วยความสงสัย เรียวสุเกะยิ้ม
"มีคนมาดูแลรดน้ำ ใส่ปุ๋ยอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง"
"ถึงจะเป็นคนลงมือปลูกเอง แต่ไม่ได้ดูแลด้วยตัวเอง แล้วจะทำไปเพื่ออะไร เพราะยังไงสุดท้ายคนปลูกก็ทิ้งมันไว้อยู่ดี" คำบอกเล่าของร่างเล็กทำให้มือหนาหยุดอยู่กับที่ก่อนจะหันไปมองใบหน้าใสที่ จ้องมองเจ้าต้นกล้าน้อยซึ่งมีเพียงยอดใบติดมาไม่เท่าไหร่
เรียวสุเกะพอจะเข้าใจว่างานเทศกาลที่จัดขึ้นนี้มีไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มี ส่วนร่วมในการสร้างผืนป่าซากุระและร่วมกันตระหนักถึงความมีอยู่ของมันเท่า นั้น แต่สิ่งที่มิราอิพูดออกมาทำให้เขาเห็นถึงปัญหาอีกด้านที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน เป็นความละเอียดอ่อนที่คนอย่างเขาเข้าไม่ถึงจริงๆ เพราะจนถึงตอนนี้เรียวสุเกะก็ไม่สามารถจะตอบคำพูดเหล่านั้นได้เลย
มิราอิลงมือนำต้นกล้าลงไปปลูกก่อนจะใช้พรวนตักดินถมลงไป โดยเรียวสุเกะใช้มือช่วยโกยดินลงไปอีกแรง เมื่อรดน้ำจนชุ่มแล้วก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยพร้อมกับสายลมที่เริ่มพัดพา รุนแรงขึ้นจนทำให้กลีบซารุกะที่อยู่รายรอบแนวพื้นที่ร่วงกราวคล้ายกับละออง สีชมพูฟุ้งไปทั่ว มิราอิหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกว่าแรงลมกระทบเข้าตาจนแสบ แต่พอลืมตาขึ้นก็พบใบหน้าหล่อเหล่าเข้ามาใกล้จนเผลอก้าวถอยหลังไปในทันที
เรียวสุเกะยิ้มแล้วเอื้อมมือแตะปลายผมเส้นเล็กแผ่วเบา
"ซากุระรูปหัวใจน่ะ" คนตัวสูงแบมือยื่นกลีบซากุระมาให้ มิราอิหลุบตามองแล้วช้อนสายตาขึ้นสบกับอีกคนแสดงถึงความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน
"รับไว้สิ ฉันให้"
คำพูดเรียบง่ายเปล่งออกมาพร้อมกับสายลมเย็นพัดมาอีกระลอก กลีบซากุระยังคงลอยคลุ้งไม่ต่างไปจากจิตใจดวงน้อยที่เริ่มเอนไหวสับสน ยมิราอิตัดสินใจหยิบมันมาจากมือของคนตัวสูงแล้วย่อตัวลงวางกลีบซากุระลงบนผืนดินใต้ต้นซากุระน้อยที่เพิ่งลงมือปลูก ถ้าหากมันเติบโตขึ้นมาคงสามารถผลิดอกที่สวยงามได้เช่นนี้ คนตัวเล็กจ้องมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มาถึงที่นี่ ถึงแม้รอยยิ้มนั้นจะเป็นยิ้มที่แสนบางเบาก็ตาม
แชะ!
