คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : -13-
โง้ยๆๆๆๆ ไรท์เป็นบ้าาาา
-13-
“ผมทนเห็นคุณต้องเจ็บตัวต่อไปไม่ได้แล้วแบคฮยอน”
ผมนั่งนิ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกพลางยกมือขึ้นกอดอก จงอินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัว เขาเอ่ยประโยคที่ผมคิดว่าไม่น่าจะพูดออกมาได้ในตอนนี้ ผมมองออกไปนอกบ้านด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าพ่อจะต่อว่าอะไรชานยอลบ้าง ผมคิดว่านี่มันค่อนข้างร้ายแรง ที่พ่อโกรธขนาดนี้คงไม่ใช่อะไร เป็นเพราะผมไม่ยอมบอกด้วยตัวเองซะมากกว่า
ผมจะไม่ให้อภัยจงอิน นี่ผมพูดจริงๆ
“เขาทำคุณเดือดร้อน คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา”
“เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะฉันไม่ใช่ชานยอล”
“ผมไม่ได้โง่นะแบคฮยอน!”
“ถ้าอย่างนั้นนายรู้อะไรมาบ้างล่ะ?” ผมย้อนถาม ในคราวแรกจงอินเกือบจะหลุดปากออกมาแล้วแต่เขาก็นิ่งไปและสบถออกมาเมื่อพูดอะไรไม่ได้ ผมหัวเราะหยันๆในลำคอส่งผลให้จงอินหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก แต่ผมก็ไม่สนใจ เขาจะต้องรู้อะไรมาแน่ๆ เพียงแต่เขาไม่พูดก็เท่านั้น
“ผมพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ เลิกกับเขาซะ”
“ชีวิตของฉันนายไม่มีสิทธิ์มาตัดสิน”
“อีกไม่นานเขาจะทำร้ายคุณ”
“ชานยอลไม่ทำร้ายฉัน เขาเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่จะทำแบบนั้น” ผมตอบกลับไปด้วยความมั่นใจก่อนจะเชิดหน้าขึ้น แว้บหนึ่งที่จงอินทำหน้าโกรธ ก่อนที่แววตาจะอ่อนลงเมื่อเห็นว่าผมโมโหเขามากจริงๆ คิมจงอินขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ผมขยับถอยออกห่าง ไม่อยากจะอยู่ใกล้เขาแม้แต่น้อย
“ผมก็แค่เป็นห่วง”
“แต่นายกำลังทำให้เรื่องบานปลาย ดูซิว่าพ่อฉันโกรธจนจะเป็นบ้าหลังจากที่ได้เห็นอะไรแค่นิดหน่อย พ่อเข้าใจว่าฉันเสียตัวไปแล้ว นี่น่ะหรอที่เรียกว่าเป็นห่วง”
“โอเคแบคฮยอน ผมขอโทษผมผิดไปแล้ว”
“ไม่ให้อภัย คราวนี้นายล้ำเส้นมาเกินขีดจำกัดของฉันแล้ว”
ผมทำหน้าตึงในขณะที่จงอินก็ยกมือไหว้ปลกๆ ยังไงก็ไม่ใจอ่อน ผมคิดว่าจงอินทำเกินไปจริงๆ ไม่คิดว่าเขาจะเอาเรื่องไปบอกกับพ่อของผมจนเป็นเรื่องขนาดนี้ เดาได้ไม่ยากว่าหลังจากนี้ชานยอลและผมเราจะเจอกันได้ลำบากขึ้น ดีไม่ดีผมอาจจะถูกกักบริเวณ และที่ร้ายแรงที่สุดคือพ่ออาจจะสั่งให้ผมเลิกกับชานยอล
แน่นอนว่าผมไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่
พ่อสั่งห้ามพบกับชานยอลเจอหน้ากันระยะหนึ่ง
ให้ทายว่าผมโวยวายมั้ย?
