NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #4 : ในคุกใต้ดิน (In the dungeon) 1/2

    • อัปเดตล่าสุด 15 ส.ค. 65


     

    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรื่อง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning! นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)


    ตอนที่ 4 มีฉากข่มขืน ทำร้ายร่างกาย

     

     

    เวลาแห่งการเดินทางแม้เพียงแค่จากเนินป้อมปราสาททางทิศเหนือของตัวเมืองลงมายังคฤหาสน์อลิสัน บ้านพักตากอากาศของตระกูลอาร์ชิบอลด์ทางทิศตะวันออก ช่างแสนยาวนานราวกับเป็นแรมเดือน

    แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นคฤหาสน์สมัยใหม่เพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน ต่างกับป้อมปราสาทคอร์วินัสที่อยู่มาเกือบพันปี กระนั้นคฤหาสน์ซึ่งแต่เดิมเป็ทรัพย์สินของตระกูลอลิสันบนพื้นที่หลายร้อยไร่นี้ก็มีคุกใต้ดินเช่นกัน

    และมันจะเป็นที่จองจำนักโทษคนใหม่อย่าง อาชชี่ โคเว่น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไต่สวน

     

    นักโทษหนุ่มร่างสูง กำยำ ท่อนบนเปลือยเปล่า ถูกคุมตัวโดยมีผ้าสีดำคลุมศีรษะมาตลอดการเดินเท้าต่อเข้ามายังคุกใต้ดิน เขาได้กลิ่นอับชื้นของผนังปูนและไม้ รวมถึงไออุ่นร้อนและแสงสว่างลอดรำไรคล้ายมีคบไฟจุดอยู่ตามทางเดิน

    จวบจนเมื่อถูกกดตัวให้นั่งลงกับบางสิ่งคล้ายแท่นหินเย็นเฉียบ ท่ามกลางความมืดมิดแทบมองไม่เห็นแสงลอดผ่าน ทหารอาร์ชิบอลด์จึงได้ถอดผ้าคลุมหัวออก

    อาชชี่ โคเว่นพบตนเองไม่ได้ถูกพันธนาการที่คออีกต่อไป หากแต่มีโซ่ตรวนล่ามเขาไว้ตรงข้อเท้าข้างหนึ่งแทน กระนั้นมือทั้งสองข้างกลับยังคงมีเชือกมัดไพล่หลังแน่นหนาอยู่

    เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ทหารเหล่านั้นจึงพากันเดินออกไปจากห้องขัง ทิ้งชายหนุ่มอดีตขุนนางยศสูงร่างสะบักสะบอมไว้ให้นั่งคอตกอยู่เพียงลำพังในห้องมืดสลัวที่มีเพียงช่องเล็กๆ เจาะมาจากผิวดินด้านบนพอให้แสงจันทร์ลอดผ่าน

    ชายหนุ่มแหงนหน้ามองดวงจันทร์บิดเบี้ยวพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า อยากร้องไห้จนกว่าจะสิ้นลมเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีน้ำตาเหลือให้หยาดหยดอีกแล้ว ต้องจำทนนั่งนิ่งจมดิ่งกับความรู้สึกซึมลึกยากเกินกว่าจะระบายออกมาเป็นคำพูด

    กระนั้นเมื่อตกอยู่ในความมืดมิดและเงียบสงัด เขาจึงใช้เวลาเฝ้าหวนนึกถึงแต่เพียงเสียงทะเลาะเบาะแว้งระหว่างตนและน้องสาว เสียงมารดาและสหายที่คอยห้าม เสียงของทุกคำพูดเสียดแทงทำร้ายจิตใจที่สองพี่น้องสาดใส่กัน ทุกเสียงเหล่านั้นอันไม่น่าจดจำ บัดนี้กลับยิ่งแจ่มชัดในมโนทัศน์ราวกับเหตุการณ์กำลังเวียนวนเกิดขึ้นตรงหน้า ซ้ำไปซ้ำมาในหัว

