ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทที่ 5 พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง

    ลำดับตอนที่ #6 : เหตุการณ์สำคัญในยุโรปสมัยกลาง :: สงครามร้อยปี

    • อัปเดตล่าสุด 15 ธ.ค. 54


    สงครามร้อยปี

     

    ประมวลเหตุการณ์ สีเหลืองฝรั่งเศส สีเทาอังกฤษ สีเทาเข้มแคว้นเบอร์กันดี

    สงครามร้อยปี (อังกฤษ: Hundred Years' War) เป็นความขัดแย้งระหว่างสองราชตระกูลที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1337 ถึงปี ค.ศ. 1453 เพื่อชิงราชบัลลังก์ฝรั่งเศสที่ว่างลงเมื่อผู้สืบเชื้อสายของราชวงศ์กาเปเตียงสิ้นสุดลง ราชวงศ์สองราชวงศ์ที่พยายามชิงราชบัลลังก์คือราชวงศ์วาลัวส์ และราชวงศ์แพลนทาเจเน็ท หรือที่รู้จักกันว่าราชวงศ์อองชูราชวงศ์วาลัวส์อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสขณะที่ราชวงศ์แพลนทาเจเน็ทอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสและอังกฤษ ราชวงศ์แพลนทาเจเน็ทเป็นราชวงศ์ที่ปกครองราชอาณาจักรอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และมีรากฐานจากบริเวณอองชู และนอร์มังดีในฝรั่งเศส ทหารฝรั่งเศสเป็นผู้ร่วมการต่อสู้ของ
    ทั้งสองฝ่าย โดยมีเบอร์กันดี และอากีแตนสนับสนุนฝ่ายแพลนทาเจเน็ท

    ความขัดแย้งยืดยาวเป็นเวลาถึง 116 ปีแต่ก็มีช่วงที่มีความสงบเป็นระยะๆ ก่อนที่จะจบลงด้วยการกำจัดราชวงศ์แพลนทาเจเน็ทออกจากฝรั่งเศส (นอกจากในบริเวณคาเลส์) ฝ่ายราชวงศ์วาลัวส์จึงเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะในการกำจัดราชวงศ์แพลนทาเจเน็ทออกจากฝรั่งเศสในคริสต์ทศวรรษ 1450

    อันที่จริงแล้วสงครามร้อยปีเป็นสงครามที่เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ที่มักจะแบ่งเป็นสามหรือสี่ช่วง: สงครามพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด (ค.ศ. 1337
    ค.ศ. 1360), สงครามพระเจ้าชาร์ลส์ (13691389), สงครามพระเจ้าเฮนรี (ค.ศ. 1415ค.ศ. 1429)และหลังจากการมีบทบาทของ
    โจนออฟอาร์ค(ค.ศ. 1412
    ค.ศ. 1431) ความได้เปรียบของฝ่ายอังกฤษก็ลดถอยลง นอกจากนั้นสงครามร้อยปีก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งในฝรั่งเศสและอังกฤษที่รวมทั้งสงครามสืบราชบัลลังก์บริตานี, สงครามสืบราชบัลลังก์คาสตีล และสงครามสองปีเตอร์ คำว่า สงครามร้อยปี เป็นคำที่นักประวัติศาสตร์ในสมัยต่อมาคิดขึ้นเพื่อบรรยายถึงเหตุการณ์ที่ว่านี้

    สงครามมีความสำคํญทางประวัติศาสตร์หลายประการ แม้ว่าจะเป็นสงครามของความขัดแย้งกันหลายด้านแต่ก็เป็นสงครามที่ทำให้ทั้งฝ่ายอังกฤษเริ่มมีความรู้สึกถึงความเป็นชาตินิยม ทางด้านการทหารก็มีการนำอาวุธและยุทธวิธีใหม่ๆ มาใช้ที่ทำให้ระบบศักดินาที่ใช้การต่อสู้บนหลังม้าเป็นหลักเริ่มหมดความสำคัญลง ในด้านระบบการทหารก็มีการริเริ่มการใช้ทหารประจำการที่เลิกใช้กันไปตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทของเกษตรกร ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
    เหล่านี้ทำให้เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การสงครามของยุคกลาง ในฝรั่งเศสการรุกรานของฝ่ายอังกฤษ
    , สงครามกลางเมือง, การระบาดของเชื้อโรค, ความอดอยาก และการเที่ยวปล้นสดมของทหารรับจ้างและโจรทำให้ประชากรลดจำนวนลงไปถึงสองในสามในช่วงเวลานี้ เมื่อต้องออกจากแผ่นดินใหญ่ยุโรปอังกฤษก็กลายเป็นชาติเกาะที่มีผลต่อนโยบายและปรัชญาของอังกฤษต่อมาถึง 500 ปี

