NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #27 : สองพี่น้องตระกูลคอร์เดลล์ (The Cordells)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 64


     

    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)

     

    รถม้าขนาดกลางเทียมม้าสี่ตัวบรรทุกของมาเต็มทั้งบนหลังคารถและส่วนยื่นมาจากด้านหลังมัดไว้ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา พร้อมคนขับเป็นชายวัยกลางคนสวมสูทสีเข้มหนึ่งและเด็กหนุ่มร่างเล็กสวมเสื้อผ้ามอซอสีเข้มกางเกงลายทางอีกหนึ่ง พาผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านในตัวรถเดินทางแล่นผ่านแนวป่ามาตามถนนสายเล็กๆ รอบนอกตัวเมืองคอร์วัส หญิงสาวนัยน์ตาสีเขียว ใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียน เจ้าของเรือนผมสีทองมัดมวยเรียบร้อย สวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงเหลือบเทา นั่งอยู่ในรถม้าคันนั้น นางกางแผนที่วางลงบนกระเป๋าซึ่งซ้อนอยู่ตรงหน้าตักพลางใช้แว่นขยายส่องดู โดยมีอีกหนึ่งสาวหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตสดใสสีน้ำตาลอ่อน ผมสีน้ำตาลเข้มไว้ทรงหน้าม้าหยิกเป็นลอน มัดรวบไว้อย่างง่าย สวมชุดกระโปรงยาวสีเทาแกมฟ้า กำลังนั่งยกแขนเท้าศีรษะกับขอบหน้าต่างอยู่ฝั่งตรงข้าม เหม่อมองทัศนียภาพด้านนอก เห็นยอดซากปราสาทบนเนินมาแต่ไกลโผล่ว่อบแว่บตามแนวไม้รกครึ้ม รถม้าของพวกนางกำลังเคลื่อนขึ้นเขาไปตามถนนดินเส้นเล็ก สู่จุดสูงพอจะเห็นพื้นที่ของเนินปราสาทนั้นได้ทั้งหมด

    “โอ้...ซากปราสาทโบราณนี่เอง” หญิงสาวผมสีน้ำตาลทรงหน้าม้ายกกล้องส่องทางไกลแบบเลนส์เดี่ยวขึ้นส่องดูปราสาทลักษณะแบบป้อมปราการโบราณ ซึ่งส่วนบริเวณอาคารนอกเหนือจากยอดหอคอยบนกำแพงชั้นในแล้วไม่ปรากฏว่ามีหลังคาหรืออะไรมุงอยู่ เป็นเพียงผนังเปิดโล่ง เห็นเสาค้ำยันต้นใหญ่เรียงราย และมีผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่วุ่นวายคล้ายกำลังช่วยกันขนอะไรบางอย่างขึ้นรถบรรทุกเทียมม้ามุ่งไปยังทางทิศตะวันออก

    “ขนอะไรกันน่ะ แล้วทำไมเนินหญ้ามันกระดำกระด่างแบบนั้น ฮะๆ ” นางหัวเราะร่วนในลำคอ ระหว่างนั้นหญิงสาวผมทองซึ่งดูจะมีอายุมากกว่าและมีบุคลิกสมเป็นสุภาพสตรีได้เอื้อมมือมาสะกิดไหล่นาง 

    “นี่โดโลเรส! หันมาคุยกันก่อน! ” หญิงสาวเรียกชื่อ พลางกระเถิบตัวเข้าใกล้ โดโลเรสกระทุ้งกล้องส่องทางไกลแบบยืดได้สามตอนลงกับฝ่ามือหดลำกล้องกลับเข้าไปคืนแล้วหันขวับมามองอย่างไม่สบอารมณ์ แต่หญิงสาวผมทองไม่สนกลับใช้นิ้วเคาะแผนที่ย้ำๆ เรียกร้องความสนใจ

    “จากจุดนี้ก็แทบจะไม่มีบ้านคนแล้วนะ...เจ้าจะว่ายังไงถ้าเราต้องตั้งแคมป์พักเอง...ถ้าวันนี้จนเย็นยังไม่พ้นเขาลูกนี้”

