คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ
KEY HUNTER
โลกนี้มักจะมีการก่อกำเนิดของสิ่งของที่เป็นคู่
ทั้งหญิงกับชาย แม่กับพ่อ ผืนดินกับผืนน้ำ ความชื้นกับแห้งแล้ง ความสุขกับความทุกข์ ความรักกับความเกลียดชัง การก่อเกิดกับการทำลาย...และอีกมายมากในชีวิตหนึ่งๆที่ต้องเผชิญ
ทั้งหมดมีคู่ของมัน มีสิ่งที่เชื่อมโยงยึดเข้าด้วยกันอย่างหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะอยู่ไกลคนละฟากฝั่ง หรือใกล้เพียงเอื้อมมือ สิ่งเชื่อมโยงนี้จะยังคงมี และสืบสานต่อนิจนิรันดร์ เพื่อไม่ให้คู่ของมันต้องแตกแยกห่างกันออกไป
นี่ไม่ใช่พรหมลิขิต แต่มันคือโชคชะตาที่ได้กำหนดไว้
ณ โลกใบหนึ่งที่ตำนานใหม่จะถูกขับขาน...
ยินดีต้อนรับสู่ คียาเนีย
อากาศหนาวเย็นแผ่เข้าปกคลุมทั่วทุกอาณาบริเวณยามค่ำคืนที่มีเพียงแสงจากตะเกียงริบหรี่ตามทางเท่านั้นที่ส่องสว่างพอให้ผู้คนเดินไปได้อย่างไม่ชนเข้ากับสิ่งต่างๆที่กระจัดกระจายระเกะระกะอยู่ตามทางเดินและพื้นถนนอันแตกระแหงเนื่องมาจากความแห้งแล้งยาวนานที่ยากเกินเยียวยา และมันก็เป็นเหตุให้ผู้คนส่วนใหญ่ทอดทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนไป
“หิมะตกแล้ว!” เสียงใครบางคนตะโกนขึ้นก่อนที่เกล็ดน้ำแข็งจะร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าซึ่งทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นต่างวิ่งหนีหาที่กำบังกันอย่างชุลมุน...เนื่องจากมันไม่ใช่หิมะธรรมดา เพราะมัน...
“เหวอ!” คำร้องเสียงหลงเรียกความสนใจตามด้วยการถอยห่างหนีของผู้ได้ยินและผู้พบเห็นบุคคลที่ผิวหนังเริ่มคล้ำเป็นจ้ำๆตามแขน ขา กระจายไปทั่วทั้งตัวและใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สองมือของผู้ผิดปกติยกขึ้นปิดหน้าและหวีดร้อง
“ไม่นะ!!!!”
“ออกห่างจากเจ้านี่เร็ว มันป่วยแล้ว!”
เสียงสั่งที่ไม่จำเป็นต้องบอกเพราะทุกคนพาตัวเองออกห่างผู้ป่วยนั้นโดยอัตโนมัติ บางคนยกมืออุดหู และเบือนหน้าหนีไม่รับรู้อาการต่างๆต่อจากนั้น...
เสียงหวีดร้องยังคงดังก้องไปทั่วขณะที่ผิวหนังนั้นแดงคล้ำน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ผมสีดำเริ่มกลับกลายเป็นสีขาวโพลนขณะที่ดวงตานั้นเริ่มโปนออกมาน่าเกลียด ริมฝีปากซีดขาวมีเลือดไหลออกมาเช่นเดียวกับหูและจมูก มือไม้บิดเบี้ยวและขาก็ก้าวเซสะเปะสะปะเรื่อยๆซ้ายทีขวาทีและนั่นเองที่ทำให้ผู้เฝ้ามองทั้งหลายขยับตัวออกห่าง
“อย่าเข้ามาทางนี้นะ!” ใครบางคนร้องเสียงหลงก่อนที่ฝูงชนทั้งหมดจะแหวกทางเปิดให้ผู้ป่วยโรคร้ายวิ่งฝ่าเข้ามา แต่นั่นก็เป็นเพียงไม่กี่ก้าว เพราะบัดนี้ผู้ป่วยได้ล้มลงกองกับพื้นซึ่งรองรับเลือดที่สูบฉีดออกมากจากลำคอและผิวหนังของคนผู้นั้นกลางเป็นแอ่งน้ำเลือดแห่งใหม่ท่ามกลางความแขยงของทุกคน และทันใดนั้นเอง...
