NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างทรงปิศาจ The Hell I Have Become

    ลำดับตอนที่ #10 : ร่องรอยปิศาจ (The witch interrogation) 3/3

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 64


     

    เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง แม้เป็นบรรยากาศย้อนยุค แต่สภาพสังคมและทัศนคติหลายอย่างนั้นเขียนขึ้นจากความเข้าใจตามโลกปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะไม่ใช่งานเขียนสะท้อนสังคม และข้อมูลหลายอย่างอาจไม่ตรง หรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียน และไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

    (Trigger Warning!นิยายเรื่องนี้มีการนำเสนอพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจ)

    ตอนที่ 9 มีการใช้ความรุนแรง

     

     

    พิธีไต่สวนเริ่มขึ้น เมื่ออาชชี่ โคเว่นเดินขึ้นมาหยุดยืนต่อหน้าบาทหลวงผู้ทำพิธี เขาให้ชายหนุ่มกล่าวสัตย์สาบานต่อเบื้องบนผ่านกางเขนตรงคอของเขา ส่วนโลเทรค อาร์ชิบอลด์ยืนอยู่เยื้องทางด้านหลังไม่ไกล พลางกวาดสายตามองรอบๆ คอยดูแลความสงบเรียบร้อย

    เมื่อเสร็จสิ้นพิธีสาบาน บาทหลวงจึงสั่งให้เพชฌฆาตถอดเสื้อผ้าของอาชชี่ โคเว่นออก อีกครั้งที่เขาต้องพานพบกับความอัปยศอดสู

    หยาดน้ำตาค่อยๆ ร่วงหล่น ต้องจำทนถูกบังคับให้เปล่าเปลือยต่อหน้าธารกำนัล สิ่งเดียวที่เขาทำได้มีเพียงพยายามใช้สองมือปกปิดร่างกาย

    บาทหลวงสวมถุงมือหนังแล้วสัมผัสทั่วร่างไร้อาภรณ์นั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย นอกจากรอยช้ำแล้ว ยังพบรอยแดงเป็นจ้ำตามหน้าอกและลำคอราวกับรอยจุมพิต ยิ่งสำรวจเนื้อตัวของนักโทษหนุ่ม โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ก็ยิ่งแสดงอาการกระสับกระส่ายจนเหงื่อผุดพราย

    บาทหลวงเลื่อนมือลงไปยังผิวบริเวณต่ำกว่าใต้สะดือของนักโทษ พลางเหลือบมองโลเทรค สักพักจึงสั่งให้เพชฌฆาตจับอาชชี่ โคเว่น หันออกไปเผชิญหน้ากับฝูงชน แล้วเริ่มไล่ปลายนิ้วตรวจดูตั้งแต่หลังท้ายทอย ไปจนถึงกลางแผ่นหลัง พบรอยแดงเป็นจ้ำมากมาย ยิ่งในส่วนบั้นท้ายนั้นดูจะช้ำแดงกว่าจุดอื่น

    ไม่รอช้า บาทหลวงจัดการสอดสองนิ้วเข้าไปในร่องรู เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาอย่างง่ายดาย อาชชี่ โคเว่นหลับตาร่ำไห้เงียบๆ ด้วยความเจ็บปวด เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ภาพที่เขาถูกกระทำทารุณกรรมอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนวานหวนกลับมาตามหลอกหลอน เช่นเดียวกัน โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ก็นึกโทษตนเองที่ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบเข้าครอบงำจนเลยเถิด

    บาทหลวงชูสองนิ้วเปรอะเลือดให้กับชาวบ้านได้ประจักษ์ คนทั้งเมืองต่างตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก จากที่อื้ออึงอยู่แล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นความบอบช้ำบนร่างกายของอดีตผู้ปกครองเมืองแห่งนี้

    "แหวะจะอ้วก..."

