คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ความทรงจำ (Memories) 1/2
เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด
(Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ เปิดประตูเข้ามาในห้องของเอเดรียนด้วยอาการร้อนรน เดินตรงมายังโต๊ะทำงานของน้องชายทันที กวาดสายตามองเห็นหนังสือตำนานอสุรกายแห่งโคเว่นวางอยู่ จึงคว้าขึ้นมาเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว
“อยู่ไหนๆ อยู่หน้าไหนกัน!” เขาเปิดหน้ากระดาษกลับไปมาจนถึงหัวข้อ จุดจบแห่งอสุรกาย พลันไล่นิ้วอ่านข้อความจนถึงบรรทัดสำคัญ
‘กองทัพผู้ต่อต้านตระกูลคอร์วินี นำโดยตระกูลอาร์ชิบอลด์ ได้ว่าจ้างชายลึกลับจากแดนไกล ผู้อ้างว่ามีพลังอำนาจในการต่อกรกับเจ้าอสุรกายอนิมัส อินวิคตัส
ทันทีที่มาถึง เขาได้ร้องขอให้กองทัพช่วยระดมยิงไฟเข้าใส่อมนุษย์ทุกทางเท่าที่จะทำได้ เปลวเพลิงกดให้มันล่าถอยหวาดกลัว พวกเขาประจักษ์ชัดถึงหนทางแห่งชัยชนะได้ในครานั้นเอง จึงอาศัยพระเพลิงโหมกระหน่ำเป็นปราการป้องกันจากการโจมตีของมันได้ในระดับหนึ่ง ทว่าอสูรกลับมิยอมลดรา มันนำพาเศษเสี้ยวแห่งแดนโกลาหลมากับมัน ด้วยการดลบันดาลให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ปลดปล่อยห่าฝนหวดกระหน่ำลงยังไฟบรรลัยกัลป์จนมอดดับก็หลายครั้งหลายครา การต่อสู้ยิ่งยืดเยื้อยาวนาน ฝั่งผู้ต่อต้านมีแต่ความสูญเสีย การศึกดำเนินจากพลบค่ำจรดรุ่งสางของวันถัดไป ทว่าที่สุดแล้วด้วยความพยายามอย่างหาญกล้า ชัยชนะจึงตกเป็นของชายลึกลับตัวแทนจากตระกูลอาร์ชิบอลด์ซึ่งสามารถมีชัยเหนือเจ้าอสุรกายยักษ์ได้สำเร็จ เขาใช้ดาบโบราณลึกลับขนาดใหญ่ ว่ากันว่า เคยเป็นดาบสังหารมังกรมาก่อน บั่นเศียรอสูรยักษ์เพื่อทำลายร่างของมัน ยับยั้งมิให้มันฟื้นฟูร่างกายขึ้นมาใหม่ได้อย่างทันท่วงที แลยังเผาร่างมันจนมอดไหม้สิ้นเป็นธุลี ส่งวิญญาณโหยไห้กลับคืนสู่หัตถ์แห่งผู้สร้าง มิสามารถหวนคืนยังโลกมนุษย์อีก’
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ เมื่ออ่านพอจับใจความได้แล้วจึงปิดหนังสือ เงยหน้าจ้องตรงไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาสีน้ำตาลทองวาวโรจน์
‘จากสภาพอากาศตอนนี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระจันทร์ส่องสว่างผ่านม่านเมฆกระจายตัว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวลในปากข้าระหว่างแรงลมปะทะหน้า จนผมเส้นสั้นกระเซอะกระเซิงลู่ไปบนศีรษะ เลือดหยดแหมะเลอะหลังและไหล่เสียชุ่มโชก รู้สึกหนาวนิดหน่อย แต่ก็มิได้รำคาญอะไร ข้าไม่มีกระจิดกระใจจะถือสาเรื่องนั้น เพราะโอกาสที่จะได้เพลิดเพลินกับความสวยงามของบรรยากาศใต้แสงจันทร์กระจ่างยามค่ำคืนของโลกเบื้องล่างใต้ฝ่าเท้านั้นหาได้ยากยิ่ง จะมีสักกี่คนได้ตื่นตากับแผงทุ่งหญ้าโล่งสีเข้มอันกว้างใหญ่ ทอดยาวจากชายป่าทึบสู่ตัวเมืองคอร์วัสซึ่งจมหายไปพร้อมกับความมืดมิดอยู่ลิบๆ เช่นข้า ส่วนเบื้องหน้านั้นในตอนนี้แลเห็นเนินซากปราสาทคอร์วินัสเลื่อนเข้าใกล้ทุกทีๆ เงาปีกพังผืดแผ่กว้างทาบทับเศษซากปรักหักพัง ก่อนถลาร่อนพาเราลงต่ำอย่างรวดเร็วจนข้าเริ่มหวั่นใจแล้วว่าเรากำลังจะแตะพื้นท่าไหนกัน!’