มันแน่นอนอยู่แล้ว ผมกับชานยอลทำอะไรผิดกันล่ะ? เราก็แค่คบกันแล้วไม่ได้บอกให้พ่อรู้ แต่ผมไม่ได้คิดจะปิดบัง แค่ยังไม่มีเวลาเหมาะๆจะบอก เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะบอกได้เลยปุบปับเหมือนกับบอกว่าผมจะไปโรงเรียนแล้วนะ แต่จงอินทำทุกอย่างพังหมด
ผมทำหงิกก่อนจะเอนตัวลงนอนบนเตียงเมื่อพ่อเดินออกจากห้องไป เข้ามาเช็คว่าผมยังอยู่ดีไหม เฮอะ นี่ตกลงว่าผมเป็นนักโทษที่โดนข้อหายาเสพติดหรือเปล่าชักจะไม่มั่นใจในสถานะภาพของตนเอง ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่ม ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง
ไม่เจอหน้าชานยอลวันเดียวผมเหมือนตัวเองกำลังจะบ้า
แกร๊ก
ผมสะดุ้งตัวลุกขึ้นมาก่อนจะหันไปมองด้วยความระแวง หัวใจของผมเต้นแรงอีกครั้งเมื่อเห็นบานหน้าต่างกำลังเปิดออก ผมคว้าไม้เบสบอลที่หัวเตียงมาถือไว้ป้องกันตัวตาจ้องเขม็งไปด้านหน้า ในความมืดศีรษะของใครบางคนกำลังจะโผล่ขึ้นมา ผมเหวี่ยงไม้เบสบอลไปทางด้านหลังแล้วออกแรงฟาดคนที่บุกรุกในยามวิกาลทันที
หมับ
“ชะ....ชานยอล!”
“ชู่ว เบาๆครับ”
มือใหญ่จับท่อนไม้เบสบอลที่ผมเหวี่ยงไปเมื่อย้ายตัวมานั่งที่ขอบหน้าต่าง ส่วนนิ้วชี้อีกข้างก็แตะปากที่ตัวเองเบาๆแล้วส่งสายตาไปยังประตูกลัวว่าพ่อจะตื่นขึ้นมา ผมทำหน้าตกใจเมื่อพบว่าคนที่ผมกำลังจะเหวี่ยงไม้ใส่เมื่อกี้คือชานยอล
“ปะ...เป็นอะไรรึเปล่า”
“แรงดีไม่เบานะครับแบคฮยอน”
“ชานยอล ฉันขอโทษ” ผมครวญเบาๆก่อนจะจับมือของเขามากุมไว้ ชานยอลส่ายศีรษะของตัวเองเล็กน้อยแล้วเข้ามาในห้อง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวซักพักก็หาย”
“นายเจ็บใช่มั้ย?”
“แค่นิดเดียวครับ” ผมชานยอลยิ้มออกมาน้อยๆแล้วหมุนข้อมือของตัวเองไปมา ผมทำหน้าละห้อยรู้สึกผิดเล็กน้อยก่อนที่เขาจะสวมกอด ผมกอดตอบแบบไม่ต้องคิด ร่างกายเย็นๆที่คุ้นเคยของชานยอลทำให้ผมรู้สึกสงบได้ทุกครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นผมกระวนกระวายจะเป็นจะตาย
“อยู่กับคุณพ่อห้ามงอแงนะครับ”
“พ่อไม่มีเหตุผลเลย”
“ท่านก็แค่กำลังโกรธนิดหน่อย”
“พ่อน่าจะฟังฉันบ้าง”
“ผมคิดว่านี่เป็นบทลงโทษที่เบาแล้วนะ”
“เบาอะไรกันล่ะ ฉันเบื่อจะแย่แล้ว” ชานยอลหัวเราะออกมาเบาๆแล้วผละออก เขาลงไปยืนที่พื้นส่วนผมก็ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูยืนอยู่ตรงนั้นซักพักปล่อยให้ผมมองตามด้วยความงง ผมขยับตัวมานั่งห้อยขาอยู่ที่ข้างเตียง ชานยอลหันมาทางนี้และส่งยิ้มให้ผม
“พ่อคุณหลับไปแล้ว”
“ร้ายนักนะ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย เสียงกรนดังมาถึงนี่เชียวล่ะ”
ชานยอลเดินกลับมาหาผม มือใหญ่ลูบผมของผมเบาๆ เขานั่งลงตรงหน้าผมแล้วแตะลงที่ข้อเท้าที่ตอนนี้เหลือเพียงผ้าพันแผลเพราะผมขอร้องให้หมอจองซูเอาเฝือกออกให้ “ช่วงนี้อยู่บ้านก็อย่าเดินเยอะมากนะครับ”
“พ่อขังฉันในห้อง จะออกไปไหนได้”
“ขาของคุณจะได้หายไวๆ”
“มองโลกในแง่ดีจังนะ” ผมแอบแขวะไปนิดหน่อย ชานยอลไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากลูบผ้าพันแผลผมอยู่แบบนั้น ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่เขาไม่คิดจะโทษพ่อผมที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้แถมยังมองอะไรๆให้กลายเป็นดูดีไปหมด หรือบางทีความคิดถึงของผมจะส่งไปไม่ถึงเขาเลย?
