คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 13 : This Means War
“มัลฟอย นายรู้หรือยังว่าใครจะเป็นซีกเกอร์แทนพอตเตอร์”
มาร์คัส ฟลินต์ กัปตันทีมเอ่ยถาม ทำให้มัลฟอยต้องเงยหน้าจากหนังสืออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก สีหน้าของมาร์คัสทำให้มัลฟอยรู้เลยว่าเขาดูลำบากใจที่จะต้องพูดออกมา
“ยังเลย ใครจะมาแทนพอตเตอร์ล่ะ” มัลฟอยถามไปส่งๆ เพราะเขาไม่ค่อยจะสนใจอยู่แล้ว ยังไงแมทช์นี้เขาต้องเอาชนะกริฟฟินดอร์ให้ได้
“...ลีโอนาร์ด สเปนเซอร์ อดีตซีกเกอร์ตัวสำรองของทีมชาติบัลแกเรียจะลงแข่งแทน”
มัลฟอยชะงักไป ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเขาฉายแววเย็นเยียบออกมาทันทีจนมาร์คัสเริ่มจะเสียวสันหลังขึ้นมา มัลฟอยปิดหนังสือในมือ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมทำท่าจะเดินออกจากหอไป
“ฉันให้คนอื่นลงแข่งได้นะถ้านายไม่อยากเผชิญหน้ากับหมอนั่น...” มาร์คัสตะโกนไล่หลัง มัลฟอยหยุดเดิน ก่อนจะหันมายิ้มเย็นๆ ให้
“….ใครว่าฉันไม่อยากเผชิญหน้ากับหมอนั่นล่ะ....ฉันอยากเจอจนแทบทนไม่ไหวเลยล่ะ...” มัลฟอยพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกไป มาร์คัสถอนหายใจ เขารู้เรื่องระหว่างมัลฟอยกับสเปนเซอร์ดี และอะไรบางอย่างบอกเขาว่าควิดดิชนัดนี้จะเป็นมากกว่าการแข่งขันระหว่างสองบ้านเสียแล้ว
ลมเย็นๆ พัดผมสีบลอนด์ซีดของมัลฟอยให้กระเซิง แต่เขาไม่ได้สนใจนัก เพราะใจกำลังนึกถึงเรื่องที่มาร์คัสบอก แล้วรู้สึกว่านี่มันช่างบังเอิญเหลือเกิน บังเอิญเกินไปเสียด้วยซ้ำ มัลฟอยคิด ขณะนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ เขานึกถึงเฮอร์ไมโอนี่แล้วนึกอยากให้เธอมาอยู่ตรงนี้ด้วย จับมือเขา ทำให้เขารู้สบายใจเวลาได้อยู่กับเธอ
มัลฟอยได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนมุมปากอีกครั้งเมื่อรู้ว่าใครยืนอยู่ข้างหลังเขา คนที่แสดงความเป็นเจ้าของที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ มัลฟอยรู้ดีว่าสเปนเซอร์จะต้องมา เขาเลยมานั่งรอ แล้วหมอนั่นก็มาจริงๆ
“นายคงรู้แล้วสินะ...” เสียงที่เขาไม่อยากจะได้ยินดังขึ้น สเปนเซอร์ยืนพิงต้นไม้ ดวงตาสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความเกลียดชังขณะมองมัลฟอย แต่ก็เจือด้วยแววสะใจด้วยเช่นกัน
“พอตเตอร์ตกจากไม้กวาดคงไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาหรอก ใช่ไหมล่ะ?” มัลฟอยถามขณะหันไป แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังไม่ต่างกัน สเปนเซอร์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้นะ เดรโก” เสียงกวนอารมณ์ของอีกฝ่ายทำให้มัลฟอยต้องลุกขึ้นจ้องหน้าสเปนเซอร์ ผู้ที่กำลังยิ้มเยาะอย่างสะใจเสียเต็มประดา