    ที่มาของสงคราม

    สาเหตุของความขัดแย้งเริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1066 เมื่อ ดยุควิลเลียมแห่งนอร์มังดียกกองทัพมารุกรานอังกฤษ พระองค์ทรงไดัรับชัยชนะต่อสมเด็จพระเจ้าฮาโรลด์ในยุทธการเฮสติงส์และขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษ ในฐานะดยุคแห่งนอร์มังดี
    วิลเลียมยังคงขึ้นอยู่กับกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งต้องทรงสาบานความสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์ฝรั่งเศส การแสดงความสวามิภักดิ์ของกษัตริย์องค์หนึ่งต่อกษัตริย์อีกองค์หนึ่งเป็นการกระทำที่เหมือนเป็นการหยามศักดิ์ศรี พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษจึงพยายามเลี่ยง ทางฝ่าย
    ราชวงศ์กาเปเตียงที่ปกครองฝรั่งเศสเองก็ไม่พอใจที่มีกษัตริย์ประเทศเพื่อนบ้านมาเป็นเจ้าของดินแดนภายในราชอาณาจักรฝรั่งเศส และพยายามหาทางลดความเป็นอันตรายของฝ่ายอังกฤษต่อความมั่นคงของฝรั่งเศส

    หลังจากสมัยของสงครามกลางเมืองที่เรียกว่าสงครามอนาธิปไตย(The Anarchy) ในอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1135 ถึงปี ค.ศ. 1154
    ราชวงศ์อองชูก็ขึ้นมามีอำนาจแทนราชวงศ์แองโกล-นอร์มัน สมัยที่รุ่งเรืองที่สุดราชวงศ์อองชูก็ปกครองทั้งอังกฤษ และดินแดนในฝรั่งเศสที่รวมทั้งนอร์มังดี
    ,ไมน์, อองชู, ทูแรน, ปัวตูร์, แกสโคนี, แซงตง, และอากีแตน ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่มีเนื้อที่มากกว่าพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสเอง ดินแดนเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่าจักรวรรดิอองชู (Angevin Empire) การที่พระมหากษัตริย์อังกฤษแห่งราชวงศ์อองชูต้องแสดงความสวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสผู้อ่อนแอกว่าเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งตลอดมา

    สมเด็จพระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษทรงได้รับดินแดนมากมายจากสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แต่พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศสทรงใช้ความอ่อนแอของพระเจ้าจอห์นทั้งทางกฎหมายและทางการทหาร และเมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1204 พระองค์ก็ทรงยึดดินแดนต่างๆ มาเป็นของฝรั่งเศส ยุทธการบูแวงส์ (Battle of Bouvines) ในปี ค.ศ. 1214, ยุทธการแซงตง (Saintonge War) ในปี ค.ศ. 1242 และยุทธการแซงต์ซาร์โดส์ (War of Saint-Sardos) ในปี ค.ศ. 1324) ทำให้ราชวงศ์อองชูสูญเสียดินแดนนอร์มังดีทั้งหมดและลดเนื้อที่ครอบครองในฝรั่งเศสลงเหลือเพียงในบริเวณบางส่วนของแกสโคนีเท่านั้น

    เมื่อมาถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 ขุนนางอังกฤษก็ยังรำลึกถึงเวลาที่บรรพบุรุษมีอำนาจครอบครองดินแดนมากมายบนแผ่นดินใหญ่ยุโรปเช่นในนอร์มังดีซึ่งฝ่ายอังกฤษถือว่าเป็นดินแดนของบรรพบุรุษ และเป็นแรงบันดาลใจในความพยายามที่ยึดดินแดนเหล่านี้คืนมาในครองครองอีกครั้งหนึ่ง