    “ก็แล้วแต่เจ้าสิ…” หญิงสาวผมน้ำตาลยักไหล่ “ข้าน่ะออกล่าสัตว์กับพ่อเป็นประจำ ตั้งแคมป์กลางป่าบ่อยๆ จนชิน ห่วงแต่เจ้านั่นแหละ เรเน่ แม่สาววังหลวง จะอยู่ได้รึเปล่า”

    “ได้สิ! ” หญิงสาวผมทองนามเรเน่ขึ้นเสียงอย่างมาดมั่น ก่อนพับเก็บแผนที่เข้าย่ามสะพายข้างลำตัว ส่งสายตาสำรวจมองนอกหน้าต่าง “แต่ก็หวังว่าจะไม่ต้องนอนกลางป่านะ ตกกลางคืนแถบนี้ก็ค่อนข้างน่ากลัวอยู่”

    “เจ้ากังวลเรื่องโจรป่ารึ ไหนว่าไม่กลัวไง…” โดโลเรสหันมาเหยียดยิ้ม

    “ก็นิดหน่อย ไม่ให้คิดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้…” เรเน่หยิบหนังสือเล่มเล็กขึ้นมาอ่าน

    “อย่ากังวลเลย อีกไม่กี่อึดใจก็ถึงแล้ว” หญิงสาวผมสีน้ำตาล ซึ่งดูจะมีอายุน้อยกว่าเอื้อมมือตบบ่านางเบาๆ “เจ้าเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง ในเมื่อมันช่วยย่นระยะเวลาได้จริงอย่างเจ้าว่า อย่างไรเสียเราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก จริงไหม” โดโลเรสเอื้อมมือสำรวจไล่ตามเส้นเข็มขัดลงมาจับซองหนังบรรจุปืนพกสั้นข้างเอว นอกจากจะสวมใส่ชุดสวยแล้ว หญิงสาวยังสะพายกระเป๋าบรรจุดินปืนและตลับลูกเหล็กอีกด้วย

    “ขอบใจที่ยอมฟังข้านะ โดโลเรส เราเหลือกันแค่นี้ และเวสต์ฮิลล์เมื่อไม่มีพ่อแม่แล้ว ข้าก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ชีวิตใหม่รอเราอยู่ที่เดลฟีน เราจะต้องผ่านพ้นมันไปได้ ข้าเชื่อเช่นนั้น” เรเน่เอื้อมมากุมมือโดโลเรสแน่น

    หญิงสาวผมน้ำตาลไม่ว่ากล่าวกระไรทำเพียงสูดหายใจลึกจนสุดปอดก่อนถอนหายใจยาวแล้วหันไปมองด้านนอก ยกสองแขนไขว้กันพาดกับขอบหน้าต่างซบใบหน้าลงกับอ้อมแขนเล็กๆ ของตน กะพริบตาถี่ๆ สะกดกลั้นความเศร้าหมอง ผู้เป็นพี่เห็นดังนั้นจึงผละมือจากร่างบาง เม้มริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อแน่นแล้วกระเถิบตัวกลับไปอยู่มุมเดิม ความอึดอัดก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบภายในห้องโดยสาร จนแม้เสียงล้อรถไม้บดกับดินชื้นยังดังลั่นเข้ามาถึงด้านใน

    “ว่าแต่เมื่อตอนเช้ามืด ข้าได้ยินเสียงแปลกๆ ด้วยนะ เจ้าได้ยินไหม” โดโลเรสกล่าวเมื่อสังเกตเห็นพี่สาวของนางเงียบไป

    เรเน่เงยหน้าจากหนังสือเล่มเล็ก “ไม่ได้ยิน พอขึ้นรถเจ้าก็เห็นนี่ว่าข้าหลับ...มันคือเสียงอะไรรึ”

