NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #26 : การผจญภัยของเอเดรียน (Adrian’s Drifting Dream)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 64


     

    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรื่อง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)

    Warning! Domestic Violence มีการใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกายกับคนในครอบครัว

     

    แสงแรกแห่งยามเช้าสะท้อนจับกลุ่มเมฆหนาริมขอบฟ้ากว้าง ลอดิสควบม้าพาเอเดรียนซ้อนท้ายเดินทางออกมาจากชายป่า ตรงมายังเนินซากปราสาทคอร์วินัส

    “เขาจะฆ่าข้าจริงๆ เหรอขอรับ…” เอเดรียนกล่าวเศร้าสร้อย ลอดิสบังคับม้าเหยาะย่างขึ้นมาตามเนินทุ่งหญ้า

    “อย่าใส่ใจเลย เขาเป็นคนโกรธง่ายหายไว…” ลอดิสพูดปลอบใจแม้ว่าลึกๆ ในใจนั้นจะตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมา นางรู้ว่าแฮมมอนด์เป็นคนอาฆาตแค้นรุนแรงเสียจนนางไม่อยากนึกภาพเลยว่าหากเขาเป็นคนได้พลังปิศาจนั้นมาครอบครองแทนลอร์ดโคเว่นแล้วละก็จะยิ่งคลุ้มคลั่งขนาดไหน

    “เขาดูน่ากลัวกว่าลอร์ดโคเว่นเยอะเลย...ข้าจะทำอย่างไรดี…” เอเดรียนยกมือปาดน้ำตาป้อยๆ

    “อา...เจ้าไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นล่ะ ต่อไปนี้ก็ใช้ชีวิตของใครของมัน เข้าใจไหม…อย่ากลับมาที่นี่อีก” หญิงสาวดุเสียงเข้ม

    “แต่ว่า...ข้าให้สัญญากับลอร์ดโคเว่นไว้แล้วว่าจะดูแลลูกชายของเขา...มันเป็นคำสัญญาที่พวกเราให้ไว้แก่กันก่อนที่เขาจะตายนะขอรับ…”

    ลอดิสนิ่งเงียบก่อนถอนหายใจแรง “เขาก็พูดส่งๆ ไปอย่างนั้นแหละ เจ้าอย่าไปยึดติดอะไรมากเลย…นายท่านของข้าน่ะเป็นคนอารมณ์ดี ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก พวกข้าก็อยู่ เจ้าสบายใจได้ ไว้ให้เรื่องมันจางลงกว่านี้ก่อน ให้เวลาแฮมมอนด์ทำใจอีกสักหน่อย หมอนั่นน่ะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของลอร์ดโคเว่นเชียวนะ…” นางอธิบายด้วยเหตุผล “จะหวังให้เขามาเข้าใจเจ้าง่ายๆ เหมือนกับนายท่านมันก็คงไม่ใช่เรื่อง เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เหมือนพวกเรา”

    เอเดรียนยิ่งซึมหนัก นึกถึงวันคืนที่ได้พูดคุยกับอาชชี่ โคเว่นอย่างออกรสแล้วก็ได้แต่ท้อใจ “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คงไม่มีวันได้เจอแมกจิโอกับพวกท่านอีกแล้ว…”

    ลอดิสนิ่งฟัง พลางทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง “แถวนี้กลิ่นน้ำมันคลุ้งเลย...เจ้าได้กลิ่นไหม”

    หญิงสาวยังคงบังคับม้าเดินเหยาะย่างขึ้นมาบนเนินซากปราสาทเรื่อยๆ ท่ามกลางอวลไอหมอกหนาไหลเอื่อยบดบังทัศนวิสัยรอบด้าน เอเดรียนยกมือขึ้นปิดจมูก ด้วยมิใช่เพียงแค่กลิ่นน้ำมันอย่างเดียวที่ตลบอบอวลแต่ยังมีกลิ่นคาวอื่นปะปน