“มีคนโดนเลือดของมัน!”
อีกครั้งกับเสียงหวีดร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสอง แต่มันกลับดังระงมบาดแก้วหูราวกับเสียงของยมทูตที่ฟาดฟันเคียวพรากวิญญาณ ผลให้ความชุลมุนกลับมาอีกครั้งเมื่อบัดนี้ผู้คนล้มลงกระจายเลือดราวกับใบไม้ร่วง
เสียงหวีดร้องน่ากลัวสลับกับเสียงฉีดทะลักของเลือด เสียงร่ำไห้หาทางรอดสลับกับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของผู้โหยหาความตาย
...นั่นเป็นเพียงเพลงโหมโรงของโศกนาฏกรรมแห่งคียาเนีย...
“หิมะมฤตยูกวาดอีกร้อยศพ เข้าใจคิดคำขึ้นต้นนี่นา”
เสียงเปรยเบาๆดังเล็ดลอดออกมาจากใครบางคนในชุดเสื้อคลุมกันหนาวสีแดงสด ฮู้ดถูกยกขึ้นคลุมหัวปกปิดใบหน้าของตนเช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดที่เจ้าตัวกำลังกางอ่านอย่างสบายอารมณ์ขณะก้าวเดินผ่านดินแดนแห้งแล้ง
“อืมๆ...ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ตายเรียบไม่มีเหลือ นรกบนดินปรากฏโฉม เข้าใจคิดดีมาก...”
“แล้วไม่ทราบว่าเจ๊จะเดินวิจารณ์หนังสือพิมพ์อีกนานมั้ย” เสียงค้านแทรกมาจากคู่สนทนาที่เดินอยู่ข้างๆก่อนที่จะเอามือกระชากหนังสือพิมพ์โยนไปให้พ้นหูพ้นตาอย่างไม่รักษามารยาท “เวลาเรายิ่งน้อยๆอยู่”
“ใจเย็นๆน่า รีบไปก็ไม่มีประโยชน์” เจ้าของหนังสือพิมพ์ว่าแล้วขยับตัวหมายจะไปหยิบของที่เพิ่งถูกโยนไป ทว่า มันก็ถูกขัดขวางโดนอีกฝ่ายที่กำลังทำหน้ามุ่ยอย่างรุนแรง นั่นเองที่ทำให้ผู้ถูกขัดใจส่งเสียงจิ๊จ๊ะพลางว่า “ฉันกำลังตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่นะ นายจะให้ฉันเป็นไอ้หลังเขาหรือไง”
“ข่าวสารบ้านเมือง มีอะไรต้องตามด้วยหรือไง” อีกฝ่ายย้อนเสียงขุ่นแล้วลุกขึ้น “ในเมื่อเหตุการณ์ที่พวกอีแร้งหาข่าวเขียนก็กำลังมาอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง”
“นักข่าวต่างหาก นายนี่ พูดไม่รู้เรื่อง” เอ่ยพลางปลดฮู้ดลงปล่อยเรือนผมสีทองยาวสลวยทิ้งตัวลงกลางหลังอย่างงดงาม ดวงหน้านวลขาวคมสวยอย่างลูกผู้ดีรับกับดวงตาสีเหลืองสว่างไม่เหมือนใครที่บัดนี้บ่งบอกความหงุดหงิดเต็มประดา หากแต่มุมปากสีกุหลาบนั้นกลับยกยิ้มขึ้น
“เราถูกส่งให้มาทำงานนะเจ๊ ไม่ใช่มาวิจารณ์ข่าวสารบ้านเมือง” เสียงขัดยังคงมาจากคนข้างๆที่ถอดฮู้ดออกบ้าง เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุราว 19-20 ปี ผมสีน้ำตาลซอยสั้น ดวงหน้าสีคล้ำนั้นมีริ่วรอยแห่งความไม่พอใจเช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่บอกเป็นนัยๆว่า...ข้ากำลังโมโหนะเฟ้ย