ปิศาจอาชชี่ โคเว่น เบี่ยงตัวหงายขึ้นเล็กน้อย เอาไหล่ข้างหนึ่งไถลไปกับผืนพรมหญ้านุ่มชุ่มน้ำฝนรอบบริเวณซากปราสาท เอเดรียนกระชับร่างหนูน้อยแมกจิโอแน่นพลางหลับตารับแรงกระแทก ระหว่างร่างปิศาจกลิ้งขลุกๆ จนไม่ทันได้รั้งใครไว้ในอ้อมแขน ทั้งเอเดรียน และร่างของบีอาทริเช่ จึงกระเด็นกันไปคนละทิศ ปิศาจหนุ่มคว่ำหน้านอนแน่นิ่ง ปีกพังผืดแผ่พังพาบไปกับพื้น บาดแผลที่ไหล่จากคมดาบค่อยๆ สมานกันจนเกือบหายสนิท มันยกสองมือกุมศีรษะตนเองทั้งสองข้าง พลางนึกถึงเสี้ยววินาทีที่คมดาบเล่มนั้นเสียบเข้ามาในร่างของตน ความเจ็บปวดทรมานของอสุรกายพลันหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาในภวังค์อันสับสน สายตามองเห็นชายลึกลับ สวมชุดผ้าหนังกลับสีเทาคลุมศีรษะจรดเท้า ปอยผมสีบลอนด์อ่อนจนดูราวกับเป็นสีเงินยวงยาวหยักศกทิ้งตัวลอดออกมาจากใต้ผ้าคลุม ไม่อาจบ่งบอกว่าใบหน้าเขาเป็นเช่นไร เห็นแต่เพียงการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่ว แข็งแกร่งจนสามารถหวดดาบเล่มใหญ่เข้าต่อกรกับอสุรกายยักษ์ได้อย่างสูสี ทหารในชุดเสื้อเกราะโบราณรอบๆ ใช้ดาบตัดเชือกปล่อยหัวคันศรติดโซ่ขนาดใหญ่พุ่งจากฐานหน้าไม้เคลื่อนที่ ทะลุลำคอของอสุรกายเข้าช่วยอีกแรง ชายลึกลับจับโซ่โหนร่างตนขึ้นไปบนหนอกคอของอสูรแล้วจัดการกระหน่ำทิ่มแทงท้ายทอยของมันด้วยดาบเล่มนั้นจนมิดด้าม สายเลือดล้นทะลักทลายราวน้ำหลาก ไฟกาลถูกยิงเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งฝ่าม่านสายฝน ชายคนดังกล่าวมิได้หวาดหวั่นว่าตนจะโดนลูกหลง กลับตั้งหน้าตั้งตาแทงและเชือดคอมันอย่างไร้ปรานี
ปิศาจหนุ่มเลื่อนมือกุมไหล่ตนข้างที่โดนเสียบพลางหลับตาแน่นระหว่างเร่งให้ปากแผลรีบสมานกัน ‘ข้าไม่ได้อยากรับรู้เรื่องของเจ้า’ อมนุษย์หนุ่มร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด
ไม่ไกลจากปลายเท้าของปิศาจ คือร่างของบีอาทริเช่ในชุดขาวเปื้อนเลือดนอนหงายนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาเบิกค้าง ใบหน้าซีดเซียวดุจรูปสลักหินอ่อน ส่วนเอเดรียนเลื่อนไหลมาตามเนินลาดลง เลยจากศพสาวงามมาเล็กน้อย เขาค่อยๆ เปลี่ยนจากท่าตะแคงข้างเป็นพลิกตัวนอนหงาย เบิกดวงตาโพลงจ้องตรงขึ้นไปยังฟากฟ้ากว้างงดงามยามค่ำคืน ตื่นตะลึงตรึงตาตรึงใจไม่หายกับประสบการณ์เฉียดดาวที่สุดในชีวิต อ้อมแขนยังคงกอดแมกจิโอไว้เหนียวแน่น หนูน้อยเริ่มขยุกขยิกศีรษะเล็กๆ ไปมาใต้ผ้านุ่มผืนหนาหลังจากหลับสนิทมาตลอดการเดินทาง