ผมทำหน้าบึ้ง
เหมือนชานยอลจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร เขานั่งคุกเข่าอยู่ที่ระหว่างขาของผม ขยับตัวแทรกเข้ามาใกล้ก่อนจะจูบลงที่ริมฝีปากเบาๆ ผมเบ้ปากออกเบือนหน้าหนี เขาหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อผมทำตัวเหมือนเด็ก
“ที่พูดไปไม่ใช่ว่าผมชอบสิ่งที่ผู้กองบยอนทำหรอกนะครับ”
“นึกว่าจะชอบซะอีก”
“ผมแค่อยากจะทำตัวให้พ่อของคุณวางใจว่าผมจะสามารถดูแลและปกป้องคุณได้จริงๆ อยากให้ท่านได้เห็นว่าผมจริงจังกับแบคฮยอนมากขนาดไหน ท่านบอกกับผมว่าขอเวลาให้ท่านได้พิจารณาเรื่องนี้อีกซักนิด”
“พ่อไม่เคยพูดกับฉันเลย”
“เป็นเรื่องของลูกผู้ชายครับJ”
“เฮ้ๆ ฉันก็ผู้ชายนะ” พอผมท้วงชานยอลก็แสร้งทำหน้าเหมือนกับตกใจ ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกพลางหรี่ตามองผู้ชายตรงหน้าที่เดี๋ยวนี้ชักจะขี้แกล้ง เขาหัวเราะออกมาเบาๆแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะช้อนตัวผมให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง เขาค่อยๆวางผมลงบนเตียง
“ไม่เห็นต้องอุ้มเลย แค่ขยับขึ้นเตียงเอง” ผมบ่นอุบเมื่อชานยอลกำลังดึงผ้าห่มขึ้นมา เขายังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม ชานยอลขยับมานอนข้างๆเขาสอดตัวเข้ามาด้านใต้ ผมเลยจำต้องนอนตะแคง
“ถ้าผู้กองบยอนรู้ว่าผมแอบมาหาลูกชายเขาถึงห้องล่ะก็......ตายไม่ดีแน่”
“ช่วยไม่ได้นี่นะ พ่ออยากสั่งห้ามทำไม”
“เพราะเป็นห่วงคุณหรอกครับ”
“แน่ะ ไม่ทันไรเข้าข้างพ่ออีกแล้ว”
“ผมไม่อยากให้คุณมองท่านในแง่ร้ายนะ พ่อแม่ทุกคนทำทุกอย่างก็เพราะเป็นห่วงลูกด้วยกันทั้งนั้น”
ผมเบะปากออกอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจซุกเข้าที่อกของชานยอล เขากอดรัดตัวของผมเอาไว้แน่นแล้วจูบลงที่หน้าผากผม ชานยอลเกยคางไว้บนศีรษะพลางลูบมันเบาๆ ผมชอบและเคารพเขาตรงนี้ แม้ผมจะว่าพ่อเสียๆหายๆแต่เขาก็จะไม่คล้อยตามผมร่วมนินทาด้วยและให้เกียรติพ่อของผมตลอดเวลา
“จะอยู่ด้วยกันทั้งคืนเลยใช่มั้ย?” ผมถามออกไปเสียงแผ่วก่อนจะช้อนสายตามองใครอีกคนที่ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ผมซุกศีรษะของตัวเองลงไปอีกครั้งพลางหลับตาลง
คืนนี้ผมจะหลับได้โดยไม่ต้องกังวลว่าชานยอลจะหนีผมไปไหน