    เอเบล ซาร์เวียร์ ทำท่าโก่งคอเหมือนจะขย้อนของเก่าออกมา เจ้าเคลเมนต์ น้องชายตัวเล็กกว่า ทำท่าล้อเลียน หัวเราะตาม ส่วนเอเดรียนจิกปากกาแน่นจนกระดาษแทบทะลุ

    “นี่คือ เครื่องบ่งชี้ว่า อาชชี่ ซัลวาตอเร แมคเดอมอทท์ ดา โคเว่น ได้พลีกายถวายจิตวิญญาณด้วยพิธีกรรมวิปริตกับปิศาจที่ตระกูลของมันได้ทำสัญญาไว้ และนี่คือสัญญาณแรกของการละเมิดสนธิสัญญาซึ่งตระกูลโคเว่นเคยกล่าวไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไสยเวทต่ำตมใดๆ อีก…” บาทหลวงเริ่มสาธยายถึงความเลวร้ายของมนตร์ดำที่ตระกูลโคเว่นเคยใช้งาน

    “กว่าแปดร้อยปีที่บรรพบุรุษของตระกูลโคเว่นได้ให้สัตย์สาบานไว้ว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนตร์ดำที่เคยทำร้าย ทำลาย บรรพบุรุษของพวกเรา พวกเจ้ารู้ดีถึงความน่ากลัว สยดสยองของอสุรกายที่พวกโคเว่นครอบครอง มาบัดนี้ บุคคลผู้นี้พยายามจะนำมันกลับมาสู่โลกใบนี้ ด้วยพิธีกรรมโบราณที่น่าสะอิดสะเอียน ไร้เกียรติ ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ แล้วพวกท่านจะยอมให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งหรือ!”

    ชาวเมืองคอร์วัสนิ่งฟังด้วยความตื่นตระหนก ทั้งจัตุรัสเงียบงันจนได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามมาแต่ไกลอย่างชัดเจน สายลมพายพัดโชยอ่อนในยามเช้าแสนอบอุ่นก่อนหน้านั้นเริ่มกระโชกแรง ดวงอาทิตย์หลบลี้หนีหายเข้ากลีบเมฆ

    หนูน้อยที่มายืนชมการไต่สวน กระตุกชายกระโปรงผู้เป็นแม่ ก่อนชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเขียวคล้ำ พบฝูงอีกากำลังรวมกลุ่มกันบินวนรอบจตุรัสจนเป็นฝูงใหญ่ ส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน

    หญิงสาวผู้เป็นแม่ตกตะลึงกับภาพนั้นไม่ต่างกับชาวเมืองคนอื่นๆ ก่อนหันมาร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง

    “เราไม่ยอม! เผาอาชชี่ โคเว่นเสีย ไม่เอาปิศาจ!”

    จากเสียงร้องเพียงหนึ่ง เพิ่มขึ้นเป็นสอง สาม และสี่ จนดังรวมกันเป็นหลายสิบ สนั่นลั่นลานจัตุรัส

    เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ถึงกับทิ้งสมุดปากกาไว้ที่เก้าอี้ แล้วถลาร่างมาแหงนมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง

    “อนิมัส อินวิคตัส” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ

    ขณะทุกคนกำลังตื่นตระหนก มีเพียงเอเดรียนเท่านั้นที่ยิ้มรับความวิปริตบนฟากฟ้า โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ผู้พี่ก็เงยหน้ามองปรากฏการณ์นี้เช่นกัน เขานึกถึงประโยคที่อาชชี่ โคเว่น พ่นพล่าม จนเผลอพูดตาม

    “อนิมุส ทอร์เกอริ รีครี…”

    ท่ามกลางความวิปริต ผิดธรรมชาติ ไม่มีใครสังเกตเลยว่า ความอดทนอดกลั้นของอาชชี่ โคเว่น ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด 

