คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : -11-
-11-
ผมนั่งอยู่กลางบ้านครอบครัวปาร์ค พวกเขากำลังหารือกันซึ่งประเด็นคงไม่พ้นจากผมที่โดนทำร้ายเมื่อวาน
หมอจองซูบอกกับพ่อว่าอาการของผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จำเป็นจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและให้ผมมาอยู่ที่บ้านนี้ ตอนแรกพ่อไม่อยากรบกวนและจะส่งผมกลับโรงพยาบาล แน่นอนว่าผมต้องรับบทเป็นเด็กงอแงไม่อยากอยู่สถานที่น่าเบื่อแบบนั้นและอยากจะมาอยู่ที่นี่ ชานยอลให้เหตุผลว่าปลอดภัยกว่า อย่างน้อยก็มีคนปกป้องได้มากกว่า เขาไม่อยากเสี่ยงให้ผมอยู่คนเดียวอีกแล้ว
ผมมองพวกเขาคุยกัน บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดนิดหน่อยเมื่อเริ่มพูดถึงตระกูลชเว ผมยังไม่รู้รายละเอียดมากนักแต่คิดว่าอีกไม่นานชานยอลคงจะเล่าให้ฟัง คุณนายปาร์คไม่ได้ร่วมวงสนทนาด้วย เธอนั่งอยู่ข้างๆผมและถักนิตติ้งราวกับว่าสิ่งที่ลูกๆและสามีของเธอกำลังคุยกันคือเรื่องที่จะออกไปตั้งแคมป์ในวันสุดสัปดาห์ ผมเหลือบหันไปมอง คุณนายปาร์คหันมามองผม ส่งยิ้มใจดีมาให้และยื่นไหมพรมมา ผมได้แต่ส่ายหัวและนั่งทำหน้าเหี่ยวต่อไป
ผมกำลังทำให้พวกเขาเดือดร้อน
“พวกเขากำลังสนุกเลยนะว่ามั้ย”
“หือ? ผมคิดว่าไม่นะครับ”
คุณนายปาร์คถามขึ้นมาทำลายความเงียบ ผมหันไปมองวงที่กำลังประชุมแล้วก็ได้แต่ทำหน้างง ไม่รู้ว่าตรงไหนที่เรียกว่าสนุก แต่ละคนหน้าดำคร่ำเครียด ผมหันกลับไปมองคุณนายปาร์คที่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ดูเธอไม่ได้กังวลเท่าไรนัก
“พวกเขาไม่ได้คุยกันอย่างเป็นทางการแบบนี้มานานแล้ว”
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เพราะผม”
“ถ้าจะพูดให้ถูกคือชานยอลต่างหาก”
“ที่ชานยอลทำก็เพื่อปกป้องผม”
“เราจะไม่เท้าความไปมากกว่านั้น ตอนนี้เธอคือครอบครัวของเรา เราแค่ปกป้องครอบครัว ไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ”
คุณนายปาร์คตัดบทด้วยน้ำเสียงที่ดูใจดี ส่วนผมก็ได้แต่นิ่งและเถียงอะไรต่อไม่ออก ครอบครัวปาร์คดีกับผมมากจริงๆ และเพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ผมจะไม่โทษว่าทั้งหมดนั่นเป็นความผิดของผม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของชานยอล
“เคย...มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ้างมั้ยครับ?”
