คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Will Love, So I love[Special Part ] KangTeuk=เพื่อนกันได้อย่างไร 70%
[Special Part] KangTeuk :: >> เพื่อนกันได้อย่างไร
ม.ต้น ปี 2 ห้อง A
“อาจารย์มาแล้ว นั่งเร็ว!!”
เสียงจากผู้ดูต้นทางหน้าห้องดังขึ้นทำให้คนที่กำลังยืนเพ่นพ่านอยู่เต็มห้องต้องรีบเข้าเกียร์หมาใส่แนบเผ่นเข้าที่เพราะรู้ดีว่าอาจารย์ที่ปรึกษาคนนี้เกลียดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเข้าไส้ติ่ง หลังจากที่เปิดเทอมได้เดือนกว่าๆอาจารย์คนนี้ก็แสดงอาการกริยาให้ได้เห็นและได้ทำโทษนักเรียนให้ได้รู้ถึงพิษสงตามกันไป ฉะนั้นทุกครั้งก่อนคาบโฮมรูม จะต้องมีเวรสับเปลี่ยนกันไปดูหน้าห้องว่าอาจารย์จะมาเมื่อไหร่
วันนี้อาจารย์ไม่ได้เข้ามาในห้องเพียงคนเดียวหากแต่ว่าพ่วงเด็กชายอีกคนหนึ่งที่ดูเงียบๆหน้าตาอมทุกข์มาด้วย เขากวาดสายตามองไปรอบๆห้องก่อนจะหยุดอยู่ที่ผู้ชายคู่หนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายผู้หญิงแล้วก็มองเลยผ่านไปเพราะไม่คิดติดใจอะไร เขาถูกย้ายมาที่นี่เพียงเพราะแม่แต่งงานใหม่และต้องติดตามสามีใหม่ไปทำงานที่ต่างประเทศ เขาเกือบจะถูกดึงไปออสเตเรียถ้าไม่ติดว่าคุณตาของเขาทักท้วงไม่อยากให้ไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเขายังเด็กเกินกว่าที่จะไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก และเพื่อตัดปัญหาเรื่องการเดินทางไปกลับทุกคนจึงเต็มใจให้เขาย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียนประจำแห่งนี้
“เอาล่ะ ได้เวลาแนะนำตัวแล้ว” อาจารย์ใช้มือแตะที่หลังของเด็กหนุ่มเบาๆเพื่อให้เขาตื่นจากภวังค์
“สวัสดีครับ ผมคังอิน ฝากตัวด้วยครับ”
“เอาล่ะ ครูหวังว่าห้องเด็กแกเรียนอย่างพวกเธอจะไม่มีใครแกล้งเด็กใหม่หรอกนะ ส่วนที่นั่งของเธออยู่นั่น แจจินในฐานะที่เธอนั่งติดกับเขาครูฝากให้เธอดูแลเพื่อนใหม่ด้วย หนังสือหนังหาก็แบ่งให้เพื่อนดูไปก่อน เข้าใจมั้ย?”
“ได้.....ได้ฮะ”
“เอาล่ะ หัวหน้าห้องบอกได้”
“นักเรียน ทำความเคารพ”
เมื่ออาจารย์เดินออกไปเด็กที่ชื่อว่าแจจินก็หันมามองเพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ติดกันก่อนจะมองเลยไปหาอีทึกที่กำลังหันมามองเด็กใหม่เหมือนกัน เรื่องผูกมิตรผมไม่ถนัดจริงนะTT
“หวัดดีคังอิน ฉันชื่ออีทึก ส่วนนี่ก็แจจุงหัวหน้าห้องมีปัญหาอะไรยังไงบอกได้ แล้วก็คนที่นั่งข้างๆนายคือแจจินเป็นเด็กที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง นายไม่เข้าใจบทเรียนตรงไหนต้องใช้แจจินให้เป็นประโยชน์ ส่วนฉันทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เคยเป็นเลิศกับเขาซักที=O=”
“หวัดดี” คนที่นั่งฟังเอ่ยตอบกลับไปเพียงคำเดียวสั้นๆทำเอาคนพูดเยอะขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความขุ่นเคืองใจแล้วหาทางชวนคุยต่อ
“นายย้ายมาจากโรงเรียนอะไร”
“นานาชาติโซล”
“อ้าว! เรียนที่นั่นก็ดีอยู่แล้ว ย้ายมาทำไมล่ะ”
“............”