    “พรุ่งนี้ข้าจะตามพวกเจ้าไป รอก่อนนะ….” อาชชี่รำพึง สองหูยินเสียงสัตว์กลางคืนร้องระงมสะท้อนลอดเข้ามา

    ในห้วงภวังค์ ขณะกำลังทะเลาะกับน้องสาว ชายหนุ่มเหลือบเห็นบีอาทริเช่ ภรรยาผู้ยังคงยึดติดกับชีวิตหลากสีสันในเมืองหลวง เดินอุ้มบุตรชายของเขา แมกจิโอ อาช (Maggio Ashe) ออกไปเงียบๆ

    “ก็แค่จะไปงานสังสรรค์เหมือนเคยมิใช่หรือ…" เขาเริ่มฟุ้งซ่าน

    "ก็ต้องอยู่ที่นี่สิ คฤหาสน์อลิสัน...หรือไปร้านเหล้าในเมือง” เริ่มพูดพล่ามอยู่คนเดียว ชักร้อนรนไม่อาจอยู่นิ่งเฉย

    “จะว่าไปก็ไม่เห็นทั้งสองคนเลย พระเจ้า...แมกจิโอ ลูกพ่อ เจ้ากับแม่ของเจ้าไปอยู่เสียที่ไหน...จริงสิ! พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน!...หรือจะถูกทำร้ายตั้งแต่ตรงทางเข้า...โอ...ไม่นะ แมกจี้! บี!...” ยิ่งคิดก็ยิ่งกระวนกระวาย

    แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าระหว่างถูกลากมาตามทาง เขาไม่เห็นศพทารกหรือหญิงสูงศักดิ์ในชุดราตรีฟูฟ่องเลย คิดได้เช่นนั้นจึงค่อยกลับมาสงบจิตสงบใจลงได้บ้าง กระนั้นก็มิอาจปล่อยวางได้เสียทีเดียวเพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่าชะตาของสองชีวิตนั้นเป็นเช่นไร

    “ขอให้ลูกและเมียของข้าจงปลอดภัย”

    อาชชี่ โคเว่น เลื่อนตัวลงไปนั่งคุกเข่า เท้าศอกบนแท่นหิน สองมือประสานกัน แล้วเริ่มสวดภาวนาเป็นประโยคเดิมซ้ำๆ ถึงบุตรและภรรยา อันเป็นสิ่งที่เขาแทบจะไม่ค่อยได้ทำนักในชีวิตนี้

    ระหว่างนั้น ยินเสียงเหมือนคนไขกุญแจเปิดประตู พร้อมนำแสงตะเกียงดวงใหญ่ส่องสว่างสาดเข้ามาในห้องขังอันมืดมิด จึงค่อยๆ เหลียวมองไปยังต้นเสียง

    เพียงได้เห็นชายเสื้อนอกสีขาวคุ้นตาโผล่พ้นบานประตูอ้ากว้างอยู่ไหวๆ ไม่ทันต้องเห็นหน้าค่าตา ชายหนุ่มก็อยากจะพุ่งเข้าไปบีบคอหรือทำอะไรเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการออกกับเจ้าปิศาจในชุดขาวจนแทบทนไม่ไหว

    มันกำลังเดินตรงเข้ามาหาพร้อมถังน้ำและผ้าสีขาวพาดอยู่ตรงขอบ แค่เห็นมันในปราสาทคอร์วินัสก็มากเกินพอ นี่ยังต้องมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งในที่แบบนี้อีก ไม่มีอะไรจะหดหู่มากไปกว่านี้อีกแล้วด้วยความสัตย์จริง

    “ลูกกับเมียของเจ้าปลอดภัยดี…” มันกล่าวเหมือนได้ยินเสียงสวดภาวนา

    อาชชี่ค่อยๆ ยันตัวกลับขึ้นมานั่งบนแท่นหิน หลุบตามองปิศาจชุดขาวกำลังย่อตัวนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ดูแปลกตาอย่างไรบอกไม่ถูก

