ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทที่ 5 พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง

    ลำดับตอนที่ #2 : อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง

    • อัปเดตล่าสุด 14 ธ.ค. 54


    เหตุที่คริสต์ศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายได้อย่างกว้างขวางเนื่องจาก

    1) จักรพรรดิโรมันในยุคนั้นขาดความสามารถในการบริหารและขาดคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ
    2) ผู้นำทางคริสต์ศาสนาในเวลานั้นมีคุณสมบัติที่จักรพรรดิไม่มี 
    3) ความแตกแยกและเสื่อมโทรมของสังคมและการเมืองในจักรวรรดิสมัยนั้น คนจึงหวังมีชีวิตอย่างมีความสุขในโลกหน้า 
    4) อานารยชนที่รุกรานเข้ามาได้ทำลายแต่ความรุ่งเรืองในด้านสถาบันการเมืองการปกครองเท่านั้น หาได้ยุ่งเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาแต่อย่างใดไม่ เมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมลง สถาบันคริสต์ศาสนากลับมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายไป ดินแดนในยุโรปมีแต่ความปั่นป่วน ศาสนาจึงได้เข้ามามีบทบาทเป็นผู้นำในทางจิตวิญญาณของชาวยุโรป และสามารถมีอิทธิพลครอบงำยุโรปสมัยกลางทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

     

    1. บทบาททางสังคม

    ในสมัยกลางคริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมยุโรป เพราะสังคมมีแต่ความวุ่นวายและความเสื่อม ผู้ที่ปรารถนาจะหลบหนีจากความวุ่นวายได้พบว่า คริสต์ศาสนาสามารถให้ความรู้สึกที่มั่นคงทางจิตใจได้ คริสต์ศาสนาจึงแผ่อิทธิพลไปทั่วยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และ 13 ศาสนจักรมีอำนาจสูงสุดเหนือสถาบันใด ๆ และเข้าไปมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปอย่างกว้างขวาง คริสตจักรได้เสริมสร้างระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพตามแบบโรมันด้วยการสร้างความเป็นเอกภาพของคริสต์ศาสนิกชน และคริสตจักรยังมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรทางโลก เช่น การสถาปนาจักรพรรดิโรมันในสมัยกลาง
    ทำให้คริสตจักรมีความสัมพันธ์กับรัฐ พร้อมกับสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้แก่ศาสนจักรในสมัยกลาง คริสตจักรได้เข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปกลางเป็นอย่างมาก ตั้งแต่กำเนิดจนเสียชีวิต เป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุด โดยผูกอำนาจในการ
    ตีความพระธรรมและนำพาให้มนุษย์หลุดพ้นทางวิญญาณ เนื่องจากศาสนจักรเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า มนุษย์ต้องดำเนินชีวิตตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัดการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนจักรเป็นทางให้มนุษย์พบความสงบสุขในโลกของพระเจ้า ดังนั้นชาวยุโรปในสมัยกลางจึงมีความเชื่อฝังแน่นอยู่กับความเชื่อทางศาสนา และปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด
    ถ้าผู้ใดหรือชนกลุ่มใดมีความเห็นขัดแย้งกับศาสนจักรจะต้องถูกศาสนจักร
    ไต่สวนและลงโทษ เช่น  การไล่ออกจากศาสนาหรือ
    บัพพาชนียกรรม (
    excommunication)
     เป็นการห้ามผู้ต้องโทษไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมหรือพิธีกรรมใด ๆ ทางศาสนา ทำให้วิญญาณไม่ได้หลุดพ้น รวมทั้งห้ามติดต่อกับศาสนิกชนอื่น ๆ ด้วย การตัดขาดจากศาสนาทั้งชุมชน (interdiction) เป็นการลงโทษประชาชนทั้งดินแดน โบสถ์ในดินแดนนั้นจะปิด ไม่ประกอบพิธีกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น เท่ากับทำให้ประชาชนในดินแดนนั้นขาดการติดต่อกับพระเจ้าและไม่ได้หลุดพ้น ส่วนมากกฎข้อนี้ใช้ในการลงโทษการกระทำของผู้นำรัฐการลงโทษทำให้ศาสนจักรมีอำนาจเหนือประชาชนในสังคมทุกระดับชั้น ตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง จนถึงข้าติดที่ดินระดับล่างสุด และการลงโทษดังกล่าวนี้เองที่ศาสนจักรใช้ต่อสู้ทางอำนาจกับอาณาจักรตลอดช่วงสมัยกลาง ประชาชนในยุคสมัยกลางมีความเกรงกลัวการลงโทษของคริสตจักรเป็นอย่างยิ่ง จึงมีความเคารพเชื่อฟังศาสนา และทำให้ศาสนจักรมีความแข็งแกร่งมั่นคง มีอำนาจมาก

     

    2. บทบาททางการเมือง

    ศาสนาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในระบบการเมืองของยุโรปทั้งในระบบกษัตริย์และระบบฟิวดัลรวมทั้งระบบศาล - 
    ระบบกษัตริย์  ศาสนจักรได้อ้างอำนาจเหนือกษัตริย์และขุนนางในฐานะของผู้สถาปนากษัตริย์
    สันตะปาปาอ้างอำนาจได้ตั้งแต่สันตะปาปาลีโอที่ 3 (Leo III ค.ศ. 795-816) ทรงประกอบราชพิธีสวมมงกุฎแก่จักรพรรดิชาร์เลอมาญ ใน ค.ศ. 800 การอ้างอำนาจของสันตะปาปานำไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างศาสนจักรกับจักรพรรดิเยอรมันในสมัยกลาง 

    ระบบฟิวดัล ศาสนจักรได้เข้ามามีบทบาทในการยุติสงครามการแย่งที่ดินระหว่างเจ้านายที่ดินต่าง ๆ และการที่ศาสนจักรมีที่ดินจำนวนมากทำให้ศาสนจักรต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าของที่ดิน

    ระบบการศาล ศาสนจักรได้จัดระบบการพิจารณาศาล จึงอ้างในสิทธิที่จะพิจารณาคดีทั้งศาสนาและทางโลก

       
    สันตะปาปาลีโอที่ 3 ทรงประกอบราชพิธีสวมมงกุฎแก่จักรพรรดิชาร์เลอมาญ

     

    3. บทบาททางเศรษฐกิจ

    ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งในสมัยกลาง เนื่องจากศาสนจักรได้เงินภาษีจากประชาชน และบรรณาการที่ดิน
    ที่ชนชั้นปกครองมอบให้ศาสนจักร แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศาสนจักรมีอำนาจในสมัยกลาง ได้แก่ การจัดการอำนาจแบบรวมศูนย์
    ที่มีประสิทธิภาพของศาสนจักร
     คริสตจักรได้วางรูปแบบการบริหารงานเลียนแบบการบริหารของจักรวรรดิโรมัน ทำให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่มีกฎระเบียบและมีเป้าหมายชัดเจนโดยมีสันตะปาปา (Pope) เป็นประมุขสูงสุด และมีคาร์ดินัล (cardinal) เป็นที่ปรึกษา
    ในส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นมณฑล ซึ่งมีอาร์ชบิชอป (
    archbishop) เป็นผู้ปกครอง ถัดจากระดับมณฑล คือ ระดับแขวง ภายใต้การปกครองของบิชอป (bishop) ส่วนหน่วยระดับล่างสุด คือ ระดับตำบล มีพระหรือบาทหลวง (priests) 
    เป็นผู้ปกครอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×