คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : -3-
วั่ยยยยย พี่ปาร์คภาพนี้หล่อมาก
ฮุฮิคุคิ
-3-
ผมเสิร์ชหาคำว่าแวมไพร์ในคอมพิวเตอร์
เรื่องเล่าตำนานมมากมาย แน่นอนว่าที่ขึ้นมาในหน้าของกูเกิ้ลล้วนเต็มไปด้วยเรื่องแต่ง...ผมไม่ได้ต้องการเรื่องที่แต่งขึ้น หากแต่การหาความจริงในโลกอินเตอร์เน็ตก็ยากพอๆกับการงมเข็มในมหาสมุทร ผมเปิดเว็บโน้นเว็บนี้ไปทั่วจนสายตาพร่า พ่อเข้ามามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วออกไปเพราะนึกว่าผมกำลังทำรายงาน
แวมไพร์ สามารถสยบได้ด้วยกระเทียม ซึ่งเป็นพืชที่มีกลิ่นฉุนมาก หรือไม้กางเขน และน้ำมนต์
ผมรู้ว่ามันคงใช้ไม่ได้ผลมากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยถ้าคืนนี้ผมจะต้องออกไปพิสูจน์ด้วยตัวเองจริงๆก็ควรจะพกติดตัวไปบ้างเพื่อความสบายใจ ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะออกไปคนเดียว ไม่ดึงใครเข้ามาเกี่ยวในเมื่อนี่เป็นความอยากรู้อยากเห็นของผม บางทีผมควรจะเอากล้องไปด้วยไหมนะ?
ผมรู้ว่าควรจะล่อมันออกมายังไงในเมื่อสิ่งที่ไอ้ตัวประหลาดพูดกับผมในวันนั้นคือเลือด คาดว่ามันคงตามกลิ่นมาได้ง่ายๆ อาจจะต้องเจ็บตัวหนักหน่อยเพื่อการเจ็บตัวที่มากกว่าอะไรทำนองนี้รึเปล่านะ
ผมลงไปข้างล่างเพื่อหยิบกระเทียม ในเวลานี้อาจจะหาน้ำมนต์ไม่ได้แต่ก็มีไม้กางเขนของพ่อที่วางไว้อยู่หลังทีวี ผมหยิบมันมาสวมที่คอก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนห้อง แนบหูลงบนประตูบานใหญ่เพื่อฟังเสียงกรน แน่นอนว่ามันดังลอดออกมา ผมจึงเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งและเตรียมที่จะออกจากบ้านในตอนสามทุ่ม
ผมไม่คิดจะเอารถไป ถ้าหากสตาร์ทล่ะก็เสียงเครื่องยนต์ต้องดังกระหึ่มจนพ่อตื่นมาลากผมให้กลับไปนอนที่ห้อง และผมอาจจะโดนกักบริเวณด้วยการขังไว้ในห้องอะไรทำนองนั้น ผมสวมเสื้อโค้ตตัวใหญ่ๆสวมฮู้ดแล้วเดินออกห่างจากบริเวณบ้าน ผมยังไม่อยากให้พ่อเดือดร้อน ผมเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดที่บริเวณข้างป่าซึ่งเลยจากชุมชนมาพอสมควร คัตเตอร์ที่อยู่ในมือผมค่อยๆจิ้มลงที่ปลายนิ้วของตัวเอง แม้มันจะเจ็บแต่ก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้
หัวใจของผมเต้นถี่เมื่อลมเย็นๆพัดวาบมา ในคืนนี้ไม่มีฝนแต่กลับให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน ผมสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังจะใกล้เข้ามาและมันเป็นตัวย้ำเตือนว่าสิ่งที่ผมเจอในวันนั้นมันไม่ใช่แค่ความฝันหรืออาการประสาทหลอนแบบที่หมอจองซูวินิจฉัย
เสียงต้นไม้ที่ถูกเขย่าดังขึ้นด้านข้างทำให้ผมต้องรีบหันไปมองก่อนจะพบร่างร่างหนึ่งกำลังยืนจ้องผมอยู่ แววตาสีแดงฉานที่จ้องมาทำให้รู้ว่ามันเป็นตัวเดียวกันกับที่พบเมื่อหลายวันก่อน เพียงแต่ในวันนี้มันมีสภาพที่เหมือนคนมากขึ้น ร่างโปร่งนั่นค่อยๆก้าวเข้ามา
“น่าดีใจจริงๆที่ได้เจอแกอีกครั้ง”
“..........” ผมค่อยๆเดินถอยหลังไม่ตอบรับในสิ่งที่มันพูด ใบหน้าหล่อขยับไปซ้ายทีขวาทีแว้บเดียวมันก็มาหยุดอยู่ที่ข้างตัวผม มันไม่มีอาการรีบร้อนเหมือนเมื่อวันก่อน มันก้มหน้าลงมาแถวซอกคอผมก่อนจะสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่และนั่นทำให้ผมหยุดหายใจ
“น่าเสียดายจริงๆที่วันนั้นฉันลิ้มรสแกไม่หมด น่าเสียดายจริงๆนะแบคฮยอน”
“แกฆ่าเขาใช่มั้ย?”
