NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #25 : พลังแห่งโคซิเดียส (Cocidius)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 64


    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)

    ตอนที่ 24 มีความรุนแรง

     

    ขณะตกอยู่ในภวังค์แห่งความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โลเทรคพลันได้ยินเสียงกระพือปีกดัง ‘หวู่มมม’ พาดผ่านเหนือศีรษะ ใบไม้ใบหญ้ารอบกายวูบไหวตามแรงลม ชายหนุ่มรีบแหงนหน้ามอง เห็นดวงตาปิศาจวาวโรจน์เป็นประกายอย่างน่ากลัว

    มันร่อนลงยังแนวลำธารฝั่งตรงข้าม เปล่งเสียงคำรามต่ำในลำคอแล้วพุ่งเข้าหาเขา โลเทรครีบกระโจนหลบจนล้มลุกคลุกคลาน เนื้อลำต้นไม้ที่เคยใช้ซ่อนตัวถูกฉีกเป็นรอยยาว ชายหนุ่มผมทองตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งต่ออย่างไม่ลดละ ปิศาจอาชชี่ โคเว่นร่อนลงมาดักหน้าแล้วหวดกรงเล็บใหญ่หนาเข้าใส่ อีกฝ่ายพลันยกดาบขึ้นกันในทันใด จนทำให้มันยิ่งฉุนเฉียว เค้นเสียงคำรามในลำคอแล้วยกเท้าถีบร่างเขาจนกระเด็นกลิ้งชนโขดหินข้างลำธาร

    ชายหนุ่มผมทองหอบร่างสะบักสะบอมผุดลุกขึ้นแม้เจ็บร้าว เนื้อตัวมีเลือดไหลท่วมหลังคอ คลานไปหลบหลังโขดหิน เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าอย่างไรเสียคงไม่มีทางรอด ปิศาจมองเห็นเขาเป็นเพียงเหยื่อไร้ทางสู้ มันเดินเยื้องย่างพลางกระพือปีกข่มขวัญเล่น โลเทรคจึงสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดก่อนรวบรวมความกล้ากล่าวท้าทายมัน

    “เป็นไงล่ะ โดนข้าเอาซะไปไม่เป็นเลย…รู้สึกดีล่ะสิ…!”

    ได้ผล! ปิศาจอาชชี่ โคเว่นหยุดชะงัก มันหายใจฟืดฟาด ยินเสียงคำรามต่ำลอดลำคอ

    “ร่างกายรึก็แข็งแรง ฐานะก็เป็นถึงนักรบ แต่กลับมานอนอ้าขาให้ชายอื่นเอาราวกับเป็นโสเภณีข้างถนน…! เงินก็ไม่ได้ ความเป็นคนก็ไม่เหลือ ฮ่าๆๆ …บอกใคร ใครเขาจะเชื่อ...ฮะๆๆๆ ” โลเทรคหัวเราะร่าด้วยแววตาเจ็บปวด ก่อนวางดาบลง แล้วควักปืนมอร์ทาร์ออกจากกระเป๋าย่ามจัดแจงกรอกผงดินปืนและบรรจุลูกกระสุนไปพลาง ปากก็พูดยั่วโมโหมันไปพลาง

    “ทีนี้เจ้ากับข้าก็ศักดิ์ศรีเท่ากันแล้วนะ นี่ล่ะความรู้สึกของคนที่โดนย่ำยี เจ้าเข้าใจความรู้สึกของข้าแล้วรึยัง!” ชายหนุ่มผมทองโผล่หน้าออกมาตั้งท่าจะเหนี่ยวไกยิงลูกระเบิด ปิศาจอาชชี่ โคเว่นสะบัดคอจนได้ยินเสียงกล้ามเนื้อลั่นพลันพุ่งเข้าใส่เหยื่อของมันทันที

    “เจ้าเองก็ชอบไม่ใช่เหรอ อย่าลืมสิ!”

    ทันใดนั้น เขาจึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงมาชนร่างปิศาจ อสุรกายหนุ่มกระพือปีกต้าน ก่อนจ้วงกรงเล็บเฉาะกะโหลกม้า เหลือบสายตาเห็นชายในชุดนักบวชโบราณร่างยักษ์กระโจนจากหลังของมัน ดึงขวานคู่เล่มใหญ่ออกมาจากด้านหลังแล้วเหวี่ยงเข้าใส่ร่างปิศาจในทันที อมนุษย์ผมดำคว้าด้ามขวานกันไม่ให้คมของมันเข้าถึงตัว ก่อนกระพือปีกพาร่างนักบวชทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า โลเทรคเก็บดาบเข้าฝักด้านหลังคืนแล้ววิ่งออกมาจากหลังโขดหิน แหงนหน้ามองดูเหตุการณ์บนฟ้ากว้าง ฝนหยุดตกได้พักใหญ่แล้ว ทำให้ยามนี้แสงจันทร์ยิ่งกระจ่าง ท้องฟ้าใสเปิดโล่ง เห็นอสูรสองตนกำลังสู้กันได้อย่างชัดเจน