“คงเป็นเหตุผลส่วนตัว” คนชวนคุยพูดเบาๆก่อนจะหันไปกระซิบกับแจจุงเพื่อนสินทที่กำลังวุ่นวายเกี่ยวกับการเตรียมหนังสือเรียนในคาบแรก ทำไมเขาพูดน้อยจังนะ ปกติใครก็ตามเจอผมชวนคุยอย่างนี้ อย่างน้อยก็ต้องยิ้มสิ
“เงียบกริบเลยแจ ไม่รู้ทำไมไม่ยอมพูด”
“เขาคงยังไม่ชิน หรือไม่ก็อาจจะเป็นนิสัยของเด็กนานาชาติโซล แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆก็อย่าไปยุงเลยดีกว่า”
“ไม่ได้นะ! ต้องทำให้เขาประทับใจมัธยมฮันวองสิ”
“ถ้าหมอนั่นเจอ ‘ชินกิ’ ก็คงประทับใจไม่ลงล่ะ เพราะอย่างนั้นนายไปทำอะไรดีๆให้เขาก็จะยิ่งเหมือนว่าเราสร้างภาพ ถ้าเขาอยากมีเพื่อน เขาก็จะคุยกับเราเองล่ะ”
อีทึกหลับตาลงอย่างใช้ความคิด ‘ชินกิ’ คือหัวหน้าแก๊งเดจาวูรุ่นที่ 10 เพิ่งได้รับตำแหน่งเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วก็เริ่มจะพาลูกน้องเที่ยวข่มคนในโรงเรียนไปทั่ว แถมยังมีไอ้พวกปากเสียมาแซวเขากับแจจุงอยู่เรื่ย แต่ทั้งสองคนก็พยายามไม่สนใจมากนัก ไม่อย่างนี้ต้องกลายเป็นของเล่นของพวกนั้นแน่ๆ
“ต้องมีทางที่หมอนั่นจะคุยกับฉันสิ”
“นี่นายเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายแล้วหรออีทึก”
“บ้าสิแจจุง! ผู้หญิงสวยต่างหากที่จำเป็นสำหรับฉัน”
++[Special Part KangTeuk]++
เข้าสู่อาทิตย์ที่สองของการเรียนหนังสือที่นี่สำหรับคังอิน เขาเริ่มรู้สึกว่าที่นี่น่าอยู่เพราะเด็กของมัธยมฮันวองไม่ทำตัวเวอร์เหมือนกับที่โรงเรียนเก่าของเขา แต่โรงเรียนนี้จะน่าเบื่อก็เพราะอีทึกที่ชอบทำตัวน่ารำคาญอยู่เสมอ เขาไม่ชอบการพูดคุยที่ดูเหมือนจะไร้สาระของอีทึก(นั่นก็แสดงว่าฉันยังมีสาระนะ!!-อีทึก) ใบหน้าสวยนั่นจะชอบโผล่มาเสมอเวลาเขาต้องการจะอยู่คนเดียว คังอินรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเพราะไม่ได้พักห้องเดียวกับอีทึก ไม่อย่างนั้นผมคงจะต้องย้ายโรงเรียน-_-
“เมื่อคืนหลับสบายรึเปล่า”
“........” มาอีกแล้ว...ตัวน่ารำคาญนี่ เพิ่งบ่นถึงไปหยกๆ
“เฮ้! คังอิน ถามแล้วก็ตอบนิดนึงเซ่! ฉันกำลังพูดกับนายนะไม่ใช่รูปปั้น ว่าไง หลับสบายมั้ย?”
