NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #7 : กางเขนดำ (The Darkened Cross) 2/2

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 64


     

    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรื่อง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning! นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)

     

    “เจ้าอายุเท่าไหร่” ชายผมดำถามแทรก พอดีกับเอเดรียนเริ่มอ้าปาก

    “สิบแปดขอรับ ไล่เลี่ยกับน้องสาวของท่านเลย…” เด็กหนุ่มเผลอตัวพูดก่อนนึกได้ “ขออภัยจริงๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

    “ไม่เป็นไร” อาชชี่ โคเว่นโบกมือ

    ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบงันสักพัก ก่อนชายหนุ่มผมดำจะขำคิกขึ้นมาทำลายบรรยากาศอึดอัด

    “เจ้าเหยียบเท้านาง ฮะๆๆ” เขานึกไปถึงงานวันเกิดน้องสาวที่จัดขึ้นอย่างเป็นกันเองสนุกสนาน ตามแบบอย่างชาวไอริช มีการเต้นคล้องแขนกระโดดไปมา พร้อมเครื่องเป่า และเครื่องเคาะ

    “เอ่อ มันกะทันหัน ข้าไม่ทันตั้งตัว และน้องสาวของท่าน คาเธรีน่า ก็ไม่โกรธข้าด้วยนะ นางยังทำท่าร้องโอ๊ยๆ แล้วแกล้งเดินเป๋ไปเป๋มาอยู่เลย ข้าจำได้”

    “ใช่ๆ ยัยตัวแสบ ซนอย่างกับอะไรดี” พี่ชายของเด็กสาวที่ถูกพูดถึงกล่าวเสริม สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่แล้วท่าทางของเขาก็เริ่มเปลี่ยน รอยยิ้มเริ่มเหือดหาย

    เอเดรียนออกอาการอึกอักทำตัวไม่ถูกเมื่อสังเกตเห็นน้ำตาหยาดหยดลงมาตามร่องแก้มชายหนุ่มอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องปลอบโยนอย่างไร นอกจากชวนคุยต่อ

    “ทำไมพวกท่านยึดธรรมเนียมชาวไอริชล่ะขอรับ ข้าอ่านในหนังสือหลายรอบ ในนี้เขียนว่า พวกท่านสืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสูงชาวโรมัน” เด็กหนุ่มถามด้วยความใคร่รู้ อาชชี่กลืนน้ำลายให้คอโล่งขึ้น ก่อนตอบ

    “เพราะแม่ของข้าเป็นชาวไอริชน่ะสิ และพวกเราก็ได้เลือกที่จะนับถือพระเจ้าองค์เดียวกับพวกเจ้าแล้ว ตระกูลของข้าจึงไม่มีธรรมเนียมนอกรีตอีก” เขาทำทีใช้นิ้วปัดป้ายใต้ตาตนไปมา แต่เอเดรียนรู้ว่า เขากำลังพยายามเช็ดน้ำตาอยู่

    “อ๋อ ขอรับ ในนี้ เขาบันทึกไว้ว่า" เอเดรียนรีบดึงกลับเข้าประเด็น "ที่กางเขนจากต้นแอชเป็นสีดำ ก็เพราะว่ามันดื่มเลือดเข้าไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนลำต้นของมันเริ่มแปรเปลี่ยนจากสีน้ำตาลตามปกติกลายเป็นสีแดง และเข้มคล้ำขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผันผ่าน”

    “ฮะๆ ไร้สาระ” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนในลำคอ “เจ้าก็อย่าไปเชื่อมากนักล่ะ อ่านเอาสนุกพอ”

    “ตะ...แต่ว่า…”

    อาชชี่เลิกคิ้วเล็กน้อย “นี่เจ้า เจ้าเชื่อจริงๆ รึ ฮ่าๆๆ เอาเถิด ข้าฝากเจ้าไปเขียนเป็นนิยายด้วยละกันคงจะสนุกน่าดู”

    เขาอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทีเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติในตำนานนี้อย่างจริงจังของเด็กหนุ่มทว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกขำขันไปด้วย กลับทำสีหน้าขึงขังอ่านเนื้อความในหนังสือ

    “เขาบอกว่า ด้วยการทำสนธิสัญญากับวิญญาณไร้พ่าย อนิมัส อินวิคตัส ที่เวียนว่ายอยู่ในดินแดนโกลาหลซึ่งตอบรับเสียงเพรียกของตระกูล ทำให้พวกท่านสามารถอัญเชิญปิศาจมายังโลกนี้ได้ ผ่านทางร่างทรงของตระกูลคอร์วินี บรรพบุรุษของท่านซึ่งเป็นนักพยากรณ์ และมันทำให้เขาฟื้นคืนชีพ โดยตั้งอยู่บนเงื่อนไขหนึ่งก็คือ ร่างทรงจะต้องอยู่ในสภาวะล่วงเข้าสู่แม่น้ำแห่งความตาย และจะฟื้นคืนได้ด้วยแรงขับดันบางอย่างที่รุนแรง”