เป็นแบบนี้ประมาณเกือบอาทิตย์เห็นจะได้ หลังสองทุ่มไปชานยอลจะเข้ามาทางหน้าต่างและออกไปในตอนเช้ามืด เราคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ เขาเล่าเรื่องงานแต่งงานของหมอจองซูกับคุณนายปาร์ค และวกกลับมาเรื่องที่งานแต่งงานของ’เรา’ ผมตีหน้ามึนทำเป็นหลับไปเลย เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ช่วงนี้ผมไม่หงุดหงิดใส่พ่อเหมือนทุกทีเพราะไม่มีอะไรที่มาทำให้ผมอารมณ์ไม่ดีอีกต่อไป
แต่วันนี้พ่อกำลังจะทำให้ผมอารมณ์เสียอีกครั้ง
พ่อบอกว่ามีนัดกับคุณจูวอน จะไปทำบาร์บีคิวทานกันเย็นนี้ ผมยืนกรานแทบตายว่าจะไม่ไปแต่สุดท้ายพ่อก็บังคับให้ผมขึ้นรถมาด้วยจนได้ นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงอารมณ์เสียอีกครั้ง กอดอกนั่งทำหน้าบึ้งปั้นปึ่ง ผมหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นหน้าของคิมจงอินที่อยู่บ้าน
แต่ไม่นานนักเขาก็ออกไปอยู่ที่ชายหาดกับพวกเพื่อนๆในขณะที่พ่อและคุณจูวอนเริ่มเล่นหมากรุกกัน ผมเลยนั่งอยู่หน้าทีวีด้วยความเบื่อหน่าย กดเปลี่ยนช่องไปมา พ่ออาจจะรู้ว่าอารมณ์ของผมกำลังเซ็งสุดขีดถึงได้หันมามอง
“ถ้าลูกอยากจะออกไปเดินข้างนอกก็ได้นะ แต่คงต้องระวังหน่อย”
“ขอบคุณสวรรค์ พ่อยอมให้ผมออกนอกบ้านได้”
“ชานยอลคงจะไม่ตามมาที่นี่”
พ่อยักไหล่ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับตารางหมากรุกตามเดิม ผมหยิบไม้ค้ำที่วางอยู่ข้างตัวมาเพียงอันเดียวแล้วเริ่มเดินออกไปนอกบ้าน ข้างๆเป็นโรงรถที่มีอุปกรณ์มากมายแน่นอนว่าผมเคยมายืนดูจงอินเช็คสภาพรถให้ครั้งนึงเมื่อหลายเดือนก่อน แต่มันคงจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก ผมเดินออกมาจากรั้วบ้านค่อยๆเดินเลียบไปตามถนน เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ดังอยู่ไม่ไกลทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเป็นกลุ่มของจงอินแหง
เหอะ ดูจะมีความสุขเสียเหลือเกิน
ผมเดินห่างออกมาพยายามจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้ เดินอยู่บนถนนที่มีแต่ร่มไม้ก่อนจะหยุดพักนั่งลงบนม้านั่งเมื่อเหนื่อย ผมไม่ได้เดินด้วยตัวเองมานานแล้วที่ผ่านมามักจะมีคนประคองหรือไม่ชานยอลก็อุ้มจนผมเคยตัว ที่ใช้ไม้ค้ำอันเดียวก็เพราะผมไม่อยากจะให้ตัวเองเหมือนคนที่พิการมากไปกว่านี้
แต่มันก็เหนื่อยกว่าที่คิด
“ฮายยยยย~~”
ผมหันขวับเมื่อใครบางคนย่องเข้ามาเงียบๆก่อนจะขยับตัวหนีเมื่อเขาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แต่แรกผมไม่เคยเชื่อใจใครอยู่แล้ว และยิ่งมาอยู่ที่นี่ยิ่งทำให้ผมต้องระวังตัวมากขึ้นไปอีก ผู้ชายคนนั้นหันมามองผมก่อนจะกระพริบตาปริบๆ
“มายเนมอิสลู่หาน ไอแอมจงอินเฟรน ดูยูโนวจงอินไรท์?”