“อืม”
“ดีมาก! แล้วนายได้ลองคุยกับมุนชินรึยัง”
“ไม่” มุนชินคือรูมเมทของเขาที่เรียนอยู่ห้อง C ชอบทำตัวเอ๋อเป็นกิจวัตร วันๆนั่งอยู่กับกองหนังสือทีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คังอินเดือดร้อยเท่าไหร่นัก เพราะด้วยความที่ไม่ชอบยุ่งกับคนอื่นเลยทำให้เข้าหาใครจริงๆจังๆไม่ได้ซักที คนที่ได้คำตอบถึงกับขมวดคิ้วยุ่งแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองที่แลกที่นั่งกับแจจินชั่วคราวลางแตะแขนเพื่อนใหม่อย่างถือวิสาสะ
“นายไม่เป็นบ้ารึไง อยู่ห้องเดียวกันแท้ๆแต่กลับไม่พูดไม่จากัน”
“ไม่”
“เฮ้อ~ หัดตอบคำอื่นซะบ้างสิ คนฟังเขาเบื่อนะ”
“ไม่ได้ขอร้องให้มานั่งฟัง”
“ถึงมันจะเจ็บ แต่ก็ยังดีกว่าคำว่าไม่ๆของนายล่ะนะ กี่พยางค์นะ.....8 พยางค์แน่ะ!”
“ปัญญาอ่อน”
“เอางี้ดีกว่า ฉันจะพานายไปเจอรุ่นน้องคนนึง รับรองเข้ากันได้ดีแน่ๆ”
คนสวยดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วยิ้มกับตัวเองเมื่อวางแผนในหัวเสร็จเรียบร้อย ดังนั้นพอพักกลางวันอีกทึกเดินไปส่งการบ้านกับเพื่อนสนิทก่อนจะหันกลับไปมองคังอินที่ตอนนี้ลุกออกไปนอกห้องแล้ว คนหน้าสวยจึงพูดกับเพื่อนอีกสองสามคำแล้วสิ่งตามร่างหนาออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว เจ้าหมีใบ้หายเข้าไปในฝูงคนที่เดินกันให้ควั่ก
“หาใครน่ะพี่อีทึก”
“อ้าว! ฮันคยอง มาพอดีเลย คิบอมด้วย พี่ว่าจะให้เจอกับคังอินซะหน่อย”
“คนที่พี่บอกว่าพูดน้อยๆน่ะนะ?”
“อืม ถามสามวาตอบสามเซนฯพอๆกับคิบอมเลย แล้วนี่ซีวอนไปไหนล่ะ?”
“มันบอกว่าวันนี้ร้อน คนก็เยอะหายใจไม่ออก นั่งเป็นคุณชายอยู่บนห้อง พี่แจจุงไม่ไปด้วยกันหรอวันนี้?”
“อ๋อ ไปๆ แต่กำลังเก็บการบ้านอยู่ รอพี่ตรงนี้แปปนึง”
ถึงกระนั้นคิบอมก็ยังไม่ได้เจอกับคังอินทำเอาคนวางแผนหน้างอไม่ยอมคุยกับคนที่ทำแผนพังทั้งวัน แต่ดูเหมือนว่าคนถูกเมินจะไม่ได้สนใจเท่าไรนัก แถมดูเหมือนว่าวันนี้เป็นวันที่เขาอารมณ์ดีที่สุดตั้งแต่ย้ายเข้ามา
“แจ! ดูสิ!! หมอนั่นมันน่าฆ่านัก”
“บอกแล้วไงว่าอย่าไปยุ่งมาก”
“คอยดูเหอะ! ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ฉันวางไว้”
“เอาเถอะๆ= = ฉันจะคอยดูแล้วกันนะ”
++[Special Part KangTeuk]++
เช้าวันเสาร์ซึ่งปกติคังอินจะต้องกลับบ้านไปหาคุณตา แต่เนื่องจากว่าวันนี้คุณตาของเขาติดทำธุระที่ต่างจังหวัดทั้งวัน วันนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบออกจากหอไปหาใคร เข็มนาฬิกาบอกเวลา 8 โมงเช้าเขาจึงลุกจากที่นอนเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา มุนชินเพื่อนร่วมห้องหายไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่เขาก้ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก เมื่อออกมาจากห้องน้ำหวังว่าจะมานั่งหน้าคอมเพื่อเปิดเล่นเกมส์ แต่เสียงออดกลับดังขึ้นทำเอาเจ้าของห้องขมวดคิ้วยุ่งพลางคิดว่าใครกันที่มาหา สองเท้าพาร่างหนามาหยุดอยู่ที่ประตู เมื่อเปิดออกมาแล้วเจอหน้าใสๆของอีทึกที่ยิ้มร่าอยู่หน้าห้องทำเอาคังอินเผลอปิดประตูใส่แล้วล็อคห้องทันที พอตั้งสติได้ก็ไม่คิดที่จะเดินกลับไปเปิดใหม่
“นายนี่มันนิสัยไม่ดีจริงๆ ปิดประตูใส่หน้าคนที่มาห้องของนายได้ยังไง”
“เข้ามา....ได้ไง?”