    สาเหตุแห่งสงคราม

    การรบที่สลุยส์

    ในค.ศ. 1324 พระเจ้าชาลส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส สิ้นพระชนม์โดยไม่มีทายาท ทำให้ราชวงศ์กาเปเชียงสายตรงต้องสิ้นสุดลง พระเจ้า
    เอ็ดวาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษทรงเป็นพระนัดดาของพระเจ้าชาลส์ที่ 4 เป็นพระญาติชายที่ใกล้ชิดที่สุดทางสายพระโลหิต จึงเป็นผู้มีสิทธิจะครองบัลลังก์มากที่สุด แต่ขุนนางฝรั่งเศส ไม่ต้องการให้กษัตริย์อังกฤษมาปกครองฝรั่งเศส จึงอ้างกฏบัตรซาลลิคของชนแฟรงก์โบราณว่า การสืบสันติวงศ์จะต้องผ่านทางผู้ชายเท่านั้น และให้ฟิลิปเคานท์แห่งวาลัวส์ ที่สืบเชื้อสายจากพระเจ้าฟิลิปที่ 3 ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 6 เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์วาลัวส์ ซึ่งเป็นสาขาของราชวงศ์กาเปเชียง ในค.ศ. 1331 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 3 ทรงยินยอมที่จะสละสิทธิ์ในบัลลังก์ฝรั่งเศสทั้งมวลแต่ครองแคว้นกาสโคนี

    ในค.ศ. 1333 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงทำสงครามกับสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสตามสัญญาพันธมิตรเก่า (Auld Alliance) ทำให้พระเจ้าฟิลิปที่ 6 ทรงเห็นเป็นโอกาสจึงนำทัพบุกยึดแคว้นกาสโคนี แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงปราบปรามสกอตแลนด์อย่าง
    รวดเร็ว และหันมาตอบโต้พระเจ้าฟิลิปได้ทัน

    เหตุการณ์สำคัญ สงครามร้อยปี 

    สงครามร้อยปีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยกลางของยุโรป (ค.ศ.1336-ค.ศ.1453)ในช่วงเวลาที่การตั้งตนเป็นประเทศต่างๆยังไม่ลงตัว จึงมีการแย่งชิงดินแดนกันอยู่ระหว่างเชื้อชาติต่างๆ 

    สาเหตุของสงครามร้อยปี 

    1.       การแก่งแย่งดินแดนของทั้ง 2 ประเทศ โดยกษัตริย์อังกฤษได้มีดินแดนในฝรั่งเศส ที่แคว้นนอร์มังดีทำให้ฝรั่งเศสมีปัญหาในการรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น และในสมัย ฟิลิปที่ 2 ได้ทำสงครามแย่งดินแดนจากอังกฤษ     แต่ก็ยังไม่สามารถเอาดินแดนฝรั่งเศสกลับมาได้ทั้งหมด

    2.       การสืบทอดบัลลังก์ในฝรั่งเศสมีปัญหา ฟิลิปที่ 4 ไม่มีทายาท มีแต่หลานที่ไปสมรสกับเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 ของอังกฤษ แล้วต่อมาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 มาปกครองอังกฤษต่อ และอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ฝรั่งเศสด้วยแต่ขุนนางฝรั่งเศสไม่ยอมรับ แต่ไปสนับสนุนฟิลิปที่ 6 ซึ่งเป็นหลานของ ฟิลิปที่ 4 ของฝรั่งเศสซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส                                                                                            

    สงครามระยะแรก(ค.ศ. 1337-1360)

            ฟิลิปที่ 6 ได้ครองฝรั่งเศสได้ยุยงให้ผู้ปกครองแคว้น ฟลานเดอร์(Count of  Flander ) ขัดขวางการค้าของอังกฤษ และยุยงให้ชาวไอริส และชาวสก๊อต ต่อต้านประเทศอังกฤษ และพยายามยึดดินแดนคืน แต่ไม่เป็นผลเพราะ ผู้ปกครองแคว้น ฟลานเดอร์กลับไปสนับสนุนให้อังกฤษยึดฝรั่งเศสให้ได้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการค้ากับเมืองอื่น ต่อไป ในปี ค.ศ.1336 การยุยงของฟิลิปที่ 6 ของฝรั่งเศสต่อผู้ปกครองแคว้น ฟลานเดอร์ เป็นผลทำให้ผู้ปกครองแคว้น ฟลานเดอร์ ได้จำกุมชาวอังกฤษไปคุมขังไว้ และต่อมาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ทรงเห็นว่าตนมีสิทธิ์ ในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส พระองค์จึงเริ่มทำสงครามกับฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1337