“.......”
“ยูด๊อนอันเดอร์แสตนด์หรอ? ชิบหายแล้ว ไหนจงอินบอกว่านายพูดอังกฤษได้ไง แล้วทีนี้ต้องพูดภาษาอะไรล่ะ”
คนที่ชื่อลู่หานขมวดคิ้วแน่นก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆเมื่อผมยังทำเฉยราวกับว่าไม่เข้าใจที่เขาพูด ถึงสำเนียงจะค่อนข้าง....เกาหลีมากก็เถอะแต่ผมฟังออกแน่นอนอยู่แล้ว เขาพยายามจะทำภาษามือ แต่มันคงดูน่ารำคาญเขาถึงได้ทำหน้าเหมือนจะบ้าตายอีกครั้ง
“คืองี้นะ....แบบ ไอซียู...เอ่อ อะโลนโดดเดี่ยวเวรี่มัช แล้วยูโนบอร์หรอ เพลย์วิทมีมั้ย?”
โอเค...แกรมม่าเขาห่วยแตกมาก ผมทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เมื่อหลุดหัวเราะออกมาคนตรงหน้าผมทำหน้าเหวอหน่อยๆ เขากระพริบตาปริบๆก่อนจะทำหน้าตาเหมือนไม่เข้าใจอะไรซักอย่าง ผมโบกมือไปมาตรงหน้าแล้วเอ่ยปากพูด
“ฉันฟังเกาหลีออก”
“ห๊ะ?”
“พูดเกาหลีได้ด้วย”
“ไอ้จงอิน! หลอกกู!!” ผมเงียบนิดหน่อยเมื่อได้ยินชื่อของจงอิน ส่วนลู่หานจิตหลุดไปแล้ว เขาสบถด่าคิมจงอินยาวเป็นพรืด ตอนแรกทำท่าจะลุกออกไปแต่พอเห็นผมยังนั่งอยู่เขาก็หันมามองก่อนจะตัดสินใจไม่ลุกไปไหน “ไปเล่นด้วยกันมั้ย”
“ตามสบายเถอะ”
“ไปน่า ตรงนี้ไม่มีอะไรให้เล่นด้วยซ้ำ เรากำลังแข่งกันปีนเก็บมะพร้าวอยู่ไปดูกัน”
“ปีนต้นมะพร้าว?”
“ช่าย ตอนนี้จงอินกับแทคยอนกำลังจะแข่งกัน ไปเถอะ”
พูดจบเขาก็หยิบไม้ค้ำของผมไปก่อนจะออกแรงฉุดให้ลุกขึ้นยืน ผมจำต้องตามไปอย่างช่วยไม่ได้ เสียงเชียร์ดังเอะอะโวยวายอยู่ตรงนั้น แสงแดดที่กระทบกับทรายสะท้อนเข้าตาทำเอาผมต้องหรี่ตาลงนิดหน่อยเพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้เจอแดดแบบนี้
“กูพาแบคฮยอนมาแล้ว แข่งแทนกูด้วยนะครับไอ้จงอิน!”
