ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทที่ 5 พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง

    ลำดับตอนที่ #3 : การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของยุโรปสมัยกลาง

    • อัปเดตล่าสุด 14 ธ.ค. 54


    ความคิดทางการเมืองของนักบวชคริสต์สมัยต้น

    พระคัมภีร์ใหม่ (New Testament) มีเนื้อหาสำคัญที่เด่นชัดถือเป็นหลักการเชิงการเมืองของศาสนาคริสต์คือ การยอมรับกฎหมายธรรมชาติ (Natural Law) ความเสมอภาค และความเชื่อว่ารัฐและรัฐบาลเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้น
    หลักการทั้งสามประการนี้นอกจากจะปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่แล้วบรรดานักบวชคริสต์สมัยต้นอีกหลายท่านยังช่วยอรรถาธิบายเพิ่มเติมจนผู้ที่ศึกษาสามารถเข้าใจได้กระจ่างยิ่งขึ้น เซนต์ปอล (
    Saint Paul) ได้เขียนไว้ในจดหมายบันทึกเหตุ ความว่า
    กฎหมายธรรมชาติถูกลิขิตไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกรูป สามารถที่จะค้นหาพบได้ด้วยเหตุผล เป็นกฎหมายที่แตกต่างจากกฎหมายของรัฐ เป็นเช่นเดียวกับกฎแห่งศีลธรรม (
    conscience) สิ่งใดผิดหรือถูกสามารถรู้ได้ผ่านทางกฎหมายนี้ โดยมโนสำนึกจะคอยบอกว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร แนวความคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาตินี้บรรดาฟาร์เธอร์ของ
    คริสต์ศาสนาในสมัยต่อ ๆ มา ยอมรับว่าเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งของคริสต์ศาสนา นอกจากนี้พระคัมภีร์ใหม่ยังอ้างว่า บรรดารัฐบาลและสถาบันการปกครองต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นและกำหนดให้เป็นไปทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องยอมรับว่า บรรดาสถาบันเหล่านี้เป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ ได้รับหน้าที่จากพระเป็นเจ้า การเคารพเชื่อฟังเป็นพันธะของทุก ๆ คนเช่นเดียวกับพันธะต่อศาสนา รัฐถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาความยุติธรรม ดังนั้นรัฐจึงมีลักษณะแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ปกครองคือผู้รับใช้ของพระเจ้า การเชื่อฟังจึงเป็นสิ่งจำเป็น” แนวทรรศนะ
    เกี่ยวกับกษัตริย์หรือผู้ปกครองที่ปรากฏในคัมภีร์ใหม่จึงเป็นรากฐานของ
    ลัทธิเทวสิทธิ (Divine Right)อำนาจของผู้ปกครองมีความชอบธรรม เพราะผู้ปกครองได้รับอำนาจหรืออาณัติมอบหมายมาจากพระเจ้า ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะเป็นผู้ที่ได้รับการรับรองโดยพระเจ้า ประชาชนไม่มีสิทธิต่อต้านหรือไม่ยอมรับผู้ปกครอง เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นการปฏิเสธพระเจ้า อำนาจทั้งหมดเป็นของพระเจ้า กษัตริย์ทรงปกครอง โดยอำนาจของพระเจ้า ดังนั้นอำนาจของพระองค์จึงไม่มี
    ขอบเขต และไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใดนอกจากพระเป็นเจ้า
     อำนาจของกษัตริย์สืบต่อด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ เพราะพระเจ้าเลือกกษัตริย์โดยยึดหลักสายโลหิต พฤติกรรมของกษัตริย์ พระเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ประชาชนหรือองค์การอื่น ๆ ไม่มีสิทธิวินิจฉัย


     

    พระคัมภีร์ใหม่ (New Testament)

     
    เซนต์ปอล (Saint Paul)

    ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจสูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า (Supremacy of God) 