“ถ้าหมายถึงเด็กผู้ชายที่ดันหลงทางมาแล้วเจอฉันที่กำลังกระหายเพราะกินเลือดแกได้แค่นิดเดียวนั่นล่ะก็....ใช่ฉันเป็นคนกินมันเองกับมือ”
ผมรู้สึกขนลุกยามมันกระซิบอยู่ข้างหู ร่างกายแข็งเกร็งขึ้นมายามนิ้วเย็นๆนั่นสัมผัสลงที่ต้นคอ ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง หยิบกระเทียมออกมาแล้วปาใส่หน้าหรือเอาไม้กางเขนฟาดไปซักที แต่การที่มันสัมผัสผมได้ถึงขนาดนี้ผมคิดว่าทุกอย่างที่ผมเอามามันไม่มีประโยชน์แล้ว
ถึงผมจะตาย....อย่างน้อยพ่อก็จะปลอดภัย
ก่อนจะออกมาจากบ้านผมทิ้งจดหมายไว้ให้กับพ่อ และบอกเกี่ยวกับทุกอย่างที่ผมเจอ อย่างน้อยอาจจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มาปราบหรือไม่ก็ป้องกันไม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียว คิดว่าการตายครั้งนี้ของผมคงจะมีค่าถ้าหากว่าพ่อมาพบกับศพของผมเข้าจริงๆ
“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าเตรียมตัวที่จะตายแล้วใช่ไหมที่รัก”
“ไม่มีใครอยากตาย”
“แต่แกเป็นคนเรียกฉันเอง”
มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมก่อนจะแสยะยิ้มจนเห็นเขี้ยวคมๆ ผมหยุดหายใจไปแล้วยอมรับเลยว่าตอนนี้กลัวมากจริงๆ มันกำลังแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง ผมหลับตาลงไม่คิดจะดิ้นรนเหมือนในวันนั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่ซักพักผมก็รู้สึกได้ว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมถูกผลักออกไปและใครบางคนกำลังล็อคตัวผมเอาไว้ ผมรีบลืมตามองทันที
“ชานยอล!”
“ผมบอกคุณว่ายังไงแบคฮยอน! ทำไมถึงไม่เชื่อผม!”
เขาหันมาตวาด ในขณะที่ผู้ชายอีกคนกำลังล็อคผมไว้ ชานยอลขบกรามแน่นแล้วหันไปคำรามใส่มันที่ตอนนี้ลุกขึ้นมาได้ใหม่ มันค้อมตัวลงตั้งท่าเตรียมจะจู่โจม นี่มันไม่ดีแล้ว! ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้ชานยอลมาทำแบบนี้! เขาอาจจะตายได้ถ้าหากคิดจะสู้กับมันมือเปล่า
“ผมคิดว่าผมคุยกับคุณรู้เรื่องแล้วนะจองจีฮุน คุณไม่มีสิทธิ์จะล่าเหยื่อในเมืองนี้ ที่นี่เป็นเขตของเรา”
“ผมต้องการแค่คนเดียวคุณปาร์ค ถ้าได้ตัวแล้วผมจะไปจากเมืองนี้”
“ห้ามยุ่งกับเขา!”