    “พอเถอะ…” อาชชี่ โคเว่นตัดบท “ข้าไปสงครามมาก็มาก พบเห็นความตายมาก็เยอะ ตัวข้าเองก็เฉียดความตายมานับครั้งไม่ถ้วน แผลข้ารึก็ไม่ได้หายเอง ความรู้ทางการแพทย์ทั้งนั้นที่ทำให้ข้าหายจากอาการบาดเจ็บ ไม่ใช่แบบที่หนังสือเล่มนี้บอก”

    “ถ้าท่านไม่เชื่อ...มีอีกวิธีที่จะทำให้ท่านกลับมาชำระแค้นตระกูลของข้าได้…” เอเดรียนขยับตัวเข้าใกล้ชายหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง จนเขารู้สึกหวาดหวั่น

    “ให้ข้าช่วยท่านหนีไปจากที่นี่…” บุตรแห่งอาร์ชิบอลด์กระซิบ

    “ว่าไงนะ…” อดีตผู้นำตระกูลโคเว่น ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

    เด็กหนุ่มยิ่งกระเถิบร่างเบียดเข้าหา อาชชี่ โคเว่น ยิ่งดันตัวติดผนัง

    “ยะ...หยุดอยู่แค่ตรงนั้นได้ไหม” เขายกมือห้ามสะกิดให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว เมื่อนึกได้จึงถอยร่นออกมาเล็กน้อย

    “ข้าจะช่วยท่านออกไปจากที่นี่เอง ข้ารู้ทางออก ข้ามาเดินเล่นกับโลวิลประจำ”

    “โลวิล? …” หนุ่มผมดำเอียงคอฉงน

    “อ่ะ โทษที ข้าหมายถึงโลเทรค..."

    อาชชี่ โคเว่น กระแทกลมหายใจ ขบกรามแน่น "อย่าพูดชื่อนั้น"

    "ขออภัยขอรับ" เด็กหนุ่มหน้าเศร้า

    “แล้วถ้าเจ้าช่วยข้า เจ้าจะไม่ลำบากหรือ” เขายังถามต่อถึงแผนการ

    “ไม่หรอกขอรับ โลวิล...เอ๊ย! พี่ชายของข้าเขาไม่ฆ่าข้าหรอก อย่างดีก็คงชกตาแตก และข้าก็จะสู้กลับ"

    เอเดรียนกล่าวด้วยความมั่นใจ ไม่ได้ดูความแข็งแรงของร่างกายเลยว่าต่างกันแค่ไหนระหว่างเขากับพี่ชาย

    “มันก็ใช่หรอกที่พี่ชายเจ้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ที่ข้าหมายถึงคือคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเจ้า อย่างเช่นเจ้าหน้าที่ของอาณาจักรหรือคนของศาสนจักร พวกเขาจะตามล่าเจ้า และลากตัวเจ้ามารับโทษ พวกเราจะต้องหนีไปตลอดชีวิต เจ้ารับไหวรึ" ชายหนุ่มสาธยายถึงความจริงในโลกอันเจ็บปวด

    "อีกอย่าง ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว เจ้าจะให้ข้าหนีไปไหน...”

    “ที่ไหนก็ได้ขอรับ รักษาตัวให้หายแล้วกลับมาแก้แค้น” เอเดรียนเสนออย่างกระตือรือร้น ราวกับกำลังจะได้ออกผจญภัย

    อาชชี่นิ่งมองด้วยรู้สึกขบขัน

    “ถ้าพี่ชายเจ้าจะบ่นว่าเจ้าเป็นคนเพ้อเจ้อ ข้าก็จะไม่แปลกใจเลย เอเดรียน”

    เด็กหนุ่ม นั่งหน้าเศร้าทำคอตก

    “ไม่มีวิธีไหนเลยรึ...ท่านจะฆ่าข้าก็ได้นะ มันอาจจะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น”

    “ฮะๆๆ ฆ่าเจ้าแล้วได้อะไร...”