"ทำอะไรน่ะ" หันไปถามเสียงต่ำ ในขณะที่อีกคนลดกล้องถ่ายรูปแล้วนั่งชันเข่าลงกับพื้นดินโดยไม่ได้กลัวเลยว่ากางเกงจะเปื้อนดินจนเปรอะ
"บรรยากาศดีๆ แบบนี้ก็ต้องเก็บรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยสิ" มิราอิถอนหายใจ สายตาเหม่อมองไปยังผู้คนที่กำลังลงมือปลูกต้นซากุระกันด้วยท่าทางแจ่มใส คงมีแค่เธอคนเดียวละมั้งที่รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจอารมณ์ของตัวเองในวันนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเธอมักจะมีความคิดที่แปลกไปจากคนอื่น มีมุมมองที่ไม่ค่อยตรงกับใครอย่างที่ยูริเคยบอกเอาไว้ว่าเป็นเรื่องปกติของ คนกรุ๊ปเอบี
"อ่ะ-"
มิราอิมองมือถือที่อีกคนยื่นมาให้ คิ้วเรียวขมวดด้วยความไม่เข้าใจ
"ฉันให้เธอลบรูปนั้น"
"ทำไม" ถามกลับพลางจ้องมองคนตรงหน้าด้วยท่าทางระมัดระวังตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้มิราอิเคยขอร้องแทบตายแต่กลับเอามาให้ลบอย่างง่ายดาย เป็นใครบ้างจะไม่แปลกใจ
"หรือจะให้เก็บไว้" บอกพลางจะทำท่าเก็บเข้ากระเป๋าจริงจัง มิราอิรีบคว้าหมับแล้วจัดการลบทิ้งทันทีโดยมีสายตาของคนตัวสูงเฝ้ามองอยู่ไม่ ห่าง คนตัวเล็กยื่นมือถือคืนให้ก่อนจะบอกอีกฝ่ายเสียงเข้ม
"ถึงจะทำแบบนี้แต่ฉันก็ยังไม่เลิกเกลียดนายหรอกนะ" บอกออกไปทั้งที่ไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำว่ารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
"แอบผิดหวังนิดหน่อยแฮะ แต่ก็รู้อยู่แล้วล่ะ"
ร่างสูงยังคงบอกด้วยรอยยิ้มถึงแม้จะดูเหมือนว่ารู้ดีอยู่แล้ว มิราอิขมวดคิ้วฉับ แม้จะไม่มีรูปไว้เป็นข้อต่อรองแล้วก็ตาม แต่ทำไมเขายังรู้สึกว่าอีกคนยังเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า มิราอิไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นแล้วเดินตรงออกไปจากบริเวณนั้นพร้อมเสียงฟ้าร้องรุนแรง ที่มาอย่างกะหันทัน ความมืดจากเมฆดำแผ่ปกคลุมไปทั่วจนดูเหมือนใกล้ค่ำ ลำแขนบางถูกคว้าจับให้เข้ามาชิดกับแผ่นอกกว้างเมื่อฝนเริ่มจะลงเม็ดจนกลาย เป็นตกหนักในที่สุด
ทั้งคู่วิ่งหลบเข้าไปในอาคารขายของที่ระลึกซึ่งมีนักท่องเที่ยวยืนออกันอยู่ เต็ม พวกที่มากับกลุ่มทัวร์ก็เฮโลกันขึ้นรสบัสเดินทางกลับออกไปทันทีเพราะดูจาก สภาพอากาศแล้วคงไม่หยุดตกง่ายๆ อย่างแน่นอน จึงเหลือเพียงกลุ่มคนที่คงมาเที่ยวกันเองอย่างเรียวสุเกะและมิราอิซึ่งอยู่กันอย่าง หรอมแหรม