“ว้าวว! ...วู้วว! ...สุดยอดเลย!” เด็กหนุ่มไม่อาจสรรหาคำใดที่จะมาอธิบายเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ นอกจากร้องออกมาดังๆ จนแมกจิโอตื่น
“แอ๊! ...” ทารกน้อยตัวเปื้อนเลือดร้องไห้จ้าขึ้นมา ทำเอาเอเดรียนสะดุ้งโหยง และเจ้าปิศาจผู้เป็นพ่อก็เช่นกัน มันรีบผงกหัวขึ้นจากผืนหญ้า หลังได้ยินเสียงทารกตัวจ้อยกระจองอแง ร่างอมนุษย์เหลียวซ้ายแลขวา ผมเผ้ายุ่งเหยิง ปิดหน้า ปิดตา เที่ยวสอดส่ายสายตามองหาต้นตอของเสียง ซึ่งดูคล้ายจะดังแว่วมาจากทางด้านหลังไม่ไกล
“ชู่ววว...ชู่ววว...โอ๋ๆๆ ไม่ร้องนะไม่ร้อง” เอเดรียนสาละวนกับการทำให้แมกจิโอหยุดร้องไห้เสียงดัง เขาอนุมานว่าหนูน้อยคงจะหิวอีกครั้งเป็นแน่ “ตายละวา...หมอนี่หิวแล้วน่ากลัวชะมัด มีใครมีนมบ้าง...”
ว่าแล้วจึงเหลียวมองรอบตัวพลางเขย่าหนูน้อยเบาๆ อยู่บนพุงแฟ่บๆ ประสานสายตากับบีอาทริเช่ร่างขาวซีดตัวเย็นเฉียบ “ลืมไปได้เลย…” เด็กหนุ่มกล่าวเบาๆ
แน่นอนตอนนี้ แม่สาวงามคงไม่อาจลุกขึ้นมาให้นมใครได้อีกแล้ว ที่พอจะช่วยได้ก็คงมีเพียง…
“อึ๋ยย….”
เอเดรียนสะดุ้งโหยง ยามแหงนหน้าขึ้นมองเห็นปิศาจอาชชี่ โคเว่น กำลังอยู่ในท่าคุกเข่าคลานสี่ขา นัยน์ตาจ้องเขม็งแทบจะกินเลือดกินเนื้อ ปีกพังผืดกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ
“แมกจิโอ…” อสูรหนุ่มร่างสูงใหญ่แข็งแรง ชุ่มโชกด้วยเลือด คำรามต่ำในลำคอ จับจ้องกิริยาอาการของเด็กหนุ่มด้วยแววตาแดงก่ำลอดไรผม
เอเดรียนค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นกอดแมกจิโอไว้ พลางยกแขนข้างหนึ่งห้ามปิศาจตรงหน้าด้วยมือสั่นเทา
“ดะ...เดี๋ยวก่อน...ลอร์ดโคเว่น ขะ...ข้า...ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ลูกท่านร้อง...ทะ...ท่านจำข้าไม่ได้เหรอ เอเดรียนไง...เอเดรียนที่สัญญาว่าจะดูแลลูกของท่านไง…! ท่านหิ้วข้ามาเองนะ...ไม่รู้เหตุผลหรอกว่าท่านเอาข้ามาด้วยทำไม ตะ...แต่ท่านหิ้วข้ามาเอง ข้าสาบานได้!”