“แล้วภารกิจคราวนี้คืออะไรล่ะ” เด็กสาวถามกลับ “หาแมวน้อยผู้หลงทางของคุณหญิงคนดัง หรือว่าหาสุนัขตัวมหึมาที่แอบหนีมา แต่ฉํนว่านะ นรกบนดินที่ปรากฏโฉมแห่งนี้ไม่มีใครอยากอยู่นักหรอก” ว่าพลางยักคิ้วให้ แล้วจึงหยุดเดินเมื่อพบว่าตัวเองได้เข้าเขต “นรกบนดิน” ที่ว่านั่นแล้ว
“สมชื่อนรก” เด็กหนุ่มข้างเปรยขึ้นหลังจากหยุดอึ้งไปพัก “รูปถ่ายที่ได้รับรางวัลสุดยอดภาพสยองประจำปีชิดซ้ายไปเลยล่ะ”
“เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยอ่ะ”
ภาพเบื้องหน้าของทั้งสอง คือพื้นหิมะสีขาวสะอาด แต่นั่นก็เพียงแค่ระยะห่างไม่กี่เมตรจากประตูเมืองที่แขวนป้ายชื่อเมืองเอาไว้เท่านั้น เพราะด้านใน มันคือหิมะสีเลือดที่พวกเขาสาบานได้ว่ายิ่งกว่าจิตรกรเอาสีแดงสักสิบกระป๋องมาสาดลงบนพื้นเสียอีก กลิ่นคาวและเหมือนเน่าลอยคละคลุ้งมาตามสายลมที่โชยพาเอาป้ายชื่อเมืองเฟซีอาส่งเสียงเอี๊อดอ๊าดชวนขนลุก สภาพของซากศพที่เปื่อยยุ่ยจากการถูกหิมะกัดและการรุกรานของโรคร้ายเป็นแผลเหวอะหวะชวนเชิญให้สำรอกอาหารในกระเพาะอย่างเหลือล้น ยังไม่นับเครื่องในที่กระจัดกระจาย แขนขาที่ขาดกระเด็น ที่แม้ว่าจะมีสีขาวบริสุทธิ์เป็นพื้นหลัง แต่มันกลับให้ความรู้สึกน่ากลัวดำทะมึนยิ่งกว่าสีดำเสียอีก
“ที่แบบนี้คงเลิกคิดตามหาแมวแล้วใช่มั้ย” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นก่อนขณะที่เด็กสาวหัวเราะฝืดๆกลบเกลื่อนอาการหน้าซีดวิงเวียนชวนอาเจียนของตน
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะ สหพันธ์คิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย หวังว่าคงไม่ได้ให้มาตามหากุญแจหรอกใช่มั้ย” คำถามเสียงอ่อยที่คนข้างๆยิ้มให้แล้วตอบ...คำตอบที่ทำเอาผู้ฟังแทบอยากจะกลับบ้านทันที
“นั่นล่ะ ภารกิจของเรา ตามหากุญแจที่จะใช้รักษาโรคจากหิมะมฤตยูนี่ไงล่ะ”
“ใครเป็นแหล่งข่าวคราวนี้เนี่ย” เธอบ่นอุบ “สถานที่แบบนี้น่ะเหรอจะมียารักษา ขอโทษทีเหอะ ผู้รอดชีวิตยังไม่มีปรากฏ แบบนี้ส่งให้เรามาหาปีศาจเล่นซะดีกว่ามั้ง”
คำพูดติดตลกที่เขาหัวเราะรับ “นั่นสิ แต่สิ่งที่ก่อเกิดการทำลายย่อมซ่อนการเยียวยาเอาไว้ เมื่อมีการเจ็บป่วยย่อมต้องมีการรักษา ซึ่งเราต้องหาให้พบก่อนที่หิมะนี่จะลามไปเมืองอื่น”