ปาร์คชานยอลคำรามอีกครั้ง มันดูมีอำนาจและค่อนข้างดุดันผมรู้สึกขนลุกเมื่อได้ยินเสียงนั่นมันไม่เหมือนน้ำเสียงปกติที่ผมเคยได้ยิน ผมพยายามจะดิ้นให้หลุดออกจากการจับกุมของใครบางคนที่กอดผมไว้ แต่อีกคนแรงเยอะมาก ไม่ว่าอย่างไรผมก็ดิ้นไม่หลุด ให้ตายสิ!
“นายควรจะไปกับฉัน”
“ไม่! ปล่อยนะ ชานยอล! นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย! ชานยอล!!”
“ขอร้อง....เชื่อผมแล้วหนีไป”
“ไม่! นี่มันเรื่องของฉันนะชานยอล นายต่างหากที่ต้องหนี!!”
“เซฮุน พาแบคฮยอนขึ้นรถ” ชานยอลไม่ฟังผมแล้วเอ่ยปากสั่งคนที่ชื่อว่าเซฮุนให้ลากผมขึ้นรถแอสตันที่ผมจำได้ว่ามันเป็นของชานยอล เมื่อหลายวันก่อนมันเคยจอดอยู่ข้างรถของผม ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขึ้นรถจองจีฮุนเริ่มเปิดฉากจู่โจมมันกระโจนเข้าใส่ชานยอลที่ยืนตั้งรับอยู่ ผมคิดว่าวินาทีนั้นเขาต้องตายแน่หากแต่ไม่ ชานยอลกลับจับที่ปกเสื้อของเขาแล้วเหวี่ยงออกไปจนร่างสูงนั่นกระแทกเข้าที่ต้นไม้ใหญ่
ผมทำได้แค่ตะลึงก่อนจะถูกเซฮุนลากขึ้นรถไป
ฉากต่อสู้ตรงหน้าราวกับในหนัง คราวนี้ชานยอลเป็นฝ่ายจู่โจมบ้าง ทั้งสองร่างเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือชานยอลกำลังแยกเขี้ยว นั่นไม่ผิดแน่และสาบานได้ว่าผมไม่ได้ตาฝาดเขี้ยวนั่นไม่ต่างจากอะไรกับเขี้ยวของจีฮุนที่ฝังมันลงมาบนร่างของผมเมื่ออาทิตย์ก่อน เซฮุนบึ่งรถออกมาจากที่ตรงนั้น ผมได้แต่นิ่งค้างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
“หนังเรื่องเมื่อกี้ใช้ได้เลยนะ” เซฮุนเอ่ยขัดขึ้นมา ราวกับว่าเมื่อกี้ผมและเขาเพิ่งไปดูหนังบู๊มาด้วยกัน
“พวกนายเป็นใครกันแน่” ผมงึมงำและตกอยู่ในสภาวะช็อค เซฮุนไม่ตอบก่อนจะเร่งเครื่องให้เร็วขึ้น เขาไม่กลับไปส่งผมที่บ้านอาจจะกลัวว่าจองจีฮุนจะตามกลับไปและพ่ออาจจะเดือดร้อน มาถึงตอนนี้แล้วพวกเขาคิดว่าผมโง่หรือเปล่า เซฮุนกำลังจะหลอกผมเหมือนกับที่ชานยอลและหมอจองซูบอกผมว่าสิ่งที่เห็นคือภาพลวงตา ความจริงเป็นยังไงมันเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า
และตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าเขาเป็นแบบเดียวกัน
แต่ไม่ใช่พวกเดียวกัน
และคิดว่า.....เซฮุนคงไม่ต่างอะไรจากชานยอล
“ชานยอลจะเป็นอะไรมั้ย?”
“ตอนนี้เขาอยู่บ้านเขาจะเป็นอะไร”
“เขาแข็งแกร่งมากพอรึเปล่า?”
“พี่ชายฉันแข็งแรงอยู่แล้ว แบคฮยอน.....ตอนนี้นายอยู่บนรถ นายออกมาเที่ยวกับฉันและตอนนี้เรากำลังจะกลับบ้านกัน”
“พอได้แล้ว!”