สังเกตได้ว่าร่างนั้นโกรธมากเสียจนปีกพังผืดสะบัดขยับไปมาราวกับจะปลิดปลิวจากแผ่นหลัง กล้ามเนื้อแขนเกร็งกระตุกจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ปิศาจอาชชี่ โคเว่น กรีดเสียงคำรามบิดกายเร่าด้วยความทรมาน แมกจิโอน้อยยิ่งงอแงหนัก
“ถะ...ถ้าท่านไม่พอใจ...เอาเป็นว่าข้าจะวางเจ้าหนูลงตรงนี้ละกันนะ…”
เอเดรียนค่อยๆ วางแมกจิโอลงกับพรมหญ้า แล้วเริ่มก้าวถอยหลัง ดวงตาจ้องมองเห็น ปิศาจอาชชี่ โคเว่น ใช้สองมือจิกพรมหญ้าคลานเข้าหาด้วยความรวดเร็วพร้อมปีกพังผืดโย้ไปโย้มาที่ด้านหลัง เอเดรียนพลันสับเท้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความตื่นตระหนก ก่อนสะดุดเศษซากปราสาทจนล้มลงหน้าทิ่ม อมนุษย์ในร่างชายหนุ่มผมดำยาวกระโจนเข้ามาขึ้นคร่อม เด็กหนุ่มรีบตะกุยตะกายคลานหนี แต่ทว่ากลับถูกมือปิศาจดึงรั้งไว้เสียก่อน ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอด เขาจึงหลับตาแน่นแล้วหันขวับมาใช้เท้าอีกข้างถีบเข้าไปที่ใบหน้าของปิศาจไม่ยั้ง พลางตะโกนร้องคำว่า ‘ขอโทษ’ ระรัวไม่หยุดปาก
“เดี๋ยวๆ …” ปิศาจผมดำร้องบอกด้วยเสียงอย่างมนุษย์ปกติพลันคว้ามือจับขาเด็กหนุ่มไว้ทั้งสองข้าง เอเดรียนยังคงดิ้นไม่หยุด “บอกว่าเดี๋ยวไง!”
ทันใดนั้นร่างผอมบางจึงรู้สึกได้ถึงแรงกระชาก ปิศาจอาชชี่ โคเว่น นั่งทับขาสองข้างของเขาไว้ แล้วกำหมัดทุบพื้นข้างศีรษะอย่างรุนแรง จนเขาสะดุ้งยอมหยุดดิ้นรนได้แต่โดยดี
“เอเดรียน ใจเย็น! ข้าล้อเล่น!”
เด็กหนุ่มนอนนิ่งตัวสั่นงันงก ได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มเหมือนคนปกตินั้นแล้วจึงรวบรวมความกล้า ค่อยๆ ลืมตาเห็นปิศาจอาชชี่ โคเว่น ผละร่างลงมานั่งคุกเข่าข้างๆ เอเดรียนยกมือสำรวจทั่วร่างกายตนเองพบว่ายังครบสามสิบสองดี
“แงๆ …” เจ้าหนูน้อยที่ถูกทิ้งไว้ใกล้กับศพผู้เป็นมารดา ส่งเสียงร้อง คราวนี้ทั้งอาชชี่ โคเว่น และเอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ต่างรีบคลานเข้าไปหา เด็กหนุ่มรีบคว้าหนูน้อยในม้วนผ้านุ่มหนาขึ้นมากอดไว้ได้ก่อน จนชายหนุ่มผู้เป็นพ่อต้องหยุดชะงักเพราะไม่ไวพอ เขาถอนหายใจพลางส่งยิ้มละไม
“...เมื่อกี้ เจ้ากลัวเหรอ…” เขาเปล่งน้ำเสียงอย่างคนธรรมดาถาม เอเดรียนกระแอมกลืนน้ำลายลงคอโยกตัวปลอบหนูน้อยเงียบๆ เนื้อตัวสั่นเทาอยู่บ้าง เดาได้จากสีหน้าท่าทางคิดว่าคงยังโกรธอยู่ อาชชี่ โคเว่น เลื่อนตัวถอยออกมาสะบัดปีกทั้งสองข้างทิ้ง ปีกพังผืดสีดำพลันสลายกลายเป็นเถ้าเมื่อสัมผัสพื้น