“จะให้ไปควานหากับศพหรือไง”
“เอาน่า สมาพันธ์ก็อย่างนี้แหละ เมื่อมีแม่กุญแจก็ย่อมมีลูกกุญแจเสมอ แต่ดูท่างานนี้จะไม่ง่ายแล้วมั้ง” ว่าพลางเปลี่ยนถุงมือสีขาวที่สวมอยู่ให้เป็นถุงมือสีดำคู่ใหม่ “ไม่นึกว่าจะมีพวกหากินกับซากศพอยู่”
“นั่นสิ” เด็กสาวรับคำพร้อมสะบัดข้อมือให้กำไลคล้องกุญแจตกลงมา แล้วทั้งสองจึงยืนในลักษณะที่หันหลังชนกันและสอดส่ายสายตาไปโดยรอบ
ลมหนาวพัดมาอีกเป็นระลอกที่สองตามด้วยเสียงกลิ้งขลุกขลักของหินก้อนเล็กๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเปิดฉากต่อสู้
เด็กหนุ่มสาวกระโดดแยกออกจากกันอย่างรวดเร็วทันท่วงทีก่อนที่ลูกธนูนับสิบจะพุงตรงมายังจุดเดิมที่พวกเขาเคยอยู่ ตามด้วยกลุ่มคนชุดสีขาวสะอาดตาที่พากันชักอาวุธกระโจนเข้าหาคนทั้งสอง
“หัวขโมยกุญแจเหรอ” เด็กสาวถามแล้วกระชากดึงกำไลออก ทันใดนั้นเองที่มันแปรเปลี่ยนเป็นดาบเล่มยาว เธอยกขึ้นรับมีดของฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้ามาก่อนจะยกขาถีบส่งเข้าที่ท้องผลให้อีกฝ่ายกระเด็นไปกระแทกพื้นหิมะ
“ไม่หรอก น่าจะเป็นพวกอื่น” เขาตอบขณะฟาดสันมือใส่ท้ายทอยคู่ต่อสู้และหันหลังกลับมากระแทกลิ้นปี่พวกลอบกัด “สีขาวแบบนี้คงเป็นพวกคนรวยบ้าอำนาจมากกว่า”
“แต่จะเป็นพวกไหนก็ช่างเหอะ เค้นดูเดี๋ยวก็รู้” เธอว่าแล้วตวัดดาบเฉือนปาดคอผู้บุกรุกรอบตัว “ขอสามสิบวินาที”
“ไม่มีปัญหา” คำตอบกลับพร้อมการกระโดดถีบคนขวางทางทั้งหลายของเด็กหนุ่มผมน้ำตาล ผลให้พวกนั้นกระเด็นไปคนละทางขณะที่เขามาลงมายืนอยู่หน้าเด็กสาวอย่างงดงาม “เอาให้ไวล่ะ”
เธอยิ้มรับแล้วปักดาบลงพื้นอย่างไม่สนใจเสียงต่อสู้และเลือดที่กระเซ็นสาดมาเปื้อนดวงหน้าขาว บริกรรมคาถาเริ่มปรากฏผ่านริมฝีปาก มือทั้งสองกำด้ามดาบแน่น เปบือกตาพริ้มตัวลงมา และเพียงไม่กี่วินาทีจากนั้น พื้นหิมะที่เคยราบเรียบก็แปรเปลี่ยนเป็นหุบเหวขนาดใหญ่รอบตัวเด็กสาวและเพื่อน ผลให้ผู้ที่เคยเหยียบอยู่บนพื้นดินตกลงสู้ความมืดมิดเบื้องล่าง เว้นแต่เพียงบางคนที่คว้าเกาะขอบเหวไว้ทัน
“คราวหน้าขอบทอื่นนะ ขอร้อง” เด็กหนุ่มว่า หันกลับมามองเพื่อนสาวที่ลุกขึ้นยืนหอบ “เหวแบบนี้กะเอาตายมากกว่าเค้นความลับน่ะสิ”
“ฉันไม่ชอบทรมานคน”