    ปรัชญาเมธีฝ่ายกฎหมายธรรมชาติ (Natural legal philosopher) ได้อ้างทฤษฎีว่าด้วยอำนาจสูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า มาตั้งแต่สมัยเซนต์ออกุสติน โดยอ้างว่าบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวงย่อมอยู่ใต้คำบังคับบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ข้อนี้เห็นจะเทียบได้กับเรื่อง พรหมลิขิต ตามคตินิยมแบบฮินดู นักชีววิทยาอ้างว่า ทฤษฎีเช่นนี้มีรากฐานความเชื่อมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการนับถือผีสางเทวดา (theism) โดยมนุษย์รู้จักกันว่าจะต้องมีสิ่งสูงสุดสิ่งหนึ่งคอยดลบันดาลปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติ และลิขิตความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง มนุษย์เกิดจากลิขิตของสิ่งนั้น และมนุษย์จะต้องกลับไปหาสิ่งที่ลิขิตชีวิต
    ในบั้นปลาย
      ต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาธอลิก (Roman Catholic) เจริญรุ่งเรืองขึ้นในตอนต้นสมัยกลาง (Middle Age) 
    ศาสนจักรเรืองอำนาจมากเหนืออาณาจักรทั้งปวงในยุโรป และมีการอ้างอิงว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกฎของพระผู้เป็นเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมชาติ” (Nature) ที่ว่านั้นคือ พระผู้เป็นเจ้า (God) นั่นเอง ลัทธิอำนาจสูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า
    ก็เริ่มเป็นที่กล่าวอ้างกันทั่วไปอย่างกว้างขวางจากแนวคิดของนักบวชคริสต์ดังนี้
          

     

    เซนต์ออกัสติน (Saint Augustine)        

    ในบรรดาฟาเธอร์ของคริสต์ศาสนาทั้งหลายในยุคต้น เซนต์ออกัสติน (ค.ศ. 354 - 430) ชาวเมืองทาเกสท์ (Tagaste) 
    แถบแอฟริกาศิษย์ของเซนต์แอมโบรส เป็นผู้ที่เผยแพร่แนวความคิดที่มีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองสมัยนั้นและสมัยต่อมา
    มากที่สุด ผลงานที่เลื่องชื่อที่สุดของท่านผู้นี้คือ นครของพระเจ้า (
    City of God) และคำสารภาพ (Confession)  ในระยะเริ่มแรกสมัยที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ คนทุกคนมีความเสมอภาคกันทุกคนมีกฎหมายธรรมชาติเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และกฎหมายธรรมชาติสร้างสันติภาพในการอยู่ร่วมกันของมวลมนุษย์ ต่อมาสภาพธรรมชาติของคนถูกทำลายลงด้วยบาป (Sin) คนแต่ละคนหันไปแสวงหา
    ผลประโยชน์ใส่ตนโดยเฉพาะ ความเสมอภาคระหว่างเพื่อนร่วมโลกหมดสิ้นลง บาปจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความสับสนในสังคมมนุษย์ ออกุสติน กล่าวว่า
     บาปเป็นอาชญากรรมที่แท้จริงของคนชั่ว โดยมีรากฐานมาจากความผิดพลาดและความรักในสิ่งที่ผิด 
    ความจำเป็นในการที่ต้องมีผู้ปกครอง มีกฎหมายเพื่อจัดระเบียบและผดุงไว้ซึ่งสันติภาพจึงเกิดขึ้น อาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลหรือสถาบันการปกครองเกิดขึ้นเพราะผลแห่งบาปที่มนุษย์สร้างขึน ทรรศนะของเซนต์ออกุสติน เป็นแนวความคิดที่สนับสนุนลัทธิเทวสิทธิ
    ตามแบบของนักบวชคริสต์ทั้งหลาย แต่เน้นว่า เฉพาะกษัตริย์หรือผู้ปกครองที่ยอมรับพระเจ้าและเป็นคริสต์ศาสนิกชนเท่านั้นจึงจะประกาศตัวเองได้ว่าเป็นผู้ได้รับอาณัติจากสวรรค์ มอบหมายให้เป็นผู้ปกครองมีอาญาสิทธิเหนือประชาชนทั้งปวง ส่วนผู้ปกครอง
    ที่ปฏิเสธคริสต์ศาสนาย่อมไม่ใช่ผู้ที่ได้รับเทวโองการให้มาปกครอง
    ในนครรัฐหรืออาณาจักรที่ปกครองโดยกษัตริย์ที่ไม่ใช่
    คริสตชนจะไม่มีทางบันดาลความสุขให้เกิดขึ้นกับประชาชนผู้อาศัยได้ ออกุสตินเน้นความศรัทธาในพระเจ้าว่าเป็นหนทางเดียวที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความสุข และอำนาจทางการเมืองจะต้องมาจากความศรัทธาในศาสนา
     ออกุสตินให้ความสำคัญแก่สถาบันศาสนามากกว่าสถาบันการปกครอง เขามีทรรศนะว่า พระเจ้าได้จัดหาตัวแทนเพื่อช่วยเหลือคนให้พ้นจากบาปได้สำเร็จ และประสบกับชีวิตนิรันดร์ในนครของพระเจ้า ตัวแทนที่ว่านี้คือวัดกับรัฐ วัดมีความสำคัญมากกว่ารัฐ อันที่จริงแล้วรัฐอาจจะเป็นอุปสรรคในการที่จะล้างบาป หากว่ารัฐนั้นไม่ใช่ คริสตรัฐ วัดเป็นสถาบันที่ยิ่งใหญ่เป็นตัวแทนของพระเจ้าบนพื้นพิภพ