    ชายหนุ่มมองหน้าเอเดรียนที่กำลังก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดวิธีต่างๆ เขาค่อยๆ เอื้อมมือสั่นเทาไปยังร่างนั้นอย่างช้าๆ มีอาการชะงักนิดหน่อยบ้างเพราะยังหวั่นเกรงกับการสัมผัสร่างกายผู้อื่นอยู่ โดยเฉพาะผู้ชาย

    “ไม่ต้องคิดมาก...ข้าก็อยากให้เรื่องการฟื้นคืนนั้นเป็นจริง แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ทำได้เพียงยอมรับมัน”

    อาชชี่ โคเว่น ฝืนใจจับไหล่เอเดรียน อาร์ชิบอลด์

    “แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าช่วยข้าได้"

    ชายหนุ่มหยุดสูดหายใจ เอเดรียนรีบเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง รอฟังคำพูดนั้นอย่างตั้งใจ

    "แมกจิโอ อาช ลูกชายของข้า ช่วยดูแลเขาได้ไหม ข้าบอกพี่ชายเจ้าไปแล้ว แต่ข้าไม่ไว้ใจว่ามันจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้ เพราะเหมือนรับปากเอาส่งๆ "

    เอเดรียนจ้องหน้าอาชชี่ โคเว่น

    "อย่างน้อยๆ ก่อนที่ข้าจะไป ข้าอยากแน่ใจว่าเขาจะได้รับการดูแล เพราะข้าไม่มีโอกาสได้เห็นเขาเติบโตแล้ว" ชายผมดำกล่าว แววตาวูบไหวด้วยน้ำตารื้นล้นเต็มขอบ

    เด็กหนุ่มเอื้อมไปกอดกุมมือที่จับไหล่ของตนแน่น

    “ข้าสัญญาขอรับ ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี”

    “เยี่ยม…” อาชชี่ โคเว่น ยิ้ม “ถ้ามีโอกาสได้กลับมา ขอแค่หัวของพี่ชายเจ้าก็พอ เจ้ารับได้ไหม”

    เอเดรียนนิ่งอึ้ง

    “ข้าล้อเล่น ฮ่าๆ” อาชชี่ โคเว่น หัวเราะร่วน ก่อนจะตบไหล่เอเดรียนเบาๆ

    “ไปนอนเถิด เวลาล่วงเลยมามากแล้ว เจ้าควรพักผ่อน ขอบใจมาก”

    แล้วชายหนุ่มนักโทษจึงค่อยๆ ถัดตัวกลับไปนั่งคุดคู้พิงผนังชื้นเย็นนั้นเหมือนเดิม เขามีท่าทางเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัดแม้เขยื้อนตัวเพียงเล็กน้อย ขาของเขาไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจขยับได้ เอเดรียนหวังดีรีบโผเข้ามาช่วย

    “อย่าแตะต้องตัวข้า” ทว่าอาชชี่กลับปัดมือเด็กหนุ่มออก จนเขาผงะถอย

    “ขอโทษด้วยขอรับ ขอโทษจริงๆ ” เด็กหนุ่มละล่ำละลักลนลาน

    “เจ้าไปซะ ข้าของีบหน่อย”

    ชายหนุ่มกลับมามีอาการนิ่งเย็นชาใส่ เอเดรียนรู้สึกเศร้าใจเหลือคณา พลางเหลือบสายตามองเขาอีกครั้ง เห็นร่างเปลือยบอบช้ำฟุบหน้าลงกับแท่นหิน หลับพับไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวยังคงมีร่องรอยคราบเลือด โดยเฉพาะบริเวณหว่างขา ให้รู้สึกน่าฉงนยิ่งนัก

    “อยากจะทำแผลให้ท่านเสียจริงๆ แต่ท่านไม่ยอมให้แตะตัว ทำไมกันนะ”

    เด็กหนุ่มค่อยๆ ถอดเสื้อกั๊กของตนออกมาคลุมให้ร่างนั้น แล้วจากไป

     

     

    ด้วยการระเบิดอย่างรุนแรงถึงสองครั้งจากนวัตกรรมผงระเบิดปริศนาที่ถูกคิดค้นและสรรค์สร้างโดยนักบวชโบราณนามซีนีส ทำให้ตอนนี้พื้นของปราสาทคอร์วินัสเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่พอจะนำไม้กางเขนยักษ์ผ่านขึ้นมาได้

    แรงระเบิดมหาศาลยิ่งกว่าดินประสิวธรรมดา ทำให้ตัวโครงสร้างปราสาทและหลังคาทั้งหมดพังถล่มทลาย

    “โอย หมดกัน ป้อมปราการของข้า”

    ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค ยกมือขึ้นกุมขมับ พลางจ้องมองดูพวกกลุ่มทหารช่วยกันไสเครนยกของขนาดยักษ์ขึ้นไปจ่อตรงปากหลุม