"ไม่เป็นไรนะ" คนตัวสูงก้มหน้าถาม อากาศเริ่มเย็นชื้นขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับละอองฝนสาดเทเข้ามา เรียวสุเกะมองคนข้างตัวแล้วยกมือลูบเส้นผมบางแผ่วเบาก่อนจะล้วงเอาหมวกแก็ปสวมให้ อย่างน้อยก็บังไอฝนได้บ้าง ลำแขนหนาเอื้อมกอดไหล่น้อยที่เริ่มสั่นพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน การกระทำที่เป็นไปโดยธรรมชาติทำให้คนตัวเล็กที่แอบมองอยู่แล้วเลือกที่จะไม่ พูดอะไรออกไป
อย่างน้อยหมอนี่ก็เป็นคนดีกว่าที่คิด
เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงจนผู้คนเริ่มร้อนรนนั่งไม่ติดที่แต่ฝนก็ยังไม่มี ทีท่าว่าหยุด เรียวสุเกะยังคงลูบลำแขนขาวชื้นเปียกของคนข้างกายขึ้นลงเพราะเกรงว่าอีกคนจะหนาว จนเกินไปโดยไม่ทันได้ใส่ใจตัวเองซึ่งเริ่มจะเปียกไปทั้งตัวแล้ว
"แม่โทรมาบอกว่าสะพานเชื่อมขาดล่ะริวตะ รถไฟ รถบัสข้ามเมืองก็คงจะข้ามไปโมโตฮาโกเน่ไม่ได้ แล้วเราจะทำยังไงดี" เสียงของเด็กสาวหน้าตาน่ารักพูดคุยกับแฟนหนุ่มด้วยท่าทีเป็นกังวลทำให้เรียวสุเกะและมิราอิหันมามองสบตากันทันที ความกังวลที่มีก็ไม่ได้ต่างไปจากสองคนนั้นเลย
สายฝนยังคงตกกระหน่ำรุนแรง ต้นซากุระที่ทอดยาวไปตามถนนเอนเอียงจนกลัวว่าจะทรงตัวไม่อยู่ กลีบซากุระลอยเกลื่อนตกลงตามแรงเม็ดฝนให้ผู้คนที่วิ่งไปมาเหยียบย่ำจนช้ำ มิราอิชะเง้อมองเข้าไปในผืนป่าซากุระที่เพิ่งจากมาพบว่าน้ำนองเต็มพื้นไปหมด นึกเป็นห่วงต้นซากุระที่เพิ่งปลูกให้ชีวิต แต่ดูเหมือนผ่านไปแค่ไม่กี่นาที ชีวิตที่ควรจะสดใสกลับดำดิ่งใต้ผืนน้ำ
มิราอิเงยหน้ามองใบหน้าคมที่ขมวดคิ้วจนเป็นปมขณะมองเมฆฝนเบื้องหน้า แล้วมือน้อยก็หยิบกลีบซากุระรูปทรงหัวใจขึ้นมาก่อนจะกุมมันไว้ใต้อุ้งมือราว กับต้องการจะปกป้องจากละอองฝนอันเย็นฉ่ำ
ดีใจที่เก็บมันติดมือมาด้วย เพราะไม่อย่างนั้นมันก็คงจะถูกดินโคลนทับถมจนสูญเสียความสวยงามที่เคยมีจน กลายเป็นแค่เศษซากที่ไร้ค่าไร้ราคาไปอย่างน่าเสียดาย
"มาครบแล้วก็ไปกันเถอะ"
เรียวสุเกะเดินนำเข้าไปซื้อตั๋วสี่ใบก่อนจะเอาไปให้ยูโตะสองใบส่วนตัวเองก็เก็บ ไว้อีกสองใบ ทั้งสี่คนรอไม่นานรถไฟก็เข้ามาจอดเทียบท่าสถานีและแน่นอนว่าจากลำดับที่นั่งมิราอิก็ถูกกันที่ออกไปให้ยูโตะสวมรอยในทันที ส่วนตัวเองก็เด้งออกมานั่งกับเรียวสุเกะซึ่งเอาหมวกแก็ปปิดหน้าไว้คล้ายกำลังนอน หลับ
"เราจะไปที่ไหนกันก่อนดี" ฮารุกะหันมาถามตาใสด้วยความเข้าใจส่วนตัวว่าจะไปทำรายงานทั้งสี่คนพร้อมกันเลย ยูโตะแอบใช้เท้าเขี่ยขาเรียวสุเกะจนเด็กหนุ่มต้องถอดหมวกแก็ปออกมาตอบแทนเพื่อน ที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าคนข้างตัวไม่เลิก
มึงกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากรึไงวะถึงไม่พูดเอง ไอ้คุณโตะ!
