ตอนที่ 6 : Chapter 5: Coffee Prince
ผลั่ก!
มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆที่วีนัสพุ่งตัวเข้าหาบุคคลปริศนาหลังไม้สูงแล้วจับเหวี่ยงหลังเข้ากระแทกต้นไม้ มันค่อนข้างแย่ที่ ณ มุมที่ยืนอยู่ช่างมืดเสียจนมิอาจเห็นใบหน้าของคู่ต่อสู้ได้ชัดเจนและนั่นกำลังทำให้เขาเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
เจสเตอร์ค่อยๆผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆทนกับทั้งอากาศที่แห้งหนาวของพื้นที่และแรงกดจากฝ่ามืออีกคนบนคอ ทว่าใบหน้าก็ไม่วายเรียบนิ่งไร้ซึ่งการแสดงความเจ็บปวด ภายใต้ความเงียบนั้นเขาได้ยินเสียงหอบเบาๆจากคนตรงหน้า ลอบมองรอยฉีกขาดตามเสื้อยืดทีละจุด ก่อนจะจำต้องหยุดยามแรงบีบกำลังทวีขึ้น
ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด และเจสเตอร์ก็มั่นใจในระดับนึงว่าวีนัสคงตกใจไม่มากก็น้อย แสงสลัวๆของจันทร์สาดพาดลงมาบนสันกรามคมและชุดประจำตำแหน่งสีขาวซีด พลันดวงตาที่เรืองอร่ามก็กลับค่อยๆอ่อนลง จนกระทั่งแสงนั้นสิ้นลับหายไป
มุมปากหยักยกยิ้มขึ้นเล็กๆก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งของตัวเองยกขึ้นกุมมือเล็กของวีนัสที่กำลังยกเขายันกับไม้อยู่ไว้ เขาเกือบพลาดไปแล้วกลับความเร็วที่น่าเหลือเชื่อและแรงมหาศาลจากร่างๆผอมบางตรงหน้าหากไม่รีบพลิกตัวให้อยู่ในท่าที่พอทนได้เสียก่อน พลันปลายนิ้วเยือกเย็นก็สัมผัสเข้ากับหลังมือเนียน เป็นที่วีนัสจะเป็นฝ่ายตกใจและรีบคลายมือออก
นับว่าเป็นโอกาสทองของเจสเตอร์ที่เขาสามารถเห็นการเกิดขึ้นของสิ่งนั้นได้ทันเวลา ทว่ามันคงอาจยังไม่พอที่จะจับกุมกบฏผู้นี้ วีนัสเป็นผู้ทดลองที่ชาญฉลาดอีกทั้งยังมีพลังเรตสูงที่แม้แต่นักวิจัยในองค์กรยังไม่สามารถตีค่าได้ นั่นแปลว่าหากทำอะไรผลุนผลันเสียตั้งแต่ตอนนี้ อาจไม่ได้ทั้งเจ้าตัวแล้วเขาเองก็คงมีสิทธิ์ได้ไปทำหน้าที่ที่เหลือในโลงศพเช่นกัน
เหมือนว่าประกายหิมะที่โปรยปรายลงมาตรงหน้าระหว่างพวกเขาจะเป็นสิ่งที่ดึงวีนัสออกจากภวังค์ ดวงตาสั่นไหวและขาที่ก้าวถอยหลังคือหลักฐานชั้นดีของความกลัว แต่แล้วมันก็ถูกปกปิดอย่างแนบเนียนอีกครั้งยามบุคคลสวยซ่อนมันไว้หลังม่านตา ไม่ทันไรวีนัสก็หายไปด้วยความรวดเร็วอีกครั้งผ่านตัวเขาไปกับหิมะแรกของปีที่ตกลงมาทักทาย โอบกอดด้วยความเยือกเย็นและโดดเดี่ยวของใครก็ตามที่เงยหน้าขึ้นไปมองผืนฟ้าของค่ำคืน เช่นเดียวกับเจสเตอร์ที่ถูกทิ้งไว้กับสิ่งที่หลงเหลือเพียงกลื่นอายกาแฟจากอีกคน…
۞
มันแย่…
แย่มากๆที่เขาไม่ทันได้ระวังตัวขนาดนี้
สองขาเรียวยังผลัดวิ่งไปด้านหน้าตามทางที่เข้ามาอย่างไม่ผ่อนแรง ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยเป็น ความหวั่นกลัวที่ก่อตัวขึ้นหลังจากเหตุการ์ณเมื่อครู่ ใครคนนั้นเป็นคนแรกที่เขาไม่เห็นค่าพลังและความเย็นจากอีกฝ่ายกำลังทำให้เสืออย่างวีนัสกลัว
หนึ่งจังหวะการกระทบพื้นเท่ากับอัตราการเต้นของอวัยวะในอกข้างซ้าย และมันก็ไม่น่าดีใจเสียเลยที่ตอนนี้จำต้องวิ่งด้วยความเร็วสุดชีวิต แสงจากไฟถนนด้านหน้านั้นอยู่อีกไม่ไกล แต่แล้วแรงที่มีอยู่ก็แลจะลดลงไปอย่างรวดเร็วๆ คงต้องโทษตัวเองที่วิ่งอย่างบ้าพลังเข้ามาในป่าแล้ว ขากลับมันเลยได้ล้าและเมื่อยได้ขนาดนี้ หากเขาเชื่อและฟังลีโอสักนิด ออกกำลังกายนิหน่อยร่างกายที่ถูกพักมาสองปีคงไม่ทรุดลงไปขนาดนี้ แต่แล้วทำไมทุกอย่างถึงได้อยากเข้าเล่นงานกันวันนี้เสียด้วย
โคนต้นไม้หลายต้นคล้ายจะเอนเอียงและงอลงจนน่าตกใจ พลันทัศนวิสัยก็พร่ามัว ฝ่าเท้าทั้งสองข้างขยับช้าลงทั้งที่ใกล้จะถึงทางออกอยู่ร่ำไร วีนัสจำต้องยกมือขึ้นประคองหัวอย่างช่วยไม่ได้ที่ดันมาปวดกะทันหันเอาตอนนี้ ตามรอยเท้าของตัวเองที่ฝังลงบนหิมะขาวปุยไป ทว่าสุดท้ายมันก็ยังไม่พอที่จะพาตัวเองกลับบ้านได้ในตอนนี้
ผลึบ!