ผมตวาดอย่างเหลืออดพยายามอย่างมากที่จะไม่ใส่อารมณ์กับคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง โอเค....ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พวกเขาต้องโกหกเพราะนี่ไม่สามารถบอกใครให้รู้ได้ และผมมันก็แค่ไอ้ตัวขี้เสือกที่อยากรู้อยากเห็น ผมหันไปมองเซฮุน เขากำลังทำหน้านิ่งๆอยู่ภายใต้ความมืด
“นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกนะเซฮุน มันฆ่าคนและมันกำลังจะฆ่าฉัน ฉันเป็นตัวต้นเหตุทำให้คนอื่นต้องตาย! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!?”
“ฉันคิดว่าแบคฮยอนต้องการพักผ่อนแล้ว”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ!”
ผมเอื้อมมือไปดึงพวงมาลัยไว้เมื่อเขาพยายามจะออกรถ รู้ดีว่านี่มันอันตรายแต่ผมคิดว่าหากยังไม่มีคำอธิบายสำรับเรื่องนี้ผมจะไม่ปล่อยไว้ ในเมื่อพวกเขาเลือกจะช่วยชีวิตผมไว้แล้วคิดว่าผมจะยอมทำเป็นไม่รู้มันไม่เห็นบอกได้เลยว่าวเขาคิดผิด อย่างน้อยต้องมีคำอธิบายว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่ และทำไมถึงเลือกมาอยู่ที่เมืองนี้ เซฮุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นอะไรซักอย่างพึมพำก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นฟาดเข้าที่ท้ายทอยของผม
ถึงจะสลบผมก็เอาแต่บอกตัวเองว่าผมไม่ได้ฝันไป
ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเอง....มีผ้าขนหนูวางอยู่บนหน้าผาก ผมเดาเอาว่าพ่อคงเอามาวางไว้
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือผมกลับมาที่บ้านได้ยังไง?
ผมจำได้เพียงแค่ว่าผมอยู่บนรถของชานยอลโดยเซฮุนเป็นคนขับ เขาทำให้ผมสลบและพากลับมาที่บ้าน ผมค่อยๆยันตัวขึ้นนั่งบนเตียงแล้วเอาผ้าขนหนูที่วางอยู่บนหน้าผากออก อาการหนาวสั่นทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคงมีไข้ต่ำๆ พ่อเดินขึ้นมาบนห้องพร้อมกับข้าวต้มราวกับรู้ว่าผมจะต้องตื่น ถ้าหากเซฮุนเอาผมมาส่งที่บ้าน คิดว่าพ่อจะต้องรู้เรื่องที่ผมออกไปเมื่อคืนแน่
“รายงานมันเครียดขนาดจนไข้ขึ้นเลยหรอแบคฮยอน?”
“หะ?”
“ก็เมื่อคืนลูกทำงานทั้งคืน จนเช้านี้มีไข้ เอาล่ะ ไหนๆก็ตื่นแล้วทานข้าวก่อนแล้วกัน”
“มันกินได้แน่ใช่มั้ย?”
“ลูกเลือกไม่ได้แล้วตอนนี้” พ่อทำหน้าเหมือนอยากจะเขกหัวผม เห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะรับชามข้าวต้มมาถือไว้ ผมค่อยๆชิมไปทีละนิดเมื่อพบว่ามันกินได้ผมก็ลงมือทานอย่างจริงจัง ตอนนี้พ่ออยู่ในเครื่องแบบคาดว่าใกล้จะออกไปทำงานแล้ว ผมมองนาฬิกา
“พ่อไปทำงานเถอะ ผมคิดว่าผมอยู่ได้”
“ไม่เป็นไร พ่อบอกแล้วว่าจะไปสาย”
“ไปเถอะครับ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมจะกินยาแล้วก็นอน”
“ลูกของพ่อโตแล้วจริงๆ” พ่อบ่นงึมงำ มือใหญ่เอื้อมมาลูบศีรษะของผมน้อยๆ เขาก้มจูบที่ขมับของผมหนึ่งทีแล้วเดินออกจากห้องไป ผมได้แต่เบะปากไล่หลัง อยากจะบอกกับพ่อจริงๆว่าผมอายุสิบเจ็ดไม่ใช่เจ็ดขวบ เสียงรถที่ดังขึ้นทำให้รู้ว่าตอนนี้พ่อออกจากบ้านไปแล้ว วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องหยุดเรียน ย้ายเข้ามาเมืองนี้ยังไม่ถึงเดือนก็เกิดเรื่องไม่หยุด