“ไม่จ้ะ” ได้ยินเธอตอบมาแบบนั้น ผมก็อดทำหน้าสลดไม่ได้
“แต่เราเคยเจอกับพวกตระกูลชเวมาก่อน จองซูเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลนี้อยู่แล้ว แบคฮยอนไม่ต้องกังวล ถึงแม้ว่าจะมีกฎ แต่ทุกอย่างผ่อนผันได้ถ้าเรามีเหตุผลที่น่าฟัง”
“เหตุผลที่ว่าอาหารกลายเป็นคนรัก คงไม่ใช่อะไรที่น่าฟังเท่าไหร่”
ผมงึมงำ ยกหมอนจากโซฟาขึ้นมากอดฝังหน้าลงไปบนนั้นด้วยความวิตกกังวล คุณนายปาร์ควางไหมพรมในมือลง เธอขับเข้ามาใกล้ผมก่อนจะเอื้อมมือมาโอบบ่าผมไว้ มือของเธอค่อยๆเลื่อนมาลูบศีรษะผม การกระทำแบบนี้ทำเอาผมอดคิดถึงแม่ไม่ได้
“พวกชเวไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้นแบคฮยอน อย่างที่บอกทุกอย่างผ่อนผันได้ เพราะอย่างไรเสียเรายังต้องอยู่ร่วมกับมนุษย์ต่อไปเรื่อยๆ อย่าเก็บเอาคำพูดของพวกนั้นมาคิดมากเลยที่รัก ฉันคิดว่ามันไม่ใช่คำพูดที่ดีเท่าไหร่”
“ผมขอโทษที่คิดแบบนั้น”
“แวมไพร์อย่างเราอย่างมีอีกเยอะแบคฮยอน พวกเขาอยู่รวมกันเป็นครอบครัว ไม่กินเลือดคนและเลือกที่จะออกล่าสัตว์แทน แทบจะทั่วทุกมุมโลก”
ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่ามีจำนวนแวมไพร์มากมายมหาศาลอยู่บนโลกใบนี้ คุณนายปาร์คหัวเราะกับท่าทีของผมก่อนจะส่งยิ้มใจดีมาให้อีกครั้ง
“ตอนนี้ชานยอลกลายเป็นผู้ชายที่โชคดีที่ได้มาเจอกับเธอนะแบคฮยอน”
“ผมว่า....เขาคงโชคร้ายเอามากๆต่างหากล่ะครับ”
“การได้ปกป้องคนที่เรารักไม่ใช่เรื่องของโชคร้าย การที่ไม่มีคนรักให้ปกป้องเนี่ยสิถึงจะโชคร้ายจริง”
“.....ชานยอล เคยมีคู่รักมั้ยครับ?”
“ตั้งแต่ที่ฉันเจอเขามา ไม่เคยเห็นนะ มีแค่คบบ้างเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ได้ผูกพัน ไม่ได้โหยหาเหมือนอย่างเธอ”
“อ่า....ทำไมเขาถึงไม่มีคนที่รักจริงๆนะ ชานยอลดีมากขนาดนั้นแท้ๆ”
“พวกเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงชานยอลที่แท้จริง ที่เข้ามาคือหลงใหลแค่รูปลักษณ์ภายนอก ความคิดที่น่าสมเพชทำให้ชานยอลไม่อยากจะมีใคร”
“คุณไม่รู้หรอกครับว่าจริงๆแล้วผมเองก็หลงรักชานยอลเพราะเขาหล่อ แต่เขาอ่านใจผมไม่ได้เท่านั้นเอง”
คุณนายปาร์คหัวเราะให้กับมุขตลกของผม เราคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย เมื่อเห็นว่าคงจะไม่จบลงง่ายๆคุณนายปาร์คก็จดสูตรสอนวิธีทำเนื้อตุ๋น หลังจากที่คุยกันมาได้ซักพักก็ทำให้ผมรู้ว่าก่อนหน้านั้นคุณนายปาร์คเคยเป็นแม่ครัวมาก่อน ถ้าจะพูดให้ถูกคือเป็นอดีตหัวหน้าต้นเครื่องสมัยพระเจ้าอินจงซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะเกิดประมาณสามร้อยปีได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงทำอาหารได้อร่อยขนาดนั้น
