คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ลางบอกเหตุและการท้าทาย (The Banshee and The Battle Cry) 2/2
เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด
(Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)
ชายหนุ่มร่างสูงทำความสะอาดร่างกายอยู่ตรงคอกม้าหลังกระท่อมท่ามกลางแสงจันทร์ลอดแนวไม้ แล้วเปลี่ยนกางเกงสีขาวเปื้อนเลือดมาเป็นกางเกงผ้าวูลสีดำซึ่งเนื้อผ้ายืดได้เล็กน้อย จึงไม่เป็นปัญหานักแม้เขากับแฮมมอนด์จะมีขนาดตัวแตกต่างกันนิดหน่อย ส่วนรองเท้ายังคงเป็นคู่เดิมที่เก็บได้จากศพทหารอาร์ชิบอลด์
หลังเปลี่ยนกางเกงเสร็จเขาจึงเดินกลับเข้ามาในบ้าน ตรงมาทางเตียงที่แฮมมอนด์นอนอยู่ หยุดยืนมองหนูน้อยแมกจิโอคุดคู้ดูดนมจากช้อนไม้ด้วยความเอ็นดู
“เจ้า...ช่วยยกตัวเขาขึ้นหน่อยได้ไหม อย่าให้นอนอย่างนั้น…” เขาบอก
เมื่อได้ยินดังนั้นเอเดรียนซึ่งอาสาขอป้อนนมให้แมกจิโอด้วยตัวเองจึงรีบขยับเปลี่ยนอิริยาบถของเจ้าหนู
“เดี๋ยวเขาสำลัก…” ลอดิสเสริม
นางถือผ้าทอผืนหนามาห่มคลุมไหล่นายท่านของนาง ก่อนนั่งลงบนเตียงข้างกายแฮมมอนด์ วางอ่างน้ำทำด้วยไม้ลงบนตัก แล้วนำผ้าลงชุบน้ำก่อนยกขึ้นบิด ขณะชายหนุ่มผู้เป็นนายนั่งเก้าอี้ข้างเตียงใกล้ๆ กัน ยกมือแตะหน้าผากร่างหลับใหลนั้น
“หมอนี่ไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนจี๋เลย”
“ใช่ค่ะ พอข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านให้เขาฟัง อาการก็เลยกลายเป็นแบบนี้” ลอดิสกล่าว
อาชชี่ โคเว่นหลับตาเห็นสาวน้อยคาเธรีน่า สเตลล่ามาริส งดงามอยู่ในความทรงจำของเพื่อนผมแดง ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ริมลำธารหลังปราสาทในยามสายวันหนึ่ง เด็กสาววัยเพิ่งครบสิบแปดปีเขวี้ยงหินกระดอนไปตามน้ำแบบเซ็งๆ
‘เขาไม่ถามความสมัครใจข้าเลยสักคำ คิดเองเออเองทุกอย่าง…’ นางพร่ำบ่น
แฮมมอนด์เหลือบมองด้วยแววตาห่วงหา ก่อนเปิดปากอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ‘นายท่านมีเหตุผลแน่นอนขอรับ ขอให้ท่านหญิงโปรดรับรู้ไว้ว่าเขาปวดร้าวมากแค่ไหนที่ต้องส่งท่านไปแต่งงานกับดยุคแห่งแอปเปิลไชร์’
คาเธรีน่ากระแทกลมหายใจ ขมวดหัวคิ้วมุ่น ‘ก่อนเขามา ข้ากับท่านพ่อท่านแม่ก็บริหารกิจการที่บ้านได้อยู่แล้ว...เฮ้อ...อาชนี่วุ่นวายไปซะทุกเรื่อง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นตัวเองก็แทบไม่ได้กลับบ้าน...เขาพยายามเลียนแบบท่านพ่อ’
แม้จะไม่เห็นด้วยกับประโยคนั้นทั้งหมด แต่แฮมมอนด์เข้าใจดีถึงความอัดอั้นตันใจของเด็กสาว
นางยืนกรานปฏิเสธหลายครั้งหลายหน แต่พี่ชายของนาง ผู้นำตระกูลโคเว่นคนปัจจุบัน เลือกที่จะไม่ฟังคำทัดทานใดๆ เขามั่นใจว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับน้องสาวและครอบครัว
