คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ความทรงจำ (Memories) 2/2
เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด
(Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)
ชายหนุ่มผมสีทองยืนกอดอกพิงขอบประตูโค้งใหญ่แข็งแรงทางเข้าของโรงเรือน มองดูนักบวชร่างยักษ์กำลังประกอบระเบิดทรงกลมโดยใช้อะไรบางอย่างลักษณะเหมือนผลึกเกลือสีขาวในกระสอบข้างกายอัดลงไปแทนดินประสิว
“ที่นี่มันอันตรายมากกว่าแต่ก่อนนะขอรับ ถ้าไม่จำเป็นข้าไม่อยากให้ท่านเข้ามา” นักบวชโบราณกล่าว พลางเดินไปยังโต๊ะอีกฝั่ง หันหลังให้
“แสงไฟแค่นี้เจ้าทำงานถนัดหรือ…” โลเทรค อาร์ชิบอลด์ สวมเกราะโลหะสีเงินยวงทับชุดสีขาว กวาดสายตามองบรรยากาศโรงเรือนอันค่อนข้างมืดทึม มีเพียงตะเกียงขนาดใหญ่ให้แสงสว่างอยู่บนโต๊ะไม้ใกล้กับนักบวช
“เพียงพอขอรับ ข้าเกรงว่าถ้ามีไฟเยอะไปในสถานที่นี้อาจเป็นอันตราย”
“ก็จริง…”
โลเทรค ว่าพลางกวาดสายตามองอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนเดินเข้าไปหา ระหว่างทหารอาร์ชิบอลด์นำรถเทียมม้าบรรทุกถังไม้โอ๊คมากมายสวนออกไปยังด้านนอก เขาเท้าขอบโต๊ะยื่นหน้ามองดูสิ่งที่นักบวชทำอยู่อย่างสนใจ
“ผงนั่นคืออะไร…”
นักบวชยิ้ม “ระเบิดอาณุภาพแรงสูงกว่าดินประสิวหลายเท่านักขอรับ”
โลเทรคกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย “แต่ระเบิดไม่เห็นจะทำอะไรปิศาจอาชชี่ โคเว่น ได้เลย ข้าจะทำระเบิดเพลิงใช้ก่อน”
“อย่างนั้นก็ได้ขอรับ ขอให้ใช้ไฟเป็นหลักเถิด ดีทั้งนั้นแล”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร…” โลเทรค หรี่ตามองบาทหลวง
ชายนักบวชเดินอ้อมมาทางด้านหลังชายหนุ่ม เพื่อหยิบอุปกรณ์ เขาเบียดร่างใหญ่หนาเข้ากับร่างแข็งแรงซึ่งดูจะเล็กบางทันทีเมื่อเทียบกัน จนโลเทรคเริ่มรู้สึกอึดอัด สัมผัสได้ว่านักบวชหุ่นกำยำล่ำสันจงใจสอดมือลอดผ่านลำตัวของเขาเอื้อมหยิบของ พลางสูดดมกลิ่นอายจากเรือนผมสีฟางที่ถูกมัดอย่างเรียบร้อย ไล้ใบหน้าไปตามซอกคอขาวเนียนของชายหนุ่ม
“ข้าเคยเจอกับร่างทรงแบบมันมาก่อน…” นักบวชนามซีนีสกระซิบข้างหู
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ขบฟันแน่นจนสันกรามตึงนูน ก่อนหันมาผลักอกเขา
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยเรา! ทั้งที่เราให้ที่พักแก่เจ้าเนี่ยนะ กลับทำเป็นนิ่งเฉย!”