ยังไม่เพียงแค่นั้น เธอสอนผมถักนิตติ้ง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและค่อนข้างใช้ความอดทนซึ่งผู้ชายอย่างผมคงอดทนทำไปได้ไม่กี่น้ำ เธอค่อยๆสอนผมอย่างใจเย็นโดยให้เหตุผลว่าให้ผมทำและเอาไปให้พ่อใส่ ผมเลยมีความตั้งใจมากขึ้น
แค่ในตอนนี้น่ะนะ
สมาธิต้องดีเอามากๆ ผมทำผิดทำถูกไปก็หลายรอบ กว่าจะได้ก็เกือบประสาทเสียไปเหมือนกัน ชานยอลทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเมื่อคุณนายปาร์คลุกออกไป ผมหันไปมองทำท่าเหมือนจะไม่สนใจเขาเพราะไหมพรมในมือผมมันกำลังพันกันอยู่
“ไม่ใช่ครับ คุณต้องเอาไม้สอดเข้าไปที่ช่องนี้แล้วก็ปล่อยนิ้วโป้งออกมาดึงเส้นนี้ให้มันแน่น”
ชานยอลกำลังสอนตอนขั้นพื้นฐาน แน่นอน ผมยังทำมันไม่ได้เลย คุณคูจำเป็นอีกหนึ่งคนสอนผมอย่างใจเย็นอีกครั้งและทำขั้นต่อไป ไม่นานสมาธิผมก็หลุด จากที่มองไหมพรมในมือตอนนี้กลายเป็นว่ามองใบหน้าของเขาเสียอย่างนั้น
“ไม่มีสมาธิแล้วนะครับแบคฮยอน”
เขาละมือออกจากไม้แล้วหันมาทำเสียงเหมือนจะดุผมที่สมาธิแตกกระเจิง ถึงจะถูกดุแต่ผมก็ไม่ได้ยี่หระ ทำยียวนจ้องหน้าเขาต่อไป ชานยอลวางไหมพรมในมือลงก่อนจะดึงผมขึ้นไปนั่งบนตักโดยหันหน้า ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ถลึงตาที่มีอยู่ไม่มากเพื่อบ่งบอกว่าผมไม่สนุกที่เขาทำแบบนี้ นี่มันกลางบ้านเลยนะ! ชานยอลสติหลุดไปแล้ว
“ชานยอล ไม่เล่นแบบนี้นะ”
ผมกัดฟันพูด คิดว่าคุณนายปาร์คและหมอจองซูนั่งอยู่ไม่ห่าง อีกอย่างถึงต่างคนต่างจะแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ถ้ามีใครเดินผ่านมา ไม่คิดว่าผมจะถูกล้อบ้างหรือไง
“คุณมาทำหน้าน่ารักใส่ผมก่อนนี่”
“ฉันทำตอนไหน?” ผมขมวดคิ้ว
“เมื่อกี้ ตอนที่คุณจ้องผมนั่นไง” ไม่ว่าเปล่าเขายังรั้งผมเข้าไปใกล้ จะลุกหนีก็ไม่ได้ ขาผมไม่ได้อำนวยเท่าไหร่
“คิดว่าแรงเยอะแล้วจะทำอะไรก็ได้หรอ ฉันไม่ยอมหรอกนะ”
ผมแกล้งโวยวาย ชานยอลหัวเราะ เขาจูบปากผมเบาๆแล้วปล่อยให้เป็นอิสระให้ผมนั่งอยู่ข้างๆเหมือนเดิม ผมเอามือชกไหล่เขาไม่แรงมากนัก แต่ชานยอลก็แกล้งทำเป็นว่าเจ็บเสียมากมาย เอาแต่ร้องโอดโอยแล้วกุมแขนตรงที่ผมต่อยเขา
“แบคฮยอนทำร้ายผม”
“วันนี้มาแปลก แกล้งกันอยู่ได้”
“น่ารักน่าแกล้ง ไม่เคยได้ยินหรอครับ”
“ฉันคิดว่าคำนั้นมันเก่าไปแล้วนะ” ผมเบะปาก
“คุณกลัวบ้างมั้ย?” จู่ๆชานยอลก็เปลี่ยนโหมด เขาดึงมือของผมไปกุมไว้ ใช้นิ้วไล้ไปมาที่หลังมือจนผมขนลุกซู่เพราะสัมผัสที่อ่อนโยนบนหลังมือ โอเคยอมรับว่าผมชอบมันมากๆ ผมเอนศีรษะลงไปซบที่ไหล่กว้างพลางส่ายหัวน้อยๆเพื่อบอกชานยอลว่าผมไม่ได้กลัวอะไร
“แกล้งแค่นี้จะไปกลัวได้ยังไง”