    โดโลเรสครุ่นคิด “เสียงเหมือนสัตว์ร้ายร้องคำรามแต่มันดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ตัวอะไรกันน้าา…เสียงคำรามถึงได้เป็นแบบนั้น เมืองคอร์วัสนี่ผู้คนก็ดูแปลกๆ ซะด้วย เมื่อวานตอนที่เราถึงท่าเรือ บ้านเรือนร้านรวงดูเงียบเชียบ เจ้าไม่ได้สังเกตรึ”

    “อ๋อ...เห็นว่ามีการประหาร ข้าถามคนแถวนั้น” เรเน่ขยับตัวนั่งไขว่ห้าง

    “ประหารเหรอ...ประหารใครน่ะ” โดโลเรสทำตาโตหันมามองด้วยความสนใจ

    “อืม ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไม่ชอบเรื่องแบบนี้ ที่เมืองหลวงมีการลากคนมาแขวนคอประจำ ก็เลยไม่ได้ถามต่อ”

    “โอ้! ...” หญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแสดงท่าทีประหลาดใจ “นั่นรึเมืองแห่งความฝันของเจ้า”

    เรเน่กลอกตามองบน โดโลเรสยังบ่นงึมงำเบาๆ ถึงเสียงร้องประหลาด บ้างก็คิดว่าเป็นมังกรหรือตัวบาซิลิสค์แล้วแต่นางจะจินตนาการ “เลอะเทอะ…” สาวงามผมทองส่ายหน้าอย่างระอาใจ

     

    ระหว่างการเดินทางอันราบรื่น อยู่ๆ รถม้ากลับหยุดชะงักจนสองสาวรู้สึกสงสัย เรเน่โผล่หน้าออกไปเห็นหนึ่งในคนขับรถม้าซึ่งเป็นชายวัยกลางคนกำลังเดินลงมาจากที่นั่งแล้วตรงมาหาพวกนางด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

    “เกิดอะไรขึ้นคะ” เรเน่ร้องถาม

    “ท่านหญิงคอรเ์ดลล์ทั้งสองต้องมาดูนี่หน่อยแล้วขอรับ แล้วช่วยข้าคิดทีว่าจะเอายังไง” เขากล่าว

    เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ทั้งสี่ชีวิตต่างพากันมายืนมุงดูอะไรบางอย่างตรงกลางถนน เรเน่ย่อตัวลงกระเถิบเข้าใกล้เอื้อมมือไปแตะๆ ที่ร่างของผู้ชายลักษณะกำยำผิวขาว ผมสีดำยาว สวมใส่เพียงกางเกงขาดวิ่นกับบู๊ตหนังยาวปิดเข่าสีดำ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล โดยเฉพาะที่ท้องนั้นมีร่องรอยเหมือนถูกของมีคมฟันจนเป็นแผลลึกฉกรรจ์น่าหวาดกลัว กำลังนอนคว่ำหน้าแน่นิ่ง

    “อยู่ๆ ก็ทะเล่อทะล่าเดินออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง เลยโดนม้าสองตัวข้างหน้าชนกระเด็น ดีว่าข้าหยุดไว้ได้ก่อนไม่อย่างนั้นมีหวังเหยียบเละแน่ๆ ” ลุงคนขับรถม้ากล่าว เด็กหนุ่มผู้ช่วยยืนมองอย่างสนใจอยู่ข้างๆ

    “ยังมีชีวิตอยู่ไหม” โดโลเรสกล่าวถามพลางย่อตัวลงนั่ง ก้มมองใกล้ๆ ร่างนั้นบ้างแล้วเอานิ้วอังที่รูจมูกของเขา รู้สึกได้ถึงลมหายใจแผ่วเบากระทบผิว “ยังหายใจอยู่เลย เราจะทำอย่างไรกันดี”

    เรเน่กวาดสายตารอบบริเวณ ก่อนก้มลงมองร่างบุรุษหนุ่มปริศนา “พาไปด้วยละกัน”

    โดโลเรสชักสีหน้าตื่นตระหนก

    “ทำไม” หญิงสาวผมทองหันมามอง

    “เกิดเขาตายคารถขึ้นมาล่ะจะทำยังไง”

