คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ร่องรอยปิศาจ (The witch interrogation) 2/3
เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด
(Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)
บทที่ 8 ร่องรอยปิศาจ (The witch interrogation) 2/3
ชาวบ้านที่รวมกลุ่มก่อจลาจลเริ่มนิ่งสงบ ทำได้เพียงส่งเสียงกระซิบกระซาบคุยกันเบาๆ ส่วนชาวบ้านอื่นๆ ที่ไม่ได้มีลูกหลานทำงานรับใช้ตระกูลโคเว่นต่างค่อยๆ แยกตัวออกมาเพื่อเป็นผู้สังเกตการณ์
โลเทรค กวาดสายตามองให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแข็งขืนจนทำให้พิธีการไต่สวนวันนี้วุ่นวายอีก จึงลดดาบลง ระหว่างนั้น อยู่ๆ กลับมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งแย่งปืนของทหารอาร์ชิบอลด์ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยกขึ้นหวังเหนี่ยวไกใส่ชายหนุ่มผมทองบนหลังม้า โลเทรค รีบหันไป ควงดาบขึ้นแล้วปาเข้าใส่ต่างหอก ดาบเล่มนั้นพุ่งตรงเข้าเสียบกลางอกชาวบ้านหนุ่มจนล้มลง แต่มิได้ตายทันที ฝูงชาวบ้านแตกตื่น ส่งเสียงอื้ออึง มีหญิงสาวกรีดร้องรีบวิ่งฝ่าเข้ามาทรุดลงร่ำไห้ข้างๆ ร่างนั้น
“...การกระทำของพวกเจ้า...จะต้องได้รับการชดใช้...พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด...” ชายคนนั้นกล่าว แม้เลือดจะทะลักออกทั้งปากและจมูก รวมถึงไหลซึมออกมาจากกลางอก เขายังพยายามลุกขึ้น ทหารอาร์ชิบอลด์รีบยึดปืนกลับคืน หญิงสาวกอดร่างชายคนดังกล่าวแน่น
เมื่อเห็นดังนั้น โลเทรค อาร์ชิบอลด์ จึงก้าวลงจากหลังม้า บุ้ยใบ้ให้ลูกน้องดึงตัวผู้หญิงออก แล้วควักปืนพกที่ห้อยอยู่ตรงซองปืนใต้เสื้อคลุมสีเหลืองนวลออกมา จ่อยิงอัดกะโหลกจนชายผู้นั้นนิ่งสนิท หญิงสาวกรีดร้องเป็นลมล้มพับไป พวกชาวบ้านคราวนี้ยิ่งถอยกรูด แตกฮือด้วยความตื่นกลัว เหล่าทหารอาร์ชิบอลด์บางส่วนชักดาบออกมาเช่นกัน ส่วนอีกหลายนายกระจายตัวไป ยกปืนขึ้นจ่อใส่ชาวบ้าน บรรยากาศตึงเครียด ซ้ำยังมีอีกามาบินวนรอบจัตุรัสเสียอีกราวกับมารอกินซากศพ
“ข้าไม่อยากให้มีการสูญเสียเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจงอยู่ในความสงบและให้ความร่วมมือกับเรา ตระกูลอาร์ชิบอลด์ ด้วย เพราะหากพวกเจ้าทำร้ายเรา ก็เท่ากับทำร้ายตัวแทนของอาณาจักร มีความผิด รับโทษถึงตาย เจ้าเข้าใจหรือไม่! เลือกเอาว่าจะภักดีกับเรา หรืออยากตามไปนรกพร้อมกับนายของเจ้า ข้าจักได้ช่วยสงเคราะห์ เพราะข้ามีอำนาจเต็มในการพิพากษาเช่นกันในวันนี้” โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ประกาศด้วยน้ำเสียงดุดัน กอปรกับทหารอาวุธครบมือ จึงทำให้ฝูงชนสงบลง โดยไม่มีใครกล้าท้วงติงอะไรอีก
“ดี…” เมื่อเห็นว่าควบคุมฝูงชนได้แล้ว ชายหนุ่มผมทองจึงกลับไปขึ้นหลังม้าแล้วควบตรงไปทางปะรำพิธี