“งั้นเหรอ” เขาย้อนเสียงสูง ก่อนจะเดินผ่านเธอไปหาเจ้าของมือที่เกาะขอบเหวอยู่เบื้องหลัง “คำนั้นมันไม่เหมาะกับคนที่เข้าสมาพันธ์กุญแจแล้วหรอกนะ” บอกพลางใช้มือเพียงข้างเดียวกระชากชายหนุ่มชุดขาวขึ้นจากขอบเหวมรณะ ทว่า...จมดิ่งไปในเส้นแบ่งความเป็นและตายยิ่งขึ้น...
“ใครส่งพวกนายมา” คำถามราบเรียบนิ่งสงบขัดแย้งกับแววตาที่มองมาโดยสิ้นเชิง “จะตอบมั้ย” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบ รอยยิ้มก็ทาทาบบนดวงหน้าคล้ำก่อนที่ขายาวๆของเขาจะถีบอัดกระแทกส่งคนที่ไม่ยอมตอบคำถามตกกลับลงสู่ก้นหุบเหวอย่างไม่สนใจเสียงร้องตบท้ายของคนใกล้ตายแต่อย่างใด
“เธอน่าจะชินได้แล้วนะ เจอกี่งานแล้วล่ะ” เขาบอกเนือยๆพร้อมกับเดินมองสภาพคนเกาะขอบเหวแต่ละคมจนทั่วก่อนจะตัดสินใจคว้าตัวคนที่น่าจะพูดง่ายที่สุดขึ้นมา “ใครส่งพวกนายมา”
คำถามเดิมที่ถูกส่งไปพร้อมรอยยิ้มแสนจริงใจ ทว่า มันเป็นเหมือนลางมรณะของผู้ได้รับ ซึ่งยิ่งนานไป รอยยิ้มนั่นก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นแสยะขึ้นทุกทีจนผู้ถูกถามตัวสั่นด้วยความกลัว
“อ...”
เพียงตัวอักษรเดียวที่หลุดออกมา นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้ยินก่อนที่ร่างของเขาจะถูกอะไรบางอย่างกระแทกกระเด็นไปพร้อมๆกับชายหนุ่มชุดขาวที่ร่วงตกลงไปในหุบเหว ต่างจากเขาซึ่งยังคว้าขอบเหวไว้ได้ทัน
เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดเพราะอาการเจ็บจากการกระแทกด้วยวัตถุประหลาดที่เล่นเอาอวัยวะภายในช้ำไปหลายส่วนจนกระอักเลือดสีแดงออกมา ทว่า นั่นไม่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสที่ถูกฝึกฝนมานาน
“อย่าเข้ามา!” เสียงร้องห้ามเพื่อนสาวที่ส่งผลให้ผู้มาช่วยต้องหยุดชะงักวินาทีเดียวกับที่ลูกธนูเฉียดหัวของเธอไปด้วยระยะเพียงเส้นผมคั่น ปักเข้าลงตรงมือของเด็กหนุ่มผู้แขวนชีวิตไว้บนเส้นด้ายที่ใกล้ขาดรอมร่อ เลือดสีแดงทะลักพุ่งออกมา และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมันก็มากพอที่จะทำให้เขาต้องปล่อยมือจากที่ขอบเหวตกลงตามใครหลายๆคนเบื้องล่างต่อหน้าต่อตาเพื่อนร่วมกลุ่มที่บัดนี้คงไม่สามารถพูดอะไรได้อีกต่อไปเช่นกัน เมื่อธนูดอกสุดท้ายได้ถูกส่งลงมาปักเข้าที่กล่องเสียงของเธอ
ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่เส้นประสาท เปลือกตาทั้งสองเริ่มหนักอึ้งจนปิดลงทิ้งไว้เพียงภาพสุดท้ายของเกล็ดน้ำแข็งที่ร่วงหล่นลงมา...