"เราจะแยกกันไปทำรายงานเลย ชิมาซากิกับยูโตะก็ลงที่สถานีโชโกกุ โนะ โมริส่วนฉันกับชิดะก็นั่งเลยไปลงที่โอดาวาระ แล้วตอนกลับก็แยกกันกลับ จะได้ถึงบ้านเร็วๆ ไง"
"เอาแบบนั้นเหรอ แต่ ว้า- เสียดายเราเลยไม่ได้ไปด้วยกันเลย" ฮารุกะหันมาพูดกับมิราอิด้วยน้ำเสียงเหงาหงอยไม่ต่างไปจากใบหน้าที่เริ่มจะ ซีดเล็กน้อยพอรู้ว่าต้องไปกับยูโตะสองต่อสอง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะออกอาการลิงโลดอย่างเห็นได้ชัด เพราะนี่คือจุดประสงค์แท้จริงของการมาทำรายงาน ปกติมีหรือจะทุ่มทุนสร้างขนาดนี้ แค่นั่งหาข้อมูลในเน็ตก็ขี้เกียจจะตายอยู่แล้ว
ทั้งมิราอิและฮารุกะไม่ไปด้วยกันน่ะดีแล้ว ยูโตะจะได้ทำอะไรๆ(?)ได้สะดวก
มิราอิแอบส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อพอจะมองออกอยู่บ้างว่าพวกนั้นตั้งใจจะทำอะไรกัน
หลังจากนั้นไม่นานก็มาถึงสถานีโชโกกุฯ ยูริโบกมือให้เพื่อนตัวน้อยและก็แอบอวยพรขอให้วันนี้เพื่อนของเธอมีชีวิตรอด ปลอดภัยกลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพ เมื่อขบวนรถไฟเริ่มเคลื่อนอีกครั้ง คนตัวเล็กก็เหล่มามองคนข้างตัวคล้ายกับจะจับผิด
"หวังว่าเพื่อนนายคงไม่ทำอะไรพิเรน กับฮารุกะหรอกนะ"
"หืม? ที่ว่าพิเรนน่ะมันอะไรล่ะ" เรียวสุเกะเลิกคิ้วถามเหมือนไม่เข้าใจในความหมายที่มิราอิต้องการสื่อ ร่างเล็กจิ๊ปากไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันหน้าหนีถึงแม้แสงแดดของตอนสายจะสาดเข้า มาจนรู้สึกร้อนไปหมดก็ตาม
ร่างสูงยิ้ม แล้วถอดหมวกแก็ปที่ตัวเองสวมอยู่ออกไปวางแหมะบนศีรษะเล็กก่อนจะเอนหลังพิงเบาะด้วยท่าทางสบายอารมณ์
"ยูโตะมันไม่ทำอะไรหรอก แค่จะจีบยังไม่กล้าเลย ก็แค่พานั่งกระเช้าขึ้นเขาชมพระอาทิตย์ตกดินอะไรทำนองนั้น ไม่คิดว่าบรรยากาศจะโรแมนติกพอให้เพื่อนเธอหันมาสนใจมันบ้างเหรอ" มิราอิขยับหมวกแก็ปของอีกคนให้เข้าที่แล้วเอียงหน้ามาแลบลิ้นใส่พร้อมกับว่า ให้เบาๆ
"โคตรเสี่ยว-"
"คอยดูแล้วกันว่าเพื่อนเธอจะคิดว่าโคตรเสี่ยวหรือเปล่า"
มิราอิมองสบตากับดวงตาเป็นประกายระยับแล้วก็คิดได้ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่หมอนี่บอกแน่นอน มิราอิชักจะเป็นห่วงริวทาโร่ซะแล้วสิ
.
.
.
ถัดมาอีกเก้าสถานีทั้งคู่ก็เดินทางผ่านสะพานเชื่อมถนนซึ่งมีรางรถไฟและแยก ส่วนถนนให้รถวิ่งอย่างเป็นสัดส่วน จนมาถึงโอดาวาระ โจว ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดคานากาวะและเป็นเหมือนประตู สู่ฮาโกเน่ ความจริงแล้วเรียวสุเกะเคยมาทัศนศึกษาที่นี่เมื่อสมัยที่เรียนมัธยมต้นที่โตเกียว เพราะอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก แต่เพราะว่าอยากเปิดโอกาสให้ยูโตะมากกว่าซึ่งโชโกกุฯ มีสถานที่น่าเที่ยวหลายแห่งเหมาะแก่การสร้างบรรยากาศทำความคุ้นเคยกันและกัน ได้เป็นอย่างดี