คนกลางอย่างแฮมมอนด์จึงตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลอร์ดโคเว่นรับรู้ว่าลูกน้องสับสนหม่นเศร้ากับประกาศิตเด็ดขาด จึงได้หยิบยื่นทางเลือกอันน่ายินดีให้
‘ไม่ต้องห่วงนะขอรับ ตอนวันเดินทาง นายท่านขอร้องข้าให้ตามไปคุ้มครองท่านหญิงด้วย เขาให้ข้าอยู่กับท่านหญิงจนกว่าจะปรับตัวได้ขอรับ’ ชายหนุ่มผมแดงฝืนยิ้มแอบซ่อนความขมขื่น
คาเธรีน่าเหล่มองเขา ประกายตาเปี่ยมความหวังเล็กๆ ‘แล้วเจ้าจะไม่คิดถึงเขารึ…’
‘ไม่ๆ ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายินดี’ เขาสั่นหน้า
ได้อยู่ดูแลนายหญิงรุ่นเล็กที่ตนรักใคร่ผูกพันไม่ห่างแบบนี้ ดีกว่าปล่อยให้นางว้าเหว่ในดินแดนต่างถิ่นเป็นไหนๆ แม้นั่นจะหมายถึงครอบครัวต้องแยกจาก
คาเธรีน่าหันมาเล่นผมแดงชี้โด่เด่ของเขาอย่างเอ็นดู ก่อนยื่นหน้าเข้าไปจูบแก้มขาวตกกระเบาๆ
‘เจ้าอยู่กับข้าที่นั่นตลอดไปเลยได้ไหม’ เด็กสาวสวมกอดนักรบหนุ่ม แต่อีกฝ่ายไม่กล้าพอจะกอดตอบ
นางเปลี่ยนมาเอนศีรษะพิงไหล่หนา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหม่อมองก้อนกรวดในธารน้ำใส
‘ข้าไม่เห็นอนาคตของเราเลยแฮมมอนด์...ข้าไม่เห็นเราอยู่ด้วยกันในวันที่เจ้าแก่ชรา…’
‘ท่านหญิงพูดอะไรน่ะ…’ แฮมมอนด์หันขวับมองเด็กสาว
นางเงยหน้าจ้องตอบด้วยแววตาเศร้าโศก พลางยกมือทาบอกนวดวนไปมา
‘หลายวันมานี้ ข้ารู้สึกอึดอัดหนักอึ้งอย่างไรบอกไม่ถูก...ในความฝัน...ข้ามองเห็นปราสาทของเราเหลือแต่ซาก…’
‘ท่านหญิง...อย่าพูดให้ข้ากลัวสิขอรับ…’ แฮมมอนด์เริ่มหวาดหวั่นตามน้ำเสียงกดต่ำ
‘เจ้าก็รู้ว่าทุกครั้งที่ข้าฝันเห็นคนในครอบครัว บางสิ่งมักจะเกิดขึ้น…เรื่องเลวร้าย...ความสูญเสีย...เจ้าคิดหรือว่าข้าอยากรับรู้เรื่องพวกนี้’ เด็กสาวกลืนน้ำลายลงคอ
นางเงยหน้าขึ้นนำสายตาชายหนุ่มแหงนเงยมองเลยผ่านยอดไม้ ไปยังอีกาฝูงใหญ่กำลังบินวนรอบเหนือปราสาทคอร์วินัสบ้านของพวกเขา
‘ถ้าจะหนี เราต้องหนีกันหมด’
นางขยับริมฝีปากสีซีดเปล่งน้ำเสียงเย็นเยือกนัยน์ตาสีน้ำตาลหม่นลงกระทั่งประกายสะท้อนแสงในนั้นจางหาย ชายหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัดเริ่มรู้สึกขนลุกเกรียว
'ท่านหญิง...'
คาเธรีน่าค่อยๆ เบือนหน้าส่งสายตามองใครก็ตามที่เฝ้าดูพวกเขาอยู่ แล้วผละมือจากแฮมมอนด์ก่อนลุกขึ้นก้าวเยื้องย่างเดินลุยน้ำตรงมาข้างหน้า
สีแดงฉานละลายปนกับน้ำกระจายออกรอบตัวเด็กสาว อาบย้อมชุดสีขาวของนางไล่ขึ้นมาจากชายกระโปรงจนถึงช่วงเอว
หยาดเลือดข้นสีสดหยดแหมะเปรอะเสื้อผ้าช่วงบนจนอกชุ่มโชก ระหว่างคาเธรีน่าก้มลงใช้สองมือค่อยๆ เลิกชายกระโปรงตนเองขึ้น แลเห็นเลือดไหลเป็นทางจากหว่างขาไม่ขาดสาย
‘เจ้าไม่เคยฟังข้าเลย…!’