    ยิ่งเข้าใกล้ตัวปราสาทกลิ่นเหล่านี้ก็ยิ่งตีกันอย่างเข้มข้นเสียจนชวนให้คลื่นเหียน ระหว่างทั้งคู่ทำท่าคล้ายจะอาเจียนออกมา จึงได้ยินเสียงกีบม้าย่ำเข้ากับอะไรบางอย่างเสียงดังกร๊อบ หญิงสาวค่อยๆ ก้มลงส่งสายตามองไปยังเท้าม้าด้านหน้า พบลำตัวท่อนบนในเครื่องแบบทหารอาร์ชิบอลด์สีน้ำเงินขาวนั่นเองที่กีบม้าเหยียบจมอยู่ นางถึงกับชักม้าถอยหลังด้วยความตกใจ เอเดรียนมองเห็นกองเศษเนื้อและเครื่องในเละเทะอยู่รอบตัว เขาทำท่ากระอักกระอ่วนสักพักก่อนอาเจียนออกมา ลอดิสดึงผ้าพันคอขึ้นปิดถึงจมูกแล้วกระทุ้งสีข้างม้าเบาๆ บังคับให้มันเดินต่อ ดวงอาทิตย์สีส้มซีดโผล่ขึ้นสูงเหนือขอบฟ้าขับไล่อวลไอหมอกยามเช้า เผยทัศนียภาพรอบกายให้กลับมากระจ่างใสอีกครั้ง และนั่นเองจึงทำให้ทั้งสองประจักษ์ชัดแล้วว่ากลิ่นน้ำมันเข้มข้นกำลังผสมปนเปกับกลิ่นใดถึงได้น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้

    “พระ...เจ้า...ช่วย….”

    ลอดิส เบนนิ่งกวาดสายตามองรอบบริเวณเนินหน้าปราสาทคอร์วินัส ซึ่งบัดนี้ไหม้ดำราวกับเป็นเนินเตียนโล่ง ซากศพทหารนับร้อยนอนเกลื่อนกลาด ไม่มีร่างไหนเลยอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เอเดรียนกวาดสายตามองด้วยความตกตะลึงเช่นกัน ณ วินาทีนั้นให้รู้สึกหวั่นใจเหลือว่าหนึ่งในร่างแหลกเละเหล่านี้ จะมีพี่ชายของเขา

    “โลวิล…” แม้จะไม่ชอบการกระทำของพี่ชายของเขานัก แต่สายใยแห่งความผูกพันระหว่างพี่น้องยังคงตัดไม่ขาด เด็กหนุ่มถึงกับกระโดดลงจากหลังม้า เที่ยวไล่สำรวจดูซากศพจนลืมกลิ่นคาวเข้มข้นไปเสียสิ้น

    “เอเดรียน! ” ลอดิสชะเง้อมองเด็กหนุ่มที่มะงุมมะงาหราตามซากศพ ก่อนบังคับม้าเดินตามเขา

    “เจ้าทำอะไรน่ะ อย่าเอามือแตะซากศพแบบนั้นสิมันสกปรก…” นางรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเที่ยวพลิกใบหน้าซากศพเช่นนั้น แต่เขากลับเงยหน้ากวาดสายตามองทั่วบริเวณ น้ำตารื้นรินหลั่งอาบสองแก้ม

    “พี่ชายข้าาา...โลวิล…” เสียงเล็กๆ สั่นเครือ

    “พี่ชายเจ้า...โลเทรค อาร์ชิบอลด์ น่ะเหรอ…”

    เด็กหนุ่มพยักหน้าทั้งที่ไม่ได้สบตาอีกฝ่าย

    “ท่านไปเถอะลอดิส...ขอบคุณมากที่มาส่ง…” เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนบ่ายหน้าตรงไปยังสะพานทางเชื่อมข้ามคูน้ำเข้าปราสาท ลอดิส เบนนิ่ง ถอนหายใจเบาๆ

    “หึ...ถ้าเป็นไอ้เลวนั่น...ข้าก็ไม่รู้ด้วยแล้ว...โชคดีนะเอเดรียน…” หญิงสาวกระทุ้งสีข้างม้าแล้วชักบังเหียนเพื่อเลี้ยวกลับ นางรู้สึกสยดสยองเล็กๆ กับฝีมือของอาชชี่ โคเว่น เจ้านายสุดที่รักของนาง 

    “นายท่านเล่นพวกมันซะเละเลย…”

    จะสะใจก็พูดได้ไม่เต็มปาก ลอดิสไม่ชอบเหยียบย่ำทับถมความสูญเสียของใคร

    “แต่ถ้าคิดว่าเขาจะใจดีกว่าแฮมมอนด์ สงสัยต้องทบทวนซะใหม่…” ว่าแล้วจึงควบม้าหายลับไปยังทิศทางที่จากมา