นักบวชโบราณยิ้ม เหลียวมองรอบกายเห็นทหารอาร์ชิบอลด์คนสุดท้ายเดินจากไปแล้วจึงกระชากคอเสื้อชายหนุ่มตรงหน้า ยกตัวเขาลอยสูงขึ้นจากพื้น โลเทรคตกตะลึงกับพละกำลังมหาศาลนั้น ก่อนถูกกระแทกลงกับโต๊ะ ข้าวของร่วงหล่นกระจัดกระจาย เขาพยายามดิ้นรนแต่กลับถูกนักบวชตรึงสองแขน แนบร่างใหญ่หนาประชิดเรือนกายจนไม่อาจขยับเขยื้อน
“มันไม่ใช่ธุระอะไรของข้า…” นักบวชซีนีสโน้มกายทาบทับร่างเล็กกว่า กล่าวด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก ประกายตาดำมืดใต้หมวกคลุมศีรษะลุกโชนด้วยแรงขับดันบางอย่าง น่าพรั่นพรึง
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ เริ่มสั่นเทา พยายามเบือนหน้าหนี รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ รดต้นคอ ใบหน้าหยาบกร้านแข็งแรงซุกไซ้ไล่ตามซอกคอ หน้าอก และลำตัว
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดตอบแทน…ถะ...ถ้าข้า...จะขอให้เจ้าช่วย...เงินทอง ยศถา...หรือจะเป็น...” เขาเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตารื่นรินปริ่มเต็มขอบ “...ตัวข้า…”
นักบวชร่างยักษ์ดึงสะโพกชายหนุ่มเข้าหาตัว เบียดกายจนแนบชิดส่วนล่างของเขา ก่อนใช้มือหยาบหนาสกปรกตะปบหน้าชายหนุ่มที่ถูกกดทับอยู่ข้างใต้ แล้วจับหันไปมาพลางเหยียดยิ้มอย่างพึงใจ โลเทรคหายใจหอบถี่ด้วยความหวาดกลัว นึกถึงกะโหลกของตนถูกบดขยี้แหลกเละได้โดยง่าย หากเพียงแค่มือใหญ่หนานี้ออกแรงอีกสักหน่อย
“ถ้าเจ้าต้องการ...ข้าจะให้...หลังจากที่เจ้าสังหารปิศาจอาชชี่ โคเว่นได้…แต่ไม่ใช่ตอนนี้..” ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำใสออกจากตา
นักบวชซีนีสยืดตัวขึ้น ปล่อยมือจากร่างเขา “ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใด…”
ชายร่างยักษ์ถอยห่าง โลเทรคสำลักหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เห็นนักบวชค้อมตัว ก้มศีรษะลงเล็กน้อยทำความเคารพ
“ขออภัยที่หยาบคายกับท่าน ข้าแค่อยากแน่ใจว่าท่านจะใช่คนที่ข้ากำลังตามหาอยู่หรือเปล่า…สายตาของข้าไม่ค่อยดีนัก จึงต้องอาศัยการสัมผัสแบบนี้”
“แล้วตกลงเจ้าจะช่วยรึไม่…” โลเทรค ลุกขึ้นนั่งจัดเสื้อผ้าผมเผ้ากลับเข้าที่เข้าทาง
นักบวชซีนีสทำเพียงส่งยิ้มตอบ ชายหนุ่มผมทองเลื่อนตัวลงจากโต๊ะ ส่ายหน้าเล็กน้อยให้อีกฝ่ายก่อนเดินจากไป
“ไอ้สารเลว…” เขาสบถเบาๆ
“โอ้ เดี๋ยวก่อนขอรับท่านโลเทรค” นักบวชโบราณเรียก ชายหนุ่มยังไม่ทันจะก้าวขาพ้นประตูจึงหยุดหันมามอง เห็นนักบวชนำลูกระเบิดซึ่งเพิ่งประกอบเสร็จมาให้
“อยากให้ลองนำไปใช้ดู…” เขากล่าวก่อนเดินกลับไปทำงานของตนตามเดิม