เด็กสาวสะบัดหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาอาบเลือด น้ำตาสีแดงเข้มคล้ำรินหลั่งเป็นทางยาว
อาชชี่ โคเว่นพลันลืมตาตื่นรีบชักมือออกจากศีรษะของสหาย หัวใจเต้นโครมคราม พบลอดิสยังคงใช้ผ้าชุบน้ำลูบแขนเขา ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งสุดตัวหันขวับจ้องมองด้วยแววตาวูบไหว
“คาเธรีน่า…”
ในห้วงแม่น้ำสีนิลสายใหญ่ บุตรชายคนโตแห่งตระกูลโคเว่นพาร่างเปลือยเปล่าเดินเลาะเลียบไปตามหาดสีขาว เหม่อมองสนามรบฝั่งตรงข้ามลิบๆ เห็นอสุรกายและกองทัพทหารโรมรันพันตูกันอุตลุด โซ่เส้นใหญ่พันรอบร่างอสูรจนมันทุรนทุรายดิ้นไปมา
ชายหนุ่มหยุดยืนมองภาพนั้นก่อนเหลือบแลน้ำนิ่งสนิทเริ่มกระเพื่อมไหวเป็นวงกว้าง เขาสืบเท้าเข้าไปชะโงกมองใกล้ๆ อย่างสนใจ พบเงาร่างน้องสาวขาวซีดนอนหลับตาอยู่ข้างใต้ มีฟองอากาศผุดพรายลอยออกจากริมฝีปากซีดเซียวขึ้นมาแตกตัวเหนือผิวน้ำ
เด็กสาวค่อยๆ ลืมตาตื่นก่อนโผจากน้ำดึงผมพี่ชายของนางแล้วทุ่มร่างเขากดจนจม ระหว่างจับผู้เป็นพี่กดน้ำจึงเงยหน้าประสานสายตากับชายวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีดำแซมขาวยาวประบ่าสวมชุดสูทหรูหราสีเข้มที่กำลังโผล่พ้นน้ำขึ้นมาช่วยนางจับตัวชายหนุ่มไว้ด้วยเช่นกัน
คราวนี้อาชชี่ถูกมือใหญ่หนาแข็งแรงของชายคนดังกล่าวคว้าคอเขากระชากขึ้นมา ชายหนุ่มหายใจพะงาบ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง
“ท่านพ่อ”
เขากวาดสายตามองรอบตัว บัดนี้ในแม่น้ำสายสีดำกลับเต็มไปด้วยร่างของบรรพบุรุษนับตั้งแต่ยังเป็นตระกูลคอร์วินีจนถึงปัจจุบันที่เปลี่ยนเป็นสกุลโคเว่น กำลังลุกขึ้นเดินมารุมจับร่างเขากดลงกับน้ำ ชายหนุ่มกรีดเสียงร้องอยู่ใต้น้ำดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมาน
เส้นเลือดฝอยในตาเริ่มแตกเชื่อมเข้าหากันเล็กน้อยจนหยาดน้ำใสไหลกลิ้งลงมาตามร่องแก้มมีสีแดงจางๆ ลอดิสสังเกตเห็นจึงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออกให้
"นายท่าน...เป็นอะไรไปคะ..."
“ข้าอยู่อย่างนี้ไม่ได้…” เขากล่าวเบาๆ
ร่างของเขาในอีกห้วงแห่งหนึ่งค่อยๆ จมหายก่อนจะโผล่พ้นขึ้นมาอีกทีในห้องขังอันมืดมิด
เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มกลับเข้ามาอยู่ในห้องคุมขังของคุกใต้ดิน สองหูได้ยินเสียงไขกุญแจ
อาชชี่ถัดร่างชิดติดผนังมองปิศาจในชุดขาวย่ำเท้าตรงเข้ามาหาพร้อมหิ้วถังน้ำและผ้าด้วยแววตาหวาดหวั่น เหตุการณ์เดิมวนกลับมาเล่นซ้ำ มันคุกเข่าเงยหน้าแสยะยิ้มน่าเกลียดน่ากลัว
ความเปียกสากของผ้าชุบน้ำสัมผัสลงบนผิว กระตุ้นเตือนให้นึกถึงสัมผัสเดียวกันของมันผู้นั้นระหว่างอยู่ในคุกใต้คฤหาสน์อลิสัน ขณะลอดิสจับมือเขาขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดให้
‘ครั้งแรกน่ะ มันจะเจ็บเช่นนี้ล่ะ แต่พอครั้งถัดไป เจ้าจะไม่เจ็บแล้ว….’
