NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #6 : กางเขนดำ (The Darkened Cross) 1/2

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 64


     

    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรื่อง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning! นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)

     

     

    ใช้เวลาเพียงไม่นาน เหล่าทหารอาร์ชิบอลด์นับร้อยคนจึงสามารถดับไฟที่ลุกไหม้ปราสาทคอร์วินัสได้ในที่สุด แม้จะทุลักทุเลบ้างด้วยความที่ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเนินค่อนข้างสูง เป็นอุปสรรคต่อการลำเลียงน้ำ ยังดีที่มีลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยผ่านแนวป่าทางด้านหลัง การหาแหล่งน้ำมาดับไฟจึงมิใช่ปัญหา

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตัวปราสาทก่อขึ้นมาจากอิฐที่มีความหนาและแข็งราวกับหิน จึงไม่อาจติดไฟได้โดยง่าย ดังนั้นส่วนที่เสียหายจึงเป็นข้าวของเครื่องใช้ภายในเสียมากกว่า

    “โธ่เอ๊ย…ใครสั่งให้เผาปราสาทกัน ไม่ได้บอกสักนิด” ชายวัยกลางคนผมสีบลอนด์อ่อนจนดูราวกับเป็นสีเงิน แต่งกายภูมิฐานด้วยเสื้อกั๊กและสูทผ้าไหมตัวยาวสีน้ำเงินปักลวดลายใบไม้สีเงินเรียบหรู กล่าวขึ้น ขณะมองดูทหารอาร์ชิบอลด์ช่วยกันลำเลียงถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่หลายใบที่มีการตอกฝาปิดแน่นหนาเป็นพิเศษพร้อมเสียบสายชนวนซึ่งบรรทุกอยู่บนรถม้า มาติดตั้งลงตรงจุดที่พวกเขาคำนวณแล้วว่าจะเป็นจุดที่กางเขนดำประจำตระกูลโคเว่นตั้งอยู่ 

    “เจ้าโลเทรคมันทำงานไม่เคยเรียบร้อยเลย ให้ตายสิ ต้องให้ข้ามาคุมเองอยู่เรื่อย” ชายผู้มีท่าทางเคร่งขรึมคนเดิม บ่นพึมพำให้ชายร่างผอมบาง ที่ยืนถือสมุดจดบันทึกเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ฟัง ก่อนเหลือบไปเห็นถุงกระสอบป่านจำนวนหลายใบที่กองซ้อนกันอยู่บนรถม้าบรรทุกของ

    “นั่นอะไร” ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปดู

    “โอ้ ระวังขอรับ!" ชายร่างบาง ผู้มีผมยาวสีเข้มแต่เบาบางจนเห็นผิวกลางกระหม่อม สวมแว่นตาหนารีบร้องบอก

    "ท่านนักบวชเตือนว่า มันค่อนข้างอันตราย”

    “อย่างงั้นเหรอ…” เขาหันมามอง “ขอดูหน่อย เจ้าเปิดดูซิ”

    “เอ่อ…” ชายร่างบางทำท่าอึกอัก

    “เร็วๆ สิ เปิดดู”

    “เดี๋ยวข้าเปิดให้ขอรับ…”

    เสียงทุ้ม แหบ เยือกเย็น ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ชายวัยกลางคนที่กำลังสนใจกับของในกองกระสอบนั้น จึงค่อยๆ เหลียวไปมอง พบนักบวชร่างใหญ่สวมชุดบาทหลวงโบราณสมัยยุคกลางทำด้วยผ้าหนังกลับสีน้ำตาลตุ่น หนาหนัก เดินสวบสาบเข้ามาราวกับตัวเขานั้นมีเหล็กถ่วงอยู่ข้างใน เขามีหมวกผ้าซึ่งติดมากับชุด คลุมศีรษะอยู่ จึงไม่อาจเห็นใบหน้าได้นัก นอกจากส่วนตั้งแต่โหนกแก้มจนถึงคาง

    “เอ่อ ขออนุญาตแนะนำ นี่คือ ท่านนักบวชซีนีส (Senese) ขอรับ เผอิญท่านเพิ่งมาถึงวันนี้ เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุจากศาสนจักร ท่านนักบวชซีนีส นี่คือ ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค อาร์ชิบอลด์” ชายร่างเล็กผอมบางรีบแนะนำ