แรงเหนี่ยวที่ข้อมือเพียงเบาๆจับให้วีนัสที่เดินเซอยู่แน่นิ่งไป และแม้ว่าตอนนี้จะเริ่มอ่อนแอเท่าใด เจ้าของโครงหน้าเรียวก็ไม่วายหันไปขมวดคิ้วมุ่นให้คนที่เข้ามาขัดทำตัวน่ารำคาญ อีกครั้งที่มันทั้งมืดและเปลี่ยวจนไม่สามารถแยกได้เลยว่าใครคนนั้นที่กำลังจับข้อมืออยู่นี้เป็นใคร วีนัสพยายามใช้มือข้างที่เป็นอิสระผลักมันออก หากเป็นตอนที่ยังมีแรงดีมันคงหลุดไปได้อย่างง่ายๆแล้ว
“อย่าเพิ่งออกไปตอนนี้”
เสียงของใครคนนั้นที่ทั้งทุ้มและต่ำเอ่ยออกมาด้วยโทนเสียงเรียบๆ กลับความรู้สึกที่เหน็บหนาวไม่ต่างจากหิมะที่กอบกุมอยู่รอบตัว พลันทุกอย่างตรงหน้าก็เอนลงจนกระทั่งมันหายไป…กลายเป็นความมืด
นีฟยกแขนขึ้นรองร่างบางตรงหน้าไว้อย่างทันการ์ณ สายตาเรียวเล็กแหลมคมเฝ้ามองใบหน้าของหนึ่งในผู้ทดลองที่ถูกไล่ตามอย่างช้าๆ สำรวจโครงหน้าและองค์ประกอบงาม ก่อนจะตัดสินใจช้อนตัววีนัสขึ้นเดินไปหลบหลังไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แสงจากไฟฉายยังสอดส่องตามหาอยู่ด้านนอก ไม่ต้องคิดให้ยากเลยว่าเกิดออกไปเสียตอนนี้ก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกนั่นอีกครั้ง
เกือบยี่สิบต่อมา ตอนนั้นร่างสูงใหญ่ของนีฟและคนไร้สติในอ้อมกอดถึงได้มาโผล่อยู่ตรงหน้าสิ่งก่อสร้างขนาดเล็ก ที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านของวีนัส ไฟบางดวงยังไม่ถูกปิดทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจไปกว่านั้น คือการที่เงาลางๆของใครคนหนึ่งยังเดินวนไปมาอยู่ด้านใน
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูกระจกของบ้านก็ดังขึ้น เรียกให้ลีโอที่เอาแต่มุ่นคิดเกี่ยวกับการหายไปของเพื่อนบ้านได้สติขึ้นมา รีบวิ่งไปยังต้นเสียงแล้วเปิดม่านขุ่นออก พร้อมๆกับที่ดวงตาพลันเบิกกว้างกับภาพที่ไม่คาดคิด
ยอมรับเดี๋ยวนั้นเลยว่าวินาทีที่เห็นคนแปลกหน้ากับร่างของวีนัสอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกด้านในมันหลากหลายจนไม่อาจแยกออก แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดกว่าเพื่อนคือความไม่พอใจ ไม่ชอบใจเสียเลย โชคดีของนีฟที่เขาเป็นคนใจเย็นพอที่จะถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่พุ่งเข้าไปซัดเสียก่อน
ฝ่ามือขาวเลื่อนไปเปิดประตูออกอย่างร้อนใจ ไม่ทันได้เห็นสายตาของแขกตัวใหญ่กว่าที่จ้องมองเขาอยู่เงียบๆในตอนที่ลีโอรีบเข้าไปคว้าร่างของเพื่อนบ้านเข้ามาไว้ในกอดของตัวเองแทน ไล่สายตามองตามร่างเล็กก็ต้องตกใจที่มันทั้งเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและแผลถลอกต่างจากก่อนหน้านี้ จับให้วีนัสขึ้นหลังก่อนจะเอ่ยชวนให้แขกคนใหม่เข้าบ้านตามไป
สงสัยอีกไม่นานบ้านเขาก็คงจะมีผู้อยู่อาศัยพอที่จะเปิดอพาร์ตเมนต์
ลีโอหายเข้าทางเดินมืดๆของบ้านไปสักพัก ทิ้งให้แขกอย่างนีฟนั่งรอนิ่งอยู่กลางบ้าน เขาเลือกที่ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำฝั่งใต้ของบ้านแทนที่จะเป็นห้องนอน กดระบบให้เตรียมน้ำอุ่นๆก่อนจะวางร่างวีนัสลงไปในอ่างหินอ่อนอย่างถนุถนอม หาหมอนมารองศีรษะให้อีกคนก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมรกหน้าให้ออกไปเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายจากอากาศหนาวที่ผ่านมา และเขารู้ดีว่าวีนัสไม่ชอบการที่กลับไปที่ทั้งที่เจ้าตัวยังเปื้อนเช่นนี้อยู่ มันเนิ่นนานเสียกว่าจะทันรู้ตัวว่าใครอีกคนรออยู่ด้านนอก