    “อะไรวะ!” ชายหนุ่มสะบัดหน้ามองตามทันทีเมื่อเห็นสองตนเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศไปอีกทาง

    ลมพายพัดจากการเคลื่อนที่ฉับพลันปะทะหมวกผ้าคลุมของนักบวชโบราณจนเปิดออก เผยให้เห็นศีรษะโล้นเลี่ยน ใบหน้าแข็งแรงซีดเซียวราวกับศพ นัยน์ตาขาวดำทะมึนล้อมนัยน์ตาสีซีดขาวสะท้อนแสงจันทร์ราวกับไม่ใช่มนุษย์

    “เจ้าเป็นใคร!? ” ปิศาจเปล่งเสียงกึ่งมนุษย์ร้องถาม ขณะฝืนต้านแรงของอีกฝั่งที่พยายามกดใบขวานทั้งสองเข้าหาตัวมัน

    “ถามอสูรในร่างเจ้าดู” นักบวชเหยียดยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกทุ้มต่ำ

    ในห้วงแห่งดินแดนจากโลกอีกฝั่ง อาชชี่ โคเว่นมองเห็นอสูรดิ้นพล่านด้วยความแค้นเคือง บางอย่างกำลังมุดเข้าไปในบาดแผลฉกรรจ์ที่คอของมันแล้วสับเส้นเอ็นยึดคอใหญ่หนามหึมานั้นจนขาดวิ่น

    “โคซิเดียส!” ปิศาจหนุ่มคำราม

    นักบวชน้อมศีรษะลงอย่างสุภาพแล้วยิ้มรับ

    ปิศาจอาชชี่ โคเว่น ดันขวานออกห่างตัวก่อนใช้เท้ายันร่างผู้ครอบครองพลังแห่งโคซิเดียส ทว่ามันกลับเพียงแค่ผงะร่างเล็กน้อยเท่านั้น ซ้ำยังสามารถดึงขวานกลับแล้วบิดแขนปิศาจหนุ่มกระชากลงจนได้ยินเสียงไหล่หลุด กระดูกข้อศอกหักทิ่มเนื้อออกมา

    “อ๊ากกกกกก!!!! ....” ปิศาจกรีดร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด

    นักบวชร่างยักษ์เห็นแขนของมันตกห้อยจึงรีบสับใบขวานฝังเข้าที่บั้นเอว เลือดไหลล้นทะลัก โลเทรค อาร์ชิบอลด์ที่ยืนดูอยู่เบื้องล่างยกมือขึ้นสัมผัสเม็ดฝนเลือดซึ่งหยดแหมะลงบนหน้าด้วยความตื่นเต้น

    ปิศาจอาชชี่ โคเว่นหมุนแขนกลับเลื่อนสะบักไหล่จนเข้าที่ กล้ามเนื้อหน้าท้องเคลื่อนไหวเป็นเส้นมาจับตรงใบขวานต้านทานไว้มิให้เฉือนลึกเข้ามามากไปกว่านี้ แล้วพาร่างนักบวชพุ่งทะยานขึ้นสูงกว่าเดิม จนโลเทรคมองเห็นทั้งสองเป็นจุดดำเล็กๆ ใต้ดวงจันทร์ นักบวชร่างยักษ์หวดขวานอีกด้ามเข้าที่คอของปิศาจ แต่มันยกแขนขึ้นกันไว้ได้แล้วงอกเล็บ วาดแขนออกไปอยู่วงนอกสอดมือลอดเข้าใต้ท้องแขนของอีกฝ่ายพลันเสือกกรงเล็บทิ่มเข้าใต้ชายโครงของนักบวช ทว่ากลับเจอชุดเกราะเหล็กหนาอยู่ข้างใต้ชุดคลุมแบบโบราณนั้น เจ้านักบวชแสยะยิ้มอย่างสะใจ ปิศาจผมดำจึงโขกศีรษะเข้าให้อย่างรุนแรงเสียเลือดซึมไหลจากกลางหน้าผากของทั้งคู่ อสุรกายหนุ่มยิ้มอย่างสะใจบ้าง พลันกระชับร่างนักบวชเข้ามากอดแล้วพลิกตัวหันหัวลง ลู่ปีกเข้าเพิ่มแรงส่งพุ่งลงมายังพื้น หวังพาโหม่งโลกไปด้วยกัน