    “โอ้…” ชายวัยกลางคนสำรวจดูรูปร่างลักษณะท่าทางแข็งแรงใหญ่โตราวนักรบโบราณของนักบวชแล้วก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าวิลเลี่ยม อาร์ชิบอลด์ ท่านไม่เหมือนกับนักบวชเลย ดูราวกับนักรบ”

    ทั้งสองจับมือกัน นักบวชกล่าวทักทายตอบ ชายร่างเล็กยิ้มภาคภูมิในความสำเร็จ

    “นี่เองผู้วิเศษที่โรเบิร์ต เลขาของข้า ติดต่อไปเมื่อเกือบครึ่งปีก่อน”

    “ขอรับ” นักบวชซีนีส น้อมศีรษะ

    “ว่าแต่ เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรหรือท่าน”

    “เดี๋ยวข้าจะเปิดให้ชม” นักบวชซีนีส หยิบมีดพกขึ้นมา

    “อูวๆๆๆ ไหนท่านว่ามันอันตราย” โรเบิร์ต เลขาของลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค ยกมือไม้ห้ามอย่างหวั่นกลัว นักบวชในชุดโบราณกรีดยิ้มเย็น

    “มันไม่อันตรายขอรับ ถ้าไม่ได้อัดแน่น และไม่ได้โดนความร้อนจัด” เขากรีดกระสอบป่านให้พอเปิดอ้าออก แล้วกอบเอาผงสีขาวลักษณะคล้ายเกลือมาให้ชายวัยกลางคนดู

    “เพียงแค่ท่านต้องเก็บมันไว้ด้วยความระมัดระวัง”

    เซอร์วิลเลี่ยม โลเทรค เมียงมองด้วยความสนใจ

    “เหมือนเกลือเลย” เขาทำจมูกฟุดฟิด “หืมมม ไม่มีกลิ่น”

    นักบวชโบราณยิ้ม “ขอรับ แม้ข้าจะสกัดมันมาได้จากกระบวนการหมักปุ๋ย”

    “แปลกจริงเชียว” ชายวัยกลางคนมองหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา “ไหนขอชมหน่อยซิ”

    สิ้นประโยคทั้งสามจึงหันไปมองยังกองถังไม้โอ๊คใหญ่ ขนาดประมาณถังหมักไวน์เห็นจะได้ ที่ถูกเรียงรายอยู่ตรงกลางปราสาทคอร์วินัส ซึ่งแม้จะถูกไฟเผา แต่ก็ยังเสียหายไม่มาก ตัวโครงสร้าง หลังคาต่างๆ ยังอยู่ดี

    หลังจากสาดน้ำมันใส่แล้ว ทหารอาร์ชิบอลด์ จึงไล่สายชนวนที่ต่อจากปากถังไม้โอ๊คใบหนึ่งมาทางนักบวชโบราณ เขาบอกให้ทุกคนเดินหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจากจุดนี้มันจะอันตรายมาก

    ทุกคนเฝ้ารอเหตุการณ์อย่างใจจดใจจ่อ ระหว่างนักบวชร่างใหญ่เดินถือคบเพลิงเข้าไปจรดลงกับปลายสายชนวนอย่างใจเย็น

    ไม่ช้าทุกคนที่ทำงานอยู่บริเวณซากปราสาทคอร์วินัส ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเครื่องมือการก่อสร้างและขนย้ายมากมาย จึงได้ตื่นตะลึงกับภาพและเสียงของระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหว พื้นผนังหินหนาเริ่มทรุดกร่อน เช่นเดียวกับเพดานปราสาท ส่วนเพดานชั้นใต้ดินยิ่งได้รับผลกระทบหนัก เศษฝุ่นผงหลุดร่วงกราวเหนือกางเขนดำที่ตระหง่านอยู่ข้างใต้ คานโค้งที่ทำด้วยหินยึดเกี่ยวกันด้วยการเข้าสลักค้ำยันซึ่งกันและกันเพื่อรับน้ำหนักเพดาน เริ่มสั่นคลอน

     

    เสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่นไปจนถึงผู้คนที่อยู่บนคฤหาสน์อลิสัน และมันไม่ได้ดังแค่ครั้งเดียว

    โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ผลุนผลันเดินตัดห้องนั่งเล่น ระหว่างทุกคนในบ้านยกเว้นบิดาและเอเดรียนน้องชายคนที่สาม กำลังทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ตามประสาหน้าเตาผิงขนาดใหญ่ ห้องทั้งห้องสว่างไสวด้วยตะเกียงโคมไฟประดับหลายดวง บางคนเอนกายอ่านหนังสือบนโซฟายาวบุด้วยผ้านวมอย่างดี บ้างก็นั่งเล่นตุ๊กตา บ้างก็เล่นฟันดาบตามประสาเด็ก ส่วนมารดาของเขา เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ (Madeleine Celeste) กำลังนั่งปักผ้าอยู่ข้างหน้าต่างกับกลุ่มสาวใช้ พลางมองไปยังเนินปราสาทคอร์วินัสด้วยสายตาวิตกกังวล

    “จะออกไปอีกรึ…” นางเอ่ยถามบุตรชาย เขาซึ่งกำลังจะเปิดประตู ถึงกับหยุดหันมามอง

    “ขอรับ ข้าลืมไปว่าท่านพ่อให้ข้าไปดูเรื่องการขนย้ายกางเขนดำ”

    “พักก่อนดีไหม” หญิงวัยกลางคน รูปร่างหน้าตางามสง่า สวมอาภรณ์เรียบง่ายสีเข้มวางงานปักผ้าในมือลงบนตัก

    “เจ้าทำงานทั้งวันเลยวันนี้ ดูสิ เนื้อตัวมอมแมมไปหมด พ่อของเจ้ามีคนมากมายคอยรับใช้ ไม่ต้องห่วงเขานักหรอก”

    โลเทรค กวาดสายตามองน้องชายคนรอง น้องชายคนเล็กสองคน และน้องสาวคนสุดท้อง ที่นั่งๆ นอนๆ กันอยู่ตามมุมห้อง ด้วยความเบื่อหน่าย พวกนั้นไม่ได้ใส่ใจเขานัก โดยเฉพาะน้องชายคนรองวัยยี่สิบ ที่ดูจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

    “ก็ถ้าไอ้คนที่ชื่อ เอเบล มันจะใส่ใจเรื่องในบ้านบ้างก็คงจะดี” เขากระทบกระเทียบน้องชายคนรอง นามเอเบล ซาร์เวียร์ เซเลสต์ (Abel Xavier Celeste) ซึ่งกำลังนอนพลิกหนังสือที่มีภาพลามกจกเปรตประกอบอยู่ไปมา เขาสะบัดหน้า ลุกขึ้นมองโลเทรคในทันที พี่ชายคนโตส่งสายตาเหยียดหยันให้เล็กน้อยก่อนหันมาค้อมศีรษะให้ผู้เป็นมารดาแล้วเดินจากไป

    “ไอ้เวรเอ้ย ข้าอยู่ของข้าดีๆ แท้ๆ จะพูดจากวนประสาททำไม! ” เขาปาหนังสือไล่หลัง น้องชายวัยไล่เลี่ยกันสองคนที่กำลังเล่นอัศวินฟันดาบอยู่ วิ่งเข้าไปแย่งกันดูหนังสือนั้น พลางหัวเราะคิกคัก

    “เดี๋ยวเถอะ เอเบล พูดจาอย่างนั้นกับพี่ชายเจ้าได้อย่างไร! ” เลดี้มาเดอลีนผลุนผลันเดินตรงมาทางเขา

    “ท่านแม่ก็บอกให้มันหยุดกวนประสาทข้าเสียทีสิ มันน่ะ เหมือนพวกสติไม่ดีตั้งแต่เริ่มไปทำสงคราม ข้าไม่อยากเป็นอย่างมันหรอก สู้ทำงานสบายๆ เป็นนายกองตรวจเอกสารดีกว่า” เอเบลว่า พลางเดินไปหยิบหนังสือมาคืน แล้วสบถใส่น้องชายทั้งสองไปหนึ่งดอก