“โอ ตายๆ เสียบรรยากาศหมด” บาทหลวงร่างท้วมในชุดประกอบพิธี ผู้มีผมสีขาวยาวระต้นคอ ม้วนตัวหยิกเป็นลอน ตัวแทนจากศาสนจักร ค่อยๆ ผละมือจากม่านผ้าปิดหน้าต่างรถม้า หลังจากแง้มเปิดออกเพื่อดูสถานการณ์ภายนอก ขณะรถเทียมม้าขนาดสี่ตัวสีดำทะมึนฉลุลายสีทองสัญลักษณ์ของศาสนจักรที่เขาโดยสาร แล่นเข้ามาจอดหน้าบันไดทางขึ้นปะรำพิธี
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่แล้วคุกเข่าจูบแหวนของบาทหลวงร่างท้วมนั้นทันทีที่เขาก้าวลงจากรถม้า ก่อนจะพาขึ้นไปส่งบนเวทีที่มีกางเขนดำตั้งตระหง่าน เพชฌฆาตจากเมืองหลวงที่ถูกส่งมาทำหน้าที่ไต่สวน ตามขึ้นไปด้วยเช่นกัน ทุกคนต่างประจำตำแหน่งของตนระหว่างรอให้ขบวนนักโทษมาถึง
ไม่ช้าขบวนนักโทษจึงมาหยุดอยู่ตรงบริเวณปากทางเข้าจัตุรัส ทหารอาร์ชิบอลด์นำตัวอาชชี่ โคเว่น ที่นั่งพิงลูกกรงอย่างอ่อนล้าลงมาจากกรงขังรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ แล้วพาตัวเขาเดินแหวกฝูงชนเข้ามา
อดีตขุนนางหนุ่ม สภาพสะบักสะบอม สวมเพียงแค่เชิ้ตคอปกแขนยาวชายรุ่ยสีขาว และกางเกงรัดใต้เข่าสีดำ เดินเท้าเปล่าเข้ามายังลานทำพิธีอย่างสงบ ตรงข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้างถูกล็อกและล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน เขาพยายามอดทนไม่แสดงอาการบาดเจ็บใดๆ ตลอดทางที่เดินผ่านชาวเมือง หลายคนเศร้าโศกกับความสูญเสียในครั้งนี้ และแสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อเขา หลายคนก็แค่ยินดีกับการจากไป ทั้งคนที่รักและเกลียดต่างมารวมตัวกันในลานทำพิธีเพื่อเป็นสักขีพยานแห่งการสิ้นสุดของตระกูลโคเว่น ในวันนี้
ชายหนุ่มแม้จะฝืนร่างอ่อนล้าเพื่อไปให้ถึงยังปะรำพิธี แต่สายตาก็ไม่ลืมกวาดมองดูห้องหับตามอาคารด้วยหวังจะได้พบหน้าลูกเมีย
บีอาทริเช่ เดส์ ลูมิเยร์ ค่อยๆ ลุกขึ้นไปชะเง้อมองดูสามีเป็นครั้งสุดท้ายตรงหน้าต่าง โดยมีสาวใช้อุ้มหนูน้อยแมกจิโอ อาช ตามไปด้วย จวบจนกระทั่งสามีของนางเดินเฉียดเข้าใกล้ หญิงสาวจึงรีบหลบกลับเข้ามาไม่ให้เขาเห็น แต่อาชชี่ โคเว่น สายตาไวพอจะเห็นทั้งสองทัน
แม้เพียงแว่บเดียวเท่านั้น แต่ก็เพียงพอจะหล่อเลี้ยงหัวใจอันอ่อนแรงของเขาให้ชุ่มชื่นขึ้น ชายหนุ่มผมดำอมยิ้มน้อยๆ ด้วยความยินดี จนรู้สึกมีเรี่ยวแรงพอที่จะย่างก้าวต่อไปสู่ความตายได้อย่างเป็นสุข
ทว่าความสุขเล็กๆ ของเขากลับถูกขัดจังหวะด้วยหัวกะหล่ำที่ถูกขว้างมาจากในกลุ่มฝูงชน ชาวบ้านแถบนั้นเลิ่กลั่กมองหน้ากัน อาชชี่ โคเว่น สะดุ้งตกใจเล็กน้อย พลางเหลือบไปเห็น ชายร่างผอมบาง ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมชุดเก่าๆ กำลังเที่ยวหยิบผักผลไม้ในตะกร้าคนอื่นมาปาใส่เขาอีกด้วยความสนุกสนานและความสะใจ
“เฮ้ย! ลอร์ดโคเว่น จำข้าได้มั้ย ข้า แจ็ค โรเบิร์ตสัน ไง!” ชายผอมบางแนะนำตัว ดูท่าจะสติสตางค์ไม่ค่อยดี แต่อาชชี่ โคเว่น ที่หันไปมองกลับไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ เพียงส่งสายตาว่างเปล่าตอบเท่านั้นก่อนเดินต่อไปเงียบๆ