ผมหยิบยามากินหลังจากที่ทานข้าวต้มหมดแล้ว ตอนนี้ยังไม่อยากจะลุกจากเตียงไปไหน ผมมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเป็นบริเวณหน้าบ้าน ฝนเริ่มตกโปรยโปรยอีกครั้ง มันนับไม่ถ้วนแล้วหลังจากที่ผมย้ายมาที่นี่ ก่อนที่จะเบนสายตากลับเข้ามาในห้อง ผมก็เหลือบไปเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้
ฮวังจื่อเทา....ผมจำเขาได้ ผู้ชายร่าสูงขอบตาคล้ำ ลูกชายบุญธรรมของหมอปาร์ค
ผมมองลงไปอีกครั้ง เขาหายไปแล้ว
บางทีผมอาจจะเหนื่อยมากเกินไปจนตาฝาด
เช้าวันถัดมาอาการผมดีขึ้น แม้จะยังมีไข้ต่ำๆแต่ผมก็ยังดึงดันที่จะมาโรงเรียนและแน่นอนว่าผมไม่ยอมที่จะนั่งรถตำรวจของพ่อมาโรงเรียนด้วย ผมขับไอ้แก่เพื่อนตายออกมา จอดมันไว้ที่ประจำ เหลือบไปเห็นแอสตันมาร์ติน รถหรูที่คงจะมีแต่ชานยอลที่ใช้มัน ถัดไปเป็นเฟอรารี่สีแดง เดาได้ไม่ยากอีกเหมือนกันว่าคงเป็นของตระกูลปาร์ค ผมก้าวลงมาจากรถ เพราะยังไม่หายไข้ดีเลยเกิดอาการมึนหัวนิดหน่อย ผมเซเล็กน้อย
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
ชานยอล.....เขามายืนข้างผมตอนไหนก็ไม่รู้ มือใหญ่จับต้นแขนของผมไว้มั่นก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ค่อนข้างตกใจนิดหน่อย ผมส่ายหัวน้อยๆแล้วยืนตรง ถึงกระนั้นชานยอลก็ยังประคองผมไว้ราวกับกลัวว่าผมจะล้มลงไปเสียก่อน
“ผมคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน ถูกมั้ย?”
ผมพยักหน้ารับเมื่อในที่สุดเขาก็ยอมเอ่ยปาก ชานยอลปล่อยมือที่ประคองผมเมื่อครู่แล้วเดินนำเข้าไปที่ป่าข้างโรงเรียน อากาศชื้นแฉะทำผมเบะปากออกนิดหน่อย มันเป็นเนินขึ้นไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังลำบากแล้ว ผมหยุดยืนเมื่อผมไม่สามารถไปต่อได้ ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังกว้างที่เริ่มไกลออกไป
ผมปีนมันขึ้นไปไม่ไหวหรอกนะ
ชานยอลหยุดเดินและหันกลับมามองผม ก่อนจะเดินกลับมา ผมยักไหล่เล็กน้อยเพื่อบอกให้รู้ว่าด้วยสภาพนี้ผมไปไม่ไหวจริงๆ เขากระโดดลงมาจากบนนั้นหลังจากนั้นก็อุ้มผม
“ชานยอล!”
“หลับตาไว้นะ”
ขาไม่แตะพื้น ลมเย็นๆที่พัดผ่านผิวหน้าไปทำให้ผมมีความรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังนั่งรถไฟความเร็วสูง แม้จะมีต้นไม้เยอะแต่คิดว่านี่มันไม่ได้เป็นอุปสรรค เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางผมก็ค่อยๆลืมตา สิ่งที่เห็นอย่างแรกคือกรอบหน้าของปาร์คชานยอล เขากำลังส่งยิ้มบางๆให้ สาบานได้ถ้าหากว่าผมเป็นผู้หญิงล่ะก็จะต้องหลงรักเขาไปแล้ว ร่างสูงค่อยๆวางผมลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล และตอนนั้นผมเพิ่งได้สังเกตว่าบนเนินนี้มีแสงแดดส่องลงมา ผมเดินออกไปอยู่กลางแดดด้วยความคิดถึง ผมไม่ได้เจอมันมานานแล้ว ทุ่งหญ้าสีเขียวกับอากาศที่บริสุทธิ์ทำเอาลืมไปเลยว่ามีใครบางคนมาด้วย
“นายรู้จักที่นี่ได้ยังไง?”
