NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #28 : พรางตา (The Vanished Vessel)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 64


     

    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)

     

     

     

    ยามสายของวันเดียวกันชาวบ้านถูกเกณฑ์มาให้ช่วยขนซากศพทหารอาร์ชิบอลด์นับร้อยจากเนินซากปราสาทคอร์วินัสกลับไปยังปราสาทอลิสัน ระหว่างการขนย้ายกำลังดำเนินไปโดยมีเวคฟิลด์ (Wakefield) หัวหน้ากองทหารอาร์ชิบอลด์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยแทนโลเทรค บุตรชายคนโตที่ได้รับบาดเจ็บ ลอร์ดวิลเลี่ยมจึงพาเอเบล ซาเวียร์ บุตรชายคนรอง นั่งรถม้ามาดูการทำงานด้วย

    “พวกเจ้าทุกคน ชาวเมืองคอร์วัส ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของนายของเจ้าที่กลายเป็นปิศาจ ต้องร่วมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เรา ทุกสิ่งที่เคยเป็นของเขาจะตกเป็นของแผ่นดิน สัญญาใดที่มีลายเซ็นของเขาจะถือเป็นโมฆะ”

    ลุงเจ้าของร้านเหล้าถึงกับปาดเหงื่อระหว่างนั่งใช้ผ้าลินินห่อศพเละเทะของพวกทหารอาร์ชิบอลด์ทีละศพ นั่งฟังคำประกาศนั้นด้วยใจห่อเหี่ยว วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่แกไม่สามารถเปิดร้านเพื่อทำมาหากินได้

    “อย่างนี้ก็จงใจยึดใบอนุญาตต้มเหล้าของข้าน่ะสิ” ชายชรากุมขมับสีหน้าเคร่งเครียด เด็กหนุ่มผู้ช่วยร้านตบบ่าแกเบาๆ เป็นการปลอบโยน

    ชาวบ้านหลายคนเป็นลมแล้วเป็นลมอีกเมื่อได้เห็นสภาพศพของทหารแต่ละนาย บ้างอาเจียนออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะยิ่งแดดแรงเท่าไหร่ กลิ่นซากศพก็ดูจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเท่านั้น ลอดิสเองถูกบังคับให้มาช่วยงานด้วยความเป็นผู้หญิงแข็งแรง

    ระหว่างทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการขนย้ายนั้น หญิงสาวจึงเหลียวซ้ายแลขวา กระชับผ้าโพกศีรษะให้ลงมาปิดหน้าตายิ่งกว่าเดิม ก่อนค่อยๆ หลบออกมาจากบริเวณเนินซากปรักหักพัง

    ลอดิส เบนนิ่งอาศัยความได้เปรียบเรื่องเส้นทาง เดินเลาะตามซากห้องโถงและรีบวิ่งตรงมายังชายป่า ใช้เวลาอยู่หลายอึดใจจึงมาถึงเนื่องจากไม่มีม้า เมื่อล่วงเข้าสู่แนวป่า สายตาของใครบางคนที่จับจ้องหญิงสาวอยู่แล้วจึงค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้นาง พร้อมส่งเสียงเรียกเบาๆ

    “ลอดิส”

    หญิงสาวร่างใหญ่ตกใจก่อนสะบัดแขนหนี

    “แฮมมอนด์?” เป็นชายหนุ่มร่างใหญ่แข็งแรงนั่นเองกำลังแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ ผ้าคลุมสีเขียวตุ่นที่เขาสวมใส่ช่วยอำพรางได้เป็นอย่างดี

    “นี่เจ้าทิ้งแมกจิโอไว้ที่บ้านเหรอ” หญิงสาวกล่าวท่าทีไม่พอใจ

    “ข้าแวะมาดูครู่เดียวเท่านั้น ข้าเอาม้ามาด้วย” ชายหนุ่มผมแดงอธิบายพลางบุ้ยใบ้หน้าไปยังต้นไม้ใหญ่ที่เขาผูกม้าซ่อนไว้อยู่

    “มันอันตรายนะ เจ้าไม่ควรออกมา ถ้าพวกมันรู้ว่าเจ้ายังอยู่ เจ้าตายแน่”

    “ข้ารู้ๆ แต่ข้าอยากมาดูสถานการณ์ พอจะมีอาวุธเหลือที่ปราสาทบ้างไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ลอดิสถอนหายใจ

    “ไม่มีอะไรเลย พวกมันขนไปหมด คลังแสง ทุกอย่าง เหมือนมีคนคอยจดแผนที่ออกไปบอกพวกมัน แล้วตรงปราสาท ถ้าเจ้าอยากเห็น ต้องรอมืดกว่านี้ก่อน”