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ รับมาอย่างเสียมิได้ “อะไรของมันวะ”
ชายหนุ่มผมทองควบม้าออกมายังลานหน้าคฤหาสน์ สำรวจดูข้าวของที่บรรทุกอยู่บนหลังรถเทียมม้าหลายคัน
“เหล้าล่ะ” เขากล่าวกับทหารคนสนิท นายทหารคนดังกล่าวผายมือไปยังกลุ่มทหารที่กำลังลากรถบรรทุกอีกคันมายังแถว
“มาโน่นแล้วขอรับ พร้อมใช้งานแล้ว”
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ส่งสายตามองก่อนกระทุ้งม้าเหยาะย่างเข้าไปใกล้ สั่งให้ทหารเปิดผ้าคลุมออก เห็นขวดแก้วบรรจุเหล้าวางเรียงรายในลังไม้มากมาย บนปากขวดนั้นมีเศษผ้าอุดเป็นสายชนวน
“ดีมาก” เขาหันมาพยักหน้ากับนายทหารรอบๆ ก่อนก้มลงดึงดาบโบราณยาวใหญ่บรรจุอยู่ในถุงหนังสัตว์สีดำใช้ต่างฝักดาบห้อยอยู่ข้างอาน แล้วชูขึ้นต่อหน้าทหารนับร้อยที่มาร่วมขบวนล่าปิศาจกับเขา ท่ามกลางสายตาจับจ้องลงมาจากทั้งลานหน้าคฤหาสน์และหน้าต่างตามห้องหับนับสิบบาน เลดี้มาเดอลีนเดินลงบันไดมาหาบุตรชาย จ้องมองเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น ทหารนับร้อยตื่นตะลึงกับขนาดของใบดาบขนาดใหญ่เกินปกติดาบทั่วไป และที่สำคัญนายของเขา โลเทรค อาร์ชิบอลด์ สามารถยกมันชูขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“ต่อไปนี้จงโจมตีปิศาจด้วยไฟ ตัดคอมัน แล้วเผาซะ มันไม่ใช่อมตะ ไม่มีอะไรต้องกลัว คืนนี้ มันจะต้องชดใช้ให้กับทุกชีวิตที่มันสังหาร! ถ้าไม่ออกไล่ล่าวันนี้ วันหลังมันก็จะกลับมาอีกอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่พวกเจ้าทำได้คงมีเพียงแต่นอนรอความตาย มันไม่เจาะจงหรอกว่าจะเป็นใครคนใดที่มันต้องการสังหาร เพราะมันฆ่าไม่เลือก!”
เสียงทหารเริ่มพูดคุยกันอึงอล พวกเขาพยักพเยิดหน้าให้กัน กระชับดาบและธนูในมือมั่น ไม่มีใครใช้ปืนอีกแล้วในตอนนี้
“จงจำไว้ ตัดคอแล้วเผาซะ! หนทางเดียวแห่งชัยชนะ!” ชายหนุ่มผมทองตะโกนกู่ก้องสร้างขวัญกำลังใจ
ทหารอาร์ชิบอลนับร้อยนายชูดาบและธนูในมือขึ้นโห่ร้องอย่างฮึกเหิม ก่อนโลเทรค บุตรแห่งอาร์ชิบอลด์จะเคลื่อนทัพออกไปจากลานหน้าคฤหาสน์
“หวังว่ามันจะไม่ใช่ดาบของเล่นนะ…” เคานท์เดลฟีนกล่าวกับลอร์ดอาร์ชิบอลด์ขณะยืนมองเหตุการณ์ตรงหัวบันไดระเบียงหน้าห้องจัดเลี้ยงที่มีสภาพเละเทะ เจ้าของคฤหาสน์ผู้มียศต่ำกว่าไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับสามีของบุตรสาวคนโต
“มาร์จอรีย์ อาการไม่สู้ดีเลย ไม่ว่าจะอย่างไร พรุ่งนี้เช้า ข้ากับนางจะเดินทางกลับไปที่เมืองหลวง อาการขนาดนี้ ต้องใช้แพทย์ที่นั่นรักษาสถานเดียว” เคานท์เดลฟีนมีสีหน้าไม่สู้ดีขณะพูดถึงภรรยา
“ข้าจะไปกับท่านด้วย…” ลอร์ดวิลเลี่ยม อาร์ชิบอลด์ กล่าวสมทบน้ำเสียงแผ่วเบา