    “เผื่อเจ้าอยากรู้ นางกับลูกพักอยู่ในห้องที่พวกข้าจัดไว้ให้ เราดูแลนางในฐานะทูตระหว่างสองตระกูล” มันวางถังน้ำไว้ข้างกาย ก่อนควักมีดพกเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมด้านใน

    “จะทำอะไร…” ชายหนุ่มนักโทษถาม

    อีกฝ่ายไม่ตอบกลับก้มหน้าก้มตาตัดกางเกงเปรอะเลือดที่มีผ้าพันแบบลวกๆ รอบบาดแผลกระสุนของเขาออก จนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า จากนั้นปิศาจชุดขาวหรือก็คือโลเทรค อาร์ชิบอลด์ จึงใช้ผ้าชุบน้ำซับเบาๆ ยังบาดแผลตรงต้นขา

    "ข้าตั้งใจยิงถากๆ ไม่งั้นเจ้าอาจเสียเลือดจนตาย…” มันเงยหน้าส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

    อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ เบือนหน้าหนี จำใจทนโดนผ้าชุบน้ำเช็ดทั่วร่าง โลเทรคเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างเสียมิได้ก่อนก้มหน้าเช็ดร่างกายเปรอะเลือดนั้นต่อ

    “หลายปีมานี้ฝีมือยิงปืนของข้าแม่นขึ้นมาก เจ้าเชื่อไหม ฮะๆๆ …” มันหลุดหัวเราะ

    อาชชี่หันกลับมาเขม็งมอง เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าปิศาจผมทองจึงหยุดทำทีกระแอมกลบเกลื่อน

    “แฮ่ม...ข้าอยากคุยกับเจ้าแบบนี้มานานแล้ว เราไม่ค่อยได้คุยกันดีๆ เท่าไหร่ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เรายังคุยดีกันได้ก็ตั้งแต่สมัยเรียน ตอนช่วงสงครามปราบกบฏเจ้าก็หลบหน้า พอมาถึงสงครามล่าอาณานิคมเราก็ดันทะเลาะกัน ข้าก็ไปทาง เจ้าก็ไปทาง เราต่างมีภาระต้องรับผิดชอบกันคนละอย่าง”

    มันสาธยายชวนระลึกถึงความหลังพลางควักผ้าสีขาวสะอาดที่เตรียมไว้ขึ้นมาพันแผลตรงต้นขาให้

    “ตอนนั้น หลังเราจบใหม่ๆ พวกเราก็ก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบกับพวกแบ่งแยกดินแดน ข้า...ข้ายังตื่นเต้นเสมอเมื่อได้เห็นเจ้า...เจ้า...คือความหวังของพวกทหารรุ่นใหม่ ผู้เปิดทางให้เราได้ฝันถึงการขึ้นเป็นผู้นำทัพตั้งแต่อายุยังน้อย…”

    อาชชี่เอนหลังพิงผนังกลอกตามองเพดานปล่อยโลเทรคพล่ามต่อ สองมือง่วนอยู่กับการทำแผลและทำความสะอาดเนื้อตัวร่างบาดเจ็บ

    “ทุกคนคิดว่า เจ้าได้นำกองร้อยก็พอแล้ว แต่ไม่..เจ้าไปไกลกว่านั้น ในสงครามล่าอาณานิคมที่สู้รบกับพวกชนพื้นเมือง พระเจ้า! เจ้าขึ้นเป็นผู้บัญชาการ! แต่...แต่เจ้าจำได้ไหม...เจ้าเคยช่วยข้าไว้...เจ้าเคยช่วยข้าไว้หลายหนตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ จนถึงช่วงศึกสงคราม แม้ว่าเจ้าจะพูดไม่ดีใส่...เจ้าไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม หรือแค่หงุดหงิด…”

    ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองเป็นลอนคลื่น ดวงตาสีน้ำตาลทองอ่อน จ้องหน้าเขาพยายามเค้นเอาคำตอบ สองมือบีบคลึงต้นขาแน่นเต็มด้วยมัดกล้ามเนื้อนั้นไปมาโดยไม่รู้ตัวจนนักโทษหนุ่มรู้สึกขยะแขยง