“แกไม่มีสิทธิ์มาเรียกชื่อฉัน” มัลฟอยเค้นเสียงลอดไรฟัน สเปนเซอร์หัวเราะ
“งั้นเหรอ แล้วใครล่ะจะมีสิทธิ์? อ๋อ เฮอร์ไมโอนี่ล่ะสิ ใช่ไหมละ” คิ้วมัลฟอยกระตุกเมื่อได้ยินชื่อเฮอร์ไมโอนี่ สีหน้ากวนบาทาของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องกำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์
“ใครเป็นคนสาปไม้กวาดของพอตเตอร์....” มัลฟอยถามด้วยน้ำเสียงที่ต้องสะกดอารมณ์อย่างยิ่ง แต่อีกฝ่ายแค่ยิ้มบางๆ อย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ
“นายฉลาดพอนี่ที่รู้ว่าฉันไม่ลงมือสาปไม้กวาดนั่นด้วยตัวเองอยู่แล้ว....แน่นอน มีผู้เล่นอีกคนอยู่ในเกมเล็กๆ ระหว่างนายกับฉันด้วย....” สเปนเซอร์บอกพลางยิ้มยั่ว มัลฟอยทนไม่อีกต่อไป มือของเขาค้วาคอเสื้ออีกฝ่าย แล้วจ้องลงไปในดวงตาสีน้ำเงินที่ไม่มีความกลัวแม้แต่นิด
“ฉันจะถามนายเป็นครั้งสุดท้าย...ใคร..เป็น..คน..สาป..ไม้..กวาด..นั่น!!” มัลฟอยตะโกนใส่ แต่สเปนเซอร์แค่ถอนหายใจ แล้วแกะมือมัลฟอยออก ก่อนจะขยับยิ้มกวนๆ
“คนที่นายไม่คิดว่าจะกล้าทำแบบนี้ไงล่ะ...” สเปนเซอร์บอกขณะจัดคอเสื้อ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป โดยไม่ลืมขยิบตากวนฝ่าเท้ามาให้มัลฟอยด้วย
“แล้วเจอกันในสนาม มัลฟอย..”
สายฝนกระทบใบหน้าเฮอร์ไมโอนี่อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เธอไม่ได้สนใจเลย เพราะสายตาของเธอจับจ้องไปที่มัลฟอยกับสเปนเซอร์ที่บินฉวัดเฉวียนเคียงคู่กันอย่างน่าหวาดเสียว สายตาของนักเรียนกว่าครึ่งก็ไม่ได้มองไปที่สนาม แต่กลับมองไปยังซีกเกอร์ของทั้งสองบ้านที่กำลังฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นี่สองคนนั้นเขาแค้นอะไรกันส่วนตัวหรือเปล่าน่ะ” ปาราวตีถามขณะลดกล้องส่องทางไกลในมือลง เฮอร์ไมโอนี่เองก็สงสัยแบบเดียวกัน เธอกังวลว่าทั้งคู่จะตกลงมาได้รับบาดเจ็บเสียมากกว่า
สูงขึ้นหลายสิบเมตร มัลฟอยกระแทกสเปนเซอร์ออกเมื่อเห็นวี่แววของลูกสนิช สเปนเซอร์หักหลบก่อนจะบินมาเคียงข้างด้วยไม้กวาดไฟรโบลต์ของแฮร์รี่ แม้สายฝนเย็นเยียบจะซัดเข้าหน้าเสียจนชาไร้ความรู้สึก แต่ทั้งคู่กลับไม่มีใครยอมใครแล้วในวินาทีนี้
“ยอมแพ้ซะเถอะมัลฟอย อย่าให้ฉันต้องเอาจริง” สเปนเซอร์ตะโกนฝ่าสายฝน มัลฟอยแค่นหัวเราะ
“ถ้าฉันต้องยอมแพ้คนอย่างแก ฉันยอมไปอยู่กับมักเกิ้ลให้รู้แล้วรู้รอดเลย!” มัลฟอยตะโกนตอบ แล้วยื่นมือออกไปจะคว้าลูกสนิช สเปนเซอร์ยิ้มเยาะ
“ฉันเตือนแกแล้วนะ....”