บนกองซากปรักหักพัง อาชชี่ โคเว่น จัดการฝังศพบีอาทริเช่ พร้อมกับใช้ท่อนไม้เล็กๆ เท่าที่จะหาได้ปักลงเหนือหลุมฝังศพก่อนนั่งไว้อาลัยให้แด่นางเป็นครั้งสุดท้าย เอเดรียนอุ้มแมกจิโอที่ดิ้นขยุกขยิกไปมาเดินเข้าหาพร้อมกำช่อดอกหญ้าที่เก็บได้จากรอบๆ บริเวณส่งให้ชายหนุ่ม
“จะทำยังไงกับแมกจิโอดี ตอนนี้หยุดร้อง แต่สักพักเดี๋ยวก็ร้องอีก ตั้งแต่ตอนที่ท่านเข้ามาในห้องสีฟ้า เขาเพิ่งกินนมไปนิดเดียวเอง” เอเดรียนกล่าวทำลายความเงียบสงัด
อาชชี่ โคเว่นนั่งคุกเข่านิ่งหลังวางช่อดอกหญ้าลงบนหลุมศพคนรัก ค่อยๆ เบือนหน้าหันมามองเด็กหนุ่มก่อนเอ่ยปากขออุ้มแมกจิโอ หนูน้อยขยับยุกยิกขณะเอเดรียนส่งเขาให้กับผู้เป็นพ่ออย่างเบามือ อาชชี่ โคเว่นรับตัวทารกน้อยมาไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง พลางเขย่าตัวเจ้าหนูเบาๆ แล้วจุมพิตที่กลางกระหม่อมมีเส้นผมบางๆ ขึ้นหร็อมแหร็ม ณ ช่วงเวลานั้น เอเดรียนรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาดกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
“ขอบใจ…” อาชชี่ โคเว่น กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม
“เรื่องอะไรขอรับ…” เด็กหนุ่มถามกลับด้วยความฉงน ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำ ลุกขึ้นเดินเข้าหาแล้วยกมือลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นยุ่งเหยิงของเขา
“เจ้าอยู่ในห้องนั้นดูแลและปกป้องลูกของข้าอย่างสุดชีวิต อย่างที่บีอาทริเช่คงไม่มีวันทำ เจ้าช่วยชีวิตลูกของข้าจากความคลุ้มคลั่งของนาง ข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้าอย่างไรเอเดรียน...ถ้าทุกอย่างยังเป็นปกติ...บางที ข้าอาจยอมเจรจากับลอร์ดอาร์ชิบอลด์เพื่อเจ้า…” เขาหยุดถอนหายใจ “เสียดายที่ข้าเองกลับทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง…” ชายหนุ่มผละมือจากเด็กหนุ่ม เอเดรียนจับไหล่เขาพยายามปลอบโยน
“อย่าโทษตัวเองเลยขอรับ...ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดจนต้องโดนกระทำถึงขนาดนี้…” เด็กหนุ่มกล่าว
อาชชี่ โคเว่น หันหลังปลีกตัวห่างจากเอเดรียน “ข้าว่าเจ้าควรไปเสียเถิด อีกไม่นานก็เช้าแล้ว ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปส่ง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เอเดรียนหน้าเสียเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มสังเกตเห็นจึงได้แต่ถอนหายใจ พลางกล่าวอธิบาย
“จริงๆ นะ เพราะไม่ช้าพี่ชายเจ้า ซึ่งข้าไม่อยากเอ่ยนาม จะต้องนำคนออกตามล่าหาตัวข้า แล้วยิ่งเจ้าตกกระไดพลอยโจนเจอข้าหิ้วมาด้วยแล้ว เขาก็คงจะยิ่งวุ่นกระวนกระวายเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่เรื่องสนุกแน่”