        
    เซนต์ออกุสติน (Saint Augustine)

    จอห์นแห่งซัลส์เบอรี่ (John of Salsbury)         

    จอห์น (ค.ศ. 1120 - 1180) เป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด แต่ได้รับการศึกษาในฝรั่งเศส เมื่อจบการศึกษาได้ทำงานเป็น
    เลขานุการของอาร์คบิช็อบ ธอมัส เบ็คเก็ต (
    Thomas Backet) แห่ง Canterbury ในตอนปลายแห่งชีวิตจอห์นได้เป็นบิช็อบแห่ง Charters จนกระทั่งสิ้นชีวิต ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากคือหนังสือเรื่อง Policraticus ซึ่งแนวความคิดในเล่มนี้มีอิทธิพลมากในสมัยกลาง ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันศาสนากับสถาบันการปกครองจอห์นเขียนไว้อย่างชัดแจ้งว่า อำนาจของกษัตริย์ไม่อาจทัดเทียมอำนาจฝ่ายพระ เพราะอำนาจในการปกครองทางโลกนั้น กษัตริย์ได้รับจากพระเจ้าและจากวัดซึ่งมีฐานะเป็นองค์การตัวแทนของพระเจ้าบนแผ่นดิน จอห์นกล่าวว่า ดังนั้น ดาบเล่มนี้ (อำนาจการปกครอง
    ทางโลก) กษัตริย์ได้รับจากมือของฝ่ายวัด แม้ว่าฝ่ายวัดจะไม่มีดาบเปื้อนเลือดเลยก็ตาม ต้องถือว่าวัดเป็นผู้ใช้ดาบเล่มนี้ด้วยมือของกษัตริย์ผู้ซึ่งตนมอบอำนาจบังคับทางกายให้ จอห์น หมายความว่าเนื่องจากฝ่ายศาสนาซึ่งเป็นผู้แทนพระเจ้าบนพิภพมอบอำนาจในการปกครองทางโลกให้กับกษัตริย์ ดังนั้นจึงควรจะมีอำนาจและศักดิ์ศรีเหนือกว่า เพราะศาสนาเป็นฝ่ายให้ความชอบธรรมแก่อำนาจทางการเมือง

       
    จอห์นแห่งซัลส์เบอรี่ (John of Salsbury)

    ลักษณะของฟิวดัล
                    ระบบฟิวดัลหรือระบบศักดินาสวามิภักดิ์   คำว่าฟิวดัล (
    feudalism) มาจากคำว่า Fiefs หมายถึง ที่ดินที่เป็นพันธะสัญญาระหว่างเจ้านายเจ้าของที่ดิน กับผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เรียกว่า ข้า เจ้าของที่ดินเป็นพวกขุนนาง เรียกว่า ลอร์ด ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ
    เรียกว่า วัสซัล ระบบฟิวดัล คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับข้า กษัตริย์ได้มอบที่ดินให้แก่ขุนนาง พวกขุนนางมีสิทธิหา
    ผลประโยชน์จากที่ดิน และดูแลปกครองผู้คนที่อาศัยทำมาหากินบนพื้นที่ดินนั้น ตัดสินคดีพิพาทต่างๆ ส่วนพันธะที่มีกษัตริย์ คือ การส่งกำลังไปช่วยในยามสงคราม ส่งภาษี กษัตริย์มีหน้าที่ให้ความคุ้มครอง และความยุติธรรมแก่ขุนนาง ในทางทฤษฎีเป็น
    การจัดระบบระหว่างเจ้านายกับข้าตามระดับ กษัตริย์จึงเป็นเจ้านายชั้นสูงสุดของระบบ ที่ดินทั่วราชอาณาจักรเป็นของพระองค์
    แต่พระราชทานที่ดินแก่ขุนนางระดับสูง ขุนนางระดับสูงก็จะแบ่งที่ดินให้แก่ขุนนางระดับต่ำกว่าอีกทอดหนึ่ง ระบบนี้แบ่งที่ดินลงเป็นทอด ๆ

       
      
    ระบบฟิวดัล

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×