NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #21 : ลางบอกเหตุและการท้าทาย (The Banshee and The Battle Cry) 1/2

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 64


     

    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)       

     

    มนุษย์หนุ่มร่างติดปีกร่อนลงอย่างปลอดภัยกลางป่าทึบ สะบัดปีกชุดที่สองทิ้งลงพื้น แล้วพาเอเดรียนและบุตรชายเดินเท้าต่อเข้ามาอีกจนถึงที่หมาย

    “โอ...ข้าเพิ่งรู้ว่ามีบ้านคนอยู่ในป่าแถบนี้ด้วยนะนี่…”

    เอเดรียนเพ่งมองพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด ค่อยๆ แลเห็นกระท่อมน้อยกลางป่าชัดเจนขึ้นเป็นเงารางๆ อยู่เบื้องหน้า แสงจันทร์สุกสกาวส่องลอดผ่านเงาไม้กระทบยอดหลังคาเห็นเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเรืองรอง แมลงกลางคืนร้องระงมท่ามกลางความเงียบสงัด นกฮูกขยับตัวเกาะกิ่งบนยอดไม้สูงส่งเสียงฮูก..ฮูก ให้พอใจเต้น

    เด็กหนุ่มยิ่งกระชับหนูน้อยแมกจิโอในอ้อมแขนให้แน่นเข้า พ่นลมหายใจอุ่นๆ ออกทางปากเป็นควันขาว กวาดสายตามองรอบบริเวณด้วยรู้สึกหวาดกลัวกับความมืดขมุกขมัวนิ่งสงัดของป่าลึกระหว่างรอคนในกระท่อมหลังน้อยมาเปิดประตู

    “เคยได้ยิน...เรื่องของแบนชีไหมขอรับ วิญญาณร้ายที่ชอบส่งเสียงร้องเพื่อเป็นลางบอกเหตุ” เอเดรียนชวนคุยทำลายความเงียบในเรื่องที่ไม่ได้ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาเลย “อยู่กลางป่ามืดๆ แบบนี้ ข้าเลยนึกถึงนางขึ้นมา…”

    “อืมม ไม่นะ....” อาชชี่ โคเว่น หยุดเคาะประตูแล้วหันมาคุยด้วย “อ้อ...แต่แคธี่...เอ่อ...น้องสาวข้า นางบอกว่าเคยได้ยิน...ก่อนที่พ่อข้าจะเสีย…”

    “คาเธรีน่า น่ะหรือขอรับ…”

    “ใช่...เจ้าจำชื่อนางได้ด้วย…” ชายหนุ่มทัก เอเดรียนอมยิ้มก้มหน้างุด “ไร้สาระ...ข้าไม่เชื่อเรื่องพรรนั้นหรอก ถ้าคนจะตายก็คือตาย…” เขากล่าวต่ออย่างลืมตัว

    เอเดรียนขยับแว่นมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ายกมือเกาหัวแกรกๆ “แล้วที่ข้าคุยด้วยนี่คืออะไร…”

    “เอ...ทำไมช้าจัง...ลอดิส นี่ข้าเอง อาช…” อดีตขุนนางหนุ่มยังตั้งหน้าตั้งตาเคาะประตูยินเสียงม้าหายใจฟืดฟาดเอาหางปัดไปมาจากด้านหลังบ้าน

    “ไม่อยู่เหรอขอรับ…” เอเดรียนชะเง้อมอง ก่อนเดินเลาะไปทางหน้าต่าง อาชชี่ โคเว่น ส่งสายตามองตามก่อนหันมาเคาะประตูต่อ

    “ลอดิส เปิดประตูให้ที! ไม่งั้นจะพังเข้าไปนะ” เขาเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีพลางนึกย้อนทบทวน