    “ก็โยนทิ้งข้างทาง” ผู้เป็นพี่ลุกขึ้นยืนกอดอก โดโลเรสและคนขับรถทั้งสองมองหน้ากัน เรเน่ให้เหตุผลต่อ “อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อว่าได้ช่วยแล้ว เราก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ เพราะรถม้าของเราไปชนเขาจนสลบใช่หรือไม่”

    ทุกคนนิ่งเงียบไม่ขอออกความเห็น

    “มา...ช่วยกันยกเขาเข้าไปในรถ” นางกวักมือเรียกทุกคนให้มาช่วยกันยกร่างชายหนุ่ม

    “อู้ววหูววว...หนักชะมัด” โดโลเรสบ่นอุบระหว่างช่วยคุณลุงและเด็กหนุ่มคนขับรถแบกชายปริศนาเข้าไปนั่งด้านใน โดยมีเรเน่คอยช่วยยกขาทั้งสองข้าง

    ใช้เวลาเพียงไม่นานรถม้าขนสัมภาระมากมายจึงออกเดินทางต่อ ดวงอาทิตย์ยามสายเคลื่อนคล้อยจนตั้งฉากกับผืนโลก แผ่รัศมีแสงแรงกล้ากระจายความอบอุ่นทั่วผืนป่าบนขุนเขา พวกเขาเดินทางต่ออีกไม่ไกลจึงตัดสินใจหยุดพักทานอาหารกลางวันใกล้ๆ กับลำธารสายน้อยที่ไหลเชี่ยวเลาะเลี้ยวไปตามแนวป่าชื้นเย็น โดโลเรสเดินลงไปตักน้ำจากลำธารมาส่งให้เรเน่ซึ่งนั่งทำแผลให้ชายหนุ่มอยู่บนรถม้า

    “หาผ้าสะอาดให้ข้าที” นางหันมาบอกระหว่างรับถังน้ำมา หญิงสาวผมน้ำตาลพยักหน้า ก่อนเดินอ้อมไปหลังรถม้าแล้วค้นข้าวของที่อยู่ในช่องเก็บของด้านท้ายหยิบชุดนอนผ้าลินินสีขาวสะอาดขึ้นมามองดู ชั่งใจเล็กน้อยก่อนเดินกลับไปหาผู้เป็นพี่ นางรับมาแล้วจัดการฉีกออกทันที

    “มีอะไรให้ข้าช่วยอีกไหม”

    “ไม่ล่ะเจ้าไปนั่งพักเถิดเดี๋ยวข้าจัดการเอง” เรเน่กล่าวขณะเช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขาด้วยผ้าชุบน้ำ

    “ถ้ามีอะไรก็เรียกนะ” ผู้เป็นน้องส่งสายตามองทั้งสองด้วยความกังวลแล้วเดินกลับไปนั่งกินมื้อกลางวันตรงเนินหญ้าใกล้ลำธารต่อกับคนขับรถม้าทั้งสองคน

    ไม่นานเรเน่จึงโผล่ตัวออกมาจากรถม้าแล้วเรียกพวกเขาให้เตรียมตัวออกเดินทาง

    “แล้วเจ้าไม่กินกลางวันรึ” โดโลเรสร้องถาม หญิงสาวผมทองผู้พี่โบกมือไปมาทำท่าปฏิเสธ

    “เดี๋ยวข้ากินบนรถ! ไม่มีเวลาแล้ว” นางตอบกลับ

    แล้วพวกเขาทั้งหมดจึงเร่งรีบเก็บข้าวของ โดโลเรสถือตะกร้าขนมปังเดินกลับมา

    “เป็นอย่างไรบ้างอาการของชายผู้นี้” นางกล่าวถามหลังรถม้าออกแล่นไปตามเส้นทางอีกครั้ง หญิงสาวผมน้ำตาลส่งสายตาเมียงมองชายหนุ่มร่างกำยำซึ่งหลังจากได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วจึงอยู่ในสภาพดูดีขึ้นจนสังเกตเห็นได้ถึงใบหน้าคมคายและผิวพรรณสะอาดผิดแผกจากหนุ่มชาวบ้านทั่วไปที่นางเคยพานพบ เรเน่นำผ้าคลุมสีตุ่นมาห่มให้เขา เสื้อผ้าของนางมีเลือดเปรอะเล็กน้อย