ทั้งคู่เดินไปตามถนนเลียบสระน้ำขนาดใหญ่ซึ่งล้อมรอบตัวปราสาทไว้ทั้งหลัง ในระหว่างนั้นเรียวสุเกะก็ยกกล้องออกมาถ่ายเก็บบรรยากาศรอบๆ ขณะที่มิราอิเอาแต่เดินดุ่มๆ อย่างรีบเร่งเพื่อจะไปให้ถึงตัวปราสาทโดยเร็วจนคนตัวสูงอดที่จะร้องถามแกม เหน็บไม่ได้
"ถ้ารีบขนาดนั้น ว่ายน้ำข้ามไปไม่เร็วกว่าเหรอไง"
มิราอิหันหลังฉับกลับมาแล้วเท้าสะเอวมองคนที่แกล้งถ่ายนั่นถ่ายนี่อย่างเชื่อง ช้า คิดดูแล้วกันว่าถ่ายแม้กระทั่งมดบนถนน อารมณ์สุนทรีย์ไม่เข้ากับหน้าแบบนี้เห็นชัดว่าตั้งใจจะแกล้งแน่ๆ
"นายก็รีบเดินหน่อยสิ รีบไปเก็บข้อมูลแล้วก็รีบกลับ"
ป้องปากตะโกนบอกเสร็จก็เดินข้ามลิ่วนำไปทันที เรียวสุเกะกดยิ้มแล้วเดินตามไป จนกระทั่งทั้งคู่เข้ามาในตัวปราสาทที่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ เนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญห้ามถ่ายรูป เรียวสุเกะจึงได้แต่เดินเก็บรายละเอียดภายในตัวปราสาท ขณะที่มิราอิก็เอาสมุดขึ้นมาจดตามป้ายกำกับในแต่ละจุด คนตัวเล็กเหล่มองร่างสูงที่เอาแต่ยืนนิ่ง
"นี่ ไม่คิดจะช่วยกันจดหน่อยเหรอ" เรียวสุเกะหลิ่วตามองแล้วเดินเข้ามาหันหลังให้
"อ่ะ ให้รองจด" มิราอิมองด้านหลังอีกคนแล้วก็แกล้งกระแทกสมุดลงบนแผ่นหลังกว้างแรงๆ
"นายนี่กินแรงจริงๆ"
"ก็ช่วยไม่ได้นี่ ฉันไม่ได้เอาสมุดมา เอาน่า เสร็จแล้วเดี๋ยวเลี้ยงข้าว" มิราอิตวัดตาขึ้นมองเสี้ยวหน้าที่เอี้ยวมาตอบ ก่อนจะเปรยออกมาไม่จริงจังคล้ายกับจะพึมพำกับตัวเองมากกว่า
"ตกลงนายตั้งใจจะมาทำงานจริงไหมเนี่ย"
"จริงๆ ก็มีจุดประสงค์อื่นอยู่เหมือนกัน อยากฟังไหมล่ะ"
มิราอิเห็นสายตาคนอยากให้รู้แล้วก็เลือกที่จะส่ายหน้าทันที
"ไม่ต้อง หันหลังตรงๆ สิ ฉันเขียนไม่ถนัด" เรียวสุเกะยิ้มเมื่ออีกคนจงใจเฉไฉ แต่ไม่เป็นไรเพราะเขาตั้งใจไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาคนตัวเล็กก็คงจะได้รู้เองนั่นแหละ จวบจนกระทั่งเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนตามที่ต้องการแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องออกจาก ปราสาท แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดและตรงกับงานเทศกาลปลูกซากุระซึ่งมีเป็นประจำ ทุกปีทำให้ผู้คนหนาแน่นกว่าที่เคย มิราอิพยายามเดินหลีกผู้คนออกมาตรงบริเวณทางเดิน แต่ด้วยตัวที่เล็กจึงทำได้ค่อนข้างลำบากจนดูงกเงิ่นในสายตาของคนตัวสูงที่ เดินนำไปไกล
เรียวสุเกะหยุดรอสักพัก แต่แล้วเด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้ามาคว้ามือน้อยก่อนจะใช้ลำตัวกันบังเบียดกับ บรรดาฝูงชนพาออกไปจากตัวปราสาทมาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่มีผู้คนบางตาลง
"ปล่อยได้แล้ว" มิราอิบอกเสียงอ่อน
"เดี๋ยวก็ได้ถูกเบียดตกแม่น้ำไปหรอก"
เรียวสุเกะหันมาบอก มิราอิได้แต่ทำตาคว่ำ พูดแบบนี้หาว่าเธอเตี้ยงั้นเหรอ!