    “จำได้ว่าคืนนั้นนางไม่ได้อยู่ที่ปราสาท…” ความตึงเครียดเริ่มหวนกลับมาในแววตา

    “นางขอตัวกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่าย...ไม่ๆๆๆ ...ลอดิส…” จิตใจเริ่มกระวนกระวาย กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นหนึ่งในเหยื่อของความโหดร้ายในคืนวันนั้น

    เอเดรียนส่องลอดช่องหน้าต่างไม้ปิดสนิทเห็นแสงในตะเกียงไหวระริกพลันยินเสียงฝีเท้าหนักวิ่งตึกตักดังออกมาจากในบ้าน เงามืดทะมึนเคลื่อนผ่านแสงไฟสลัว เด็กหนุ่มรีบผละร่างถอยหนีในทันใดพอดีกับเห็นใบดาบพุ่งทะลุผ่านเฉียดหน้าเขาไปนิดเดียว

    “พวกอาร์ชิบอลด์ชั่วช้า! ” เสียงหญิงสาวคำรามอย่างเคียดแค้นตามมากระแทกบานหน้าต่างเปิดออก เด็กหนุ่มรีบโกยแน่บกลับมาทางอาชชี่ โคเว่นซึ่งกำลังยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นทำท่าจะถีบประตูพลันยินเสียงฝีเท้าหนักเดียวกันวิ่งตรงมาทางเขา

    “คิดจะจับข้าอย่างนั้นเหรอ! ” เป็นหญิงสาวร่างใหญ่สูงเกือบเท่าผู้ชายเช่นเขาถีบประตูกระโจนออกมา อาชชี่ โคเว่นรีบถอยหลบ สายตาทันเห็นใบดาบกวัดแกว่งตามมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ไวมากไปกว่าเขาซึ่งสามารถเอื้อมคว้าไว้ทัน

    “ลอดิส! ข้าเอง! ” อาชชี่ โคเว่นดันดาบลงเพื่อให้นางเห็นใบหน้าได้ถนัด

    หญิงสาวหยุดชะงักตะลึงงัน เหลือบสายตาเห็นเลือดไหลจากมือของเขาก่อนค่อยๆ ทรุดลงเป็นลมล้มพับไป ชายหนุ่มรีบทิ้งดาบแล้วประคองร่างนางไว้ เอเดรียนได้แต่ยืนมองด้วยความงุนงง

    อาชชี่ โคเว่น อุ้มหญิงสาวที่เขาเรียกว่า 'ลอดิส' เข้ามาในกระท่อมหลังเล็ก สอดส่ายสายตาฝ่าความมืดสลัวของแสงตะเกียงไปยังเตียงที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่างฝั่งตรงข้ามเหลือบเห็นใครบางคนนอนอยู่ จึงเดินเข้าไปก้มมองดูพบว่าเป็นแฮมมอนด์ ฟอลเคนเบิร์ก ชายหนุ่มเชื้อสายไวกิ้งเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงสะดุดตาคนสนิทของเขานั่นเอง กำลังหลับไม่รู้เรื่องมีผ้าพันแผลรอบตัว

    “แฮมมอนด์ เจ้ายังไม่ตาย! ”

    เช่นนั้นแล้วอาชชี่ จึงเหลียวไปแลมาข้ามไหล่เอเดรียนที่ถือโอกาสขอนั่งพักตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะไม้กลมไปยังม้านั่งยาวข้างประตูแล้วนำลอดิสไปนั่งที่ตรงนั้น ก่อนเดินกลับมาหาแฮมมอนด์โน้มตัวลงแนบหูกับแผงอกใหญ่หนาแข็งแรงยิ่งกว่าเขาเพื่อฟังเสียงหัวใจพลางส่งยิ้มให้เอเดรียน

    “เพื่อนข้าเอง แฮมมอนด์...รู้จักกันไว้สิ…” เขากระซิบแล้วชี้มือไม้มายังชายร่างใหญ่ผมแดง เอเดรียนพยักหน้ารับอย่างสนใจ ลอร์ดโคเว่นเป็นคนอารมณ์ดีกว่าที่คิด