“ผมหมายถึง....อย่างอื่น”
“มีนายอยู่จะไปกลัวอะไรชานยอล”
“เผื่อวันไหนผมเกิดปกป้องคุณไม่ได้ขึ้นมา”
“นายจะไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นแน่ ฉันเชื่อแบบนั้น” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากชานยอล ผมหันไปมอง เขากำลังระบายยิ้มบางๆ ผมคิดว่าเขากำลังจะร้องไห้ด้วยล่ะ อาจจะเป็นเพราะได้ยินอะไรซึ้งๆจากปากผมละมั้ง
“ไม่อยากให้คุณเอาชีวิตมาฝากไว้ที่ผมเลย”
“มันเป็นของนายตั้งแต่ที่นายตัดสินใจเข้าไปช่วยฉันแล้ว”
“ถึงอย่างนั้นชีวิตของคุณก็มีค่า”
“.....เอาเป็นว่า ฉันโอเค ฉันมีความสุขและรู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่กับนาย โอเคนะชานยอล”
ผมตัดบท ชานยอลชอบโทษตัวเองว่าเป็นเพราะเขาผมถึงได้มาเป็นแบบนี้ ผมยื่นนิ้วเข้าไปจิ้มที่ระหว่างคิ้วของเขา ความร้อนจากร่างกายของผมกำลังถ่ายทอดไปให้ ชานยอลคลายคิ้วที่ขมวดออกก่อนจะหัวเราะเบาๆแล้วจูบลงที่นิ้วของผมอย่างแผ่วเบา ถึงผมจะเขินแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลบนใบหน้าของชานยอลหายไป
“ตระกูลชเว....น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ” เขาเหลือบหันมามองผมนิดหน่อย
“พวกเขามีอิทธิพล” ว่าพลางกุมมือผมเอาไว้ทั้งมือ ชานยอลทำปูไต่อยู่บนหลังมือของผม
“แต่ผมคิดว่าพวกชเวเป็นคนมีเหตุผล อย่างที่บอกทุกอย่างมีการผ่อนผันได้ บางครั้งกฎบางอย่างต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เราไม่ได้มีชีวิตแค่ช่วงเวลาหนึ่งพวกเขามีหน้าที่รักษาเผ่าพันธุ์ของเรา เก็บความลับจัดระเบียบ”
“......คล้ายๆพวกตำรวจเลยนะ”
“ใช่ครับ แต่พวกเขาประจำอยู่ที่อิตาลี”
“แล้วพวกเขารู้ได้ยังไงว่าใครทำอะไรที่ไหนบ้าง ศูนย์กลางอยู่ที่อิตาลีแต่ควบคุมแวมไพร์ทั่วทั้งโลกมันไม่ง่ายเลย”
“เพราะความสามารถพิเศษของพวกเขาแต่ละคน.....พวกนั้นไม่ใช่อย่างเราทั่วไป พวกเขามีความพิเศษจึงจะเข้าไปอยู่ในตระกูลนั้นได้”
ผมนิ่งไป ไม่รู้ว่าควรจะกังวลหรือควรจะสบายใจจากที่ฟังเหมือนจะมีทั้งดีและไม่ดี หากคิดในแง่ดีมากๆคือเราจะสามารถเจรจากับพวกนั้นได้ แต่พวกเขาก็น่ากลัวเกินไปอะไรทำนองนั้นรึเปล่า ผมตัดสินใจทิ้งตัวนอนลงบนตักของชานยอล เขาจัดท่าผมให้นอนบนโซฟาให้ดี นิ้วเรียวยาวกำลังลูบแก้มผมเบาๆ
“พวกเขาจะมาฆ่าฉันใช่มั้ย?”
“เซฮุนบอกว่าพวกเขาจะมา แต่เราจะสามารถเจรจาได้”
“ก็คือมาฆ่าจริงๆสินะ” ผมพึมพำก่อนจะหลับตาลง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมกลัวหรอกนะ ชีวิตผมเฉียดความตายมาแล้วครั้งนึง ครั้งนี้อาจะน่ากลัวมากกว่าเดิมแต่ผมก็ไม่ควรจะกังวลล่วงหน้า
“ผมเชื่อว่าพวกชเวจะฟังเหตุผลของเรา”
“แล้วจองโบรา?”