คนตัวเล็กชะเง้อมองไปยังร้านขายข้าวกล่องสำเร็จรูปที่เรียวสุเกะอาสาเบียดกับฝูง คนไปซื้อมาให้ในขณะที่บอกให้มิราอินั่งจองม้านั่งใต้ต้นซากุระที่ปลูกเป็นแถว ไปตามถนนเป็นทางยาวสุดสายตา ยามที่ลมพัดผ่านมาแต่ละครั้ง กลีบซากุระสีชมพูหวานก็ลอยปลิวแผ่บนผิวน้ำพาให้คนเฝ้ามองเพลินตาได้ไม่ยาก
"มาแล้ว" เรียวสุเกะเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นกล่องเบนโตะให้ มิราอิอ้อมแอ้มขอบคุณไม่เต็มเสียงแล้วขยับที่ให้คนตัวสูงได้เข้ามานั่งลงเคียง ข้าง ทั้งคู่นั่งกินไปได้สักพัก คนตัวสูงก็คีบกุ้งเทมปุระใส่ลงในเบนโตะของอีกคนก่อนจะจัดการที่เหลือจนหมด
"อะไร" มิราอิถามด้วยความแปลกใจ
"ก็ให้ไง กินเยอะๆ จะได้มีแรงทำกิจกรรมต่อไป"
"กิจกรรมต่อไป? เดินทางกลับน่ะเหรอ"
"ใช่ที่ไหนล่ะ" คนตัวสูงโบ้ยหน้าไปทางด้านหลังปราสาทที่เป็นป่าซากุระขนาดย่อม
"ช่วงวันหยุดนี้จะมีเทศกาลปลูกต้นซากุระเพื่อทดแทนต้นเดิมที่อาจจะมีอันต้อง ถูกทำลายไป ไหนๆ เราก็มาถึงที่กันแล้วจะไม่ลองเข้าร่วมหน่อยเหรอ น่าสนุกดีนะ" คนตัวสูงอธิบายอย่างอารมณ์ดีราวกับศึกษามาก่อนล่วงหน้าซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ ไหน ทันทีที่รู้ว่าเรียวสุเกะจะมาทำรายงานที่โอดาวาระ โจว ยูมิกะก็รีบแนะนำให้มาปลูกซากุระ และเจ้าตัวก็ยังอดบ่นเสียดายที่ไม่ได้มาด้วย
ไว้ปีหน้าก็ยังไม่สาย...
"นี่เหรอจุดประสงค์อื่นของนาย" มิราอิถามขึ้นและอีกคนก็พยักหน้าตอบทันที คนตัวเล็กส่ายหน้าแล้วมองนาฬิกาที่เริ่มจะบอกเวลาบ่ายกว่าแล้ว สงสัยวันนี้กว่าจะกลับถึงบ้านคงอีกนาน
.
.
.
ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่เพียงบ่ายโมงแต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มมาอย่างรวดเร็ว เรียวสุเกะเดินถือต้นกล้าเข้ามาเพียงต้นเดียวแล้วก็เดินนำมิราอิเข้าไปด้านในที่ เจ้าหน้าที่จัดเอาไว้ให้ คนตัวสูงลงมือขุดดินด้วยอุปกรณ์ที่นำติดมาในขณะที่มิราอิก็เดินไปตักน้ำที่บ่อ รวมกลางสนามมาเตรียมไว้รอ
"ปลูกมันแล้วเราไม่ต้องคอยมาดูแลเหรอ" คนตัวเล็กถามด้วยความสงสัย เรียวสุเกะยิ้ม
"มีคนมาดูแลรดน้ำ ใส่ปุ๋ยอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง"
"ถึงจะเป็นคนลงมือปลูกเอง แต่ไม่ได้ดูแลด้วยตัวเอง แล้วจะทำไปเพื่ออะไร เพราะยังไงสุดท้ายคนปลูกก็ทิ้งมันไว้อยู่ดี" คำบอกเล่าของร่างเล็กทำให้มือหนาหยุดอยู่กับที่ก่อนจะหันไปมองใบหน้าใสที่ จ้องมองเจ้าต้นกล้าน้อยซึ่งมีเพียงยอดใบติดมาไม่เท่าไหร่
เรียวสุเกะพอจะเข้าใจว่างานเทศกาลที่จัดขึ้นนี้มีไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มี ส่วนร่วมในการสร้างผืนป่าซากุระและร่วมกันตระหนักถึงความมีอยู่ของมันเท่า นั้น แต่สิ่งที่มิราอิพูดออกมาทำให้เขาเห็นถึงปัญหาอีกด้านที่ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน เป็นความละเอียดอ่อนที่คนอย่างเขาเข้าไม่ถึงจริงๆ เพราะจนถึงตอนนี้เรียวสุเกะก็ไม่สามารถจะตอบคำพูดเหล่านั้นได้เลย