เพียงนึกถึงสัมผัสของปิศาจชุดขาวที่นำผ้าชุบน้ำลูบไล้ตัวเขา ชายหนุ่มให้รู้สึกหวาดผวาจนต้องรีบชักมือกลับจากหญิงสาว เลื่อนสองแขนขึ้นกอดอกจิกไหล่ตนพยายามหยุดอาการสั่นงันงก จมอยู่ในห้วงภวังค์รวดร้าวยากจะอธิบาย ปล่อยให้ลอดิสเอียงคอมองพฤติกรรมนั้นอย่างไม่เข้าใจ
‘สมเพชงั้นเหรอ ดูสารรูปตัวเองซะก่อนว่าใครกันที่มันน่าสมเพช!’
ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดสองหู แต่เสียงเนินเนื้อกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงพร้อมเสียงหอบระรัวถี่ของร่างปิศาจในชุดขาวกำลังถูไถบนตัวเขากลับยิ่งชัดเจน ใบหน้าของมันแจ่มชัดในเงามืด ประกายตาสีน้ำตาลทองหื่นกระหายจ้องเขม็งขณะกดตัวเขาที่พยายามดิ้นรนขัดขืน
“ข้าพยายามสู้แล้ว…”
น้ำเสียงสั่นเครือเปล่งลอดผ่านริมฝีปากสั่นระริก ในหัวเต็มไปด้วยเสียงอันน่าสะอิดสะเอียนวนเวียนก้องกลับไปมา
ลอดิส ยกผ้าซับเม็ดเหงื่อผุดพราวบนใบหน้านั้นทั้งที่อากาศหนาวเย็น “นายท่าน…บอกข้าสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
อาชชี่ โคเว่นปัดมือของนางออกพลันพรวดพราดลุกขึ้นยืน เอเดรียนเหลือบมองพฤติกรรมนั้นด้วยความตกใจ
“มันเจ็บ...เจ็บจนบอกไม่ถูก ข้าพยายามสู้แล้ว แต่ข้าไม่มีแรง พละกำลังของข้าเหือดหายสิ้น ข้าปล่อยให้มันทำอะไรก็ได้กับตัวข้าโดยไม่ขัดขืน” เขากัดฟันแน่น ใช้กรงเล็บจิกตัวเองจนเลือดซึม
“อาช…” หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นตาม พยายามเดินเข้าไปหาเขา แต่ร่างสูงผมดำนั้นกลับยิ่งถอยห่างจนหลังเบียดเข้ากับผนัง ค่อยๆ ทรุดลงนั่งกับพื้น
“โลเทรค…”
ชายหนุ่มเอ่ยนามบุคคลที่เขาชิงชังที่สุดออกมา เห็นภาพมันกระตุกตัวเกร็งเมื่อถึงจุด หลั่งความสุขสมส่งผ่านเข้ามาภายในตัวเขา
อาชชี่ โคเว่นเกิดอาการรังเกียจตัวเองที่มีอารมณ์ร่วมไปกับมันแม้เจ็บปวดปานลมหายใจจะขาดห้วง
“ข้าไม่มีศักดิ์ศรีพอที่จะปกป้องใครได้อีกต่อไปแล้ว...ข้าไม่ใช่ผู้ชายด้วยซ้ำ ข้าไม่รู้ว่าข้าเป็นตัวอะไร...” ชายหนุ่มหลั่งน้ำตาเป็นสายอาบสองแก้ม กอดเข่าคู้ตัวราวกับกำลังนั่งอยู่ข้างแท่นหินในคุกใต้ดิน
เอเดรียนรู้สึกคุ้นตากับสภาพนั้น เขาค่อยๆ วางหนูน้อยลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ลอดิส จ้องมองชายหนุ่มผมดำ ความร่าเริงอารมณ์ดีเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้ามลายหายไปสิ้นเหลือเพียงแต่สีหน้าเครียดเกร็งร่างสั่นเทา
บนเนินซากปราสาทข้างกำแพงชั้นใน โลเทรค อาร์ชิบอลด์ในชุดขาวสวมทับด้วยเสื้อเกราะสีเงินสะท้อนแสงคบเพลิงสีส้มแวววาว จัดการขุดดินลึกจนพอจะเห็นเส้นผมสีน้ำตาลยาวหยิกเป็นลอนโผล่พ้นขึ้นมา เขาปัดหน้าดินออก จับปอยผมกระชากสิ่งที่อยู่ข้างใต้โผล่พ้นชั้นดิน
“เบียทริซ…” ชายหนุ่มผมทองคลี่ยิ้มยินดี
ทหารใต้อาณัติของเขาที่ยืนมองดูอยู่ด้วยความอยากรู้ถึงกับผงะตกใจไปตามๆ กัน