    ชายหนุ่มฝืนความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายและล่วงละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค่อยๆ เหลือบสายตามองลอดไรขนคิ้วมายังบาทหลวงยศสูงตรงหน้าด้วยสายตามุ่งร้าย สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมาตามท่อนแขนชื้นเหงื่อ สะกดลมหายใจเข้าออกให้ช้าลงจนแทบสงบนิ่ง ขณะรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มี ใช้โซ่ตรวนที่ล่ามสองมือของเขานั้น พุ่งเข้าไปประชิดด้านหลังของเป้าหมาย แล้ววาดโซ่ตรวนคล้องผ่านศีรษะอย่างรวดเร็ว ก่อนจัดการดึงรั้งสายโซ่สั้นเส้นนั้นรัดคอ ยกขาถีบร่างบาทหลวงจนเสียหลัก แล้วกระโดดขึ้นคร่อมด้วยน้ำหนักทั้งตัว

    นักบวชร่างท้วมล้มลงหน้าคะมำ อาชชี่ โคเว่น ไม่รอช้าจิกหัวร่างนั้นกระแทกเข้ากับพื้นปะรำพิธีหลายครั้งหลายคราราวกับคนเสียสติ เลือดทะลักออกทางปากและจมูก ผู้คนด้านล่างส่งเสียงร้องตกใจอื้ออึง ทหารอาร์ชิบอลด์ต่างรีบแทรกตัวเข้ามาดูสถานการณ์

    “คำก็ไสยเวท! สองคำก็ไสยเวท! หากข้ามีพลังนั้นจริง พวกสารเลวเช่นเจ้าคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะแตะต้องตัวข้าเยี่ยงนี้! ข้าเบื่อเต็มทนกับความเชื่องี่เง่านี้แล้ว! ข้าพยายามจะเป็นผู้มีศาสนาที่ดี แต่นี่หรือคือสิ่งที่พวกเจ้าตอบแทน! จงตาย! ตายไปซะพร้อมกับความเชื่อโสมมของเจ้า!” ชายหนุ่มอดีตเจ้าเมืองคอร์วัส คำรามร้องด้วยเสียสติไปแล้วอย่างสมบูรณ์

    โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะหลุดจากภวังค์ความคิด เพียงแค่เขาเริ่มขยับตัว เพชฌฆาตจากเมืองหลวงที่ตั้งสติได้ก่อนก็พุ่งตัดหน้าเข้าไปหยุดยั้งนักโทษคลุ้มคลั่งด้วยหมุดเหล็กแหลมในมือ

    แต่ชายหนุ่มผมดำเอี้ยวตัวหลบทัน แล้วหันมางับท่อนแขนจนจมเขี้ยว เหวี่ยงร่างนั้นกระเด็นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล โลเทรคพลันชักดาบออกมา เบิกตากว้างมองร่างบาทหลวงตัวแทนแห่งศาสนจักรกำลังนอนเลือดอาบ ส่วนเพชฌฆาตก็นอนร้องโอดโอย 

    ลอร์ดวิลเลี่ยมเห็นว่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบหยิบปืนแล้ววิ่งออกไปจากห้องรับรอง

    “วิลเลี่ยม จะไปไหน!” ผู้เป็นภรรยาได้แต่ร้องเรียก แขกเหรื่อทุกคนแตกตื่น

    โลเทรคพุ่งเข้าใส่อาชชี่ แต่ชายหนุ่มผมดำบ้าคลั่งกลับกระชากคอบาทหลวงที่นอนหมดสภาพขึ้นมาบังร่างตนต่างโล่

    บุตรแห่งอาร์ชิบอลด์เบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก ขณะเห็นใบดาบของตนกำลังเฉียดเข้าใกล้ร่างชายวัยกลางที่กำลังร้องเสียงหลงแทบสิ้นสติ ใบหน้าเหยเกด้วยความกลัวสุดขีด

    นักโทษหนุ่มยิ้มกริ่มสะใจด้วยดวงตาว่างเปล่าสิ้นหวัง

    ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นและความตายนั้น ทุกคนพลันได้ยินเสียงดัง ‘เปรี้ยง!’ คล้ายเสียงปืนลั่นขึ้นมาจากมุมใดมุมหนึ่งของอาคารที่ล้อมรอบตัวจัตุรัส