เมื่อสิ้นคำ ลูกสนิชหักลงข้างล่างแทบจะในทันที มัลฟอยตามลงไป แต่สเปนเซอร์ไม่ได้ตามมา ทำให้มัลฟอยนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เขาบินฝ่าสายฝนตามลูกสนิชสีทอง อีกเพียงไม่ถึงเมตร เขาก็จะไล่ตามมันทันแล้ว อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้นแล้วทุกอย่างก็จะจบ มัลฟอยคิด เขายื่นมือออกไป ปลายนิ้วสัมผัสปีกสีทองเล็กๆ ของมันได้แล้ว....
แล้วมันก็เกิดขึ้น....
“มัลฟอย!! ระวัง!!!” เสียงมาร์คัสดังฝ่าสายตาทำให้เขาต้องละสายตาไปจากลูกสนิชเบื้องหน้า เมื่อหันไปเขาก็พบว่าลูกบลัดเจอร์กำลังพุ่งมาทางเขาด้วยความเร็วสูงเกินกว่าจะหลบทันแล้ว
“ไม่นะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงเฮอร์ไมโอนี่กรีดร้องดังแจ่มชัดในโสตประสาทของมัลฟอย
และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยิน....
เสียงลูกบลัดเจอร์กระแทกมัลฟอยกระแทกลงกลางใจของเฮอร์ไมโอนี่ได้อย่างพอดิบพอดี น้ำตาอุ่นๆ ของเธอถูกสายฝนชะล้างไปจนหมด ตอนนี้บรรดาอาจารย์และทีมทั้งสองบ้านลงไปอยู่ที่สนามหมดแล้ว นักเรียนบนอัฒจรรย์ก็เริ่มชุลมุนเพื่อออกไปดูเหตุการณ์
“เราต้องขอยกเลิกการแข่งขันแต่เพียงเท่านี้ นักเรียนทุกคนกลับปราสาทเดี๋ยวนี้!” เสียงศจ.ดัมเบิลดอร์ประกาศทำให้นักเรียนทยอยเดินกลับปราสาทไปพร้อมเสียงซุบซิบ เฮอร์ไมโอนี่พยายามฝ่าฝูงชนเข้าไปในสนาม แต่กลับถูกใครบางคนดึงไว้ เธอพยายามสะบัดออก แต่ก็หยุดเมื่อเห็นว่าใครดึงเธอไว้
“จินนี่...” ดวงตาของจินนี่ดูสงบนิ่ง เธอส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงห้าม ก่อนดึงแขนเฮอร์ไมโอนี่ให้เข้าไปในห้องเตรียมตัวของทีมกริฟฟินดอร์ เธอกวาดสายตามองซ้ายขวาอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่าปลอดคนจึงเริ่มพูด
“ฟังนะ ฉันรู้ว่าพี่เป็นห่วงมัลฟอย แต่ถ้าพี่เข้าดูมัลฟอยตอนนี้ พี่จะอยู่ในสถานะอะไรละ? ใครๆ ก็รู้ว่าพี่เป็นศัตรูกับเขา ถ้าพี่ยังไม่อยากให้เรื่องที่พี่กับมัลฟอยคบกันรั่วออกไป พี่ต้องอยู่นิ่งๆ ก่อน โอเคไหม” จินนี่ถามอย่างร้อนรน เฮอร์ไมโอนี่สะอื้น ก่อนจะกอดจินนี่แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะอาย
“ทำไมนะ ทำไมฉันถึงทำได้แค่อยู่ในความลับด้วย” เฮอร์ไมโอนี่ระบาย จินนี่ตบไหล่เธอเบาๆ
“ฉันจะออกไปหาพี่รอน แล้วจะดูอาการของมัลฟอยให้ พี่กลับปราสาทไปก่อนนะ” จินนี่บอก เฮอร์ไมโอนี่ปาดน้ำตา จินนี่ถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มให้กำลังใจ
“เขาไม่เป็นไรหรอก เชื่อฉันสิ”
จินนี่ทิ้งท้าย เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าอย่างซึมๆ ก่อนจะเดินออกไปเพื่อกลับเข้าปราสาท จินนี่ยืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในสนามที่ตอนนี้บ้านสลิธีรินกำลังช่วยกันแบกมัลฟอยออกไป
แต่จินนี่กับเฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้เลยว่า บทสนทนาของพวกเธอไม่ได้เป็นส่วนตัวอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อจินนี่วิ่งออกไป ใครอีกคนก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากหลังตู้เก็บไม้กวาด เรือนผมสีดำดุจแพรไหมและดวงตาสีดำเย็นชาดุจเดียวกัน แพนซี่ พาร์กินสันค่อยๆ เดินออกมาอย่างเลื่อนลอย นัยน์ตาเธอดูเหมือนคนไร้สติ
“เดรโก มัลฟอยเป็นของฉัน...ไม่ใช่ของแก นังเลือดสีโคลนโสโครก!!”