บุตรขุนนางสูงศักดิ์ควักมีดเล่มใหญ่ซึ่งเหน็บอยู่ตรงซองหนังห้อยข้างเอวออกมาควง กลับด้านหันใบมีดลงแล้วทิ่มเข้าไปตรงลิ้นปี่ เฉือนเปิดเนื้อบริเวณใต้กลางอกของศพหญิงสาว หั่นมันจนแบะออกกว้างพอจะสอดสองมือเข้าไป แล้วใช้มีดปลิดขั้ว ควักหัวใจนางออกมาเชยชม
นึกย้อนถึงวันที่ออกรบในสมรภูมิบนโลกใหม่ ความโหดร้ายป่าเถื่อนของชนพื้นเมืองเผ่าดุร้ายที่สุดประจักษ์ชัดแก่สายตา โลเทรค อาร์ชิบอลด์ในวัยยี่สิบต้นๆ นอนคว่ำซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้ารกหนาใกล้ชายป่า ยกมือปิดปากตนพลางจ้องมองทหารทั้งค่ายถูกสังหารอย่างทารุณหลังโดนบุกโจมตี
เหล่าชนพื้นเมืองในชุดออกรบประดับขนนกพลิ้วไหวเต้นระบำวนรอบกองไฟซึ่งมีร่างมนุษย์เป็นๆ สวมเครื่องแบบทหารของอาณาจักรมาร์โกต์ถูกไม้ปลายแหลมเสียบจากทางทวารแทงทะลุปากกำลังถูกเผาทั้งที่ยังไม่สิ้นลมหายใจดี พวกมันทาหน้าตาด้วยสีดำ สีขาว และสีแดง ควักหัวใจลูกน้องของเขาที่นอนรวยรินออกมาดื่มกินเลือดสดๆ และถลกหนังหน้าคนพวกนั้นชูขึ้นไปรอบๆ ประกาศชัยชนะ คลอเคล้าเสียงเคาะจังหวะเฉลิมฉลองสอดประสานกับเสียงร้องเพลงภาษาพื้นเมืองอย่างบ้าคลั่งผสมปนเปกับเสียงโหยหวนด้วยความทรมานของร่างมนุษย์ต่างถิ่น
ระหว่างนอนตัวสั่นเทาไม่กล้าขยับกาย ชายหนุ่มจึงสะดุ้งเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีใครบางคนสะกิดแขน เขาค่อยๆ เหลือบหางตามองเป็นอาชชี่ โคเว่น ผู้บังคับบัญชาจากอีกหน่วยหนึ่งคลานเข้ามาอยู่ข้างๆ อย่างเงียบเชียบ พยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณบอกให้โลเทรคค่อยๆ เคลื่อนตัวหลบออกมาจากจุดอันตราย
โลเทรคใช้มีดกรีดหัวใจดื่มเลือดหยาดหยดเลียนแบบวิถีของชนพื้นเมืองเพื่อประกาศชัยชนะ ไม่พอบุตรแห่งอาร์ชิบอลด์ยังใช้สองนิ้วเปื้อนเลือดปาดป้ายหน้าผากและโหนกแก้มทั้งสองข้างก่อนจัดการเลาะหนังหน้าศพหญิงสาว พลางร้องเพลงด้วยภาษาแบบเดียวกับที่ได้ยินจากชนพื้นเมือง เฝ้าคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนและอาชชี่ โคเว่นฉลองชัยชนะหลังช่วยกันล้มศัตรูร่างยักษ์ได้ด้วยการถลกหนังหน้าของมันคืน
‘แม้นโดนเค้นคอ ข้าจักยื่นบ่วงคล้องให้
แม้นโดนควักไส้ ข้าจักยื่นมีดท้าทาย
แม้นโดนกัดกิน ข้าจักยอมพลีกาย
จงฉิบหาย ความกลัวเอ๋ย ข้าเหนือกว่าเจ้า’
“นั่นนายท่านทำอะไรน่ะ…”
พวกทหารนิ่งอึ้ง สองหูเงี่ยฟังเสียงร้องภาษาประหลาดดังแว่วไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มผมทองใบหน้างดงามในสายตาของทหารรุ่นหลังที่เพิ่งเข้าทำงานให้กับตระกูลอาร์ชิบอลด์ดูไม่ต่างอะไรกับคนเสียสติ
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ชูแผ่นหนังเลาะจากใบหน้ามนุษย์ขึ้นเหนือหัว แล้วกวาดสายตามองทั่วท้องฟ้า
“โผล่หน้าออกมาเสียทีสิ...ปิศาจ...ข้าอยากเจอเจ้า”
ความคิดเห็น