“เหตุใดถึงเพิ่งมากลัวกันเล่า ฮ่าๆ ...ในห้องนั้นเจ้าไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวข้าเลยสักนิด” เขาว่าพลางยกสองมืออย่างมนุษย์ปกติขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา กางเกงสีขาวอาบเลือดสีแดงฉาน
‘มีสติรับรู้ตลอดเลยสินะ แม้จะเป็นปิศาจ’ เอเดรียนนึก นั่งมองเขาด้วยรู้สึกเสียหน้า ก่อนใช้มือข้างหนึ่งควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวสวย แล้วยื่นให้ชายหนุ่มผมดำ อาชชี่ โคเว่นกลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่สั่นขณะรับผ้ามา
“อย่าทำอย่างนี้อีกนะท่าน! ...ข้ากลัวจริงๆ นะ!” เด็กหนุ่มยกนิ้วชี้หน้า รู้สึกขุ่นเคืองกับการเล่นตลกไม่เข้าท่าของร่างทรงปิศาจ
“อา...เลือดเต็มตัวไปหมด” บุรุษหนุ่มทำหูทวนลม ยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดตาและเนื้อตัว พลางเหลือบสายตามองไปยังร่างไร้วิญญาณของบีอาทริเช่ ก่อนคลานเข้าหาแล้วช้อนร่างนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
เอเดรียน อาร์ชิบอดล์ นิ่งมองนึกเคืองแค้นถึงสิ่งที่หญิงสาวทำกับแมกจิโอ “เป็นข้าจะไม่ให้อภัยนาง…”
อาชชี่ โคเว่น เหลือบสายตามองเด็กหนุ่ม เอเดรียนรีบหลบตา
“ขะ...ขออภัยขอรับ...ข้าไม่ควรยุ่งเรื่องในครอบครัว”
ชายหนุ่มผมดำไม่ตอบ ทำเพียงส่งยิ้มให้ระหว่างลูบศีรษะนางอย่างแผ่วเบา
“ต่อให้เคืองแค้นนางสักเท่าไหร่ ตอนนี้บีก็คงไม่รับรู้อะไรแล้ว...นางเคยรักข้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่นางอยากให้เป็น…” เขากล่าวน้ำเสียงเศร้าสร้อย
ความทรงจำเกี่ยวกับหญิงสาวอดีตภรรยาพรั่งพรูหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอนางที่งานเลี้ยงในสวนสวยบริเวณเขตพระราชฐาน นางผู้มากับชุดราตรีสีแดงโดดเด่นเกินใคร ทั้งสองพูดคุยถูกคอกัน ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำ ตาสีฟ้า รูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทผ้าไหมสีอ่อนเรียบหรูสำหรับงานกลางคืน เปลี่ยนจากความประทับใจเมื่อแรกเห็น กลายเป็นตกหลุมรัก ทั้งสองเข้าพิธีวิวาห์ด้วยความชื่นมื่น อาชชี่ โคเว่นมอบความรักให้หญิงสาวอย่างฉ่ำอุระในคืนแรกของการแต่งงาน ร่างเปลือยเปล่าของสองหนุ่มสาวหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว หลังเฝ้ารอมาอย่างยาวนานที่จะได้สัมผัสกันอย่างลึกซึ้ง
‘ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะปกป้องเจ้า…’ ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มทาบทับบนเนินหน้าท้องเรียบเนียนอ่อนนุ่มของหญิงสาว พลางขยับกายเข้าออกช้าๆ อย่างนุ่มนวล บนเตียงสี่เสาสีขาวมีม่านบางๆ โรยตัวล้อมรอบ บีอาทริเช่จ้องมองใบหน้าคมคายล้อมกรอบด้วยผมดำยาวสลวยอย่างหลงใหล นางยกมือไล้ใบหน้าแข็งแรงนั้นอย่างรักใคร่ขณะเขาโน้มลงมาจุมพิตนาง