    ทหารอาร์ชิบอลด์ส่งสัญญาณความพร้อมให้เพื่อนทหารอีกกลุ่มที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งโรยตัวลงไปก่อนเพื่อจัดการแซะฐานของกางเขนดำ

    น่าแปลกที่มันมีลักษณะเหมือนรากไม้สั้นๆ ชุ่มของเหลวสีเข้มคล้ำ ขณะถูกยกขึ้นด้วยตัวหนีบของเครนและเชือกซึ่งได้รับการติดตั้งจนเข้าที่เรียบร้อย โดยทหารอาร์ชิบอลด์หลายนายที่จัดแจงปีนขึ้นมาบนปีกกางเขนสองฝั่ง

    ข้างบนปากหลุมนั้น มีทหารอีกกลุ่มกำลังหมุนกงล้อขนาดใหญ่ของเครนเพื่อชักรอกขึ้น ต้องใช้คนถึงสี่คนเลยทีเดียวกว่าจะนำออกมาได้

    ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค มองดูกางเขนสีดำทะมึนเหลือบแดงเมื่อต้องแสงไฟ อย่างไม่อาจละสายตาเพราะความแปลกประหลาดของมัน

    “เป็นกางเขนที่ดูนอกรีตดีแท้ ราวกับไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมาได้ เสร็จจากนี้ข้าจะส่งไปให้พิพิธภัณฑ์ที่เมืองหลวงตรวจสอบ”

    ระหว่างนั้น จึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค หันไป พบว่าเป็นบุตรชายของตนนั่นเองกำลังรีบก้าวลงจากหลังม้า แล้วทำความเคารพบิดา

    “ขออภัยขอรับท่านพ่อ มีปัญหาเรื่องนักโทษนิดหน่อย”

    “ทำไม มันสู้รึ…”

    “ขอรับ” โลเทรค พยักหน้า

    ลอร์ดวิลเลี่ยม มองดูบุตรชายอย่างไม่สบอารมณ์สักพักจึงโบกมือไล่

    “ไปคุมทหารขนย้ายกางเขนไปที่จัตุรัสกลางเมืองไป ทางนี้เรียบร้อยแล้ว พอดีได้ท่านนักบวชซีนีส มาช่วย งานจึงเสร็จเร็ว”

    ชายวัยกลางคนบุ้ยหน้าไปทางนักบวชในชุดโบราณร่างยักษ์ สูงราวเกือบสองเมตรเห็นจะได้ โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ส่งสายตามองตามด้วยความขุ่นเคือง นักบวชลึกลับเพียงยิ้มตอบกลับมา

    “เมื่อติดตั้งกางเขนเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็ไปพักได้ พรุ่งนี้เจ้าต้องอยู่ร่วมบนพิธีไต่สวน คอยคุมนักโทษ” เขากล่าว

    “อย่าให้เกิดเรื่องล่ะ” ผู้เป็นบิดาทิ้งท้ายด้วยท่าทีดุดัน แล้วเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ไม่ไกล

    โลเทรค ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาผู้เป็นพ่ออยู่เช่นนั้น รอให้รถม้าเริ่มแล่นจึงเงยหน้าขึ้น ปะเข้ากับร่างของนักบวชซีนีสพอดี แม้ว่าชายหนุ่มผมบลอนด์งดงามผู้นี้ จะมีรูปร่างที่ค่อนข้างสูงราวร้อยแปดสิบเซนติเมตร และแข็งแรงด้วยความเป็นทหารฝึกหนัก ทว่านักบวชที่กำลังยืนประชิดตรงหน้านี้กลับสูงใหญ่ ล่ำหนา ยิ่งกว่าเขา จนศีรษะของชายหนุ่มอยู่สูงเพียงระดับอก

    “สวัสดี ข้าชื่อซีนีสขอรับ” นักบวชยิ้มเย็น พลางแนะนำตัว

    ชายหนุ่มกลอกตาขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ชอบใจนัก

    "โลเทรค...โลเทรค อาร์ชิบอลด์”

    เขาตอบ ก่อนสะบัดหน้าหนีขึ้นไปบนหลังม้า ไม่แม้แต่จะจับมือทักทาย

    ริมฝีปากบางซีดเซียวของนักบวชลึกลับยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น แม้โลเทรคจะควบม้านำขบวนขนย้ายจากไปไกล

     

    ______________________________________

    ภาษาอังกฤษ / ละติน ประจำตอน

    อนิมัส อินวิคตัส (animus invictus)

    ดินแดนโกลาหล (chaos realm) 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×