“หลังจากที่ผมอ่านความคิดของเธอ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอจะไปอิตาลีและจะเป็นคนพาพวกนั้นมา”
“หมายความว่าเธอจะไม่ได้อยู่ในเกาหลีในตอนนี้”
“ความคิดเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ผมจะต้องให้คุณอยู่ที่นี่ก่อน”
ผมยิ้มกว้างพลางพยักหน้าหงึกหงัก ชานยอลก้มลงจูบผมอีกครั้งด้วยเหตุผลเดิมๆคือผมทำหน้าน่ารักเกินไป ถึงเหตุผลนั้นมันจะทำให้ผมหน้าหงิกไปบ้างแต่มันก็โอเคนะที่เขาจูบผม ผมหลับตาลงกุมมือเย็นๆของเขาไว้แบบนั้น ตั้งใจแล้วว่าจะงีบหลับบนตักกว้างนี่ซักพัก
ให้ผมได้อยู่กับเขา...โดยไม่ต้องคิดอะไรไปซักพัก
ผมนอนที่ห้องของเซฮุน คริสบ่นอุบยาวๆเมื่อรู้ว่าผมอาจจะต้องอยู่นี่ไปอีกซักพัก จริงๆแล้วผมก็รู้สึกผิดที่เป็นคนทำให้พวกเขาสองคนไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันตอนกลางคืนแต่จะทำยังไงได้ หมอจองซูสั่งมาแบบนั้น ที่จริงผมบอกว่าอยากจะนอนข้างล่างมากกว่า เพราะข้อเท้าของผมยังไม่หายดีเลยไม่สะดวกที่จะเดินขึ้นลง แต่ชานยอลก็ตัดปัญหาทั้งหมดด้วยการอุ้มผมตัวปลิวเดินขึ้นมาชั้นบน เขาไม่อยากให้ผมนอนข้างล่างเพราะกลัวจะมีอะไรเกิดขึ้น และทุกคนเห็นด้วย
ส่วนคริสเห็นด้วยแค่ครึ่งเดียว
ผมอยากจะขอโทษเขาเหมือนกันนะ
“คริสจะโกรธมากมั้ย?”
“หือ? โกรธหรอ? เรื่องอะไรล่ะ”
“ช่วงนี้ฉันมาอยู่ที่นี่และนอนที่ห้องนาย” เซฮุนที่กำลังเช็ดผมอยู่หน้ากระจกทำหน้าเกทก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง เขายื่นผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้ผมรับมันมาและค่อยๆไล่หยาดน้ำออกจากเส้นผมสีควันบุหรี่
“ไม่โกรธหรอก”
“ฉันเห็นเขาเหมือนจะทำหน้าไม่พอใจ”
“ก็ต้องมีหงุดหงิดบ้าง แต่ฉันคิดว่าเขาได้ไปเยอะแล้วสำหรับคืนที่ผ่านมา”
เซฮุนพูดออกมาหน้าตาเฉยในขณะที่หน้าของผมก็กลายเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว ผมว่าแล้วเชียว...ความสัมพันธ์ของพวกเขามันมีมากกว่านั้นจริงๆ ผมนึกว่าแค่คบกันเฉยๆ คือเฉยๆเหมือนผมกับชานยอล ไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วก็คงต้องพัฒนาให้เป็นไปมากกว่านั้นเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันมานานแล้ว
เซฮุนหันมามองเมื่อผมเงียบไป ผมเห็นเขายิ้ม...ยิ้มในความหมายที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับผม
“อย่าบอกนะแบคฮยอน พี่ชายยังนิ่ง?”
“ไม่เกี่ยวกับนายน่า”
“พี่ชานยอลความอดทนสูงมากจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยแหะ”
“หมอจองซูไม่ยอมแน่ถ้าชานยอลทำแบบนั้น”
“ก็จริง ถ้านายรออยู่ก็รอต่อไปเถอะนะ หลังแต่งงานแน่ๆ”
“ไม่มีการแต่งงานอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมโบกมือไปมาก่อนจะลงมือเช็ดผมให้เซฮุนอีกครั้ง เขาเอาแต่หัวเราะแล้วบอกแต่ว่าชานยอลไม่มีทางยอม ผมทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินอะไรที่เขาพูด งานตงงานแต่งอะไรกัน เขาเป็นผู้ชายผมเองก็เป็นผู้ชาย ไม่เห็นจำเป็นเสียหน่อยกับเรื่องแบบนี้
“เห็นชานยอลฉวยโอกาสบ่อยๆ แต่พี่เขาหัวโบราณมากนะ”
“เห็นด้วยหรอเซฮุน!”