    “อือ...นายท่าน...ท่านหญิงน้อย...อย่าทะเลาะกันเลย พอได้แล้ว…” นักรบหนุ่มผมแดงคู่ใจละเมอเพ้อพกยกสองแขนแข็งแรงโอบกอดเจ้านายของเขาแล้วเริ่มสะอื้นเบาๆ ระหว่างนั้นหญิงสาวผมสีน้ำตาลยาวประบ่าหน้าตางดงามอย่างสาวชาวป่าจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติ แลเห็นเอเดรียนนั่งเขย่าขากล่อมแมกจิโอเบาๆ กำลังส่งยิ้มให้

    “สวัสดีขอรับ ข้า เอเดรียน…” เด็กหนุ่มยื่นมือเพื่อขอทำความรู้จัก หญิงสาวมองเขาด้วยยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ยอมจับมือด้วยแต่โดยดี

    “ลอดิส...ลอดิส เบนนิ่ง…” นางกล่าวแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องผู้ชายผมดำตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสน

    “นายท่าน...นี่มันเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่เข้าใจ…” นางรีบเดินตรงเข้าไปหา

    อาชชี่ โคเว่นดิ้นกุกกักอยู่ใต้อ้อมแขนของนักรบหัวแดงพลันใช้สองมือยกท่อนแขนหนาหนักนั้นออกจากตัวแล้วลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก หญิงสาวก็กลับโผเข้าสวมกอดแล้วระเบิดเสียงร่ำไห้ไม่เกรงใจความเงียบสงัดของป่า

    “...ข้าเห็น...ข้าเห็นสิ่งที่พวกมันทำกับท่าน...มันช่างโหดร้าย ไม่มีความเป็นมนุษย์ ข้าได้แต่ยืนมอง...ข้าไม่กล้าแม้แต่จะแสดงตัวว่าเป็นคนของโคเว่น...ข้าเห็นพวกมันตอกตรึงศพของท่านบนกางเขนแขวนประจาน...ขะ...ข้าทำอะไรไม่ได้เลย ข้ากลัวไปหมด…”

    “ไม่เป็นไรลอดิส ไม่เป็นไร...แค่เจ้ากับแฮมมอนด์ปลอดภัยก็พอแล้ว…” ชายหนุ่มโอบร่างนางตอบลูบศีรษะเพื่อปลอบโยนก่อนก้มลงมองเลื่อนมือจับไหล่หญิงสาว

    ลอดิสรวบมือทั้งสองของเขามาเกาะกุมไว้แล้วพรมจูบที่มือนั้นไม่ยอมหยุด แม้มันจะเปื้อนดินและเลือดก็ตาม

    "ท่านเป็นผีหรือเป็นคนเหตุใดมือจึงอุ่นถึงเพียงนี้! หระ...หรือว่าข้าฝันไป...สมองข้าเฝ้าคิดถึงแต่ท่านจนเพี้ยนไปแล้ว" นางเอาแก้มแนบมือใหญ่หนาอบอุ่นนั้น

    อาชชี่ โคเว่น ชักมือออก “เดี๋ยวๆ อย่าทำแบบนั้นมือข้ามันสกปรก…”

    หญิงสาวก้มสำรวจมอง นางได้กลิ่นคาวเลือดเต็มตัวเขา “ท่านทำสัญญากับปิศาจสำเร็จหรือ ฮึก! ...เป็นเรื่องจริงหรือ....” นางกล่าวเสียงสะอื้น

    “...ขะ...ข้าไม่รู้ ทุกอย่างมันประดังเข้าใส่ข้า...จนจับต้นชนปลายไม่ถูก” ชายหนุ่มเองยอมรับว่ายังสับสนกับเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน

    “ตะ...แต่ช่างเถอะ...ตอนนี้ท่านกลับมา...เหตุผลใดก็ไม่มีความหมายแล้ว…” นางเช็ดหน้าเช็ดตา