เฮอร์ไมโอนี่ด้อมๆ มองๆ เข้าไปในห้องพยาบาลที่ตอนนี้ปลอดคนแล้วเพราะค่อนข้างดึก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปพลางกวาดสายตามองไปยังเตียงสีขาวมากมายเพื่อหาวี่แววของเดรโก มัลฟอย เฮอร์ไมโอนี่เริ่มเสียวสันหลังว่ามาดามพรอมฟรีย์จะมาเจอเธอเข้าแล้ว ในตอนที่เธอเห็นเตียงหนึ่ง ชายหนุ่มผมสีบลอนด์นอนนิ่งสนิทอยู่
“เดรโก...” เฮอร์ไมโอนี่เดินเข้าไปหา แล้วเรียกเบาๆ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ยิน จินนี่บอกว่าอาการเขาสาหัสทีเดียว ซี่โครงหักไปหลายท่อน และหัวแตกจากแรงกระแทกพื้น กระดูกแขนซ้ายก็ร้าวด้วย หญิงสาวลูบแก้มที่ซีดขาวของเขาเบาๆ เธอนั่งอยู่อย่างนั้น กุมมือเขาเอาไว้ ภาวนาให้เขาลืมตาขึ้นมาหาเธอ
เสียงฝีเท้าและแสงเรืองๆ จากตะเกียงทำให้เฮอร์ไมโอนี่ตกใจ เฮอร์ไมโอนี่จุมพิตหน้าผากมัลฟอยเบาๆ ก่อนจะรีบออกจากห้องพยาบาลไปโดยหวังว่าจะไม่มีใครสังเกต
มาดามพรอมฟรีย์เดินมาตรวจอาการนักเรียนที่นอนอยู่ทีละคนเป็นรอบสุดท้าย เมื่อเสร็จสิ้น เธอก็ดับตะเกียงลงและเดินออกไป เมื่อเสียงประตูปิดลง ใครบางคนก็ก้าวออกมาจากเงามืด
เสียงฝีเท้านั้นแผ่วเบาราวกับแมว สายตาสอดส่องไปในความมืด จนกระทั่งมาหยุดที่ข้างเตียงของเดรโก มัลฟอย ที่นอนหลับสนิทไม่รู้ตัว อีกฝ่ายชักไม้กายสิทธิ์ออกมา รอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากปรากฏขึ้น
“อ็อบลิวิอาเต้”
เมื่อสิ้นคำ สสารสีเงินไร้รูปทรงก็ค่อยๆ ออกมาจากขมับของมัลฟอย มันเป็นภาพความทรงจำของเขา ความทรงจำดีๆระหว่างเขากับเฮอร์ไมโอนี่ ค่อยๆ ถูกดูดเข้าไปในปลายไม้กายสิทธิ์ จนกระทั่งมาถึงภาพเหตุการณ์ที่สถานีรถไฟตอนจบปีสี่ ภาพมัลฟอยมองเฮอร์ไมโอนี่อย่างเกลียดชัง ผู้เสกคาถาจึงลดไม้ลง รอยยิ้มพึงใจกระจายทั่วใบหน้า
ความคิดเห็น