    “ไอ้พวกโง่! เดี๋ยวปั๊ดทุบหน้าแหก”

    เด็กสองคนทำค่อย่นหลบเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหัวเราะใส่กัน “ฮะๆๆๆ อะไรคือพวกโง่...ฮ่าๆ ”

    “เอเบล! ” เลดี้มาเดอลีนดุเสียงเข้ม

    “ไล่มันไปเลยนะ ให้มันไปทำสงครามที่ไหนก็ไป ข้าอึดอัดจะแย่เวลามีมันอยู่ อยากจะขย้อนของที่กินไปออกมาคืน” เด็กหนุ่มทิ้งท้าย “ไปนอนดีกว่า น่าเบื่อ! ”

    ระหว่างเดินหายลับ ยังเอามือกวาดของใกล้ตัวจนตกลงมาแตกกระจัดกระจายอีกต่างหาก

    เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ สะดุ้งเล็กน้อย นางได้แต่นิ่งเงียบ สายตามองตามพฤติกรรมนั้นด้วยความขุ่นเคืองใจ ปล่อยให้เด็กชายวัยราวสิบกว่าขวบสองคนวิ่งเล่นกันสนุกสนานทั้งปีนป่ายไปตามโซฟา และกระโดดมุดไปหลบตามใต้โต๊ะ หญิงวัยกลางคนต้นแบบเค้าความงามของบุตรชายคนโตถึงกับสูดหายใจลึกจนสุดปอด เพื่อสะกดกลั้นความโกรธไว้

    “พวกเจ้าก็ไปนอนได้แล้ว! ” นางตวาด เด็กสองคนถึงกับสะดุ้งหยุดทุกกิจกรรมที่ทำอยู่ พี่เลี้ยงเด็กรีบเข้ามาพาทั้งสองออกไป

    ผู้เป็นแม่เดินกลับไปทิ้งตัวลงยังเก้าอี้มีพนักวางแขนบุผ้าปักหนานุ่ม ก่อนยกมือข้างหนึ่งขึ้นมานวดวนแถวหว่างคิ้วเพื่อผ่อนคลาย พลันสัมผัสได้ถึงแรงกระตุกตรงแขนเสื้อ นางค่อยๆ ลืมตา

    “อ้อ เจ้าเองหรอกเหรอ มารีย์ เซเลสต์” นางหันไปลูบศีรษะบุตรสาว เด็กหญิงวัยไม่ถึงสิบขวบใช้ดวงตาสีฟ้าใสแป๋วจ้องตรงมายังนาง ราวกับมีเรื่องสำคัญยิ่ง

    “เมื่อวันก่อน ข้าเห็นโลเทรค พาพวกทหารเอาสีมาป้ายหน้าเป็นขีดๆ แบบนี้” เด็กหญิงเอานิ้วปาดๆ ที่แก้มให้มารดาของนางดู ขณะกระซิบกระซาบที่ข้างหู

    วันก่อนออกศึกบุกยึดตระกูลโคเว่น โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ได้นั่งลงรอบกองไฟ รายล้อมด้วยทหารคนสนิทไม่กี่สิบคน อยู่บริเวณสวนหลังคฤหาสน์ พวกเขาถอดเสื้อแล้วเริ่มเต้นท่าทางประหลาดไปรอบๆ กองไฟนั้นด้วยหน้าตาถมึงทึง ดูน่าขนลุก ประกอบกับเสียงร้องและท่วงทำนองเครื่องเคาะ เสริมให้มารีย์ เซเลสต์ ยิ่งขนลุกเกรียว ระหว่างอธิบายให้เลดี้มาเดอลีน ฟัง

    “พอแล้ว…” ผู้เป็นแม่หลับตา

    “มันน่ากลัวจริงๆ นะคะท่านแม่” สาวน้อยละล่ำละลักบอก

    ผู้เป็นแม่หันมาใช้นิ้วชี้นาบริมฝีปากของนาง

    “เจ้า อย่าเที่ยวไปบอกใครเรื่องนี้เชียว มิเช่นนั้น พรุ่งนี้ไม่ต้องกินอาหารเลยสักมื้อ! ” หญิงสูงวัยข่มขู่

    มารีย์ เซเลสต์ ตัวน้อยร่างสั่นเทิ้ม ก่อนเดินกอดตุ๊กตาวิ่งจากไป เลดี้มาเดอลีน เอนกายพิงพนักเก้าอี้นวม สองมือทิ้งลงบนตัก ส่งสายตาว่างเปล่าทอดยาวออกไปนอกหน้าต่าง

     

    “กางเขนดำทำจากต้นแอชซึ่งตระกูลคอร์วินีตามหามานาน มันคือต้นแอชที่กล่าวกันว่า เป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกนี้กับอีกโลกหนึ่ง….”