“ชานยอลทำจริงๆด้วยสินะ”
ผมอ้าปากค้างไม่รู้จะอธิบายยังไง โดนโอเซฮุนหลอกเข้าอย่างจัง หมอนั่นหัวเราะออกมาหน่อยๆแล้วใช้มือดันคางของผม พอรู้ตัวว่าถูกหลอกผมก็ปาผ้าขนหนูผืนเล็กใส่เขาก่อนจะคลานไปยังหมอนเอามานั่งกอดทำหน้าง้ำ
“เวลานายโกรธเนี่ย มันยิ่งทำให้อยากแกล้งมากขึ้นไปอีก”
“ไม่คุยกับนายแล้วเซฮุน ฉันจะไม่คุยกับนายจนกว่าจะพรุ่งนี้เช้า”
“ไม่ได้นะ! มีเรื่องจะคุยกับแบคฮยอนเยอะแยะเลยอะ ทำไมเป็นงี้ล่ะ”
ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลาสามทุ่มแล้วก็คลุมโปงปล่อยให้เซฮุนง้อแง้งต่อไป แต่ผมก็ทนลูกอ้อนได้ไม่นานในที่สุดก็ต้องมานั่งคุยกับเขา น่าแปลกใจมากที่เซฮุนมีเรื่องเล่าตลอดเวลา พูดได้ไม่หยุดและไม่เบื่อ ผมเองก็ตั้งใจฟังไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เมื่อตอนที่เขาหยุดพูดเพราะเริ่มเหนื่อยผมก็หันกลับไปมองนาฬิกา
เที่ยงคืน....เซฮุนพูดจ้อไม่หยุดเลยสามชั่วโมง
แกร๊ก
“ชานยอลมา” เซฮุนกระซิบก่อนที่จะกดหัวผมให้ลงไปฟุบกับหมอนและดึงผ้าห่มมคลุมทับ ส่วนตัวเองก็ทำท่าเป็นนั่งเล่นโทรศัพท์ ชานยอลกำลังเดินเข้ามาในห้อง เตียงฝั่งผมยวบลงไปก่อนที่เขาจะเปิดผ้าห่มออกมา ผมส่งยิ้มให้เขา
“ว่าแล้วเชียว ได้ยินหมดหรอกนะเซฮุน นี่ก็ดึกแล้วยังจะไม่พาแบคฮยอนเข้านอน”
“นายทำเสียแผน ฉันโดนชานยอลบ่นเลย”ร่างโปร่งบ่นอุบในขณะที่ผมก็ชันตัวขึ้นมานั่งดังเดิม
“นายอยากจะเข้าห้องน้ำใช่มั้ยเซฮุน?”
“หื้ม? ผมหรอ บ้าน่า....อ้อ ใช่ ผมคิดว่าผมอยากจะเข้าห้องน้ำ แต่แป๊บเดียวนะ แป๊บเดียวเท่านั้นนะ”
ตอนแรกตั้งท่าจะปฏิเสธแต่พอหันมาเห็นสายตาของชานยอล เจ้าตัวป่วนในบ้านก็กลับคำพูดก่อนจะเดินลงจากเตียงแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ ตอนนี้ในห้องเลยเหลือเพียงผมและชานยอลสองคน หลังมือเย็นๆของเขากำลังอังหน้าผากผม “เป็นเด็กดื้อหรอครับเดี๋ยวนี้?”
“ดื้ออะไรกันล่ะ?”