    “อืม...ข้าก็พยายามเท่าที่จะทำได้แล้ว เขามีแผลถูกฟันที่ท้อง แล้วก็...ข้าบอกไม่ถูกมันคือรอยอะไรบ้าง แต่เอาเป็นว่า รอดมาได้อย่างไรก็ไม่รู้” เรเน่ง่วนกับการเก็บของ โดโลเรสจัดแจงทำแซนวิชเนื้อแห้งง่ายๆ ให้พี่สาวประกบกับขนมปังและชีสพลางยื่นให้

    “โดนหมาป่าแถวนี้รุมขย้ำเหรอ...อืมม จะว่าไป เรเน่...เจ้าแน่ใจนะว่าเส้นทางลัดไปเมืองเดลฟีนที่เราใช้อยู่นี่มันไม่มีโจรแล้ว” โดโลเรสเริ่มหวั่นวิตก “แถมเป็นดินแดนหมาป่าดำเสียด้วย…”

    “ก็...ถ้าอย่างไร วันนี้เราจะต้องลงจากเขานี่ให้เร็วที่สุด แต่ว่าเท่าที่รู้มา เจ้าเมืองคอร์วัสคนปัจจุบันเจรจาไล่พวกโจรให้ออกไปตั้งชุมชนที่อื่นแล้ว ส่วนเรื่องหมาป่าดำนั่นมันเป็นแค่ตำนาน” เรเน่กล่าวพลางกัดขนมปังเคี้ยวตุ้ยๆ “ข้าศึกษาเส้นทางมาดี เจ้าสบายใจได้” นางว่าแล้วหยิบขวดไม้ทรงกลมบรรจุน้ำขึ้นดื่ม

    “เจ้าเมืองคอร์วัส ที่นามสกุลโคเว่นน่ะเหรอ…” โดโลเรสเริ่มสนอกสนใจ 

    “ใช่...ชื่ออาชชี่ หรืออะไรสักอย่าง อืม…” หญิงสาวผมทองกลืนขนมปัง ทำสีหน้าครุ่นคิด “นึกออกแล้ว! ข้าเคยเห็นเขาไกลๆ ตอนอยู่ในงานเลี้ยงที่วังหลวง เห็นว่าเป็นผู้บังคับบัญชาที่อายุน้อยที่สุดหรืออะไรนี่ล่ะ สาวรุมเยอะมากกก...ผมดำสนิทเลย ค่อนข้างเหยียดตรงด้วย ดูแปลกตาจริงๆ ...จะว่าไป…” นางส่งสายตามองชายหนุ่มอย่างพินิจพิจารณาด้วยเห็นว่ามีผมดำยาวเหยียดตรงคล้ายๆ กัน “ก็เหมือนชายคนนี้อยู่นะ…” นางยกนิ้วชี้ลูบริมฝีปากล่างไปมา

    “ไม่ใช่มั้ง ฮะๆๆ ” โดโลเรสหัวเราะยกหูตะกร้าขึ้นปิดปาก “ขุนนางร่ำรวยปานนั้นจะมาอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไรกัน”

    “อืม นั่นสิ…เห็นว่าเป็นคนเด็ดขาดและจริงจังมากเสียด้วยนะ”

    โดโลเรสนั่งเท้าคางกับตะกร้าหวายบนตักระหว่างเสวนากับพี่สาว จินตนาการถึงหนุ่มชาววังแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราผ่านร่างชายหนุ่มที่นั่งหายใจรวยรินตรงหน้า จนอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้ ระหว่างนั้นเองจึงเห็นเขาขยับตัว ส่งเสียงร้องครางลอดลำคอเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ท้องซึ่งยังมีเลือดซึมออกมาเป็นระยะจนผ้าพันแผลสีขาวปรากฎรอยแดงเป็นวงจางๆ สองสาวต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนแย้มยิ้มออกมาอย่างเปรมปรีดิ์