เขากวักสายน้ำอุ่นนี้รดรินตามตัวอีกคนอย่างเบามือ ถูวนเบาๆบนแผลบางจุดโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังแสดงสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใยออกมามากเท่าใด เปลือกตาบางสีมุขยังคงปิดแน่นิ่งสนิท ในขณะที่คนตรงนี้ไม่อาจหยุดความสั่นไหวในดวงตาได้ ตลอดสองปีที่ผ่านมาวีนัสไม่เคยหายออกไปจากบ้าน และเขาก็มั่นใจพอว่าการกระทำแค่นั้นในห้องพยาบาลเมื่อเย็นไม่มากที่จะทำให้อีกคนอารมณ์เสียขนาดนี้ได้ มันคงมีอะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้…หรือไม่ก็เป็นวีนัสเองที่ไม่ได้อยากให้ใครรู้ตั้งแต่แรก
ชาอุ่นๆถูกวางลงตรงหน้านีฟ ไอร้อนหอมของมันโชยขึ้นมาทว่ากลิ่นอายที่แปลกใหม่ทำให้แขกของบ้านเกิดแปลกใจกับสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ
“นี่อะไร”
“ชาร้อน”
“เดี๋ยวนี้ยังมีใครดื่มของแบบนี้อยู่อีกหรอ”
“มีสิ พวกชนชั้นสูงไง แต่อย่าเข้าใจผมผิด นี่ไม่ใช่ของผมหรอก” สิ้นประโยคคิ้วดกดำของแขกตรงหน้าก็ยกขึ้นแทนคำถาม
“ของคนที่คุณเพิ่งอุ้มมาส่งต่างหาก” เท่านั้นริมฝีปากแห้งๆของนีฟก็อ้าออกแสดงถึงความเข้าใจ พยักหน้าช้าๆก่อนจะลองหยิบเครื่องดื่มแปลกตาตรงหน้าขึ้นจิบ
เพราะคนส่วนใหญ่น้อยนักที่จะรู้จักของพวกนี้ ตั้งแต่โลกาภิวัตน์ครั้งใหญ่หลังสงคราม การเป็นอยู่ของผู้คนก็แปรเปลี่ยน มีเพียงไม่กี่คนในประเทศเท่านั้นที่จะได้ลิ้มลองของพวกนี้และนั่นก็ล้วนเป็นผู้มีอำนาจใหญ่โตและมหาเศรษฐีเท่านั้น ชนชั้นล่างและกลางอย่างพวกเขาถูกป้อนเพียงเม็ดบีทส์เล็กๆของน้ำที่พอประทังชีวิตต่อหนึ่งวัน มันอาจฟังดูแปลกที่ของน่าตื่นตานี้กลับมาอยู่กับชนชั้นกลาง ทว่าสิ่งหนึ่งที่พวกเขารู้ดีเลยนั่นคือรสชาติของเครื่องดื่มจริงที่ถูกบิดเบือน
ทันทีที่ริมฝีปากสัมผัสกับความร้อนจากปลายแก้วกระเบื้อง พลันกลิ่นหอมละมุนของใบชาที่ถูกบรรจงบทและต้มด้วยน้ำร้อนต้มสุกอย่างดีก็ตีเข้าใส่ เพิ่มด้วยความหอมกรุ่นจากส่วนผสมอีกหนึ่งอย่างที่ยังไม่ทราบชื่อ แต่โดยรวมแล้วรสชาติที่ได้รับช่างน่าพิศวงและนุ่มนวลนเวลาเดียวกัน เสมือนว่าได้ไปวิ่งเล่นเก็บใบชาในไร่ใต้แสงอาทิตย์ที่ไม่ร้อนอบอ้าวเกินไปของวัน
นีฟหลับตาพริ้มและดื่มมันเข้าไปหมดแก้วด้วยความรวดเร็วจนลีโอตกใจและเกรงว่ามันจะร้อนเกินไปเสีย ทว่าอีกคนกลับไม่มีท่าทีใดๆกลับกันยังเอาแต่นั่งเลียริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เช่นนั้น
“อยากได้เพิ่มก็บอกดีๆ เลิกนั่งทำน่าตาประหลาดนั่นได้แล้ว”
“ฮ่าๆ ยกโทษให้ผมเถอะ มันแปลกความรู้สึกจริงๆ ว่าแต่นี่อะไร”
“นั่นข้าวคั่ว หาได้แค่ที่บ้านผมเนี่ยแหละ”
“น่าเหลือเชื่อจริงๆ มัน…อืม ผมอยากจะได้อีกสักแก้ว” ว่าจบเจ้าของบ้านอย่างลีโอก็รินชาใส่แก้วอีกครั้ง คราวนี้เขาเลือกที่จะนั่งลงหลังจากยืนพิงเคาน์เตอร์เฝ้ามองพฤติกรรมของผู้มาเยือนใหม่อยู่นาน
“พอจะเล่าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” คนตรงหน้ากลืนของเหลวในปากลงไป ก่อนจะค่อยๆวางแก้วที่เหลือชาไว้นิดลง
“อ่า ไม่จำเป็นต้องใส่มันหรอก ผมบอกเองได้” ตอนนั้นเองที่ลีโอแปลกไปแล้วเริ่มระวังตัว เพราะจู่ๆแขกคนใหม่ที่ยังไม่รู้จักอะไรก็เอ่ยห้ามไม่ให้เขาใส่แว่นอ่านเรตพลัง
“ผมนีฟ KN-12 Epimetheus* เรตเอบวก” เขาพูดทุกอย่างจบทั้งที่ลีโอยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม และข้อมูลนั้นที่ว่ามาจากตึกหลวงก็มากพอที่จะทำให้เขาลดความระแวงลง ผู้ทดลองเรตสูงอีกคนแล้วที่มาปรากฏตัวและเดาไม่ยากเสียเลยที่ว่าคนคนนี้จะเป็นอีกบุคคลที่รัฐกำลังตามตัวเช่นกัน