“ใช้ได้นี่หว่า” คิมจงอินเดาะลิ้นแล้วมองมายัง เขาถอดเสื้อออกเหลือเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว ผมทำเป็นเมินมองผ่านเขาไปแล้วหันไปมองเพื่อนของเขาอีกสองคนที่ถอดเสื้อยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกัน เหมือนลู่หานจะรู้สถานการณ์เขาจึงเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักกับอีกสามคนที่เหลือ
“นี่คือแจบอมกับชานซองแล้วก็แทคยอน มันอยู่ทีมเดียวกันเพราะงั้นนายห้ามไปยุ่งนะ”
ผมมองไปยังผู้ชายตัวเล็กที่กล้ามไม่เล็กตามตัว ลู่หานบอกว่าเขาชื่อแจบอม ส่วนอีกคนที่ดูรูปร่างสูงใหญ่นั่นชื่อชานซอง อีกคนที่ตัวโตไม่แพ้กันแต่ไม่ได้ถอดเสื้อนั่นชื่อแทคยอน จงอินออกไปยืนอยู่หน้าต้นมะพร้าว เขาหันมาหาผมก่อนจะยักคิ้วให้
เหอะ....ผมยังไม่หายโกรธเขาหรอกนะจะบอกให้
“ปีนขึ้นไปหนึ่งรอบเก็บลงมาได้หนึ่งลูก ให้เวลาสิบนาที ใครได้น้อยคนนั้นต้องถูกฝังทรายนะครับ” ผมเริ่มหาที่นั่งส่วนลู่หานก็หันมากระซิบอะไรบางอย่าง
“ตอนนี้นายอยู่ทีมฉัน เดี๋ยวจงอินจะเอาลูกมะพร้าวมาวางไว้ ต้องคอยเฝ้าไว้อย่าให้ฝั่งนั้นมาแย่งไปได้”
“แล้วนายล่ะ?”
“ฉันจะไปขโมยของทีมนั้นมาไง”
ร้ายกาจชะมัด
ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอาไม้ค้ำวางไว้ข้างๆแล้วนั่งเหยียดขา เสียงนกหวีดดังขึ้นจากแทคยอนก่อนที่แจบอมและจงอินจะปีนขึ้นต้นมะพร้าวคนละหนึ่งต้น ผมว่ามันปีนยากนะแต่ทำไมพวกเขาดูจะคล่องแคล่วกันเหลือเกิน แทคยอนกำลังมองมาทางนี้ ถ้าเดาไม่ผิดผมว่าทีมนั้นเองก็คงวางแผนจะมาแย่งเหมือนกัน
ให้ตายสิ....พวกเขาทำไมเล่นอะไรเป็นเด็กๆ
ไม่นานนักผมก็เห็นจงอินกำลังเด็ดลูกมะพร้าว ตอนลงคือไถลลงมา ผมหัวใจเกือบวายเมื่อเขาทำแบบนั้น จงอินปักลูกมะพร้าวลงบนพื้นทรายที่หว่างขาผมก่อนจะหันไปชี้หน้าแทคยอนที่กำลังยืนมอง ร่างสูงวิ่งกลับไปที่ต้นมะพร้าวอีกครั้งในขณะที่ลูหานก็กำลังเล็งลูกมะพร้าวของฝั่งตรงข้าม
ผมสะดุ้งทันทีเมื่อแทคยอนจู่ๆก็โผล่เข้ามาใกล้ แต่บังเอิญว่าประสาทสัมผัสของผมเร็วกว่าคนทั่วไปเลยคว้ามากอดไว้ได้ทัน เขาบ่นเสียดายอุบอิบก่อนจะถอยไปตั้งหลัก แน่นอนว่าจังหวะที่เขาจะเข้ามาแย่งทีมผม ลู่หานแย่งมาได้ ไม่รู้ว่าบุกเข้าไปตอนไหน แต่รู้ตัวอีกทีคือได้ยินเสียงก่นด่าของแจบอมตอนลงมาจากต้นมะพร้าว จงอินปักมะพร้าวอีกลูกลงบนพื้นทรายใกล้ๆ เขาส่งยิ้มให้ผมแล้ววิ่งกลับขึ้นไปอีกครั้ง
มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนสิบนาทีและสุดท้ายชานซองที่ความรู้สึกช้าก็โดนลงโทษด้วยการต้องลงไปนอนกลางทราย ส่วนแจบอมกับแทคยอนก็สบถด่ายาวเป็นพรืด ผมหัวเราะออกมาเบาๆแล้วยืนมองพวกเขาเล่นกันอยู่ตรงนั้น จงอินเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ผมหุบยิ้มลงทันที
“ยังไม่หายโกรธอีกหรอ”
“............”