‘ไม่ว่าใครที่เคยทำให้เจ้าต้องเจ็บช้ำ ขอให้ลืมพวกเขาไปซะ แล้วเริ่มต้นใหม่กับข้า...บีอาทริเช่…’
หญิงสาวยิ่งกอดเกี่ยวร่างแข็งแรงของชายหนุ่มอย่างแนบแน่น เดินทางสู่ห้วงแห่งความสุขสมในคืนแรกแห่งการแต่งงานพร้อมๆ กัน
ชายหนุ่มผู้กลับมาจากโลกหลังความตายซบหน้าลงกับเรือนผมของร่างไร้วิญญาณ หลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ “ข้าอยากสับร่างเจ้าเป็นหมื่นชิ้นเหลือเกินบีอาทริเช่…”
เอเดรียนนิ่งมองในใจมิได้รู้สึกสงสารหญิงสาวเลยสักนิด “สับเลยก็ได้นะขอรับ…” เขาพึมพำ “เป็นข้าจะสับให้แหลกเลย…”
อาชชี่ โคเว่น ลืมตามองเอเดรียน “เจ้าว่าอะไรนะ…”
“ปละเปล่าขอรับ…” เด็กหนุ่มสั่นหน้าปฏิเสธ
ชายหนุ่มผมดำกวาดสายตามองซากปรักหักพังของปราสาทคอร์วินัสด้วยใจปวดร้าว เขาสะบัดศีรษะเป็นระยะพลางกลืนน้ำตาลงคอ ก้มมองมือหยาบหน้าเลอะเลือดเกรอะกรังตามซอกเล็บ ไล่สำรวจสภาพร่างกายของตนด้วยรู้สึกละเหี่ยใจเหลือ
“ข้าดีใจที่ท่านกลับมา...” เด็กหนุ่มจากสกุลคู่อริกล่าวขึ้น ชายหนุ่มผมดำแค่นยิ้ม
‘...แปลกใจเหลือเกินว่าบีอาทริเช่ ทิ้งคนๆ นี้ลงได้อย่างไร บางทีเขาอาจดีเกินไปหากเทียบกับพี่ชายของข้า’
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ นำกำลังทหารลากรถม้าบรรทุกของเข้ามายังโรงเรือนขนาดใหญ่ด้านหลังคฤหาสน์ พื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นโบสถ์ก่อนนำมาดัดแปลงเป็นโรงเรือนเก็บของขนาดใหญ่แทน ทหารใต้บัญชาในเครื่องแบบสีน้ำเงินกางเกงขาวต่างช่วยกันลำเลียงถังไม้โอ๊คบรรจุน้ำมันดิบซึ่งวางเรียงรายเกือบจดเพดานสูงอยูู่ชิดมุมหนึ่งของห้อง ลงมายังรถม้าบรรทุกของ จากมุมเดียวกันมีลังไม้อีกกองพะเนินแยกแบ่งเป็นสัดส่วนบรรจุขวดน้ำมันจากไขปลาวาฬ อีกมุมมีกระสอบป่านใส่อะไรบางอย่างเรียงรายซ้อนกันอยู่เต็ม ไม่ไกลตรงผนังอีกฟาก เป็นพื้นที่เก็บถังไม้โอ๊คบรรจุดินปืน ทั่วทั้งพื้นรกเรื้อด้วยถังเปล่า ลังไม้ ขวดแก้ว ระเกะระกะไปหมด พอๆ กับบนโต๊ะไม้ยาวซึ่งเรียงต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบนักบวชร่างใหญ่ที่กำลังทำงานประดิษฐ์สิ่งของอยู่กลางห้องโถง มีชิ้นส่วนโลหะกระจัดกระจายและอุปกรณ์ช่างวางอยู่
ทั่วพื้นที่ในโรงเรือนแห่งนี้ มีแต่ข้าวของอันเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับใช้สอยภายในคฤหาสน์อลิสันแทบทั้งสิ้น
“สวัสดีขอรับท่านโลเทรค อาร์ชิบอลด์” นักบวชโบราณนามซีนีสเอ่ยทัก
ความคิดเห็น