“ยินดีที่ได้พบ ผมลีโอ”
“ไม่ค่อยแฟร์นะ แต่ช่างเถอะ”
“การที่คุณกลับมาพร้อมวีนัสเกี่ยวข้องอะไรกับพลังมั้ย”
“แน่นอน โชคดีของเพื่อนคุณที่ผมดันเห็นว่าเขาไม่มีทางกลับบ้านได้ด้วยตัวเอง ทั้งๆที่ทหารก็เฝ้าอยู่หน้าทางเข้า ผมเลยไปดักรอเขาไว้ใกล้ๆ”
“ทำไมวีนัสถึงจะกลับไม่ได้”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่แน่ใจ แต่เขาก็ดูเพลียมากแล้วจากที่เห็น เหมือนจะ…วิ่งหนีอะไรสักอย่าง” ลีโอเลือกที่จะไม่โต้ตอบอะไรและรับฟังเงียบๆก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อะฮึ่ม แล้วก็ผมอยากจะขอที่พักสักหน่อยสำหรับสองสาม-”
“วัน?”
“เดือนครับ”
“ให้ตายเถอะ…เกรงว่าคุณอาจจะได้นอนโซฟา ตอนนี้ห้องเต็มหมดแล้ว”
“แน่นอน ผมไม่เรื่องมากหรอก” บทสนทนาจบลงเท่านั้นก่อนที่เจ้าบ้านอย่างลีโอจะลุกขึ้นหันกลับเตรียมเข้าห้องไปด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง เรื่องอะไรกันที่ทั้งเจ็ดคนจะต้องมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เขาอาจจะยังไม่รู้ว่ามันมีเงื่อนงำอะไร แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่ความบังเอิญที่ผู้ทดลองทั้งเจ็ดคนจะไร้บ้านแล้วมาที่แห่งนี้เป็นแน่
เป็นจังหวะเดียวกับที่นีฟค้อมหัวขอบคุณแล้วลุกขึ้นจะไปเก็บถ้วยชา แต่แล้วสิ่งหนึ่งที่จะทำลายชีวิตทั้งลีโอและเขาไปตลอดกาลก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เมื่อแก้วกระเบื้องลายสวยที่ควรจะอยู่บนมือกลับลื่นหลุดออกไป ตกกระทบพื้นไม้เรียบสีเข้มจนกระทั่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และมันคงจะไม่มีผลอะไรเลยหากว่ามันไม่ใช่ของหายากที่วีนัสทุ่มแรงไปหาถึงสามอาทิตย์
เพล้ง!
…
“ฮ่าๆ ขอโทษจริงๆ พอดีว่าแก้วลื่นไปหน่อย แหมไม่เคยได้เห็นของแบบนี้คงจะโทษผมไม่ได้หรอกนะ”
“นีฟ!!!”
อาทิตย์ขึ้นแตะขอบฟ้านานแล้วกว่าที่เปลือกตาจะขยับเปิดขึ้นเผยให้เห็นสีตาปกติอย่างฟ้าเหลือบเทาของวีนัส เจ้าของร่างที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงพร้อมเสื้อผ้าที่เปลี่ยนให้สะอาดกว่าเมื่อคืน ตอนนี้ไม่ได้มีความวิงเวียนหลงเหลือแล้ว จะมีก็แต่ความรำคาญตาจากบาดแผลบนตัวที่ได้แต่นึกขัน เพราะก็เป็นเข้าเสียอยู่ดีสร้างมันขึ้นมา
เหลือบมองยามยันตัวลุกขึ้นมานั่งเล็กน้อยก่อนจะผุดยิ้มเล็กขึ้นให้กับชุดนอนที่สวมใส่ ผ้าขาวที่ทั้งบางและสั้น สมแล้วกับที่เป็นเพื่อนร่วมบ้านจอมหื่นอย่างลีโอ เขานึกย้อนทวนเรื่องราวสักพักก่อนจะเดินออกจากห้องมาไปหาอะไรทานเป็นมื้อเช้า
เช่นเดิมอย่างทุกวันที่กลิ่นหอมๆของเวลาเก้านาฬิกาตอนเช้าจะโชยมาพร้อมกับแก้วน้ำส้มคั้นสดที่วางอยู่บนโต๊ะ วีนัสจับให้เสื้อคลุมสีกรมคู่ตัวของตัวเองกระชับขึ้นเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง มองแผ่นหลังกว้างของเพื่อนร่วมบ้านที่ยืนมุ่นอยู่หน้าเตาอยู่
“ตื่นแล้วหรอ”
“อืม หาส้มมาจากไหน”
“ผมใช้ให้พวกนั้นไปซื้อให้”
“ไม่โดนหรอ? ทำไมชอบสอนให้คนไปขโมยนักนะ”
“หึ ก็เห็นหาทางกลับมาได้ตอลด” วีนัสยิ้มขำกับประโยคนั้น ต้องขอบคุณการมีเพื่อนบ้านที่มากขึ้นเพราะส่วนหนึ่งก็มีคนช่วยแบ่งเบาภาระแลกกับที่พัก นับได้ว่าเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเสียเปรียบ
“ยังปวดอยู่ไหม”
“ไม่ แช่น้ำอุ่นดีขึ้นเยอะ”
“ดีแล้ว แต่ผมคงโมโหอยู่ดีที่มีแผลเพิ่มขึ้นมาบนตัวคุณ”
“อย่าเยอะลีโอ มันเป็นเรื่องธรรมดา”
“ก็ยังไม่ใช่กับคุณชายของผม”