แม้จะมีชาวเมืองคอร์วัสเกลียดตระกูลโคเว่นบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็มิได้เคืองแค้นเดือดดาลอะไรถึงขั้นต้องลงมือลงไม้ พวกเขาเพียงกระซิบกระซาบ หัวเราะหัวใคร่ หรือไล่เลี่ยเก็บเงินที่พนันกันไว้ว่าตระกูลอาร์ชิบอลด์จะสามารถลากตัวผู้นำโคเว่นมาได้หรือไม่เท่านั้น มีเพียงนายแจ็ค โรเบิร์ตสัน ที่ดูจะเกลียดชังอาชชี่ โคเว่น เป็นพิเศษ และเขารู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรงที่ไม่ได้รับความสนใจจากอดีตเจ้าเมือง
“นี่! ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ ไอ้ลอร์ดโคเว่นสันดานเสีย! ไอ้ลูกกะหรี่เล่นของ! ยัง...ยังจะกล้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นอีก!” เขาร้องโวยวาย พลางกระหน่ำปาผักผลไม้ไล่หลัง โดนบ้างไม่โดนบ้าง ที่สำคัญดันไปโดนชายคนหนึ่งซึ่งก้าวเข้ามาบังแทน
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่สบอารมณ์กับพฤติกรรมของนายแจ็คตั้งแต่เมื่อครู่ เขาไม่ว่ากล่าวกระไร แค่ชกเปรี้ยงเข้าให้เสียทีหนึ่ง จนเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง คราวนี้ชาวบ้านส่งเสียงร้องเชียร์วุ่นวายไปหมด
“บรรยากาศไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ต้องขออภัยด้วยนะคะ” เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ ที่ยืนสะบัดพัดเบาๆ พอให้มีลมเย็นๆ หันมากล่าวกับขุนนางหนุ่มยศสูงข้างๆ ระหว่างมองลอดหน้าต่างบานใหญ่ไปยังลานทำพิธีไต่สวนตรงหน้า
“เป็นธรรมดา ท่านหญิงคงไม่คุ้นชินกับการไต่สวนใช่ไหมขอรับ” ขุนนางหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ก่อนหันไปมองยังแท่นทำพิธี เห็นชายร่างสูงท่าทางอ่อนล้ากำลังก้าวเดินขึ้นมา
“โอ มานั่นแล้ว อาชชี่ โคเว่น...อดีตผู้บัญชาการกองทหารม้าที่สิบสาม ผู้นำกำลังคนเข้าบุกยึดฐานที่มั่นของชนพื้นเมืองที่ดุร้ายได้สำเร็จนั่นเอง เขายังคงดูงามสง่าอยู่เลยนะขอรับ” ขุนนางหนุ่มกล่าวชื่นชม เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ ยิ้มรับ
“แต่บุตรชายของข้า โลเทรค ก็สามารถเอาชนะเขาได้จากการสู้รบเมื่อคืนวานนะคะ” นางยกยอบุตรชายตนเองให้ฟังบ้าง
“เรื่องนั้นแน่นอนขอรับท่านหญิง บุตรชายของท่านชื่อเสียงดีขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ หันมาจับงานด้านค้าขายก็ไม่แพ้ตระกูลโคเว่นเลย ท่านเลี้ยงดูเขามาดีจริงๆ ขอรับ”
“หามิได้ค่ะ ส่วนหนึ่งต้องชื่นชมวิลเลี่ยมด้วยที่เคี่ยวเข็ญเขาจนได้ดี” หญิงวัยกลางคนหน้าบานไม่หุบ พลางส่งสายตามองสามีที่ดูแข็งแรงเกินกว่าคนวัยเดียวกัน กำลังวุ่นวายกับการรับรองแขกผู้มีเกียรติจากเมืองหลวง และเมืองใกล้เคียง
เลดี้มาเดอลีน ถือโอกาสเลื่อนสายตาผ่านเลยไปยังบีอาทริเช่ และสาวใช้กับลูกของนางที่นั่งเงียบๆ กันอยู่ตรงมุมห้อง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จืดจางลงจนกลายกลับเป็นบึ้งตึง