    ในการรบอังกฤษชัยชนะเหนือฝรั่งเศสหลายครั้ง จนใน ค.ศ. 1347 อังกฤษสามารถยึดเมืองคาเลส์(Calais) ได้และจาการรบที่
    เนวิลล์ครอส
    (Nevilles Cross) สามารถจับกุมกษัตริย์จอห์นของฝรั่งเศสได้ และอังกฤษก็สามารถบุกตะลุยชนะมาเรื่อยๆจนถึงกรุงปารีส จนฝรั่งเศสต้องทำสัญญา Treaty of Bretigny ฝรั่งเศสยอมรับสิทธิ์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดในดินแดนฝรั่งเศส และถูกเรียกค่าไถ่จากกษัตริย์จอห์น จากอังกฤษจำนวน 500,000 ปอนด์ 

    สงครามระยะที่ 2(ค.ศ. 1368-1396)

            ในสมัยชาร์ลที่ 5 ได้ทำสงครามกับอังกฤษแบบกองโจรและยกเลิกสัญญา Treaty of Bretigny การรบแบบกองโจรของฝรั่งเศสทำให้ฝ่ายอังกฤษแพ้และเสียดินแดนไปเรื่อย และอีกสาเหตุที่อังกฤษเสียเปรียบเพราะการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แต่การรบยังยืดเยื้อต่อมาจนสมัยริชาร์ดที่ 2 ของอังกฤษได้ทำสัญญายุติการรบทั้ง 2 ฝ่ายโดยจะรักษาสันติภาพอย่างน้อย 30 ปี และรักษาแนวรบเอาไว้ และให้พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ของอังกฤษสมรสกับ ธิดาของกษัตริย์ฝรั่งเศส

     

    สงครามระยะสุดท้าย(ค.ศ. 1415-1453)

            ในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 พระองค์ทรงเริ่มอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส และถือว่าเป็นโชคดีเพราะในราชวงศ์ฝรั่งเศสเกิดความขัดแย้งภายในรุนแรงจนเกิดเป็น สงครามกลางเมือง และการแตกความสามัคคีครั้งนี้เองทำให้อังกฤษสามารถตีเมืองต่างๆในฝรั่งเศส  ในที่สุดฝรั่งเศสจึงยอมทำสัญญาสงบศึกที่เมืองทรอยส์(Traty of Troyes) ซึ่งสัญญานี้เป็นตัวกีดกั้นที่ไม่ให้ทายาทของชาร์ลที่ 6 ของฝรั่งเศสขึ้นครองราชย์ โดยข้อตกลงมีดังนี้

     1.  เฮนรี่ที่ 5 ของอังกฤษจะได้สมรสกับกับ ธิดาของชาร์ลที่ 6 และจะสืบทอดราชบัลลังก์ ฝรั่งเศสต่อไป

    2.   ในระหว่างที่ชาร์ลที่ 6 ปกครองอยู่ให้รักษาตำแหน่งและสมบัติไว้  

           จากสัญญาทำให้ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5ปกครองฝรั่งเศสแต่ได้ไม่นานเพราะพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 สิ้นพระชนม์ไป จากนั้นทายาทฝรั่งเศสคือ โดเฟ็ง ชาร์ล ได้สืบราชสมบัติแต่ยังไม่ได้ทำพิธีสวมมงกุฎที่เมืองรีมส์(Rheims) ซึ่งอังกฤษยึดอยู่ โดยโดเฟ็ง ชาร์ลพยายามยึดคืนหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนมีวีรสตรีคือ โจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) ซึ่งสามารถนำกองทัพไปยึดเมืองรีมส์คืนมาได้ จนในตอนท้ายของสงคราม กองทัพของอังกฤษขาดสมรรถภาพลงมากเพราะ ทางรัฐสภาอังกฤษอนุมัติเงินให้กษัตริย์น้อยลง และขาดแม่ทัพคนสำคัญทำให้ฝรั่งเศสสามารถยึดดินแดนของตนคืนมาได้ จนในที่สุดในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1492 ได้ทำสัญญา Treaty of Etaples ยุติสงครามอย่างถาวร 

     

    สรุป       การรบของสงครามร้อยปีทำให้อังกฤษเสียดินแดนที่ตนเคยปกครองไปแล้วมากมายและฝรั่งเศสก็สามารถรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นเอาไว้ได้  สงครามร้อยปีทำให้เห็นว่า อำนาจของกษัตริย์อังกฤษถูกจำกัดโดย รัฐสภาอังกฤษจนต่อมาจนเป็นรากฐานการพัฒนาทางรัฐสภาของอังกฤษ แต่ฝรั่งเศสภายหลังสงครามร้อยปี กษัตริย์ฝรั่งเศสกลับมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×