    "ฮึ่ย...แย่จริงเชียว แล้วจะหาอาวุธมาจากไหน..." ชายหนุ่มครุ่นคิด

    "อยู่เฉยๆ ก่อนได้ไหม เจ้ายังไม่หายดี กำลังคนเจ้าก็ไม่มี พวกอาร์ชิบอลด์น่ะ ประกาศให้พวกชาวเมืองต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่นายท่านเป็นคนก่อนะ" 

    "อืมมม...มันพูดแบบนั้นเชียวรึ ไอ้พวกสารเลวนี่จะเอาทุกทางเลยจริงๆ..." เขานิ่วหน้า "เอ้อ ว่าแต่ แล้วพอจะเป็นไปได้ไหม ถ้าข้าจะใช้ปราสาทคอร์วินัสเป็นฐานที่มั่น เจ้าคิดว่ายังไง” แฮมมอนด์กล่าวน้ำเสียงเจือความตื่นเต้นเล็กน้อย

    ลอดิสไม่ได้มีสีหน้าตื่นเต้นไปกับเขาด้วย “ถ้าเจ้าจะใช้ปราสาทคอร์วินัสเป็นที่อยู่อาศัยคงมีเพียงแค่คุกใต้ดินซึ่งตอนนี้ทางเข้าด้านล่างถูกล็อก ทางเข้าด้านบนเจอหินพังถล่มปิดหมด ข้ามองลงไปข้างล่างก็สุดแสนจะดำมืด อย่าคิดอะไรบ้าๆ เลย พอเถอะ ที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือ หาทางออกจากเมืองนี้ไปให้ได้ บ้านของข้าคงไม่อาจคุ้มกะลาหัวเจ้าได้ตลอดไป”

    ชายหนุ่มสายเลือดไวกิ้งเหม่อมองยอดปราสาทด้วยความอาลัยยิ่ง รู้สึกหัวใจวูบโหวงอย่างประหลาดเมื่อคิดถึงความเป็นจริงที่เขาอาจต้องละทิ้งสถานที่แห่งนี้ไปในไม่ช้า

    "จะให้ข้าทิ้งที่นี่ไปจริงๆ เหรอ" 

     

    เมื่อรถม้ามาถึง ลอร์ดวิลเลี่ยม อาร์ชิบอลด์จึงลากเอเบลบุตรชายคนกลางที่กำลังแข้งขาสั่นด้วยความหวาดกลัวลงมาจากรถม้า ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งวัยยี่สิบไม่คุ้นชินกับสงครามและความตาย เรียกได้ว่าในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นสงครามเลยก็ว่าได้ ดังนั้นแม้เห็นเพียงใบหน้าเว้าแหว่งของซากศพโผล่แพลมออกมาจากมัดผ้าลินินกับรอยเลือดชุ่มโชกถูกขนบนรถบรรทุกผ่านหน้าไป ชายหนุ่มก็ถึงกับแทบทรุดลงเข่าอ่อน ทหารร่างใหญ่รีบเข้ามาหิ้วปีกเขาไว้ เอเบลตกอยู่ในสภาพยืนโงนเงนไปมา สีหน้าซีดเซียว

    “ดูซะ นี่แหละคืองานที่พี่ชายของเจ้าทำอยู่!” ลอร์ดวิลเลี่ยม อาร์ชิบอลด์ตะโกนกรอกหู “ในเมื่อเขาบาดเจ็บจนทำงานไม่ได้ เอเดรียนก็นอนเป็นผัก เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นเวลาของเจ้าที่จะได้มาร่วมรับรู้การทำงานของพวกนั้นซะที”

    “ก็ท่านพ่อกระทืบเอเดรียนจนจมตีนเอง ไม่ใช่ความผิดของข้าเสียหน่อย!” เอเบลยังมีแก่ใจหันมาเถียง บิดาของเขาถลึงตากอดอกจ้องมองร่างสั่นเทานั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

    “ปากดีแบบนี้ เจ้าจะเป็นรายต่อไป แล้วถ้ายังพาเคลเมนต์กับมาร์เซลเล่นไม่รู้เรื่อง เที่ยวฝังหัวพวกมันด้วยความคิดแปลกๆ พวกเจ้าทั้งสามคนจะมีสภาพแบบเอเดรียน!”