มิราอิลงมือนำต้นกล้าลงไปปลูกก่อนจะใช้พรวนตักดินถมลงไป โดยเรียวสุเกะใช้มือช่วยโกยดินลงไปอีกแรง เมื่อรดน้ำจนชุ่มแล้วก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยพร้อมกับสายลมที่เริ่มพัดพา รุนแรงขึ้นจนทำให้กลีบซารุกะที่อยู่รายรอบแนวพื้นที่ร่วงกราวคล้ายกับละออง สีชมพูฟุ้งไปทั่ว มิราอิหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกว่าแรงลมกระทบเข้าตาจนแสบ แต่พอลืมตาขึ้นก็พบใบหน้าหล่อเหล่าเข้ามาใกล้จนเผลอก้าวถอยหลังไปในทันที
เรียวสุเกะยิ้มแล้วเอื้อมมือแตะปลายผมเส้นเล็กแผ่วเบา
"ซากุระรูปหัวใจน่ะ" คนตัวสูงแบมือยื่นกลีบซากุระมาให้ มิราอิหลุบตามองแล้วช้อนสายตาขึ้นสบกับอีกคนแสดงถึงความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน
"รับไว้สิ ฉันให้"
คำพูดเรียบง่ายเปล่งออกมาพร้อมกับสายลมเย็นพัดมาอีกระลอก กลีบซากุระยังคงลอยคลุ้งไม่ต่างไปจากจิตใจดวงน้อยที่เริ่มเอนไหวสับสน ยมิราอิตัดสินใจหยิบมันมาจากมือของคนตัวสูงแล้วย่อตัวลงวางกลีบซากุระลงบนผืนดินใต้ต้นซากุระน้อยที่เพิ่งลงมือปลูก ถ้าหากมันเติบโตขึ้นมาคงสามารถผลิดอกที่สวยงามได้เช่นนี้ คนตัวเล็กจ้องมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มาถึงที่นี่ ถึงแม้รอยยิ้มนั้นจะเป็นยิ้มที่แสนบางเบาก็ตาม
แชะ!
"ทำอะไรน่ะ" หันไปถามเสียงต่ำ ในขณะที่อีกคนลดกล้องถ่ายรูปแล้วนั่งชันเข่าลงกับพื้นดินโดยไม่ได้กลัวเลยว่ากางเกงจะเปื้อนดินจนเปรอะ
"บรรยากาศดีๆ แบบนี้ก็ต้องเก็บรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยสิ" มิราอิถอนหายใจ สายตาเหม่อมองไปยังผู้คนที่กำลังลงมือปลูกต้นซากุระกันด้วยท่าทางแจ่มใส คงมีแค่เธอคนเดียวละมั้งที่รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจอารมณ์ของตัวเองในวันนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเธอมักจะมีความคิดที่แปลกไปจากคนอื่น มีมุมมองที่ไม่ค่อยตรงกับใครอย่างที่ยูริเคยบอกเอาไว้ว่าเป็นเรื่องปกติของ คนกรุ๊ปเอบี
"อ่ะ-"
มิราอิมองมือถือที่อีกคนยื่นมาให้ คิ้วเรียวขมวดด้วยความไม่เข้าใจ
"ฉันให้เธอลบรูปนั้น"
"ทำไม" ถามกลับพลางจ้องมองคนตรงหน้าด้วยท่าทางระมัดระวังตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้มิราอิเคยขอร้องแทบตายแต่กลับเอามาให้ลบอย่างง่ายดาย เป็นใครบ้างจะไม่แปลกใจ
"หรือจะให้เก็บไว้" บอกพลางจะทำท่าเก็บเข้ากระเป๋าจริงจัง มิราอิรีบคว้าหมับแล้วจัดการลบทิ้งทันทีโดยมีสายตาของคนตัวสูงเฝ้ามองอยู่ไม่ ห่าง คนตัวเล็กยื่นมือถือคืนให้ก่อนจะบอกอีกฝ่ายเสียงเข้ม
"ถึงจะทำแบบนี้แต่ฉันก็ยังไม่เลิกเกลียดนายหรอกนะ" บอกออกไปทั้งที่ไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำว่ารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
"แอบผิดหวังนิดหน่อยแฮะ แต่ก็รู้อยู่แล้วล่ะ"