    “เสียงอะไร…” อาชชี่ โคเว่น ส่งเสียงแทรกจากหลังแท่นหิน หลังยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเช่นกันที่คุกใต้ดิน

    เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ซึ่งนั่งอ่านหนังสือตำนานประจำตระกูลโคเว่นตรงบันไดทางเข้าห้องขัง เงยหน้ามอง เขาเปิดประตูห้องคาไว้อย่างนั้น

    “สะ...เสียงอะไรรึขอรับ” เขาทำหน้าเลิ่กลั่ก

    “เสียงระเบิดเมื่อครู่นี้ไง เจ้าไม่ได้ยินรึ…” ชายหนุ่มผมดำว่า น้ำเสียงสดใสขึ้นเล็กน้อย แม้ร่างกายจะบอบช้ำ

    “อ๋อ…” เอเดรียนนั่งนึก อาชชี่ โคเว่นถอนหายใจ

    “เจ้ามีสมาธิสูงมากจริงๆ กับการอ่านหนังสือ...เอเดรียน” ชายหนุ่มกล่าว รอยยิ้มบางปรากฎขึ้นบนใบหน้าซีดเซียว

    “เข้ามานั่งใกล้ๆ ก็ได้นะ…”

    “ได้รึขอรับ…” เอเดรียนขยับตัวด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มนักโทษพยักหน้าเป็นคำตอบ

    จากนั้นเอเดรียนจึงขอเลื่อนตัวเข้าไปนั่งให้ใกล้ขึ้น

    “ข้านึกว่าท่านจะรำคาญเสียอีก เห็นนิ่งฟังไม่ว่ากระไรตั้งแต่เมื่อครู่” เขากระหยิ่มยิ้มด้วยความยินดี

    อาชชี่ โคเว่น เงยหน้ามองแสงจันทร์ซึ่งคล้อยต่ำเข้ากลีบเมฆ

    “ข้ามีสิทธิ์ห้ามเจ้าหรือ...”

    เด็กหนุ่มเหลือบมองด้วยสีหน้าเซื่องซึม

    “เอ่อ...ข้า...”

    ลึกๆ เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ เอง ก็คงมีความเอาแต่ใจไม่ต่างกับพี่ชายของเขา

    “พวกเจ้าคล้ายกันนะ”

    เด็กหนุ่มมือสั่น ก้มหน้างุดด้วยความเสียใจ อาชชี่ โคเว่น เหลือบมองร่างบางนั้นสักพักจึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว

    “ปิดประตูทีสิ ข้าไม่อยากเห็นทหารพวกนั้น"

    เอเดรียน ยืดตัวขึ้น สีหน้าสดใส แล้วรีบคลานไปงับประตูปิด ก่อนจะกุลีกุจอคลานกลับมานั่งที่เดิม

    “อ่านต่อสิ” ชายนักโทษกล่าว

    เอเดรียนขยับตัวไปนั่งตรงกลางห้อง ไกลจากแท่นหินที่อาชชี่ โคเว่น นั่งหลบซ่อนตัวอยู่ แต่ก็ใกล้กว่าเดิมมาก แสงจันทร์สาดส่องใบหน้าเขา เห็นร่องรอยฟกช้ำอย่างชัดเจน

    เด็กหนุ่มเผลอปิดหนังสือจึงต้องไล่หาหน้าใหม่

    “ถึงบทกางเขนดำ” อาชชี่ โคเว่น บอก

    “อะ...ออ ขอรับ โทษที” เด็กหนุ่มเกาหัวแก้เก้อ แล้วเริ่มตั้งต้นอ่าน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×