    ชายหนุ่มไม่มั่นใจนักว่าการกลับมาของเขาจะเป็นเรื่องดี

    “แล้วนี่เลือดใคร...เลือดท่านเหรอ…” หญิงสาวสะอึกสะอื้นก่อนก้มมองดูกางเกงขาวโชกเลือด

    “มะ...ไม่ใช่…” อาชชี่ สั่นหน้า

    “เดี๋ยวข้าจะหาตัวใหม่ให้ เอาของแฮมมอนด์ละกันนะ...ข้าซักแล้ว…ไม่งั้นท่านจะคาวเลือดมากเลย” หญิงสาวสูดหายใจกลืนน้ำตาลงคอ ชายหนุ่มเหล่มองเอเดรียนสงสัยว่าเขาได้กลิ่นคาวเลือดด้วยหรือไม่

    “ข้าไม่ได้กลิ่น…” เด็กหนุ่มท่าทางจะชิน เขาสั่นหน้าโบกไม้โบกมือผ่านจมูกตน

    “อ้อ...ลอดิส ข้าลืมไป…” ร่างสูงผายมือมาทางเอเดรียน

    “นี่คือ...เอเดรียน อาร์…”

    “อะ...อาร์….ม...สตรอง! ..เอเดรียน อาร์มสตรอง…” หนุ่มน้อยร่างบางชิงตอบก่อน อาชชี่ โคเว่นร่นคิ้วเล็กน้อยแล้วพยักพเยิดหน้ายอมเล่นตามบท

    “เอเดรียน...อาร์มสตรอง เพื่อนของข้าเอง…” เขาฉีกยิ้ม ลอดิสส่งสายตามองตาม

    “เรารู้จักกันแล้ว...นั่นแมกจิโอนี่! …โอ้ ข้าไม่ทันสังเกต” หญิงสาวยกมือทาบอก

    “ใช่…ฮะๆ ” ชายหนุ่มยิ้มแห้ง แบะสองแขนออกข้างลำตัวยกไหล่ขึ้นอย่างสงสัยว่าทำไมเอเดรียนต้องโกหก เด็กหนุ่มจึงทำท่าปาดคอตัวเองให้ดูรัวๆ

    “ข้ามีนมวัวอยู่...หวังว่าเขาจะกินได้ ข้าจะต้มให้ละกัน...พวกท่านนั่งรอที่นี่นะ…” หญิงสาวคลายเสียงสะอื้น สูดหายใจเข้าออกเป็นปกติ ก่อนเดินไปยังครัวเพื่อค้นหาของอย่างอารมณ์ดี แฮมมอนด์ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง

     

    ยิ่งเข้าใกล้เนินซากปราสาทคอร์วินัส จิตใจของโลเทรค อาร์ชิบอลด์ ก็ยิ่งเต้นระรัวถี่เสียจนแยกไม่ออกว่ากำลังตื่นเต้นหรือตื่นกลัว เขาบังคับม้าเยื้องย่างเชื่องช้าค่อยๆ เลี้ยวมาตามเส้นทางเลาะแนวป่าจนผ่านมาถึงทุ่งหญ้าโล่งเข้าสู่อาณาเขตของเนินซากปราสาท ค่อยๆ โผล่หน้ามองพบเพียงความเงียบสงัด ชายหนุ่มผมทองเหลียวมองทหารทุกคนที่อยู่ด้านหลังก่อนกระทุ้งสีข้างม้าอ้วนพีให้เคลื่อนเข้าไปใกล้ซากปราสาทเร็วขึ้น