    นักบวชร่างยักษ์ไม่ยอมแพ้ เงื้อมือที่ว่างอยู่ฟันปีกอสุรกายซ้ำๆ จนหลุดขาดข้างหนึ่ง เศษปีกสลายกลายเป็นเถ้า เลือดสาดพุ่งเป็นสาย ปิศาจหนุ่มคำรามร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ทั้งคู่ร่วงตกลงสู่ลำธาร สายน้ำแตกกระสานซ่านเซ็น ปิศาจอาชชี่ โคเว่นดันใบหน้าของนักบวชซีนีสให้กระแทกลงกับพื้นก่อน แล้วใช้เท้ายันร่างนั้นกระชากตัวเองหลุดจากคมขวานที่ฝังอยู่บั้นเอว

    โลเทรค อาร์ชิบอลด์เฝ้ามองเห็นเหตุการณ์มาตลอดรีบวิ่งออกไปประจันหน้ากับปิศาจอีกครั้ง

    “...ข้านึกถึงหน้าเจ้าทุกคืนเลยอาชชี่ โคเว่น! ...” ชายหนุ่มผมทองยังยั่วโมโหไม่หยุดพลางส่งจูบให้ เขารีบขึ้นปืนยิงลูกระเบิดแล้วเหนี่ยวไกใส่ศัตรูทันที “เด็ดชิบหายย…”

    ‘ฟวู่มมม!’

    ลูกระเบิดสีดำแล่นฉิวฝ่าม่านควันโขมงออกจากปากกระบอกพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างปิศาจหนุ่มสภาพสะบักสะบอมลุกขึ้นยืน เบือนหน้ามองไอ้มนุษย์ปากดีด้วยดวงตาเคียดแค้น อสุรกายในร่างมนุษย์ปีกแหว่งคว้าจับลูกระเบิดไว้แล้วทำท่าจะปาคืน เจ้าโลเทรคถึงกับผงะเล็กน้อย เคราะห์ดีที่นักบวชซีนีสเอื้อมมือกระตุกขาจนปิศาจเสียหลักก่อนหน้าระเบิดจะทำงานเพียงไม่กี่วินาที

    ‘บรึ้มมมม!!!’

    ร่างของปิศาจและนักบวชกระเด็นไกลไปคนละทิศ เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ปิศาจอาชชี่ โคเว่นลอยละลิ่วหายลับเข้าไปในป่าฝั่งตรงข้ามลำธาร ส่วนนักบวชหนุ่มใหญ่ยกแขนหุ้มเกราะเหล็กขึ้นกัน รัศมีระเบิดนั้นเป็นวงกว้างพอจะเผื่อแผ่มาถึงโลเทรค อาร์ชิบอลด์ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักด้วย ชายหนุ่มผมทองกระเด็นกลิ้งไปด้านหลังหมดสติทันที

    นักบวชซีนีสสภาพเละเทะนอนจมกองไส้ตัวเองกลอกตาไปมาระหว่างมีเส้นสายสีขาวปนเทาเลื่อนไหลเข้าหาตัวมากมาย เส้นสายเหล่านั้นไหลเอื่อยมาจากทางฝั่งเนินทุ่งหญ้าหน้าซากปราสาทคอร์วินัสที่มีทหารอาร์ชิบอลด์นอนตายเกลื่อน ชายร่างยักษ์เหม่อมองร่างของโลเทรคพยายามเอื้อมมือไขว่คว้า ไม่มีเส้นสายสีเทาขาวเลื่อนไหลออกมาจากร่างนั้น แต่กลับเป็นทางเขาต่างหากที่กำลังโดนดูดเส้นสายธารประหลาดกลับเข้าไปหาร่างชายหนุ่มผมทองแทน

     

    ใกล้ฟ้าสางเต็มที แต่ทั้งสามชีวิตรวมเป็นสี่หากนับหนูน้อยแมกจิโอด้วย ต่างนั่งมองหน้ากันเงียบๆ ล้อมวงอยู่ในบ้านกระท่อมหลังน้อย ไม่อาจข่มตาหลับได้

    “แน่ใจนะว่าชื่อเอเดรียน อาร์มสตรอง...ข้าว่าเจ้าหน้าคุ้นๆ นะ…” ชายร่างใหญ่ผมสีน้ำตาลแดงตัดสั้นยุ่งเหยิงนั่งพิงหัวเตียง มีผ้าห่มคลุมส่วนล่างเปลือยเปล่าไว้ พลางกลอกดวงตาสีฟ้าแกมเขียวมองเอเดรียนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร

    “เอ่อ...ข้าอยู่แถวๆ นี้ ท่านก็คงจะคุ้นหน้าเป็นธรรมดา…” เอเดรียนขยับแว่นกลืนน้ำลายลงคอทำท่าอึกอัก ขณะมองดูหนูน้อยแมกจิโอในห่อผ้าหลับปุ๋ยในอ้อมแขนของลอดิส เบนนิ่ง แล้วส่งยิ้มให้กัน

    “ตอแหล! ...” ชายร่างใหญ่ตวาดสวน ทำลอดิสและเด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว

    แฮมมอนด์ค่อยๆ เลื่อนตัวลงมานั่งที่ขอบเตียงจนเอเดรียนสามารถมองเห็นร่างกายท่อนบนที่แข็งแรงกำยำของเขาได้ถนัด ถ้าคิดว่าอาชชี่ โคเว่นร่างใหญ่แล้ว ชายคนนี้ดูจะสูงใหญ่กว่าด้วยซ้ำจนเขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

    “เจ้าเป็นพวกอาร์ชิบอลด์…” เขาเค้นน้ำเสียงทุ้มแหบลอดไรฟัน หรี่นัยน์ตาจ้องหน้าเด็กหนุ่มด้วยความแค้นเคือง หญิงสาวร่างใหญ่หันรีหันขวางมองหน้าผู้ชายทั้งสอง ก่อนจะหันไปบอกแฮมมอนด์ให้ใจเย็นๆ

    “ข้าเห็นมันมางานวันเกิดของท่านหญิง!” ชายหนุ่มไม่ฟังนางแล้ว เขายังคงหาเรื่องต่อ คราวนี้ยกนิ้วชี้หน้า

    “...เจ้าโกหกทำไมเอเดรียน…” นางหันมากล่าว เด็กหนุ่มทำสีหน้าเหยเกด้วยความรู้สึกผิด

    “เอ่อ...ข้า...เห็นท่านดูท่าจะเกลียดพวกอาร์ชิบอลด์มาก...กะ...ก็เลยไม่อยากบอกความจริง...ขะ...ข้าแค่ไม่อยากโดนเกลียด…”

    “ไม่ใช่แค่โดนเกลียด…” แฮมมอนด์ผูกผ้าห่มเข้ากับเอวหนาแข็งแรงแล้วค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น ลอดิสวางหนูน้อยแมกจิโอลงกับโต๊ะแล้วเดินเข้าไปพยุงเขา

    “เจ้าจะทำอะไรแฮมมอนด์”

    ชายหนุ่มไม่ตอบ ทำเพียงสะบัดตัวหนีแล้วเดินมาหยิบดาบที่วางอยู่ใกล้ๆ แถวเตาผิง ก่อนยืดตัวขึ้นเบือนหน้าเหลือบตามองเอเดรียนด้วยสายตาดุร้าย

    “แต่จะโดนแพ่นกบาลแยกเดี๋ยวนี้แหละ!”

    เอเดรียนถึงกับทะลึ่งตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงเกือบสองเมตรเห็นจะได้ย่ำตรงมาทางเขา ดีที่ลอดิสห้ามไว้ก่อน

    “แต่ข้าเป็นเพื่อนกับลอร์ดโคเว่นนายของท่านนะ!” เด็กหนุ่มไม่ยอม จึงพยายามอธิบายเหตุผล แฮมมอนด์เอียงคอมองอย่างไม่สบอารมณ์

    “เหรอ...แล้วยังไง…”

    “ข้าช่วยแมกจิโอไว้จากแม่ของเขา ข้าเป็นเพื่อนคุยให้กับเขาตอนที่ลอร์ดโคเว่นโดนคุมขัง เขายังฝากฝังให้ข้าดูแลแมกจิโออยู่เลย ข้าสาบานว่าจะดูแลเด็กคนนี้ตลอดไปแล้วด้วย ข้าเป็นพ่อทูนหัวของเขานะ!”

    “ก็แล้วมันยังไงล่ะ!” แฮมมอนด์สะบัดดาบทุบผนังเสียงดัง ก่อนจะดึงออกมาชี้หน้าจ่อใบดาบตรงไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังสั่นกลัว

    “นายท่านของข้าต้อนรับพวกอาร์ชิบอลด์อย่างเจ้าซะดิบดี พยายามผูกมิตร เจ้าเข้ามาในงานเลี้ยงวันเกิด ดื่มกินของๆ เรา และเหยียบเท้าท่านหญิงน้อย!”