“ผมเคยเจอมันตอนมาเดินป่ากับครอบครัว คุณชอบไหม?”
“มาก แต่คิดว่าการเดินทางค่อนข้างลำบากนิดหน่อย” เมื่อนึกไปถึงทางเดินที่มายังที่นี่ผมก็ถอนหายใจเฮือก มันไม่ใช่ทางปกติที่คนธรรมดาจะเดินทางมาได้เลยจริงๆ
คนธรรมดา?
ให้ตายสิ ผมเกือบลืมจุดประสงค์ที่ตามเขามาแล้วนะ!
“นายจ้องฉันอีกแล้ว”
“จริงๆนะแบคฮยอน ผมหงุดหงิดมากเลยเวลาที่มองคุณแล้วผมไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร”
เขาดึงผมเข้าไปกอด มือใหญ่วางลงบนศีรษะของผมราวกับฉากในหนัง ผมไม่เคยคิดว่าการที่ผมตัวเล็กเป็นเรื่องที่ดีขนาดนี้มาก่อน ผมยืนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นกอดตอบพลางคิดในใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเร็วเกินไปไหม
ผมกำลังรู้สึกดี ปาร์คชานยอลทำให้ผมรู้สึกดี
“ครั้งแรกที่คุณโดนทำร้าย ผมคิดว่าผมจะช่วยคุณไว้ไม่ทันแล้ว ให้ตายสิแบคฮยอน แล้วครั้งที่สองคุณก็ยังออกไปท้าทายมัน คุณกำลังเล่นอยู่กับอะไรรู้ไหม”
“ก็นายไม่เชื่อที่ฉันพูด ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนบ้าที่เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ”
“คุณดื้อกว่าที่ผมคิดนะแบคฮยอน”
ชานยอลผละออกจากผมก่อนจะฉุดให้นั่งลงบนพื้นหญ้า เขายื่นเท้าออกไป ผมเห็นขาขาวๆที่โผล่ออกมาจากขอบกางเกงกำลังสะท้อนแสงราวกับมีใครโรยกากเพชรไว้บนนั้น ผมอุทานเบาๆแล้วหลังจากนั้นเขาก็หัวเราะ “แปลกใช่ไหม?”
“สวยมากต่างหาก ฉันจับได้มั้ย?”
เขาไม่ตอบหากแต่จับมือของผมให้แตะลงไปบนแขนของเขา อุณหภูมิร่างกายของชานยอลต่ำกว่าคนทั่วไป แน่นอนอยู่แล้วเขาไม่ใช่คน ผมค่อยๆวางมือลงไปบนนั้นก่อนที่จะจับมือชานยอลเอาไว้ เขายื่นมือของตัวเองออกไปกลางแดด แสงวิบวับลอดผ่านมือผมขึ้นมา
“น่าตกใจจริงๆ”
“เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงเลือกมาอยู่ที่เมืองนี้ ที่เราไม่ชอบแสงแดดเพราะมันจะทำให้เราโดดเด่นเกินไป มนุษย์รับรู้การมีอยู่ของเราไม่ได้”
ผมเข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าที่แวมไพร์ไม่ชอบแสงแดดเพราะมันจะแผดเผาให้เขาตาย ผมพลิกมือของเขาไปมาอย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่ชานยอลก็เล่าต่อไปเรื่อยๆ ถึงผมจะไม่พูดอะไรออกไปแต่คิดว่าเขาคงรู้ดีว่าเขาควรจะต้องเล่าเพราะผมรู้เยอะมากเกินไป ผมเป็นหนึ่งในเหยื่อที่รอดชีวิต เพราะฉะนั้นผมควรจะรับรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตัวเองไว้
“ส่วนคุณเองก็ไม่น่าไปทำอะไรที่เสี่ยงแบบนั้น คิดถึงพ่อคุณบ้างแบคฮยอน”