    เมื่อมาถึงบริเวณกำแพงชั้นนอก ชายหนุ่มบังคับม้าสำรวจรอบบริเวณแต่ไม่พบวี่แววของปิศาจ จึงรีบสั่งทหารเข้าประจำยังจุดต่างๆ เริ่มจากเข้ายึดพื้นที่บริเวณกำแพงชั้นนอกที่ซุ้มประตูทางเข้าเปิดอยู่เพราะเสียหายไปตั้งแต่คืนบุกยึด จากนั้นจึงให้พลธนูบางส่วนต่อบันไดขึ้นมายังบนกำแพงโดยตรง แล้วจุดไฟลงในกระถางคบเพลิงที่ยื่นมาจากหอคอยบนกำแพงใกล้ตัว ขณะทหารอาร์ชิบอลด์บางส่วนช่วยกันขนของเลาะเลียบคูน้ำชั้นในหาบันไดทางขึ้นกำแพงชั้นนอก เพื่อลำเลียงของหนักอย่างถังไม้โอ๊คบรรจุน้ำมัน และลังไม้บรรจุระเบิดเพลิงที่ดัดแปลงจากขวดเหล้าอุดด้วยเศษผ้า

    พวกเขาก่อกองไฟขึ้นตามจุดต่างๆ จนทั้งปราสาทกลับมาสว่างไสว ก้านกระถางคบเพลิงที่เรียงรายตามทางเชื่อมสะพานข้ามคูน้ำเหือดแห้งถูกจุดไฟลุกสว่างพรึบพรั่บพร้อมกัน

    โลเทรค อาร์ชิบอลด์ นัดแนะกับทหารบนหลังม้านับสิบนายที่ยืนล้อมวงอยู่บนเนินทุ่งหญ้าหน้าปราสาท พวกเขาต่างถือหน้าไม้ขนาดใหญ่ ในมือ พร้อมโซ่ม้วนโยงมาจากอานม้า

    “ข้าจะล่อมันออกมา พวกเจ้ายิงใส่ทันทีนะ”

    กล่าวจบโลเทรคจึงบังคับม้าเหยาะย่างไปยังปราสาทผ่านเข้ามาตามสะพานข้ามคูน้ำเหือดแห้ง นำทหารขนน้ำมันมาเตรียมไว้ยังเศษซากปรักหักพังด้านใน เจ้าม้าหยุดชะงักเมื่อเห็นหลุมลึกข้างหน้าในพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องโถงใหญ่ โลเทรค กระตุกม้าถอยห่างด้วยความตกใจ

    “ลืมเสียสนิทเลยว่าพื้นตรงนี้เคยถูกระเบิดเป็นหลุม”

    ชายหนุ่มชะโงกมองลงไปยังจุดซึ่งเคยเป็นที่ตั้งไม้กางเขนดำประจำตระกูลโคเว่น เบื้องล่างนั้นลึกดำมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น เขายกมือส่งสัญญาณห้ามไม่ให้ทหารใต้บัญชาเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้และสั่งให้ตั้งจุดเตรียมโจมตี เหล่าทหารกลิ้งถังน้ำมันกระจายไปรอบๆ บริเวณปากหลุมลึก เมื่อเรียบร้อยดีแล้วโลเทรคจึงชักม้าให้เลี้ยวกลับ

    ระหว่างทางตรงบริเวณเนินปราสาทด้านใน เขาสังเกตเห็นกองเนินดินเล็กๆ พร้อมแผ่นไม้ปักอยู่ไม่ไกลจากสะพานทางเชื่อม ชายหนุ่มจึงลงจากหลังม้าแล้วสั่งให้ทหารนำบันไดมาก่อนจะต่อเพื่อปีนลงไปยังส่วนตื้นที่สุด แล้วเดินเท้าชูคบไฟส่องดูเนินดินนั้น พบมีช่อดอกหญ้าวางอยู่

    “อืมม...น่าสนใจ…” เขากล่าวกับตัวเองก่อนนั่งลงแล้วเริ่มลงมือขุด

    ทหารหลายนายบนกำแพงและรอบบริเวณชะเง้อมองดูการกระทำประหลาดของเจ้านาย ขณะที่บางส่วนเริ่มพูดคุย สงสัยว่าปิศาจอาชชี่ โคเว่นหายไปไหน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×