    "เอามือออกไป…" ถ้าเพียงแต่เขามีแรงอีกสักหน่อยคงได้ลุกกระทืบมัน

    “โอ้...โทษที" มันปล่อยมือ "เสร็จพอดี"

    โลเทรคนำผ้าลงชุบน้ำบิดหมาด

    "เจ้า...เอ่อ...ไม่ได้ชอบข้านัก ข้ารู้ แต่ว่า...ทำไม...ทำไม เจ้าถึงได้ตามมาช่วยข้าตลอดเลย ข้ายังจำได้วันนั้นที่เราสู้กับพวกชนพื้นเมืองตัวใหญ่ ที่เราสองคนช่วยกันไง เจ้าจำได้มั้ย…”

    ยิ่งมันพูดพล่ามรำพันมากเท่าไหร่ อาชชี่ โคเว่นก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงพร่ำเพ้อพรรณนาของเจ้าปิศาจผมทองค่อยๆ จมหายลึกสู่ห้วงแห่งโทสะ

    ลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง ลึก ยาว และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ร่างทั้งร่างเริ่มสั่นเทิ้มเบาๆ ด้วยพยายามสะกดกลั้นความโกรธซึ่งเกาะเกี่ยวก่อตัวขึ้นในจิตใจ เขาไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียง 'จี๊ดดด...' ดังลากยาวท่ามกลางความเงียบสงัดราวกับตกอยู่ในอาการหูอื้อชั่วขณะ

    “...เจ้าช่วยข้าน่ะ ข้าดีใจ...แต่...คำพูดของเจ้า...ไม่คิดว่ามันจะแรงไปหน่อยเหรอ...ข้าเสียใจมากนะ...ข้าไม่เคยที่จะได้อยู่ในจุดนั้นแบบที่เจ้าเป็น...แต่...คนเรามันไม่เหมือนกัน ข้าพยายามแล้ว...ทั้งพ่อของข้าก็กดดัน...แล้วก็….”

    ยังไม่ทันที่โลเทรคจะพล่ามอะไรต่อ ชายหนุ่มจึงยกเท้าข้างหนึ่งซึ่งไม่ได้โดนตีตรวน ถีบใบหน้าของมันเสียเต็มแรง ร่างนั้นกระเด็นไปโดนถังน้ำจนหกเลอะเทอะ เลือดกำเดาไหลโกรก

    อาชชี่ โคเว่นลุกขึ้นแล้วสืบเท้าเข้าหาด้วยอารมณ์โกรธจัด เจ้าโลเทรคตกใจหนัก รีบดันตัวถอยกรูดชนเข้ากับขอบบันไดของประตูห้องขัง

    “ที่ช่วย...ก็เพราะสมเพชไง!”

    ชายหนุ่มผมดำระเบิดเสียง อีกแค่ไม่กี่ก้าวจะถึงตัวมันแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมาหยุดชะงักเพราะโซ่ตรวนที่ดึงรั้งขาข้างนั้นเสียก่อน

    เขาเผลอเหลียวหลังมองเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ก่อนสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบหนักๆ ขยุ้มคอของตน

    โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ยันร่างขึ้นตั้งหลักอย่างรวดเร็วแล้วคว้าคอเขาด้วยความโมโห ก่อนกระแทกร่างนั้นเข้ากับม้านั่งหิน แล้วกระหน่ำชกอย่างรุนแรงที่ใบหน้าจนเลือดกบปาก

    “สมเพชงั้นเหรอ! คิดดีแล้วใช่มั้ยที่พูดคำนั้นออกมา!”

    มันหยุดชกแล้วใช้แขนข้างเดียวกันนั้นกดหน้าอกช่วงบนของเขาไว้ ส่วนอีกข้างเปลี่ยนไปแก้กางเกงตัวเองออก

    “แต่ข้าไม่คิดว่าข้าจะเหมาะกับคำนั้น…” มันกรีดยิ้ม


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×