“เลือด....เลือดของฉันน่ะ มันดึงดูดขนาดนั้นเลยหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่กำลังมองผม เขาส่งยิ้มบางๆก่อนจะฉวยโอกาสก้มลงสูดลมหายใจเข้าที่ต้นคอของผม ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ากลัวเหมือนกับตอนที่จองจีฮุนทำกับผม หากแต่มันจั๊กจี้ ผมหดคอลงนิดหน่อยแล้วเบนตัวหนี แสร้งทำเป็นหวาดกลัวกับการกระทำนั่น ชานยอลหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ผมไม่เคยเจอคนที่มีกลิ่นเลือดที่ดึงดูดอย่างคุณ เพราะอย่างนั้นวันที่ผมเจอคุณครั้งแรกผมถึงได้ทำตัวแบบนั้น”
“การกระทำแย่ๆL”
“แบคฮยอน...ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ฉันหลอกเล่นน่ะ” ผมเอามืออีกข้างที่ไม่ได้จับมือของเขาโบกไปมา ชานยอลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วเขาก็ยอมเล่าต่อ
“หลังจากนั้นผมต้องขึ้นไปบนเขา ล่าหมีซักสองสามตัวทั้งๆที่เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเพิ่งไปออกล่ามา แม้มันจะไม่ให้ความรู้สึกเหมือนกับตอนดื่มเลือดของคนแต่ผมคิดว่านี่มันดีกว่า คนในเมืองจะไม่เดือดร้อน”
“มังสวิรัติว่างั้น?”
“อะไรทำนองนั้น แต่ยังมีอีกหลายครอบครัวที่เป็นแบบเรา เพื่อให้อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ แรกๆปรับตัวลำบากมากทีเดียว ผมแทบบ้าตายวันละหลายหน แต่ดีที่ได้หมอจองซู เขาสอนการใช้ชีวิตแบบนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปผมนับถือเขาเหมือนกับพ่อคนนึงเพราะฉะนั้น.....”
“ฉันเข้าใจแล้ว ไม่เป็นอะไร ไม่ได้โกรธแล้วล่ะ” ผมพึมพำก่อนจะเล่นบนมือของเขาอีกครั้ง
“ผมคิดว่าคุณจะกลัวผมมากกว่านี้ซะอีก”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัวคนที่เคยช่วยชีวิตฉันไว้” ผมยักไหล่ ปาร์คชานยอลเห็นแบบนั้นก็ผลักผมลงบนพื้นหญ้า กลิ่นชื้นของไอดินลอยขึ้นมาแตะจมูกผมจ้องไปยังคนที่ขึ้นคร่อม เขายิ้มออกมาน้อยๆแน่นอนว่าผมเห็นเขี้ยวของเขาที่กำลังร้องเรียกว่าต้องการเลือดจากตัวผม ผมยกมือขึ้นปิดคอของตัวเองทันที
“ไม่ได้”
“คุณควรจะทำแบบนี้ตอนเผชิญหน้ากับจีฮุน ไม่ใช่หลับตาปล่อยให้มันตั้งท่าจะกัดคุณแบบนั้น”
“ถึงฉันจะปิดแบบนี้แต่ก็ไม่ช่วยอยู่ดีถ้าหากเขาจะกัดฉัน”
ผมจ้องตากับชานยอลที่คร่อมผมอยู่ซักพัก เขาก็ยอมถอยออกไปแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะฉุดมือผมให้ลุกขึ้นยืน ผมแทบจะไม่ต้องออกแรงเขาก็ช้อนตัวผมขึ้นมา ผมเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆในลำคอ อากาศที่นี่ดีมากจริงๆจนผมต้องสูดมันเข้าปอดอีกครั้ง
“จริงๆยังมีเรื่องที่สงสัย”
“วันนี้เราจะเล่นยี่สิบคำถาม” ชานยอลยิ้ม
“ไม่ใช่ซักหน่อย” ผมทำหน้าง้ำและเป็นอีกรอบที่เขาหัวเราะ ยอมรับเลยว่ามันดูดีจริงๆ แต่ผมมีอะไรให้ขำนักหนากันนะ ไม่เข้าใจเลย
“ผมจะตอบในเรื่องที่ผมตอบได้ เชิญครับ”
“นายอ่านใจฉันได้?” ชานยอลยังคงยิ้ม ผมเห็นฟันของเขาครบทุกซี่แล้วจริงๆ เขาส่ายศีรษะของตัวเองน้อยๆนั่นทำให้ผมขมวดคิ้วด้วยความงง
“ผมมีความสามารถพิเศษ อ่านความคิดของทุกคนได้ยกเว้นคุณ”
“ยกเว้นฉัน?”