    ลอดิสเลิกคิ้วตรงประโยคสุดท้าย “เดี๋ยวนะ...ข้าจำได้ว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องเล่าขำขันของพวกเราไม่ใช่เหรอ”

    แฮมมอนด์หันมามองค้อนอย่างเสียไม่ได้ ก่อนหันไปกล่าวข่มขู่เอเดรียนต่อ “แต่ดูสิ่งที่พวกเจ้าทำกับพวกเราสิ ดูสิ! แหกตาดูสภาพของพวกเราตอนนี้สิ!”

    “แฮมมอนด์…” ลอดิสขมวดคิ้วยุ่ง นางสงสารเอเดรียนจับใจ พลางมองดูเด็กหนุ่มก้มหัวปลกๆ เพื่อขอโทษเขา

    “ในนามของ...ฮึก...ตระกูลอาร์ชิบอลด์ ขะ...ข้าขออภัยในสิ่งที่ได้กระทำลงไปกับพวกท่าน” เอเดรียนคุกเข่าวิงวอน

    “ไปลากพี่ชายเจ้ามา ไอ้เวรนั่น! ไปเอามันมาคุกเข่าต่อหน้าข้า! ถ้าทำไม่ได้ก็เอาหัวเจ้ามาแลก!” ชายหนุ่มคำรามเสียงดัง

    “แต่...ข้ายืนยันนะว่าเด็กคนนี้เป็นมิตรกับนายท่านจริงๆ ถ้าลอร์ดโคเว่นลองได้ไว้ใจใครแล้ว คนๆ นั้นจะต้องเป็นคนดีมากๆ อย่างเจ้านี่ไง…” ลอดิสพยายามประนีประนอม

    ระหว่างนั้นหนูน้อยแมกจิโอจึงร้องงอแงขึ้นมา ทั้งลอดิสและเอเดรียนจึงรีบตรงเข้าไปหา พลันยินเสียงแฮมมอนด์แผดดังขึ้น พร้อมกระทืบเท้าปึงปัง

    “อย่าแตะต้องคุณหนูแมกจิโอ! ไอ้พวกอาร์ชิบอลด์โสโครก!” ชายหนุ่มกระชากคอเสื้อเอเดรียนจากทางด้านหลัง ลากมายังประตู ลอดิสผละจากแมกจิโอเข้ามาห้ามเขา

    “อย่าทำแบบนี้แฮมมอนด์ เป็นบ้าไปแล้วเหรอ!”

    ชายหนุ่มไม่ฟังเสียงใช้เท้ายันร่างบอบบางนั้นจนกระเด็นกลิ้งออกไปข้างนอก แสงอาทิตย์แรกของยามเช้าเริ่มสาดส่องจนผืนป่าเปลี่ยนเป็นสีฟ้าขมุกขมัวด้วยอวลไอหมอก เอเดรียนรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งคุกเข่าขอความเมตตาจากเขา

    “ถ้าอยากได้หัวข้าก็เอาไป แต่ข้าบอกเลยว่ามันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น!” แม้หวาดกลัวแต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่น

    แฮมมอนด์กระตุกยิ้มแล้วเดินตามออกมา พลางควงดาบในมือ

    “ดีสิ...ข้านี่ไง รู้สึกดี…ธรรมเนียมของชาวไวกิ้งนั้นเรียบง่าย” เขาหยุดสูดหายใจ

    “ก็แค่...เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”

    สิ้นประโยค พลันลอดิสจึงตบหน้าเขาฉาดใหญ่

    “เลิกบ้าได้แล้ว! พอที”

    ชายหนุ่มหยุดชะงัก ลอดิสตบหน้าเขาอีกฉาดจนหันไปอีกทาง

    “จะไม่มีใครหัวขาดหน้าบ้านข้าทั้งนั้น! พอซะที!” หญิงสาวตวาด ก่อนหันไปดึงเอเดรียนให้ลุกขึ้น

    “เช้านี้ข้าจะไปส่งเขา จะแวะไปดูซากปราสาทคอร์วินัสด้วย...เมื่อคืนเราทุกคนได้ยินเสียงวุ่นวายแว่วมาจากที่นั่น ข้าอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”

    นางบอกแฮมมอนด์ ก่อนหันมาตบไหล่เอเดรียนเบาๆ ชายหนุ่มผมแดงลดดาบในมือลงพลางส่งสายตามองตามด้วยอารมณ์คุกรุ่น เอเดรียนยังคงเหลือบมองเขาอย่างหวาดหวั่น นักรบหนุ่มผมแดงถ่มน้ำลายรดพื้นเป็นการบอกลา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×