    เอเดรียนยังคงเฝ้าตามหาพี่ชายของเขาไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน เด็กหนุ่มใช้เวลาออกค้นหาจนทั่วบริเวณ ทุกพื้นที่มีแต่ร่องรอยของความเสียหาย เศษเนื้อกระจัดกระจายคละคลุ้งตีกันกับกลิ่นเหม็นไหม้และน้ำมันคลื่นเหียน เด็กหนุ่มกระอักน้ำลายจนต้องถ่มทิ้งเป็นครั้งคราวระหว่างวิ่งออกมายังเนินหญ้าหน้าปราสาท เขาวิ่งพล่านไปทั่วจนในที่สุดสายตาจึงปะเข้ากับซากม้าสีดำตัวใหญ่พ่วงพีใต้ต้นไม้ไกลออกไปจากเนิน

    “อาร์แท็กซ์ ม้าของโลวิลนี่นา…” เอเดรียนก้มมองดูลักษณะพิเศษของม้าตัวนั้นจนแน่ใจว่าเป็นม้าตัวโปรดของพี่ชาย ร่องรอยการต่อสู้สิ้นสุดแค่ที่ตรงนี้ เด็กหนุ่มลุกขึ้นมองไปยังทิศทางบ้านของตนบ้าง

    “ขอให้เขาอยู่ที่นั่นทีเถอะ…” คิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบออกวิ่งไปตามเส้นทางมุ่งสู่คฤหาสน์อลิสันด้วยความกระวนกระวาย เหงื่อกาฬแตกพลั่กโทรมกายแม้อากาศจะหนาวเย็น

     

    ใช้เวลาพักใหญ่กว่าเด็กหนุ่มจะวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงคฤหาสน์ เขาเหลือบแลสภาพความเสียหายที่อาชชี่ โคเว่น เพื่อนของเขาเป็นคนก่อ กระนั้นเอเดรียนก็มิได้ใส่ใจ กลับตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสาม ไม่พูดไม่คุยหรือทักทายกับใครแม้แต่กับบิดามารดาของเขาเองที่ร้องถามว่า ‘หายไปไหนมา’

    ลอร์ดอาร์ชิบอลด์มองตามสักพักก่อนหันกลับมามองทหารที่ติดตามขบวนของบุตรชายเมื่อคืน ระหว่างรออาหารเช้าในห้องรับประทานอาหารส่วนตัวของครอบครัว

    “ตายกันเกือบหมดเลยหรือ”

    “ขอรับ…” ทหารตัวแทนผู้รอดชีวิตพยักหน้ารับ สังเกตเห็นว่าร่างของเขายังไม่หยุดสั่นเทา

    เอเดรียนวิ่งและวิ่งจนกระทั่งมาหยุดยืนหน้าประตูห้องนอนของพี่ชาย

    “อย่าตายนะ...ได้โปรด...อยู่กับข้า…อย่าตายนะ…”

    เขาพึมพำสลับหายใจหอบก่อนดันประตูเปิดเข้าไป เห็นชายร่างใหญ่สวมชุดนักบวชโบราณสมัยยุคกลาง มีหมวกคลุมหัวกำลังนั่งทาบมือลงบนศีรษะของร่างพี่ชายของเขาที่นอนอยู่บนเตียง เอเดรียนไม่คุ้นเคยกับชายคนนี้นัก แต่ก็พอจะเห็นแวบๆ ว่าเขาอาศัยอยู่ตรงโรงเรือนหลังคฤหาสน์เพื่อมาช่วยงานของบิดา เด็กหนุ่มไม่มีแก่ใจจะเอ่ยทัก เขาทำเพียงส่งยิ้มตอบค้อมหัวให้เล็กน้อยเมื่อเห็นนักบวชปริศนาส่งยิ้มทักทาย ระหว่างนั้นสายตาของเด็กหนุ่มสังเกตเห็นคราบเลือดและรอยฉีกขาดบนชุดคลุมจนมองเห็นเกราะเหล็กสีดำหนาผุพังอยู่ภายใน จึงร่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย

    “พี่ชายของท่านปลอดภัยดี…” นักบวชเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มมานั่งแทน “เขาเพ้อถึงท่านด้วยนะ...เอเดรียน…” ชายร่างยักษ์กล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป

    เอเดรียนทรุดร่างลงนั่งบนเตียงข้างๆ โลเทรคที่นอนหลับใหลเนื้อตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผลใบหน้าฟกช้ำเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือแตะหน้าผากเบาๆ