“ใช่ ดูเหมือนว่าตัวคุณจะปิดกั้นทุกความสามารถของคนในครอบครัวผม เซฮุนที่สามารถเห็นอนาคตได้ เขากลับไม่เห็นคุณอยู่ในนั้น นั่นทำให้คุณดังมากในครอบครัวของเรา”
“นั่นเป็นเรื่องที่ฉันควรจะดีใจใช่มั้ย?”
ผมนึกไปถึงครอบครัวของเขา เหล่าคนดูดีกำลังพูดถึงผมด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น แค่คิดมันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ผมส่ายศีรษะตัวเองน้อยๆแล้วหันไปหาชานยอลที่ยังคงเอาแต่จ้องผมอยู่แบบนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองเกิดหน้าร้อนขึ้นมากระทันหัน เลือดฝาดขึ้นบนแก้มทันที
“หลังจากนี้เชื่อที่ผมพูดบ้างนะแบคฮยอน อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว”
“มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พ่อต้องไปทำงาน และฉันต้องมาโรงเรียน และพ่อฉันเข้าเวรบ่อยฉันต้องอยู่บ้านคนเดียว”
“เพราะฉะนั้นในฐานะที่ผมทำให้คุณต้องเดือดร้อน เราจะผลัดกันไปเฝ้าเวรที่หน้าบ้านคุณ”
“ฉันนึกว่าวันนั้นนายจัดการมันไปแล้วซะอีก” ผมร้องออกมาเบาๆ การปะทะกันเมื่อวันนั้นผมนึกว่าแวมไพร์ตัวนั้นถูกฆ่าแล้ว ชานยอลส่ายศีรษะน้อยๆ เขาเริ่มอธิบายอีกครั้ง
“จองจียองก่อนจะเปลี่ยนนั้นเขาเคยเป็นนักรบมาก่อน เขามีอายุมากกว่าผม และแข็งแกร่งกว่าผม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกำจัดเขา ถึงเราจะเจรจาว่าให้เขาไปล่าเหยื่อที่เมืองอื่น แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าตอนนี้เขาจะจากไป ดูได้จากเมื่อวันนั้น เขายังคงอยู่แถวนี้ และไปหาคุณทันทีเมื่อมีโอกาส เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องดูแลความปลอดภัยของคุณ”
“นี่มันเกินความจำเป็นรึเปล่า?”
“ไม่เลย ให้ผมได้ทำเพื่อคุณนะ”
“ถ้าฉันเป็นผู้หญิงคงนึกว่าตัวเองถูกขอแต่งงานไปแล้ว” ชานยอลยิ้มไม่ปฏิเสธคำพูดนั้น ก่อนที่เขาจะบอกว่าเขาได้ยินเสียงออดโรงเรียนดังขึ้นมันได้เวลาโฮมรูมแล้ว เขาอุ้มผมอีกครั้งผมหลับตาแล้วซุกตัวลงในอ้อมแขนแข็งแรง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะเย็นแต่มันก็สามารถทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย
ปลอดภัย....แม้ว่าตอนนี้ผมกำลังเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอันตราย
Talk -3-
เป็นคนรีบร้อนนิดหน่อย...ไม่มีไรทำ
อัพฟิคกันเถอะ *ล่องลอย*
เรื่องมันเร็วๆเนอะ แต่ไม่อยากให้ยืดเยื้ออะ
เรื้อรังแล้วจะน่าเบื่อ *ทำหน้าเกร๋ๆ*
#ฟิคทไวไลท์ พูดคุยกันได้ในแทค
ขอบคุณที่อ่านค้าบบบ
ความคิดเห็น