ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวบรวมตำนาน,นิทานพื้นบ้านค่ะ ^^

    ลำดับตอนที่ #2 : ตำนานรักเจ้าแม่สามมุก

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 53


              ในอดีตการที่ยาวนานกว่า 100 ปี สมัยปลายปีกรุงศรีอยุธยา ที่ได้กล่าวขาลกันมาว่าในอดีตนั้น ทะเลชายหาดบางแสนและ เขาสามมุขนั้น ไม่เป็นเหมือน สภาพดังปัจจุบันนี้ แต่ก่อนนั้นไม่มีบ้านเรือนมากมาย ไม่มีถนนหนทาง สะดวกสบายอย่างนี้ ส่วนชื่อบางแสนและเขาสามมุข ก็ยังไม่ปรากฏ ส่วนใหญ่ชาวบ้านพื้นเพนั้น จะเรียกกันว่า บางอ่างหิน หรือ ตำบลอ่างศิลาในปัจจุบัน เหมือนกับชื่อบางแสนเช่นกัน ที่ชาวบ้านในยุคนั้นประสบพบปัญหาชีวิตรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ที่อยู่ต่างเขตกันและถูกกีดกันของผู้เป็นพ่อ จึงทำให้ทั้งสองต้องมาลงเอยด้วยการกระโดดเขาฆ่าตัวตายตามที่ได้สาบานต่อกันไว้ที่หน้าเขาแห่งนี้ หลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างจบลง กำนัน บ่ายได้ถูกชาวบ้านต่อว่า จึงสำนึกผิดที่ได้ทำต่อบุคคลที่ตนรักยิ่ง ด้วยความอาดูลย์ไม่มีการบาดหมางซึ่งกันและกัน เพื่อความรักของผู้เป็นลูก ชาวบ้านจึงตั้ง ชื่อว่า บางแสน หรือ ตำบล แสนสุข นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

               สมัยนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ ริมทะเล เพื่อทำอาชีพประมง บางรายก็มีถานะดีบางรายก็ยากจน ส่วนเรื่องที่จะกล่าวมานี้นั้น เดิม นายบ่ายนั้นจะมีคนนับน่าถือตา เพราะมีถานะร่ำรวย ทำการประมงเป็นเจ้าของโป๊ะหลายแห่ง จนชาวบ้านยกให้เป็นผู้นำ และยกถานะ เป็นกำนันในสมัยนั้น นายบ่าย หรือกำนันบ่าย นั้น มีลูกชาย ชื่อว่า นายแสน ที่เป็นลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียว ที่ได้เป็นต้นเรื่องของตำนานรักอัมตะ กับหญิงสาว ที่ชื่อ มุข ที่อาศัยอยู่กับยาย นามใดนั้นไม่ปรากฏ ส่วนบิดา มารดา ของ สาวมุข นั้นได้สูญหายไปเมื่อตอนยังเล็ก แต่ด้วยสาเหตุใดก็ยังไมปรากฏเช่นกัน จนอยู่มาวันหนึ่ง นายแสน พร้อมเพื่อนคู่หู ชื่อ นายเผือก และนายดำ นั้น ชอบเล่นว่าว และนำมาเล่นที่ชายหาด เป็นประจำ จนอยู่มาวันหนึ่ง ที่ทำให้ หนุ่ม สาวทั้งสองมาพบกันโดยบังเอิญ เนื่องจาก ว่าวที่ นายแสน เล่นนั้นเกิดขาด แล้วลอยมาที่หน้าบริเวณเขาสามมุข ที่เป็นที่อยู่ ของ สาวมุข พอดี นายแสน จึงได้ชวนเพื่อนทั้งสองวิ่งตามว่าวที่หลุดลอยมา จนมาเจอะว่าว ของตนเองอยู่ในมือ ของ สาวมุข แล้วได้ขอคืน แต่สาวมุขไม่ยอมคืนกับเดินหนีหลังจากนั้นได้นำว่าวตัวดังกล่าวไปซ่อมแต่ไม่กล้าเล่นเกรงว่าจะขาด จน นายแสนและเพื่อนเดินมาเที่ยวและเห็น สาวมุข ถือว่าวที่เป็นของตนไว้ จึงได้ชวนเล่นเพราะเห็นว่า ไม่มีเพื่อน จนกระทั่งทั้ง สอง เริ่ม สนิทสนมและคบหากันนับตั้งแต่นั้นมา จนทำให้เกิดความผูกพัน จนกายความรัก โดยที่ผู้เป็นพ่อนั้นไม่รู้เรื่องราวของลูกชายที่เป็นสุดที่รัก จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งเรื่อง ของทั้งสอง มารู้ถึงผู้เป็นพ่อ และทำให้ นายบ่าย เกิดความไม่พอใจ เนื่องจากรู้มาว่า สาวมุขนั้นยากจน จึงได้กีดกันห้ามปรามไม่ให้ทั้งสองคบหากัน และได้ หาหญิงสาว ชาวบ้านในบางเดียวกันให้กับลูกชายและมีถานะใกล้เคียงกัน แต่ นายแสน กับไม่ชอบและแอบมาพบ สาวมุขเป็นประจำ จนถึงเทศกาลลอยกระทง ซึ่งทั้งสองได้ให้สัญญาคำมั่นซึ่งกันและกันว่า จะรักกันตราบนานเท่าชีวิต และจะไม่พรากจากกัน หากผิดคำสัญญาจะขอลาตายโดยการกระโดดเขาแห่งนี้ เมื่อกำนันบ่าย มารู้อีกครั้งว่า นายแสน แอบมาหา สาวมุข จึงได้ให้เพื่อนไปจับตัวมากักขัง แล้วไปสู่ขอสาวให้กับลูกชาย พร้อมกับบังคับถ้าไม่เชื่อก็จะตัดลูกตัดพ่อกัน จนทำให้ นายแสนท้อใจ ที่ไม่สามารถทำใจตนเองได้ จนถึงวันใกล้แต่งงาน เพื่อนๆสาว ของมุขได้มาบอกว่า นายแสนที่ตนชื่นชอบนั้นกำลังจะแต่งงานแล้วซึ่งทำให้ สาวมุขไม่เชื่อพร้อมมาหา นายแสนในวันแต่งงานพร้อมกับคืนแหวนให้ด้วย หลังจากนั้นได้มาที่หน้าเขา แห่งนี้เพื่อระลึกถึงวันที่ตนได้ให้สัญญากับคนรักไว้ ก่อนที่จะกระโดดลงมาตาย หลังจากที่ สาวมุขได้คืนแหวนนั้น นายแสนได้วิ่งออกจากงานเพื่อตามหาสาวมุข โดยรู้ว่าตนจะต้องมาที่ใด แต่ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเห็นร่างของสาว มุข นอนตายอยู่ข้างร่าง จึงได้ตัดสินใจกระโดดตายตามหญิงสาวคนรักไปอีกคน ทำให้ผู้เป็นพ่อ คือ กำนันบาย ที่วิ่งตามมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เสียใจเป็นยิ่งนักที่ทำให้ลูกชายต้องมาตาย เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง จึงได้ทำบุญส่วนกุศลให้กับคนทั้งสองและ ต้องตอมใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ชาวบ้านต่างสงสารหนุ่มสาวทั้งสอง เวลาพลบค่ำ ชาวบ้านที่ผ่านไปมามักจะเห็นร่างของหนุ่มสาวทั้งสองมายืนที่หน้าเขาลูกนี้ประจำ จนเป็นที่กล่าวขาลนับตั้งแต่นั้นเป็นตนมาจนชาวบ้าน ตั้งชื่อเขาลูกนี้ว่า เขาสามมุขพร้อมกับตั้งศาลเพียงตาไว้ให้ ส่วนอีกแห่งหนึ่ง ที่ชาวบ้านเห็นก็คือ ชายหาดบางแสน ที่ผู้เป็นพ่อได้ตั้งศาลเพียงตาไว้ยามคิดถึงลูกชาย

              สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า ความรักของบุคคลทั้งสองนั้น สักสิทธิ์ ก็คือ เวลาออกหาปลากลางทะเลนั้น ชาวบ้านจะนำปะทัดมาจุดเพื่อขอให้ช่วยในการทำมาหากินและแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง โดยเฉพาะลมพายุ ที่ชาวบ้านมักจะโดนบ่อยๆ แม้กระทั้ง ท่านสุนทรภู่ ก็ยังเคยมาแล้ว ครั้งที่ท่านเดินทาง จากกรุงเทพโดยทางเรือแล้วแล่นผ่านพื้นที่แห่งนี้ เพื่อจะไปเยี่ยมบิดา ที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ในระหว่างนั้นได้เกิดลมพายุอย่างแรง จนเรือไม่สามารถขวบคุมได้ จึงได้มองมาที่เขาแห่งนี้ และเคยได้ยินประวัติความเป็นมาจากชาวบ้านบ่อยๆ จึงได้เอ่ยคำบนบาลเจ้าแม่สามมุขขอให้ตนและลูกเรือปลอดภัย จากลมพายุหลังจากนั้นไม่นานลมก็สงบลง จนเป็นที่น่าแปลกใจ หลังจากนั้น ท่านสุนทรภู่ ได้เขียนนิราศพรรณนา ถึงความ สักสิทธิ์ ของเจ้าแม่เขาสามมุข ไว้ในหนังสือภาษาไทย มัธยมปลาย เมื่อคราวเสด็จไป เมืองแกลง ครั้งแรกปี พ.ศ. 2350 ดังนี้ว่า

    *** พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่ง แลดูยิ่งไรยังไกลเหลือ
    เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือ คลื่นก็เผื่อฟูมฟองคะนองพราย
    เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสามมุข จงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย
    พอขาดคำน้ำขึ้นดั่งคลื่นคลาย ทั้งสามนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยชา ***

    หลังจากนั้นท่านได้ทำตามที่เอ่ยวาจากล่าวบนไว้ โดยนำสิ่งของมาแก้บน และครั้งคราใดที่วิ่งผ่านสถานที่แห่งนี้ก็จะแวะเวียนมาอยู่ล่ำไป


              ต่อมาสมัยจอมพล ป.พิบูล สงคราม ได้มีโครงการระเบิดหน้าผา เขาสามมุข แห่งนี้เพื่อทำถนนรอบเขา เพื่อใช้สัญจร มากราบไหว้ได้ จึงทำให้เข้าสามมุขแห่งนี้เตี้ยลงกว่าเดิมและหินได้หล่นลงมาทับปิดปากถ้ำพร้อมศาลที่มีอยู่เดิม พังเสียหาย หลังจากนั้นไม่นานเหล่าคนงานสร้างถนน ก็เกิดเหตุการณ์ ต่างๆต้องล้มป่วยกันเป็นแถว จนไม่สามารถทำงานต่อได้ จนเดือดร้อนต้องรีบทำการแก้บนขอขมาต่อศาลเจ้าแม่เขาสามมุข และได้ สร้างศาลให้ใหม่ หลังจากนั้นจึงทำงานต่อไปได้จนแล้วเสร็จ จนมีนักท่องเที่ยว ที่ได้รู้ประวัติต่างมาเที่ยวชม และขอพรจากเจ้าแม่เขาสามมุขกลับไป เมื่อสัมฤทธิ์ผล ก็จะนำสิ่งของมากราบไหว้ โดยเฉพาะสิ่งที่ชาวบ้านนำมาถวายนั้น จะเป็น มะพร้าวอ่อน ขนมครก ว่าวและผลไม้ พวงมาลัย จนมาในยุคหลังได้นำภาพยนตร์กลางแปลงมาฉายแก้บน หรือลิเก ส่วนหนึ่งที่อยู่คู่กับเขาแห่งนี้มาโดยตลอดก็คือ บริวาร ของเจ้าแม่เขาสามมุขแห่งนี้ก็คือลิง ที่จะอาศัยอยู่รอบๆเขา หากมีใครมารังแกหรือจับลูกลิงไปเลี้ยงโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก็จะมีอันเป็นไปเดือดร้อนถึงครอบครัวที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อที่เดียว จะต้องรีบกับนำมาคืนไว้ที่เดิม ซึ่งก็สร้างปัญหาให้กับฝูงลิงที่ได้จับไป เนื่องจากเข้ากับฝูงลิงอื่นไม่ได้ทั้งๆที่เป็นพวกของมันเอง เพราะฉะนั้นหากท่านใดที่คิดจะจับลูกลิงไปเลี้ยงขอให้พิจารณาถึงข้อนี้ด้วย บางครั้งผู้ที่นำลิงมาคืนกับต้องส่งมันมาตายเพราะโดนทำร้ายจากฝูงลิงที่ไม่ยอมรับตัวมันเองด้วยเหมือนกัน.

    พรบางแสน ภาพ/ข่าว

    credit : bangsaenpost
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×