ร่างสูงยังคงบอกด้วยรอยยิ้มถึงแม้จะดูเหมือนว่ารู้ดีอยู่แล้ว มิราอิขมวดคิ้วฉับ แม้จะไม่มีรูปไว้เป็นข้อต่อรองแล้วก็ตาม แต่ทำไมเขายังรู้สึกว่าอีกคนยังเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า มิราอิไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นแล้วเดินตรงออกไปจากบริเวณนั้นพร้อมเสียงฟ้าร้องรุนแรง ที่มาอย่างกะหันทัน ความมืดจากเมฆดำแผ่ปกคลุมไปทั่วจนดูเหมือนใกล้ค่ำ ลำแขนบางถูกคว้าจับให้เข้ามาชิดกับแผ่นอกกว้างเมื่อฝนเริ่มจะลงเม็ดจนกลาย เป็นตกหนักในที่สุด
ทั้งคู่วิ่งหลบเข้าไปในอาคารขายของที่ระลึกซึ่งมีนักท่องเที่ยวยืนออกันอยู่ เต็ม พวกที่มากับกลุ่มทัวร์ก็เฮโลกันขึ้นรสบัสเดินทางกลับออกไปทันทีเพราะดูจาก สภาพอากาศแล้วคงไม่หยุดตกง่ายๆ อย่างแน่นอน จึงเหลือเพียงกลุ่มคนที่คงมาเที่ยวกันเองอย่างเรียวสุเกะและมิราอิซึ่งอยู่กันอย่าง หรอมแหรม
"ไม่เป็นไรนะ" คนตัวสูงก้มหน้าถาม อากาศเริ่มเย็นชื้นขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับละอองฝนสาดเทเข้ามา เรียวสุเกะมองคนข้างตัวแล้วยกมือลูบเส้นผมบางแผ่วเบาก่อนจะล้วงเอาหมวกแก็ปสวมให้ อย่างน้อยก็บังไอฝนได้บ้าง ลำแขนหนาเอื้อมกอดไหล่น้อยที่เริ่มสั่นพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน การกระทำที่เป็นไปโดยธรรมชาติทำให้คนตัวเล็กที่แอบมองอยู่แล้วเลือกที่จะไม่ พูดอะไรออกไป
อย่างน้อยหมอนี่ก็เป็นคนดีกว่าที่คิด
เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงจนผู้คนเริ่มร้อนรนนั่งไม่ติดที่แต่ฝนก็ยังไม่มี ทีท่าว่าหยุด เรียวสุเกะยังคงลูบลำแขนขาวชื้นเปียกของคนข้างกายขึ้นลงเพราะเกรงว่าอีกคนจะหนาว จนเกินไปโดยไม่ทันได้ใส่ใจตัวเองซึ่งเริ่มจะเปียกไปทั้งตัวแล้ว
"แม่โทรมาบอกว่าสะพานเชื่อมขาดล่ะริวตะ รถไฟ รถบัสข้ามเมืองก็คงจะข้ามไปโมโตฮาโกเน่ไม่ได้ แล้วเราจะทำยังไงดี" เสียงของเด็กสาวหน้าตาน่ารักพูดคุยกับแฟนหนุ่มด้วยท่าทีเป็นกังวลทำให้เรียวสุเกะและมิราอิหันมามองสบตากันทันที ความกังวลที่มีก็ไม่ได้ต่างไปจากสองคนนั้นเลย
สายฝนยังคงตกกระหน่ำรุนแรง ต้นซากุระที่ทอดยาวไปตามถนนเอนเอียงจนกลัวว่าจะทรงตัวไม่อยู่ กลีบซากุระลอยเกลื่อนตกลงตามแรงเม็ดฝนให้ผู้คนที่วิ่งไปมาเหยียบย่ำจนช้ำ มิราอิชะเง้อมองเข้าไปในผืนป่าซากุระที่เพิ่งจากมาพบว่าน้ำนองเต็มพื้นไปหมด นึกเป็นห่วงต้นซากุระที่เพิ่งปลูกให้ชีวิต แต่ดูเหมือนผ่านไปแค่ไม่กี่นาที ชีวิตที่ควรจะสดใสกลับดำดิ่งใต้ผืนน้ำ
มิราอิเงยหน้ามองใบหน้าคมที่ขมวดคิ้วจนเป็นปมขณะมองเมฆฝนเบื้องหน้า แล้วมือน้อยก็หยิบกลีบซากุระรูปทรงหัวใจขึ้นมาก่อนจะกุมมันไว้ใต้อุ้งมือราว กับต้องการจะปกป้องจากละอองฝนอันเย็นฉ่ำ
ดีใจที่เก็บมันติดมือมาด้วย เพราะไม่อย่างนั้นมันก็คงจะถูกดินโคลนทับถมจนสูญเสียความสวยงามที่เคยมีจน กลายเป็นแค่เศษซากที่ไร้ค่าไร้ราคาไปอย่างน่าเสียดาย
TBC.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น