“ไม่หรอก...ไม่มีทาง” เอเดรียนกล่าวสวน เห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อมองหน้าอาชชี่ โคเว่นอีกครั้งแล้ว เด็กหนุ่มจึงเม้มปากเข้าหากัน
“เอ่อ ข้าขอโทษ แต่โลวิลจะไม่ตามหาข้าให้เสียเวลาหรอก เขาไม่มีข้าอยู่ในหัวด้วยซ้ำ ยิ่งพักหลังนี้ เขาชอบตวาดใส่ข้าบ่อยๆ อยากจะบอกให้รู้ว่า ข้าก็โมโหเป็นเหมือนกัน…” เด็กหนุ่มระบายความอัดอั้นให้กับชายหนุ่มที่ไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อนฟัง และถึงแม้อาชชี่ โคเว่นจะอาฆาตโลเทรค อาร์ชิบอลด์มากแค่ไหน แต่เขาก็เป็นคนช่างสังเกตจนรับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มร่างบางผู้ยืนอยู่ตรงหน้านี้อาจมีความหมายมากกว่าลอร์ดอาร์ชิบอลด์ ผู้เป็นพ่อของมันเสียอีก
“ถ้าเช่นนั้น...เห็นทีเจ้าคงต้องไปกับข้าเสียแล้ว” อาชชี่ โคเว่น ส่งสายตาเลยซากปราสาทไปยังชายป่าไกลลิบด้านหลัง
“ไป? ...ที่ไหนขอรับ...เราจะหนีไปที่ไหนได้อีกหรือขอรับ…” เอเดรียนแววตาเป็นประกาย
“มีสิ...แต่เจ้าจะต้องไม่บอกใคร…” ชายหนุ่มผมดำส่งแมกจิโอกลับให้เอเดรียนอุ้ม ก่อนถอยห่างจากเด็กหนุ่มมาไม่ไกลแล้วเริ่มงอกปีกออกมา
เอเดรียนยืนมองการกลายร่างของชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสนใจระคนตื่นตะลึง แมกจิโอน้อยเหล่ตามองทำสีหน้าฉงนพลางส่งเสียงเบาๆ “อือ…” ก่อนโดนมือนิ่มเลื่อนลงมาปิดตา เพราะภาพตรงหน้าค่อนข้างน่าสยดสยองด้วยกระดูกเรียวแหลมทะลุผ่านขึ้นมาจากกล้ามเนื้อปีกหลังจนเลือดไหลซึมเป็นทางยาว นำพาพังผืดใหญ่หนาซึ่งเกิดจากมัดลายกล้ามเนื้อเกาะเกี่ยวกันงอกยาวขึ้นเรื่อยๆ
อาชชี่ โคเว่น ทรุดร่างลงคำรามเบาๆ ยินเสียงสะบัดโซ่ตรวนอย่างรุนแรงในหัว เขางอกเล็บทิ่มร่างตนเพื่อสะกดวิญญาณอสุรกาย “อึ๊ก!” พลันสะบัดตัวครั้งสุดท้ายเพื่อสยายปีกพังผืดให้แผ่กางออก
เสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ชายหนุ่มผมดำจึงลุกขึ้นยืน ก่อนกวักมือเรียกเอเดรียน
“สะ...สุดยอด…” เด็กหนุ่มอุทานก่อนรีบวิ่งไปหาร่างปิศาจ
“ถ้าคิดว่าเท่ละก็ หยุดเลย มันเจ็บสุดๆ ต่างหาก”
“เหรอ ฮะๆ ก็ดูท่าจะเจ็บจริงๆ นะขอรับ”
ทั้งสองคุยกันระหว่างอาชชี่ โคเว่น กระพือปีกพาเด็กหนุ่มกับบุตรชายบินขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง
ขบวนศึกออกล่าปิศาจอาชชี่ โคเว่น เคลื่อนทัพมาได้ไกลพอจะเห็นเนินซากปราสาทคอร์วินัสโผล่พ้นยอดไม้ โลเทรค อาร์ชิบอลด์ บังคับม้านำทัพเลาะเลียบทุ่งหญ้า ผ่านแนวป่าเป็นหย่อมๆ ด้วยจิตใจเหม่อลอย นึกถึงสิ่งที่นักบวชกระทำกับเขาในวันนี้ ตอกย้ำบาดแผลลึกในใจเมื่อครั้งอดีตที่ตนถูกกระทำต่างๆ นาๆ อย่างทารุณ ยินเสียงสะท้อนก้องของผู้คนที่เคยฝากบาดแผลแห่งความทุกข์ทรมานวนเวียนกลับเข้ามาในหัว ทั้งที่เขาได้พยายามลืมมันไปนานแล้ว