วีนัสเงียบไปก่อนจะยกดื่มน้ำส้มในแก้ว ไม่นานจานอาหารเช้าก็มาเสิร์ฟพร้อมไข่ดาว ขนมปังปิ้งและแยม ไส้กรอกราดซอสพริกและเบคอนหอม ทั้งนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาชนชั้นกลางเกือบล่างหายากมากนัก แต่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ตอนไหน เขาก็ยังไม่เคยจะอดอยากเพราะลีโอเลยสักครั้ง
“อ้อ ตอนกลางวันไม่ต้องทำอะไรให้นะ ฉันจะออกไปข้างนอกกับแมททีโอสักหน่อย”
“แล้วทำไมต้องไปกับคนอื่นด้วยครับ”
“นายอยู่บ้านไปเถอะ ดูแลแขกของนายซะ แล้วก็”
“…”
“ให้เขาทำความสะอาดชดใช้ค่าแก้วที่ทำแตกไปซะ” ลีโอลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก ราวกับว่ามีก้อนความผิดที่ยังไม่ได้สารภาพติดอยู่ด้านใน แต่ก็เหมือนว่าเขาจะลืมว่าในห้องของวีนัสนั้นมีจอมอนิเตอร์ควบคุมกล้องวงจรปิดทุกตัวของบ้านไว้อยู่
“ผมจะบอกเขาให้ คุณทานให้อร่อยเถอะ” และแล้วเจ้าของบ้านก็ได้แต่เดินคอตกกลับไป นั่งสำนึกผิดเงียบๆบนเก้าอี้ข้างโซฟา นึกหาทางปลุกแขกตัวใหญ่คนนี้ให้ตื่นขึ้นมาเร็ว แล้วมาชดใช้กรรมกับเขาเสียเดี๋ยวนี้
เป็นไปอย่างที่พูด ช่วงบ่ายของวันหลังจากที่ได้แต่นั่งและนอนเล่นอยู่เฉยๆวีนัสก็ลุกไปชวนแมททีโออกข้างนอก ทิ้งให้เจ้าของบ้านกับแขกอีกสองคนเฝ้าบ้านไป และหากลองตัดเจฮันที่เอาแต่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆคนเดียวออกไป ก็เหลือแต่ลีโอและนีฟเท่านั้นที่เอาแต่ไล่เถียงกันว่าใครจะทำส่วนไหน แม้ว่าในตอนสุดท้ายเจ้าของผิวขาวจะเป็นคนทำเองทั้งหมดเพราะความเป็นตัวทำลายล้างของอีกคน
ถนนคนเดินย่านชินซาดงคือที่โปรดปรานของวีนัส ไม่แปลกที่จะเห็นเขาโผล่มาที่นี่บ่อยครั้ง คนด้านข้างก็เอาแต่เงยหน้ามองตึกสูงใหญ่รอบข้างอย่างตื่นตาตื่นใจ จนบางครั้งเขาก็คิดว่าเขาเห็นประกายเล็กๆในสองตาคู่นั้น แมททีโอเดินตามติดเขาไปอย่างใกล้ๆกลัวว่าอาจจะพลัดหลง ซึ่งนั่นก็ดีเพราะความแออัดของที่นี่ก็นับว่าเป็นปัญหาอยู่
พวกเขาเลือกเดินเข้าไปนั่งเล่น ณ ร้านประจำหัวมุมก่อนจะเอ่ยชักชวนให้แมททีโอลองเครื่องดื่มสมัยเก่า และในส่วนของวีนัสที่สั่งกาแฟมาเช่นเดิม ทว่าวันนี้นั้นค่อนข้างต่างออกไปตรงที่คุณชายพกเอาโน๊ตบุ๊คพกพาขนาดเล็กติดตัวออกมาด้วย หยิบเอาแว่นกรอบบางทรงกลมจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายขึ้นใส่ ก่อนจะเพ่งความสนใจทั้งหมดตรงไปที่มัน
แมททีโอที่นั่งอยู่ตรงนั้นสับสนกับสถานการณ์ว่าตนควรจะทำอะไร เอาแต่นั่งกอดแก้วชาเย็นตรงหน้าเล่นพลางมองสลับกับเจ้าของบ้านคนสวยอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าหยิบจับหรือขยับอะไรเพราะเกรงว่าจะไปขัดสมาธิอีกคน หาได้รู้ไม่ว่าสายตาจากเขาเสียนั่นแหละที่ทำให้วีนัสเงยหน้าขึ้นมา
ยอมรับลงตรงนั้นเลยว่าโครงหน้าเรียวที่รับเข้ากับกรอบแว่นสีเงินสวยอย่างกับอะไรเหมือนกับภาพวาดในงานศิลปะที่แขวนอยู่บนผนัง งดงามราวกับว่าถูกสร้างขึ้นมาด้วยปลายพู่กัน เกือบจะเหมือนว่าคนคนนี้ไม่มีตัวตนอยู่จริงและเป็นภาพที่เพ้อฝันไป แมททีโอได้แต่นั่งตาลอยอยู่อย่างนั้นก่อนที่เสียงเอ่ยชมจะดังขึ้น
“นายน่ารักดีนะ” แล้วก็พลันพวงแก้มใสของคนตัวเล็กกว่าอย่างแมททีโอขึ้นสีระเรื่อ น่าแปลกที่ถูกผู้ชายชมกันเองแบบนี้ จะเป็นไปเพราะความเอ็นดูหรืออะไรก็ตามแต่ ตอนนี้เขาว่าเริ่มมีแววที่จะชนะลีโอขึ้นมาบ้างแล้ว
“ค…คุณวีนัสก็เหมือนกันครับ! ขอบคุณที่พามาวันนี้จริงๆนะครับ”
“ไม่ต้องพูดเป็นทางการก็ได้ ฉันว่าเราก็เหมือนเพื่อนกัน เรียกวีนัสเฉยๆ…ทำได้ไหม”