    อดีตเจ้าเมืองผู้น่าเวทนา กระเด็นล้มลงพร้อมกับเลือดพุ่งสาดเป็นสายออกมาจากขมับ โซ่ตรวนที่เกี่ยวคล้องคอบาทหลวงไว้ พาตัวแทนแห่งศาสนจักรหลบพ้นคมดาบของโลเทรค อาร์ชิบอลด์ ได้อย่างหวุดหวิด

    ชายหนุ่มผมทองถึงกับสำลักหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือหนึ่งใช้ดาบค้ำยันตนเองไว้ ส่วนบาทหลวงรีบคลานออกไปจากอ้อมแขนมรณะของอาชชี่ โคเว่น ซึ่งแน่นิ่งไปแล้ว

    บุตรแห่งอาร์ชิบอลด์ ไล่สายตามองไปด้านหลังตนตามวิถีกระสุน เห็นลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค ผู้เป็นบิดายืนอยู่ตรงหน้าต่างของตึกฝั่งด้านข้างปะรำพิธี กำลังลดปืนลง เขาส่ายหน้าช้าๆ ให้กับความไม่เอาไหนของบุตรชายก่อนถอนหายใจแล้วเดินจากไป

    โลเทรคหันกลับมามองร่างอาบเลือดท่วมศีรษะของอาชชี่ โคเว่น ก่อนยื่นสองนิ้วจับชีพจรใต้คางแล้วไม่รู้สึกถึงร่องรอยของการเคลื่อนไหวใดๆ ใต้ผิวหนังอุ่นๆ นั้น

    “ตายแล้วสินะ” ชายหนุ่มกล่าวเบาๆ ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

    ทันใดนั้น อาชชี่ โคเว่น กลับลืมตาโพลง เอื้อมสองมือคว้าคออีกฝ่ายทันที

    “คนตาย….จะฟื้นคืน….!”

    ร่างอาบเลือดคำรามเค้นน้ำเสียงลอดลำคอด้วยความเคียดแค้นสุดขีดเท่าที่เขาจะเคยได้ยินมา

    ท้องฟ้าซึ่งมืดครึ้มอยู่ก่อนแล้วกลับยิ่งมืดทะมึนหนักอึ้งด้วยกลุ่มเมฆฝนสีเขียวคล้ำลอยต่ำ

    ลมพายุพายพัดกระโชกแรงพร้อมจะหมุนวนลงเป็นงวงได้ทุกเวลาหากสัมผัสพื้น

    ฝูงอีกายิ่งบินวนรอบฟากฟ้าเหนือจัตุรัส ประสานเสียงร้องบ้าคลั่งกระตุ้นความตื่นตระหนกให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ประจักษ์ถึงสิ่งเหนือธรรมชาติของจริง

    “เพื่อทวงคืนสิ่งที่เขาพึงได้รับก่อนชีพวายน์....!”

    ร่างไร้สติคำรามก้อง ดวงตาแข็งค้างกราดเกรี้ยวด้วยความอาฆาตแค้น

    โลเทรคไม่นึกฝันว่าสำนึกสุดท้ายก่อนตายจะทำให้คนเรามีเรี่ยวแรงมหาศาลถึงเพียงนี้ แรงบีบนั้นทำเอาชายหนุ่มแทบหายใจไม่ออก ต้องฝืนง้างดาบขึ้น

    “ทำไมเจ้า…”

    เขาตัดสินใจเงืัอดาบขึ้นสุดแขน แล้วเสียบมันจมมิดลงกลางอกของอดีตเจ้าเมืองคอร์วัส จนแน่ใจว่าปลายดาบทะลุผ่านแผ่นหลังของร่างกระตุกเกร็งไปถึงพื้นไม้ปะรำพิธี 

    “ไม่รู้จักตายซะที!!”