‘งดงามเหลือเกิน ราวกับเทพีวีนัส’ นายทหารวัยกลางคนตำแหน่งสูงจ้องมองเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบอย่างหลงใหล
‘สวยขนาดนี้ถึงได้รับการเอ็นดูมากเป็นพิเศษสินะ พวกข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าความสวยของเจ้ามันยังเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้อีกเยอะ’ พวกทหารบุตรขุนนางชั่วช้าสี่คนหัวเราะสนุกสนานระหว่างรุมข่มขืนเขาในวัยสิบแปดปี หลังเข้าประจำการบนเรือรบได้ไม่ถึงเดือน
‘ถ้าเจ้าไม่มีข้าก็คงจะไม่มีปัญญาไปได้ไกลกว่านี้’ เสียงของหนุ่มใหญ่วีรบุรุษผู้ได้รับการยกย่องทั่วทั้งอาณาจักรปรามาสเขาขณะใช้ร่างกายเปลือยเปล่าของชายหนุ่มเป็นเครื่องระบายอารมณ์
ทุกคำพูดเสียดก้องผ่านเข้ามายังโสตประสาทล้วนแต่บั่นทอนความเป็นมนุษย์ของเขาจนหมดสิ้น มีเพียงการเขียนจดหมายโต้ตอบกับน้องชายเท่านั้นที่ช่วยชโลมจิตใจให้ผ่านพ้นแต่ละวันอันขมขื่นไปได้ แต่แล้วเมื่อเขากลับจากการศึกครั้งยิ่งใหญ่ของอาณาจักร กลับเป็นเขาเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างน้องชายเกิดรอยร้าว
ระหว่างนั่งทำงานอย่างคร่ำเครียดให้กับครอบครัว เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ เริงร่าเดินเข้ามาในห้องนอนของเขา พยายามเรียกพี่ชายอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ จนท้ายที่สุดเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจทิ้งหนังสือเล่มโปรดลงบนโต๊ะต่อหน้าพี่ชายด้วยอารมณ์สนุกสนาน โดยหวังว่าเขาจะหันมาสนใจบ้าง และได้ผล ผู้เป็นพี่พลันลุกขึ้นพรวดจนเก้าอี้ล้มตึง แล้วชกหน้าน้องชายร่างบางจนกระเด็น ก่อนเขวี้ยงหนังสือตำนานอสุรกายแห่งโคเว่นเล่มหนาอัดท้องซ้ำจนจุก นอนคุดคู้ตัวงออยู่กับพื้น
‘ไปให้พ้นหน้าเลยไป เอเดรียน ไม่รู้เวล่ำเวลา!’
เด็กหนุ่มวัยสิบหกปีค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น หอบร่างบอบช้ำเดินจากไปพร้อมกับหนังสือ และนับแต่นั้นมาทั้งสองจึงแทบไม่ได้คุยเล่นกันอีกเลยหากไม่จำเป็น เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ยิ่งปลีกตัวสู่โลกจินตนาการ หมกมุ่นกับตำนานโคเว่นราวกับคนเสียสติ ส่วนโลเทรค อาร์ชิบอลด์ ผู้พี่ ก็เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปอย่างมุ่งมั่น ทิ้งเรื่องราวทั้งหมดไว้เบื้องหลัง กลบเกลื่อนความทุกข์ทรมานของตนด้วยพฤติกรรมอันบิดเบี้ยว
“ถ้าข้าตาย เอเดรียนจะอยู่ได้ไหมนะ…” ชายหนุ่มรำพึง
ความคิดเห็น