“ได้ครับ! เอ้ย ได้สิ ว่าแต่วันนี้เรามาทำอะไรกัน..หรอ”
“ฉันพานายออกมาเปิดหูเปิดตา ส่วนฉันก็ออกมาจัดการอะไรสักหน่อย”
“อ่าครับ ว่าแต่บุคลิกวีนัสดูยากจังนะ ผมยังไม่ค่อยจะกล้าพูดอะไรเท่าไหร่เลย”
“นายพูดออกมาแล้วต่างหากแมททีโอ ไหนๆก็ไหนแล้ว ช่วยเอาชาแก้วนี้ไปเติมให้ทีสิ”
“ได้ครับ”
วีนัสชอบบรรยากาศร้านนี้เพราะลูกค้าทุกคนจะได้ทำอะไรเองอย่างเมื่อก่อน ไม่มีการใช้หุ่นยนต์หรือนวัตกรรมใหม่ใดๆ พนักงานที่ทั้งใจดีและนอบน้อมสมกับคอนเซ็ปต์ร้าน เคยได้ยินถึงเรื่องราวมาเนิ่นนานว่าที่แห่งนี้อยู่ยาวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันไม่ได้เป็นที่รู้จักหรือโด่งดัง ทว่ารสชาติกาแฟที่อัดแน่นไปด้วยความใส่ใจนั้นคือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อน เจ้าของร้านคนเก่าสองคนเสียไปนานแล้วหลังจากซื้อร้านแห่งนี้ต่อ ลูกหลานก็สืบทอดต่อกันมาด้วยความภูมิใจในมรดกกับชื่อร้านที่ไม่เคยคิดเปลี่ยน
‘Hundred and One’
แต่จนแล้วจนเล่าแก้วกาแฟที่ให้แมททีโอไปเติมก็ยังไม่กลับมากับเจ้าตัว วีนัสตั้งใจจะละสายตาออกจากหน้าจอสักพักเพื่อมองหา ก่อนจะเห็นเป็นร่างเล็กของแมททีโอเองที่กำลังวิ่งตามใครกลับมาอยู่
“วีนัสครับ! ผมบอกเขาแล้วนะว่าจะถือกลับมาเอง แต่เขาไม่ยอมยื่นให้เลย” เจ้าของแก้วกาแฟหันไประบายยิ้มจางผ่านริมฝีปากหากใช่ดวงตาให้แมททีโอไปก่อนจะส่ายหน้าว่าไม่เป็นไรแล้วกวักมือให้กลับมานั่ง และแล้วก็เปลี่ยนทิศทางไปหาคนที่ยืนค้ำหัวพร้อมแก้วของเขาในมืออยู่นั่นเอง
ช่วงจังหวะการหายใจราวจะติดขัดไปสักพักก่อนจะพยายามอย่างมากเพื่อให้มันกลับมาเป็นปกติ วีนัสหลุบตาลงต่ำครู่หนึ่งก็ถอดแว่นแล้วเงยขึ้นมาสบตาอย่างเดิม ยกยิ้มจนตาปิดให้คนตรงหน้าที่เอาแต่ยืนมองกันอยู่เฉยๆ
“สวัสดียามบ่าย คุณเจสเตอร์ ไม่ทราบว่าวันนี้มาในธีมพนักงานเสิร์ฟหรอครับ”
“ผมอาจจะแค่อยากลองอาชีพใหม่”
“แหมๆคงจะบังเอิญจริงๆที่เรามาเจอกันในร้านเล็กๆแบบนี้” ต่างคนต่างรู้ว่าใครอีกคนไม่เป็นมิตร แต่สงครามสายตาก็ยังเกิดขึ้นต่อไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้แมททีโอได้แต่ยืนงงในดงคนหล่อมองสลับใบหน้าทั้งสองไปมาก่อนจะวกระดึ้บๆตัวไปหาวีนัสแล้วกระซิบถามแทนการพูดออกไปตรงๆ
“รู้จักกันหรอครับ”
“เปล่าหรอกครับ คุณลูกค้าคงแค่เห็นชื่อผมบนป้ายชื่อก็เท่านั้น” เป็นเจสเตอร์ที่ตอบปัดก่อนจะใช้ไหวพริบเพื่อชี้ให้เห็นบนอกด้านขวา นับว่าดูดีไม่น้อยเลยที่ได้เห็นทหารนอกเครื่องแบบในร้านกาแฟเล็กๆย่านนี้ วีนัสนึกขัน รีบบอกให้อีกคนกลับไปก่อนที่แมททีโอจะอึดอัดไปมากกว่านี้
“ขอบคุณสำหรับกาแฟ ผมเกรงว่าเพื่อนของผมจะไม่ค่อยชอบใจกับการมาเสิร์ฟของคุณเสียเท่าไหร่”
“ขออภัยคุณลูกค้า ผมจะกลับเดี๋ยวนี้”
ร่างสูงเอ่ยตอบก่อนจะเดินจากไปพร้อมๆกับที่แมททีโอยอมนั่งลง ไม่วายก็ยังหันมามองวีนัสตาปริบๆเหมือนอยากจะถาม แต่เพราะการที่อีกคนไม่ได้มองเขากลับนั้นก็พอจะเป็นคำตอบที่ดีได้อยู่แล้วว่ามันไม่มีคำอธิบายใดๆสำหรับเขา
เวลาล่วงเลยไปอีกเกือบสองชั่วโมงกว่าวีนัสจะจัดการธุระในโน๊ตบุ๊คเสร็จ ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆแล้วและควรแก่การกลับบ้านเสีย เหลือบมองคนตรงหน้าที่นอนฟุบลงไปกับโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทั้งๆที่จำได้ว่าบอกให้แมททีโอออกไปเดินเล่นแก้เบื่อแล้วก็ยังไม่ยอมไป สุดท้ายก็เซลงหาโต๊ะเสียจนได้ เจ้าของใบหน้าสวยหมุนคอคลายเมื่อยสักพักก็เอ่ยปลุกคนที่หลับอยู่เบาๆ…ด้วยการกระซิบ
“ตื่นได้แล้วนะ”
“!!!”