    “ดูท่าเราไม่น่าจะได้โยนเขาทิ้งข้างทางง่ายๆ นะ” เรเน่รู้สึกใจชื้นที่เห็นอาการของชายหนุ่มดีขึ้น เหลือบมองน้องสาวกำลังนั่งจ้องเขาไม่วางตา

    “เดี๋ยวเถอะโดโลเรส ทะลึ่งจริงเชียวมองอะไรขนาดนั้น” เรเน่ตีแขนของนางเข้าให้

    “ฮึก! ก็ที่เวสต์ฮิลล์มันไม่ค่อยมีผู้ชายที่ดูดีขนาดนี้ให้มองน่ะสิ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลกล่าว แก้มขาวนุ่มของนางมีเลือดฝาดระเรื่อขึ้นจนเห็นได้ชัด “เจ้าอยู่ในวังหลวงคงเห็นผู้ชายเหล่านั้นจนชินตาล่ะสิ”

    “อืมม...มีถมไปผู้ชายสำอางลักษณะแบบนี้ ผิวพรรณละเอียดผุดผาดยิ่งกว่านี้อีก แต่ข้าไม่ได้สนใจนักหรอก ใจข้ามีเพียงแต่เซอร์วอร์เชตต์เท่านั้น” เรเน่กล่าวพลางนึกถึงชายหนุ่มอดีตนายทหารผู้หันมาเอาดีด้านการตัดเย็บจนสามารถเปิดร้านเล็กๆ ที่เมืองหลวงได้

    “เซอร์วอร์เชตต์เจ้านายของเจ้าน่ะหรือ...ไหนว่าเขาจะขอเจ้าแต่งงาน เหตุใดไม่พาเขามาให้ข้าเห็นบ้าง” โดโลเรสถาม เรเน่นิ่งงัน สีหน้าแปรเปลี่ยนสู่ความเศร้าหมอง

    “เรามีปัญหากันน่ะ...ช่างเถอะ” ผู้เป็นพี่ตัดบทแล้วกัดขนมปังต่อด้วยใจห่อเหี่ยว โดโลเรสวางตะกร้าลงข้างตัวแล้วขยับไปนั่งใกล้ๆ เกิดสงสัยใคร่รู้ในบัดดลตามประสาผู้หญิง

    “เอ๊ะ...เจ้านี่มันยังไงกัน...ข้าเดานะ ปัญหาคงจะร้ายแรงมากจนเจ้าต้องหนีออกมาใช่ไหม…”

    หญิงสาวผมทองทอดถอนใจ เมื่อผู้เป็นน้องดันยิงคำถามถูกจุด

    “ข้าทำให้เขาอับอาย ด้วยการมีเรื่องกับลูกค้ารายใหญ่ของเขา...”

    “ไม่เห็นเจ้าเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังบ้างเลย”

    “ก็มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเล่าให้ใครฟังนี่...อ่ะ พอที...ข้าไม่อยากพูดถึงมัน...เอาเป็นว่าชีวิตในวังหลวงทำข้าเข็ดหลาบเสียจนสาบานว่าจะไม่ขอกลับไปอีก” เรเน่เล่าพลางควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับใต้ตาเบาๆ 

    “ก็ได้ๆ ไว้ถ้าเจ้าพร้อมก็ค่อยเล่าให้ข้าฟังบ้างนะ” น้องสาวยิ้มอ่อนโยน ก่อนที่ทั้งสองจะได้ยินเสียงชายหนุ่มพึมพำเบาๆแทรกขึ้นมา ฟังคล้ายกับคำว่า ‘ขอโทษ’

    “อะไรของเขาน่ะ…” พวกนางมองหน้ากัน

     

    ‘วันนั้นเราไม่รู้หรอกว่าชะตาของเรากำลังจะพลิกผัน หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นจนมีอยู่บ้างที่มันหนักหนาเกินกว่าจิตใจจะรับไหว แต่เราไม่เคยนึกโทษเขาเลย เรายินดีด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่งได้เคยรู้จักกับชายที่ชื่อ อาชชี่ โคเว่น’

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×