ขณะเดียวกัน ในตัวอาคารด้านหลังปะรำพิธี แม้จะอยู่ใกล้กับเวทีมากกว่า แต่กลับถูกกางเขนยักษ์กับส่วนยกพื้นบังความเป็นไปของการไต่สวน ห้องหับในอาคารนี้ถูกใช้เป็นที่รับรองลูกหลานของเหล่าแขกผู้มาเยือน เพียบพร้อมด้วยขนม ของว่าง และบ่าวรับใช้ เด็กๆ ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ พูดคุย วิ่งเล่นกันวุ่นวายไปหมด และเมื่ออาชชี่ โคเว่น มาถึง ทุกคนก็ดูจะตื่นเต้นกันถึงขั้นกรูไปเกาะที่หน้าต่าง ชะเง้อชะแง้มอง ยกเว้น เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ซึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้บุผ้านวม ห่างออกมาจากหน้าต่างเล็กน้อยเท่านั้น ที่นั่งจดอะไรยุกยิกมือเป็นระวิง ไม่สนใจจะวิ่งไปมุงดูการประหารเช่นเด็กคนอื่นๆ
“โห อาชชี่ โคเว่น เยินเลยแฮะ ฮ่าๆ ” เอเบล ซาเวียร์ กล่าวขึ้นพลางหัวเราะกับน้องชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“เจ้าโลเทรคนี่โหดจริง เล่นฆ่าล้างทั้งโคตรเลย” เขากล่าวต่อ
“ทั้งโคตรเหรอ...ทั้งโคตร? ” น้องชายตัวเล็กยกมือเกาหัวหยิกหย่อยสีน้ำตาลทองอ่อน เอเบล ถอนหายใจแรง
“โอย โง่จริงเลย มาร์เซล ฆ่าทั้งครอบครัวไง เข้าใจไหม” เขาอธิบาย
เด็กน้อยเอียงคอฉงน ระหว่างนั้น น้องชายคนโตกว่าซึ่งพอจะพูดรู้เรื่องบ้างก็แทรกขึ้น
“ไม่เห็นจะฆ่าทั้งครอบครัวเลย ก็ยังเห็นเจ้าแมก...แมก...อะไรสักอย่างนั่นน่ะ กับเมียของมันอยู่เลย จะฆ่าทั้งที ก็ฆ่าให้หมดไปเล้ย!”
เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ได้ยินดังนั้น ถึงกับหยุดเขียนหนังสือ แล้วเงยหน้ามองไปยังพี่น้องด้วยแววตาตื่นตระหนก
“รำคาญเวลามันร้อง เอ๊บ คิดเหมือนข้าไหม” เสียงเล็กๆ ใกล้แตกหนุ่มกล่าวต่อ
“นั่นสิ ไอ้เด็กแมกๆ ไรนั่น เป็นข้าจะเอาโยนทิ้งบ่อ ฮะๆๆ ”
ว่าแล้วก็หัวเราะคิกคักกันสองคน เอเดรียน เดินเข้ามาโอบไหล่พี่และน้องทั้งสองจนทั้งคู่สะดุ้ง
“เอ่อ...หวัดดี เอ๊บ หวัดดี เคล…” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น พยายามฝืนทักทาย
เอเบล และเคลเมนต์ มองตากันปะหลับปะเหลือก
“หวัดดี...เอ่อ...เอเดรียน ผีพวกโคเว่นเข้าสิงอีกแล้วเหรอ...สายแล้วเพิ่งมาทักทายทำไมกัน” เอเบลกล่าว เอเดรียนผละมือจากไหล่ของเคลเมนต์ก่อนหันมาเผชิญหน้าอย่างเต็มรูปแบบกับเอเบล
“เมื่อกี้ เจ้าว่าจะเอาอะไรทิ้งลงบ่อนะ” เขาหรี่ตามองพี่ชายคนรอง เอเบลผงะเล็กน้อย
“จะเอาลูกของอาชชี่ โคเว่น ทิ้งบ่อไง ไอ้แมกอะไรนั่นน่ะ”
“แมกจิโอ...แมกจิโอ อาช” เอเดรียนบอกด้วยน้ำเสียงเข้ม
“เออ นั่นแหละ แมกจิโอ…”
“ทำไม” เอเดรียน กอดอก เอียงคอคาดคั้นเอาคำตอบ เอเบลเริ่มไม่สบอารมณ์
“ก็แล้วทำไมข้าต้องอธิบายให้ฟังด้วยล่ะ ข้าน่ะ จะเอาทั้งแม่ทั้งลูกไปทิ้งบ่อทั้งคู่นั่นแหละ”
เอเดรียนกำสมุดแน่น “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”
เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนเดินกลับไปนั่งที่เดิม เอเบลส่งสายตามองตามด้วยความไม่พอใจ
“ชิ ไอ้ตัวประหลาด อยู่ๆ อารมณ์ขึ้นมาจากไหนของมันเนี่ย นี่ก็อีกคน เสียสติเหมือนกับโลเทรค” เอเบลกล่าวส่อเสียดเสียงดัง แต่เอเดรียนเลิกสนใจเขาแล้ว
ความคิดเห็น