    “โลวิล…” เด็กหนุ่มเรียกพลางก้มลงเงี่ยหูฟังเสียงหายใจแผ่วๆ น้ำตาซึมเล็กน้อยด้วยความดีใจแล้วเลื่อนสองแขนกอดร่างพี่ชายของตนซบหน้าลงกับอกแข็งแรงนั้น

    “ถ้าเจ้าไม่อยู่สักคนแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร…อย่าออกตามล่าปิศาจเลย...ได้ยินมั้ย”

    ระหว่างสะอึกสะอื้นอยู่นั้น สองหูจึงได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูเดินเข้ามา เอเดรียนรีบโผล่ตัวขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา เห็นบิดาของเขามาหยุดยืนมองสภาพโลเทรคที่ปลายเตียง ตรงด้านหลังบานประตูเด็กหนุ่มสังเกตเห็นเอเบล มาร์เซล เคลเมนต์ และมารีย์ มายืนมุงชะเง้อชะแง้มองเขาอยู่ด้วยความอยากรู้ พวกนั้นพูดคุยกระซิบกระซาบ หยอกล้อกัน มีเพียงมารีย์ที่ดูจะไม่ได้สนใจใคร่รู้นัก นางโดนพวกตัวแสบสามคนลากออกมาร่วมวงนินทาสองพี่น้องนั้นด้วย

    “หายหัวไปไหนมาเอเดรียน…” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม เด็กหนุ่มหลบตาทำท่าอึกอัก

    “ขะ...ข้า…” ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบ หางตาจึงแลเห็นฝ่ามือหนาฟาดเข้าที่ใบหน้าทันที เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มตน พลางคิดในใจ

    ‘ไม่เจ็บ…’

    เอเบลกับน้องชายสองคนหันมาแปะมือกัน “ข้าบอกแล้ว ฮ่าๆๆ! ”

    ผู้เป็นพ่อขบกรามแน่นมองหน้าบุตรชาย "">โลเทรคไปตามเจ้า...เขาอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะเจ้า! ” 

    สิ้นประโยคจึงตบหน้าบุตรชายอีกหนึ่งฉาดพาร่างบางนั้นร่วงจากเตียงลงมานอนกองที่พื้น ก่อนสาดแข้งเข้าที่ท้องของเด็กหนุ่มอย่างเต็มแรง

    เอเดรียนนั้นติดนิสัยเหมือนกับโลเทรคไปเสียแล้ว เขาเอาแต่กัดฟันแน่นข่มตัวเองไม่ให้ร้องโอดโอย ทำเพียงคู้ตัวนอนนิ่งปล่อยให้บิดาลงไม้ลงมือได้ตามใจ เพราะเชื่อว่าทนๆ ไปเดี่ยวมันก็จบลง

    บุตรชายและบุตรสาวที่เหลือต่างสะดุ้งสุดตัวหันมามองหน้ากัน เอเบลพยักพเยิดหน้าบอกกับน้องๆ ก่อนงับประตูปิด

    ‘กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้กล้าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้หาญกล้าลุกขึ้นต่อกรกับจอมมารวิลเลี่ยม ผู้ปกครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ นามของผู้กล้านั้นคือ เอเดรียน พ่อมดผู้ฝึกปรือตนจนมีพลังเวทแก่กล้า และอาชชี่ โคเว่น นักรบฝีมือฉกาจผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลปิศาจอันทรงพลัง ทั้งคู่ออกเดินทางผจญภัยไปในดินแดนต่างๆ ปราบเหล่าร้ายและอสุรกายในตำนานจนเข้าใกล้อาณาจักรแห่งนั้นซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ทางเหนือสุดของมหาทวีป

    และด้วยความช่วยเหลือจากพวกพ้องที่บังเอิญได้ผูกมิตรกันตามรายทาง ไม่ว่าจะเป็นลอดิส เบนนิ่ง แม่มดสาวจากป่าอาถรรพ์ และแฮมมอนด์ นักรบหนุ่มร่างยักษ์เชื้อสายไวกิ้ง จึงทำให้พวกเขาสามารถรอดพ้นศึกใหญ่นับครั้งไม่ถ้วนได้มากมาย โดยครั้งล่าสุด พวกเขาได้ปะทะกับเจ้าปิศาจน่าเกลียดน่ากลัวซึ่งอวตารมาในร่างมนุษย์นาม เอเบล ซาเวียร์ มันมาพร้อมกับสมุนก็อปลินหน้าตาน่าเกลียดสองตนที่ถูกตั้งชื่อราวกับเป็นมนุษย์ว่า เคลเมนต์และมาร์เซล

    แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าครองนครที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงและเข่นฆ่าผู้คนอย่างโหดร้าย แต่เจ้าอสูรเอเบล ซาเวียร์และลูกสมุนกลับถูกปราบลงอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของผู้กล้าทั้งสอง แต่ก่อนที่พวกเขาจะลงมือสังหารมัน จอมเวทเอเดรียน ได้ทำการทรมานมันเพื่อรีดเค้นข้อมูลแหล่งกบดานที่แท้จริงของจอมมารวิลเลี่ยม พวกเขาสังหารมันสิ้นแล้วออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังตอนเหนือสุดของมหาทวีป จนได้พบกับปราสาทบนผาสูงชัน ยากแก่การขึ้นไปถึง

    ‘จะทำอย่างไรกันดี ถ้าไล่บุกไปทีละชั้นอาจใช้เวลาเป็นแรมปี แถมยังต้องฝ่าฝูงสัตว์ประหลาดขึ้นไปอีก’ อาชชี่ โคเว่น นักรบหนุ่มผมดำสวมเกราะเหล็กทำด้วยเกล็ดมังกรสีนิลในตำนาน หันมากล่าวด้วยความกังวลใจกับจอมเวทหนุ่ม

    ‘ไม่ต้องห่วง เราจะบุกฝ่าไปเหมือนทุกที ข้าจะใช้เวทแบบผสมเพื่อเปิดทางให้ท่านโจมตีได้ง่ายขึ้น ท่านจักได้ไม่ต้องออกแรงมากนัก ไม่ช้าเราจะขึ้นไปถึงตัวของจอมมารได้อย่างแน่นอน’ พ่อมดเอเดรียนกล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น

    ทันใดนั้นทั้งสองจึงได้ยินเสียงกระพือปีกมหึมาอยู่เหนือหัว เมื่อแหงนหน้ามองจึงพบว่าเป็น เอลฟ์หนุ่มร่างสูงสง่าในชุดเกราะสีเงินยวงพันธมิตรทรงอำนาจของพวกเขากำลังขี่มังกรตัวใหญ่คู่กายมาช่วยเหลืออีกแรง

    ‘โลวิล! ’ พ่อมดเอเดรียนเอ่ยทักอย่างยินดี เอลฟ์หนุ่มผมสีบลอนด์อ่อนจนดูราวกับเป็นสีเงินส่งยิ้มให้ก่อนกล่าวตอบ

    ‘พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องการขึ้นไปข้างบน’ เขาบังคับมังกรให้ร่อนลงบนพื้น ‘ขึ้นมาบนหลังมังกรของข้าได้เลย! ’

    และแล้วทั้งสามจึงขึ้นขี่หลังมังกรมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดหอคอย

    ‘ลอร์ดวิลเลี่ยม วันนี้แหละคือวันสุดท้ายแห่งชีวิตเจ้า! ’

     

    ระหว่างขี่หลังมังกรบินสูงขึ้นและสูงขึ้น เอเดรียนได้ยินเสียงผู้หญิงคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเสียงมารดาของเขา สั่งคนให้มาพาร่างของเขาออกไปจากห้องนอนของพี่ชาย การต่อสู้กับจอมมารวิลเลี่ยมยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด แม้ดวงตาริบหรี่ของเด็กหนุ่มบนใบหน้าอาบเลือดจะมองเห็นบ่าวรับใช้ผิวดำกับประตูห้องหับต่างๆ แทรกเข้ามาเป็นระยะ 

    เลดี้มาเดอลีน ยืนถือผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนใบหน้า ส่งสายตามองบ่าวรับใช้ชายอุ้มร่างบอบบางอาบเลือดของบุตรชายคนที่สามกลับไปยังห้องนอนของเขา 

    "พระเจ้า...วิลเลี่ยม...เดี๋ยวลูกก็ตายกันพอดี..." หญิงวัยกลางคนกล่าวกับผู้เป็นสามีก่อนเดินจากไป ทิ้งสามีให้ทรุดร่างลงนั่งกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเตียงของบุตรชายคนโตเพียงลำพัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×