    “ท่านก็ทำได้แค่นี้แหละ ตบตีพวกข้า ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วเหรอ!” เอเบลเถียงคำไม่ตกฟาก ลอร์ดวิลเลี่ยมสติขาดผึงกระชากคอเสื้อบุตรชายแล้วเหวี่ยงร่างนั้นลงไปกลิ้งบนผืนหญ้าชุ่มเลือดและน้ำมัน เอเบล ซาเวียร์ตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็แค่เพียงเอาตัวเกลือกกลั้วคราบเหล่านั้นไปมาจนทั้งเนื้อทั้งตัวสกปรกมอมแมม

    “โอ้ ไม่...ให้ข้ากลับบ้านเถิด...ทั้งน้ำมัน ทั้งกลิ่นเหม็นไหม้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” ชายหนุ่มอ้อนวอนสักพักจึงส่งเสียงฮึดฮัดทำท่ากระอักกระอ่วนแล้วโก่งคออาเจียนรากแตกรากแตน "โอ๊กกก...."

    “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำข้าขายหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้าคิดว่าจะได้อยู่ที่นี่เฉยๆ โดยไม่ขยับตัวทำอะไรแล้วล่ะก็ เจ้าคิดผิด” ผู้เป็นพ่อตวาด ก่อนค่อยๆ กลอกกวาดดวงตาเหม่อมองความเสียหาย

    “ตราบใดที่ยังไม่เห็นศพมันด้วยตาตัวเอง เราก็ยังไว้ใจอะไรไม่ได้” เขาเค้นเสียงลอดลำคอ

    ชาวเมืองคอร์วัสกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง เพียงแต่หนนี้ทั่วทั้งเมืองมีพวกทหารอาร์ชิบอลด์เดินปะปนอยู่แทบทุกพื้นที่ มีร้านค้าและแผงขายของเปิดบ้างประปรายบริเวณรอบจตุรัสซึ่งได้รับการทำความสะอาดและขจัดซากศพเละเทะออกไปแล้วจนดูราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เว้นก็แต่เพียงกางเขนดำตั้งตระหง่านซึ่งไม่ว่าพวกทหารจะพยายามถอนรากถอนโคนมันอย่างไรก็ไม่มีวี่แววว่าจะสามารถดึงหรือโค่นมันลงได้ ราวกับมันได้หยั่งรากลึกฝังลงในดิน เสริมให้บรรยากาศภายในเมืองหลังสิ้นลอร์ดโคเว่นยิ่งน่าขนลุก 

    นักบวชโบราณพยายามเอาขวานฟันกางเขนนั้น แต่คมขวานกลับทำได้เพียงสะกิดเนื้อไม้ที่แข็งมันเงาราวกับเคลือบไว้ด้วยยางไม้แข็งจนเป็นอำพัน ทุกครั้งที่เหวี่ยงคมขวานเขาจะสัมผัสได้ถึงเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมานของอสุรกายยักษ์หวีดหวิวก้องอยู่ในหัวพร้อมๆ กับภาพของมันที่ถูกตรึงไว้ด้วยโซ่อย่างแน่นหนา

    “จับไว้ได้แต่อสุรกาย แต่ไอ้ตัวร่างทรงตนนี้นี่มันอยู่ที่ใดกัน…”

    นักบวชไม่อาจเห็นความเคลื่อนไหวหรือรับรู้ได้ว่าอาชชี่ โคเว่น พาหนะของอสูรในโลกจริงได้หลบลี้หนีไปยังที่ใด แม้บาดเจ็บจนถูกตรึงไว้ด้วยคมขวานจากพลังที่มีแรงขับพอๆ กัน ทว่าร่างทรงแข็งแรงนั้นกลับยังสามารถพาร่างเดินต่อไปได้อีกไกลแม้ไร้เรี่ยวแรง

    นักบวชซีนีสเหลียวมองรอบตัวก่อนเดินเปิดประตูเข้าไปในบ้านของผู้คนในละแวกใกล้เคียง จนพวกเขาตกอกตกใจ แล้วคว้าเอาถ้วยดินเหนียวใบเล็กๆ ใส่น้ำมันวางอยู่บนโต๊ะกลางบ้านหลังนั้นขึ้นมาจุดไฟ ปาเข้าใส่กางเขนดำทันทีเมื่อเดินออกมา

    เปลวเพลิงลุกพรึ่บพรั่บ ชายร่างยักษ์รีบถือโอกาสนี้เพ่งมองร่างทรงอสุรกายผ่านม่านเปลวเพลิงด้วยสมาธิจดจ่อจนเห็นคลับคล้ายกับใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของร่างกำลังสลบไสลไม่ได้สติอยู่ที่ไหนสักแห่ง สักพักก่อนไฟจะมอดดับลงอย่างรวดเร็ว นักบวชซีนีสทำได้เพียงทอดถอนหายใจแรง ขบกรามแน่น ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของชาวบ้านและทหารอาร์ชิบอลด์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×