    สิ้นประโยคคำรามก้อง โลเทรคจึงกระชากดาบออก

    เลือดพุ่งสาดเป็นสายตามคมดาบก่อนทะลักทลายจากบาดแผลกลางอกไม่หยุดกระทั่งร่างนั้นซีดขาวราวกับเนื้อกระเบื้องโปร่งแสง

    อาชชี่ โคเว่นกระอักเลือดเฮือกสุดท้าย สองมือร่วงตกลงข้างตัว สิ้นชีวาแล้วแน่นอนทั้งที่ตายังเหลือกค้าง

    โลเทรคเขวี้ยงดาบทิ้ง หายใจหอบถี่ แล้วยกมือแตะที่หน้าผาก กลางอก หัวใหล่ทั้งขวาซ้ายแสดงความไว้อาลัย ก่อนจับใบหน้าซีดเซียวหันไปมา ดูให้แน่ใจว่าคงไม่ลุกขึ้นมาอีก

    เมื่อมั่นใจแล้ว เขาจึงแสดงความเมตตาแก่เหยื่อเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการลูบปิดตาให้กับร่างไร้วิญญาณนั้น

    น่าประหลาดยิ่ง เมื่อลมหายใจสุดท้ายของเจ้าเมืองคอร์วัสถูกพรากไป ท้องฟ้าปั่นป่วนจึงเริ่มกลับมาเป็นปกติ เหลือไว้แต่เพียงเมฆดำหนาเลื่อนลอยต่ำ ค่อยๆ กลั่นตัวเป็นสายฝนปรายโปรยตามธรรมชาติ

    ฝูงอีกาคลายความบ้าคลั่งและเริ่มสลายตัวไปเกาะกลุ่มตามชายป่ากับกองขยะตามตรอกดังเดิม

    ชาวเมืองคอร์วัสและแขกเหรื่อ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างแหงนมอง สำรวจทั่วท้องฟ้า ด้วยความโล่งอก

    “เป็นเรื่องจริงหรือนี่…”

    เสียงๆ หนึ่งกล่าวขึ้น เช่นเดียวกับอีกหลายเสียงเริ่มพูดคุยกันอื้ออึง หลายคนพาลูกหลานวิ่งกลับเข้าบ้านเพื่อหลบฝน แต่หลายคนยังคงอยู่เพื่อดูพิธีต่อให้จบ

     

    ‘ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้ได้หายไปพร้อมๆ กับลมหายใจสุดท้ายของ ลอร์ด อาชชี่ ซัลวาตอเร แมคเดอมอทท์ ดา โคเว่น เขาสิ้นชีวิตลงบนลานประหารด้วยวัยเพียงสามสิบปี

    ตลอดเวลานับตั้งแต่เริ่มมีการบุกจับกุมและคุมขัง ชายผู้นี้ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนและครอบครัวจนวินาทีสุดท้าย แม้จะถูกย่ำยีจนสูญสิ้นความเป็นคน

    น่าเสียดายที่ไสยเวทซึ่งพวกเราใช้กล่าวหาเขานั้น ไม่อาจยื้อชีวิตเขาไว้ได้ ปาฏิหาริย์ในตำนานไม่มีจริง’

    เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ก้มหน้าก้มตาจดบันทึกเหตุการณ์ลงสมุดบันทึกอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้มือจะสั่นเทาจนตัวอักษรเริ่มกระหวัดโย้ไปมา หนำซ้ำหยาดน้ำตายังร่วงผล็อยลงบนหน้ากระดาษจนหมึกเลอะซึม ทั้งที่พยายามปาดป้ายออกหลายครั้งหลายครา

    “...ให้ตาย...สมุดเลอะหมดเลย...” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงสั่นเครือพลางถอดแว่นยกมือเช็ดน้ำตา