“แบคฮยอนอา”
“ฉันไม่ได้เจอชานยอลมาเป็นอาทิตย์แล้ว นายคิดว่าคนที่เคยเจอกันทุกวันแต่จู่ๆก็ถูกห้ามไม่ให้เจอหน้าจะรู้สึกยังไง”
“.....โอเคผมขอโทษ”
“ถ้านายคิดบ้าง มันคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้”
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหน้ามาทางผม มือใหญ่ยึดไหล่เอาไว้ เขาก้มตัวลงมาเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแน่นอนว่าสายตาของจงอินก็จริงจังไม่แพ้กัน “ผมแค่ไม่อยากให้คุณเป็นอันตราย”
“ชานยอลเป็นคนช่วยฉันทุกครั้ง ไม่เชื่อถามพ่อได้”
“นั่นก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุ”
“นายรู้อะไรมากันแน่” ผมขมวดคิ้วก่อนจะปัดมือของเขาทิ้ง จงอินเงียบไม่ตอบแต่ยังจ้องตาผมอยู่แบบนั้น เสียงของเพื่อนๆของเขายังคงดังโวยวายเมื่อลู่หานเอาปูมาวางบนตัวของชานซองและฝังทรายทับลงไป ผมไม่หลบตาและจ้องไปยังจงอินด้วยเหมือนกันและในที่สุดจงอินก็แพ้ผม
“ถ้าคุณพอจะมีเวลาผมก็จะเล่าให้ฟัง”
“ฉันคิดว่าฉันมีเวลามากเกินไปด้วยซ้ำหลังจากที่ถูกลากมาที่นี่”
“มันเป็นตำนานของคนในเผ่าเรา ถัดไปด้านในหน่อยจะมีบ้านของพ่อแก่อยู่ที่นั่น มีเรื่องเล่าจากเขา”
“..........”
“เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน เผ่าพันธุ์ของเราก็ใช้ชีวิตอยู่แถบทะเลแต่ไม่ใช่ที่นี่ ใช้ชีวิตตามบรรพบุรุษของเราที่มีมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง มีลูกบ้านไปช่วยพวกตะวันตกเอาไว้ได้ เขาลอยมาติดฝั่งสภาพถูกฟันถูกแทงเหมือนกับเพิ่งผ่านสงครามมา”
“..........”
“เขาตัวเย็น เรานึกว่าเขาจะตาย รีบพากลับมาเพื่อให้พ่อแก่ในสมัยนั้นช่วยเหลือ ไม่นานเขาก็ฟื้น” ผมเดินตามจงอินออกห่างจากเพื่อนเขาโดยไม่รู้ตัว จงอินขมวดคิ้วนิดหน่อยก่อนจะยักไหล่ “มันก็แค่นิทาน เรื่องเล่า จริงๆคุณไม่ต้องไปสนใจมากก็ได้”
“ต่อเถอะน่า”
“มีชีวิตอยู่ด้วยกันใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานเริ่มมีคนตาย ตอนแรกเป็นผู้หญิงวัยยี่สิบต้นๆ แต่หลังจากนั้นพวกมันเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นเด็ก”
“............”
“สภาพศพคือร่างกายซีดเซียวมีรอยที่คอ บางรายถูกแยกเป็นชิ้นๆก็มี พ่อแก่ได้แต่บอกว่ามันคือปีศาจร้าย เราไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อย”
“............”