ไม่ทันไรเจ้าตัวก็รีบเด้งตัวขึ้นทันที หาใช่เพราะเสียงที่แหบติดหวานของวีนัส หากแต่เพราะความเย็นจากแก้วชาตัวเองต่างหากที่ถูกยกขึ้นแนบเข้ากับแก้มอย่างจังจนต้องรีบตื่นก่อนที่ความรู้สึกชาจะเพิ่มไปมากกว่านี้ แมททีโอยกมือแก้มพลางหยิบแก้วขึ้นมาเตรียมไปทิ้ง
“วางไว้นั่นแหละ เดี๋ยวพนักงานก็มาเก็บ” เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามอีกคนออกไปอย่างที่เดินเข้ามาในตอนแรก เงยหน้ามองป้ายชื่อหน้าร้านเล็กน้อยด้วยความสงสัย ว่าเป็นได้อย่างไรกันนะที่ร้านเมื่อเกือบเก้าสิบปีที่แล้วจะยังหารายได้ในยุคใหม่ได้ถึงขนาดนี้ พลันเสียงที่ไม่ดังถึงกับตะโกนแต่ก็ไม่ได้เบาจนไม่ได้ยินก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เรียกให้สองร่างที่กำลังเดินออกชะงักลงแล้วหันกลับ แต่ก็เป็นแมททีโอที่ตีหน้าเบื่ออีกครั้งเพราะบุคคลที่ไม่น่าเสวนาด้วย
“See you again, Coffee Prince.” said Jester.
“For sure, Mister Barista.” answered Venus.
/
17:08
ตอนนี้เขากำลังอยู่ข้างนอกกับเพื่อนบ้านคนสวยที่อ้อนวอนให้ขับรถออกมาที่ไหนสักแห่ง แม้ว่าที่จริงเจ้าตัวจะกลับมาบ้านพร้อมแมททีโอตั้งแต่ก่อนค่ำ ยังไม่วายหาเรื่องออกมาอีกจนได้ ถนนที่ตอนนี้ทั้งเปลี่ยวและมืดสนิทกับยานกระจอกๆลำนึงที่ไม่รู้ว่าจะพังลงเมื่อไรที่มีคนขับอย่างลีโอ
ไม่มีใครชวนคุยอะไรและทั้งยานก็เงียบสนิท วีนัสทำเพียงยื่นแผนที่เล็กๆให้ก่อนออกมาก็เท่านั้น จนตอนนี้เจ้าตัวก็ยังเอาแต่นั่งเสมองออกไปด้านนอกทั้งๆที่ทัศนวิสัยในตอนนี้ช่างมืดมนจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่ก็อย่างว่า คุณชายของเขาอยากทำอะไรก็ได้หมด เพราะหากจู่ๆวีนัสพูดขึ้นมาตอนนี้ว่าด้านนอกนั้นมีไดโนเสาร์ ลีโอก็คงเชื่อ
พวกเขาทิ้งให้นีฟ เจฮัน และแมททีโอได้ทำความรู้จักกันอยู่ที่บ้าน มันอาจเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะนอกจากบ้านมีสิทธิ์จะเละเพราะแมททีโอแล้ว มันอาจถูกไฟเผาเพราะความซุ่มซ่ามของนีฟได้อีกด้วย แล้วก็คงมีเจฮันที่จะเดินลากเก้าอี้ตัวเดียวออกมาตั้งด้านนอก เพื่ออ่านหนังสือและรับไออุ่นจากเตาผิงขนาดใหญ่
พื้นคอนกรีตค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นดินแห้งทีละนิด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ยานแลจะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านร้างเล็กๆแห่งหนึ่งเข้ามาเสียแล้ว ลีโอถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่ไม่คิดว่าในเกาหลีจะยังมีพื้นที่แบบนี้อยู่ พืชไม้ที่เติบโตรกไปทั่วทุกตารางนิ้วและไม่ได้รับการดูแลช่างดูน่าสงสาร เปลือกไม้ที่แห้งกรอบและบางที่่ก็ถูกคลุมทับด้วยหิมะหนา บดบังความเสียหายที่อยู่ด้านใต้ เขาขับลึกเข้ามาอีกนิดวีนัสก็บอกให้จอดลง