    ระหว่างนั้น เอเบลได้เดินเข้ามาสะกิดเขาให้หันกลับไปมองยังหน้าต่าง

    “ดูนั่นสิ...มันยังไม่จบนะ เดี๋ยวจดบันทึกไม่ครบเหตุการณ์ล่ะแย่เลย” เอเบลยิ้ม

    เอเดรียนจำใจมองตาม เห็นร่างอาชชี่ โคเว่น กำลังถูกมัดติดกับกางเขน เพรฌฆาตเริ่มตอกลิ่มไล่จากข้อมือทั้งสองข้างของเขา และเท้าตามลำดับ

    “ทำไมล่ะ เขาตายแล้วนะ เราไม่ควรจะไปยุ่งกับศพของเขาอีก!” เด็กหนุ่มร้อง

    “จดลงไปด้วยละกัน” เอเบลว่าพลางยิ้มเย้ยหยัน

    เอเดรียนยังคงเกาะขอบหน้าต่างนิ่งมองภาพนั้นด้วยความขมขื่น

     

    บนปะรำพิธี บาทหลวงตัวแทนแห่งศาสนจักรผู้ถูกส่งมาทำหน้าที่ไต่สวน เดินงุ่นง่านไปมาพลางเอาผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกตนที่มีเลือดไหลซึมจนผ้าสีขาวชุ่มสีแดงเป็นวงกว้าง

    “ตอกศพมันเข้าไป แล้วทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ จะได้สะกดวิญญาณมัน ประจานไว้อย่างนั้น อย่าเพิ่งเผา บังอาจทำร้ายข้าซะเสียโฉม ไอ้ปิศาจ!”

    ระหว่างตกอยู่ในอารมณ์โมโหเคืองแค้น เขาก็เกิดซวนเซเพราะบาดแผลที่หัว โลเทรคปรี่เข้ามาพยุง แต่บาทหลวงกลับสะบัดออกอย่างไม่สบอารมณ์

    “เจ้า! มัวยืนเหม่ออะไรอยู่ ให้ข้ากลับที่พักก่อนเถอะ เราจะไปคุยกันที่นั่น!”

    แล้วบาทหลวงจึงเดินลงไปจากปะรำพิธีเพื่อขึ้นรถม้า ออกเดินทางกลับไปยังที่พำนัก ซึ่งก็คือคฤหาสน์อลิสัน

    โลเทรคได้แต่มองตามพลางถอนหายใจ ก่อนเงยหน้ามองศพของ อาชชี่ โคเว่นที่โดนตอกตรึงกางเขนอยู่เหนือหัว เฝ้าครุ่นคิดถึงประโยคภาษาโบราณและคำสาปแช่งนั้นที่ชายหนุ่มผมดำพูดซ้ำๆ ก่อนตาย

    "อนิมุส ทอเกอรี รีครี"

    เขาพึมพำ พลันเกิดอาการกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้หากว่าดวงตาไม่ได้ฝาด ชายหนุ่มมั่นใจว่าร่างนักโทษไร้ลมหายใจกำลังลืมตาจ้องมองเขาเขม็งด้วยความอาฆาตแค้น

    บุตรชายแห่งตระกูลผู้เป็นเจ้าของตำนานการว่าจ้างนักปราบปิศาจถึงกับผงะถอยออกมาด้วยความตระหนก หัวใจเต้นสั่นระรัว ก่อนหลับตาสะบัดศีรษะ แล้วแข็งใจฝืนลืมตาขึ้น ลองจ้องมองศพอีกที กลับพบว่า ร่างไร้ลมหายใจนั้นยังคงคอตกอยู่เช่นเดิม

    เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ชายหนุ่มผมทองจึงไม่รอช้ารีบเดินลงไปจากปะรำพิธีเช่นกัน

     

     

    ‘ปรากฏการณ์นี้ได้รับการโจษจันไปทั่วว่าเป็นสัญญาณแรกแห่งการติดต่อกับโลกวิญญาณได้สำเร็จอีกครั้งของพวกโคเว่น ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ แล้วเรากำลังจะเผชิญกับสิ่งใด เพราะจนล่วงเลยเข้ายามราตรี ทุกอย่างก็ยังคงเงียบสงบ’

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×