“ดึกแล้วยังไม่นอน” ได้ยินแบบนั้นผมก็ยักไหล่
“กำลังจะนอน แต่นายเข้ามาก่อน”
“คุณไม่รู้หรอกว่าเรื่องเล่าของเซฮุนที่เขาลิสต์ไว้ในหัวมีเป็นหางว่าว นี่เขายังเล่าไม่ได้ครึ่งเลยนะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันควรจะนอนแล้วล่ะ”
ผมเอนตัวลง ชานยอลช่วยประคองผมทำราวกับว่าผมเป็นคุณแม่ท้องอ่อนทั้งๆที่ผมเพียงแค่ขาหัก แต่มองไปมองมาผมคิดว่าเขาคือคุณพ่อที่กำลังส่งลูกชายเข้านอน ใบหน้าหล่อนั่นก้มลงมาใกล้ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะแตะอยู่ที่หน้าผากของผมเนิ่นนาน ซักพักชานยอลก็ผละออกไป
“เป็นไปได้ผมอยากจะกอดคุณเอาไว้ทั้งคืน”
“มันเป็นไปไม่ได้ และนายควรจะออกไปได้แล้ว”
ชานยอลเบ้หน้าเมื่อผมออกปากไล่ เขาก้มลงมาจูบริมฝีปากของผมแน่นอนว่ามันไม่ได้หยุดง่ายเหมือนกับการจูบที่หน้าผากเมื่อครู่ ผมกำลังรั้งเขาไว้ด้วยริมฝีปาก ชานยอลเท้าแขนไว้ที่หมอนอีกข้างในขณะที่ผมก็จับปกเสื้อของเขา รั้งมันเข้ามาใกล้เพื่อให้เราแนบชิดกันมากกว่านี้ผมชอบความเย็นจากริมฝีปากของเขามันช่วยให้ริมฝีปากของผมคล้ายจะสดชื่นขึ้นมา ผมเอียงใบหน้าปรับองศาเล็กน้อยเพื่อให้จูบได้ถนัดขึ้น ยิ่งนานก็ยิ่งถลำลึก ชานยอลไม่มีมีทีท่าว่าจะหยุดมันง่ายๆ ผมเองก็ไม่อยากจะหยุดเหมือนกัน
ผมได้สติก็เมื่อเสียงกระแอมไอดังขึ้นจากทางด้านหลัง เซฮุนเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว ชานยอลผละออกไปอย่างเสียดายในขณะที่ผมก็มุดใต้ผ้าห่มไปเลย เซฮุนเห็นแล้ว เดาได้ไม่ยากว่าหลังจากที่ชานยอลเดินออกไปเขาจะต้องล้อผมอย่างแน่นอน “ผมไปก่อนนะแบคฮยอน ฝันดีครับ”
ผมพยักหน้าอยู่ใต้ผ้าห่ม ชานยอลลุกออกไปจากเตียง เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นเตียงผมก็ยวบลงอีกครั้ง เซฮุนกำลังทิ้งตัวลงนั่งและขยับตัวเข้ามาใกล้ เขาสอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่ม มองหน้าผมที่อาจจะกำลังแดงก่ำอยู่ตอนนี้และยิ้มออกมาคล้ายจะล้อ
“ผมไปก่อนนะแบคฮยอน ฝันดีครับ”
“นอนไปเลยเซฮุนนา!”
พ่อมาเยี่ยมผม พร้อมกับเอาของกินมาเยอะแยะแบ่งปันคนในครอบครัวปาร์ค แต่พ่อแวะมาแค่แป๊บเดียวช่วงพักกลางวันและขับรถกลับไปทำงาน ผมมองของกินที่วางอยู่เต็มโต๊ะแล้วก็หันไปมองเทาที่ยืนอยู่ไกลๆ ซูโฮบอกว่าเขายังไม่กล้าเข้าใกล้ผมมาก เราแทบจะไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ แต่เขาชอบจ้องมาที่ผม
“กินไหม?”
ถึงมันจะเป็นคำถามที่โง่มากๆแต่ผมก็อยากจะชวนเขาคุยบ้าง เทาไม่ตอบเอาแต่จ้องมาทางนี้ ผมเลยเกาหัวแก้เก้อหน่อยๆก่อนจะหยิบมันหวานเผาที่เป็นของชอบของตัวเอง ส่วนที่เหลือก็กันออกไป ผมคิดว่าตัวเองคงกินไม่หมดหรอก
“เราควรจะทำยังไงกับของที่เหลือนี่ดี”
“ทิ้งมั้ง” สำเนียงเกาหลีแปร่งๆดังออกมาจากปากของคนที่ยืนอยู่มุมบ้าน ผมหันไปมองและขมวดคิ้วแน่น ส่ายศีรษะให้เขาน้อยๆแล้วหรี่ตาลง “ห้ามทิ้ง”
“กินหมดหรือไง”
“ก็ไม่ เก็บไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันกินเอง”
“ไม่หมดหรอก” ผมส่งยิ้มให้กับจื่อเทา ผมเห็นเขาถอนหายใจหนักๆอยู่ตรงนั้นก่อนที่เขาจะเดินขึ้นชั้นบนไป อย่างน้อยก็ได้คุยกันมากขึ้น คุณนายปาร์คเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับจาน ผมเอ่ยขอบคุณด้วยความเกรงใจ
“ทานด้วยกันมั้ยครับ?”