หน้าบ้านไม้ขนาดไม่ใหญ่มากและไม้เลื้อยที่ปิดทางเข้าอย่างหนา ลีโอมองเพื่อนร่วมบ้านที่เอาแต่จ้องสิ่งก่อสร้างตรงหน้าอยู่สักพักก่อนจะเดินอ้อมเข้าไปด้านหลังแทน ราวกับว่าบรรยากาศที่นี่พาลความเย็นนั้นลดลงยิ่งไปกว่าเดิม ลีโอจับกระชับเสื้อที่ใส่อยู่ขึ้น เช่นเดียวกับของวีนัสที่เขาเลื่อนให้มันไม่ตกลงจากไหล่แคบ ก้าวข้ามผ่านความรกร้างเข้าไปก็พบกับพื้นที่เปิดเล็กๆตรงกลาง และราวกับว่ามีบางอย่างถูกฝังอยู่ใต้ดินตรงนั้น วีนัสย่อตัวลงทั้งที่ยังหันหลังให้เขาอยู่ สัมผัสแสงจันทร์ที่ทอสาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ลีโอไม่มีโอกาสได้เห็นเลยว่าดวงตาคู่นี้กำลังเรืองอร่ามมากแค่ไหน
30 ธันวาคม…
“วันนี้วันเกิดคุณนี่” เหมือนว่าอะไรบางอย่างดลใจให้เขานึกออกแล้วพูดออกไปท่ามกลางความนิ่งสนิท วีนัสทิ้งห่างสักพักก่อนจะตัดสินใจตอบกลับมาเบาๆ
“ไม่ใช่…”
“…”
“วันตายเขาต่างหาก”
“งั้นแสดงว่านี่บ้านคุณหรอ”
“อืม ฉันมาควรจะมาที่นี่ทุกปี แต่เพราะตึกบ้านั่นไม่ยอมให้ออกมาข้างนอก”
“แล้วก่อนหน้านี้คุณได้มาไหม”
“มาสิ แต่มาคนเดียว ตอนนั้นฉันยังไม่ไว้ใจนาย” ถึงจะรู้สึกเสียใจนิดหน่อยกับคำตอบที่ได้ แต่ลีโอก็เข้าใจดีว่านั่นเป็นเพียงเกราะป้องกันของวีนัสก็เท่านั้น ในวันนี้ตอนนี้ที่เขาได้มา มันก็น่าจะมีความหมายอะไรแฝงไว้อยู่แล้ว
“คุณฝังกวางนั่นทำไม สัตว์เลี้ยงเก่าหรอ”
“ลีโอ”
“ครับ”
“ฉันเชื่อใจนายแล้วนะ เพราะฉะนั้น…ก็ได้โปรดอย่าได้มองฉันผิดที” เขาเว้นจังหวะอีกครั้ง ทว่ารอบนี้มันเนิ่นนานเสียจนคิดว่าอีกคนลืมคำถามไป แล้ว สายลมวิ่งพล่านรอบตัวและกิ่งไม้ที่ไหวติง เอนอิงรอบกายกับใบไม้สีแห้งของฤดู ลีโอยังคงรอฟังคำตอบนั้นในความเงียบกับแผ่นหลังเล็กที่ยังไม่หันกลับมาหา
“ใครจะไปคิดว่าวันนั้นฉันจะฆ่ามันกันล่ะนะ”
۞
TBC…
#อย่าจ้องกุกวี
Talk:
ขอโทษที่มาลงให้ช้านะคะแงงง T^T เราแบบเพิ่งเปิดเทอมได้ไม่นานงานก็จะเยอะๆหน่อย
จะทยอยลงให้เรื่อยเลยนะคะ อาทิตย์หน้าเราลงเรื่อง Let the sky decides นะคะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่านลองไปอ่านเวิร์สครา่วๆได้เลยนะคะ ตอนแรกจะมาอาทิตย์หน้าแล้วนะ
บ้ะบาย
สกรีมแท็ก #อย่าจ้องกุกวี
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

44 ความคิดเห็น
-
#32 K.E.Y Y (จากตอนที่ 6)วันที่ 3 กันยายน 2563 / 15:09ลึกลับมากกก รอติดตามนะคะ#320
-
#30 deffang (จากตอนที่ 6)วันที่ 11 สิงหาคม 2563 / 01:42ลึกลับมากค่าา ตามต่อ#300
-
#28 tylane_GRAVITY (จากตอนที่ 6)วันที่ 6 สิงหาคม 2563 / 02:19วีนัสเป็นจ้าวป่า? แต่ฆ่ากวาง? บ้านเดิม? มีแต่ปริศนาเต็มไปหมดเลย 😂 แอบขำคุณบาริสต้าเจสเตอร์ แค่ได้กลิ่นกาแฟจากตัววีนัสก็คือมาสมัครเป็นบาริสต้าเลย คือถ้าไม่รู้ว่าเป็นคนที่องค์กรส่งมาตามล่า เราคงคิดว่ามาจีบแล้ว อะไรจะทุ่มเทขนาดน้าน 555#280
-
#23 puncharatppai (จากตอนที่ 6)วันที่ 3 สิงหาคม 2563 / 16:01หมายความว่ายังไงอ่ะ กวางที่วีนัสหมายถึง#230