เสียงฝีเท้าเคลื่อนพลของกลุ่มคนในชุดหุ้มเกราะตั้งแต่หัวจรดเท้าดังเป็นจังหวะพร้อมเพรียงส่งผลให้พื้นดินโดยรอบนั้นสั่นไหว อาวุธครบมือทั้งหมดถูกจัดอยู่ในสภาพเตรียมสู้รบเมื่อพวกเขาทั้งหมดมาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าเมืองเฟซีอาท่ามกลางหิมะมฤตยูที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย
“หน้าที่ของเราคือค้นหาผู้รอดชีวิต” ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังก้อง “แม้เราจะตระหนักอยู่แล้วว่าอาจไม่มีใครเหลือ แต่เพื่อความแน่ใจขอให้ตรวจดูให้เรียบร้อย พลิกศพทั้งหมดดูให้ละเอียดว่ามีใครรอดหรือไม่ แล้วก็ระวังอย่าให้หิมะโดนตัวแม้แต่ปลายเส้นขน ที่สำคัญ ทางสมาพันธ์กุญแจขอความร่วมมือให้พวกเราช่วยค้นหาหน่วยงานของเขาที่สูญหายไปเกือบยี่สิบคน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่น่าใจหายทีเดียวนับตั้งแต่ก่อตั้งสมหาพันธ์มาไม่เคยมีการสูญเสียกำลังพลมากเท่านี้มาก่อน และ...พวกนายเป็นอะไร”
คำถามจากหัวหน้าที่ต้องหยุดพูดเมื่อสีหน้าของลูกน้องแต่ละคนภายในเกราะกระจกใสนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก จนเมื่อใครบางคนชี้ไปทางด้านหลังของเขา มันทำให้เขาได้คำตอบ...
แม้จะอยู่ไกลจนเห็นเป็นเพียงเงาเลือนราง แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
...อะไรน่ะ...
คำถามในใจที่แม้จะพอเดาได้จากภาพที่เห็นแต่ก็ยังไม่มีใครปักใจเชื่อ จนกระทั่งเงานั้นปรากฏชัดขึ้น และชัดขึ้น...
เด็กชายอายุราว 6-7 ปี เดินฝ่าพายุหิมะที่เริ่มก่อตัวมาหยุดยืนอยู่หน้าพวกเขา ผมสำดำสนิทถูกหิมะกลบจนเห็นเป็นสีขาว ผิวหนังซีดเผือกไร้เลือดด้วยความหนาวเย็นโดยเฉพาะเมื่อเด็กคนนี้สวมใส่เพียงเสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงขาสั้นเปื้อนเลือดเหม็นสาบเท่านั้น เท้าเปลือยเปล่าแดงด้วยเลือดจากหิมะกัด ริมฝีปากซีดไร้สี ทว่า ดวงตาสีดำนั้นกลับเปล่งประกายของความมีชีวิต
...ยัง...ไม่อยากตาย...
แล้วร่างของเด็กชายก็ล้มลงท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้เฝ้ามอง
...เรา...รอดมาได้ แค่คนเดียว...
------------------------------------------------------------------------------------------- 10/08/07
ใครพอรู้วิธีการเขียนให้ตัวละครดูโรคจิตบ้าง ขอคำแนะนำด้วยครับ...
ความคิดเห็น