“แบคฮยอนกินเถอะจ้ะ ถ้าหากว่ากลัวเสียดาย เดี๋ยวจะเอาไปให้เด็กๆก็ได้นะ เย็นนี้คริสจะเข้าไปที่นั่น”
“อ่า ถ้างั้นผมเก็บไว้ให้เด็กๆดีกว่า ผมเอาไว้แค่นี้ก็พอ”
“คนป่วยก็ต้องกินเยอะๆสิ บิบิมบับเอาไว้ก็ได้”
สุดท้ายผมก็นั่งกินข้าวกับคุณนายปาร์คที่คอยแกะโน่นแกะนี่ให้ผมทาน ของที่พ่อซื้อมาเกือบจะหมด และที่น่าตกใจกว่านั้นคือผมนั่งกินคนเดียว ผมถามคุณนายปาร์คว่าถ้าเขาอีกอาหารจะรู้สึกยังไง ผมเบ้ปากเมื่อได้ยินคำตอบ
‘มันก็เหมือนกับเวลาเธอเคี้ยวยาง’
เอาเป็นว่ารสชาติมันคงไม่ดีมากเท่าไหร่แล้วกัน
ผมช่วยเก็บจานแม้คุณนายปาร์คจะบอกให้ผมนั่ง แต่เอาเข้าจริงๆผมก็ดื้อเดินตามเธอไปอยู่ดี แน่นอนว่าผมยืนล้างจานด้วย ปาร์คชานยอลเดินเข้ามาในครัว คงจะคิดว่าผมหายไปไหน ผมเก็บจานใบสุดท้ายไว้ที่ชั้นวาง หันกลับไปชานยอลก็ถือผ้าขนหนูรอไว้แล้ว เขาเดินเข้ามาเช็ดมือให้ผม การกระทำเล็กๆน้อยๆที่บ่งบอกถึงความเอาใจใส่ทำให้ผมยิ้มกว้าง
“เดินมาล้างจานทำไมครับหื้อ?”
“ให้แม่นายทำคนเดียวมันไม่ถูกต้อง จานนั่นฉันเป็นคนใช้”
“แต่ขาคุณเจ็บอยู่นะ”
“พอเดินได้อยู่น่า”
“ไปทาครีมครับ มือคุณแห้งหมดแล้ว”
เขาว่าก่อนจะยกตัวผมลอย ผมได้แต่กอดอกที่เขาทำราวกับว่าผมเป็นเด็กสามขวบที่ยังต้องให้พ่ออุ้ม ชานยอลค่อยๆวางผมลงบนโซฟาก่อนจะหายไปหยิบครีมทามือมาทาให้ผม เขาบ่นอุบเมื่อพบว่ามือของผมเย็นกว่ามือเขา เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะออกมา นานวันเข้าชานยอลก็ยิ่งเหมือนพ่อของผม
“อยากจะเป็นพ่อฉันอีกคนหรอชานยอล?”
“พ่อทูนหัวน่ะหรอครับ? ผมก็เป็นอยู่แล้วนี่ J”
นี่มันไม่ยุติธรรมเลยนะ ผมโดนเขาแกล้งอีกแล้ว!!
Talk -11-
ตอนนี้จะปล่อยชิลๆไปอีกตอน #เพื่อออ
ตอนหน้ากลับมาเจอกันกะพวกชเวนะครัช
พร้อมพี่จงอิน คัมแบคคคค
หลังจากนี้จะได้เจอพรี่ชรงอินบ่อยขึ้น
ต้อวใช้นางให้คุ้มค่าตัว กิ กิ
เดี๋ยวจออนุญาตไปเตรียมตัวสอบโอเนต
ถ้าขี้เกียจอ่านหนังสือ(ซึ่งเป็นทุกวัน)
จะมาลงตอนต่อไป
แล้วเจอกันเมื่อไรท์เลิกติ่งคิมทัน
เพิ่งจะได้ดู....หสฟดยำนานย มาก
โอเค เวิ่นแค่นี้แหละจย้า เจอกันน้า <3
#ฟิคทไวไลท์
ความคิดเห็น