“คืนหนึ่งในเวลากลางคืน ขณะที่พวกผู้ชายผลัดกันเฝ้าเวรยาม พวกผู้หญิงพาลูกของตัวเองเข้านอน......พวกมันก็มาทำลายหมู่บ้านของเรา” ถึงตอนนี้จงอินเงียบไป ผมพอจับทางได้คร่าวๆว่าเขากำลังหมายถึงอะไร ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่เขารู้การมีอยู่ของแวมไพร์ ผมหยุดเดินเมื่อจงอินหันมามอง แววตาของเขาค่อนข้างรวดร้าวนิดหน่อยแต่ผมก็เลือกที่จะมองผ่านไป
ผมมั่นใจ....ว่าชานยอลจะไม่ใช่หนึ่งในนั้นที่ทำร้ายบรรพบุรุษของจงอิน
“พ่อแก่เล่าว่ามันรวดเร็ว ว่องไวและจับไม่ได้”
“..............”
“คุณรู้ไหมแบคฮยอน เราทำกันทุกวิถีทาง ร้องขอชีวิต อ้อนวอน แต่ก็เปล่าประโยชน์ พวกตัวเย็นไม่แม้แต่จะฟัง ฆ่าคนในหมู่บ้านทีละคนด้วยการกัดและดื่มเลือด อ้างว่าเพื่อเป็นอาหาร”
“...........”
“มีคนกลุ่มหนึ่งที่หนีออกมาได้ สวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าให้เห็นใจและให้มีกำลังมากพอที่จะปกป้องคนที่เหลือ แต่พระเจ้าที่เราได้เจอกลับกลายเป็นหมาป่า”
“......หมาป่า” ผมครางออกมาเบาๆ
“สิ่งที่เราต้องแลกคือครึ่งชีวิตมอบให้กับหมาป่า แล้วเขาจะมอบพลังให้กับเรา แน่นอนว่าเราล้างแค้นให้คนที่เหลือได้ พวกตัวเย็นถูกกัดและฆ่าไม่ต่างจากที่มันทำเรา แต่เราไม่ได้ทำเพื่อเป็นอาหาร เราทำเพื่อเผ่าพันธุ์”
ผมนิ่งและประมวลผล...ไม่ค่อยแน่ใจกับคำตอบของตัวเองในตอนนี้เท่าใดนัก จงอินจ้องผมเขาก้มหน้าลงมาใกล้ ดวงตาของเขากลายเป็นสีดำสนิท ไอร้อนจากร่างกายของคิมจงอินแผ่มาถึงตัวผม ถึงตอนนั้นก็ได้แต่ถอยหลังเพื่อกลับไปตั้งหลักหนึ่งก้าวแต่เขาก็เอื้อมมือมายึดแขนผมไว้ได้ก่อน
“เรามีพลังที่จะปกป้องเผ่าพันธุ์ เราสามารถรับรู้ได้ว่าใครคือพวกตัวเย็น ใครคือศัตรู”
“............”
“ชานยอลเป็นศัตรูของเรา เขาเป็นพวกนั้น”
“..............”
“ส่วนผม.....เป็นผู้สืบสายเลือดของเผ่าพันธุ์ ผมเป็นมนุษย์หมาป่า”
Talk -13-
นี่ไม่ได้รีบ แค่ไม่มีไรทำ
มาลงไว้เพราะจะหายตัวไปสอบโอเนตจริงจังนะครัช.\/.
โดยส่วนตัวแล้วชอบตอนนี้
ไรต์จองพี่ลู่ครัช สปีกอิงลิชเวรี่เวลเลย
โง้ยยยย น่ารักอะ พี่ลู่จะมีบทนะ เพราะชอบพี่ลู่ กิ กิ
ฟิคเรื่องนี้น่าจะยี่สิบตอนจบโดยประมาณนะจย้า
แต่มีเสปให้แน่นอนนะแจ๊ะ
ร้อนแรงเว่อ #ให้ความหวังไปเรื่อย อิ อิ
ฟิคเรื่องนี้แคร์คนอ่านนะ <3
พยายามอัพเรื่อยๆไม่ขาดตอน
พยายามไม่ดองไม่หาย ถ้าหายจะบอก
รักคนอ่านนะ จุ้บๆๆๆๆ
ความคิดเห็น