“ฉันไปขอปั๊มกุญแจจากมุนชินแล้ว เชื่อว่ายังไงนายก็ต้องทำแบบนี้กับฉันแน่นอน แล้วเพิ่งตื่นหรืออะไร?”
“.......”
“เออ!~ ไม่ตอบก็ช่าง ไปอาบน้ำไปๆ ฉันจะพาไปเที่ยว”
“ไม่ไป”
“นี่! คังอิน ถ้านายจะปฏิเสธก็ช่วยถนอมน้ำใจกันหน่อยได้ไหม? แต่ไม่รู้แหละถ้าวันนี้นายไม่ได้ออกไปข้างนอกอย่ามาเรียกฉันว่าอีทึกเลยคอยดู”
คนหน้าสวยพูดพลางกดล็อคประตู คังอินมองอีทึกที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลัก แต่ก็ต้องมีก้าวที่สองตามมาเมื่อคนสวยยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก้าวที่สามสี่ตามหลังมาอย่างกระชั้นชิดก่อนจะยกมือขึ้นห้ามแล้วเอ่ยปากพูดเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงกำแพงเต็มทน
“หยุด”
“ไม่! จนกว่านายจะยอมไปอาบน้ำแล้วไปข้างนอกกับฉัน”
“ทำไมฉันต้องไป”
“เพราะฉันอยากให้ไป เอาล่ะพ่อรูปงาม^^ หมดเวลาต่อปากต่อคำแล้ว จะไปหรือไม่ไป”
“โอเค ไปก็ได้”
++[Special Part KangTeuk]++
“ดูหนัง?”
“อืม ดูหนัง เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองไม่ต้องห่วง ฉันพานายออกมาก็ต้องเลี้ยงถูกมั้ย?”
“ไม่ต้อง มีเงิน” คนตัวสูงพูดปัดพลางหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้ แต่ก็พบว่าร่างบางวิ่งหนีเขาไปซื้อตั๋วหนังซะแล้ว ดังนั้นคังอินจึงเดินไปซื้อน้ำและป๊อปคอร์น กลับมาก็เจออีทึกยืนยิ้มร่าพร้อมกับชูตั๋วหนังสองใบขึ้นมาแล้วลากคนตัวใหญ่กว่าเข้าโรงหนังอย่าไม่รอช้า
หนังฉายไปได้ครึ่งเรื่อง คนสวยก็ชักเริ่มคอแห้งเพราะกินป๊อปคอร์นเยอะ สะกิดคนข้างตัวที่ถือแก้วน้ำสองสามทีก่อนจะกลายเป็นหยิกที่หลังมือเบาๆเพราะคังอินดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
“คังอิน ฉันหิวน้ำ”
“ทำไมไม่ซื้อเข้ามาล่ะ”
“ก็เห็นนายซื้อมาแล้ว นี่~ฉันคอแห้งแล้วนะ”
“อืม ขอกินก่อน” ร่างสูงดูดน้ำอีกอึกหนึ่งก่อนจะส่งให้คนข้างตัวหวังว่าคนสวยคงไม่กล้ากินแน่นอนเพราะเขาดูดน้ำไปแล้ว แต่ผิดคาดอีทึกโน้มตัวลงมาดูดอึกๆอย่างไม่คิดอะไร แถมพอดื้มเสณ้จยังหันมาส่งยิ้มหวานชวนใจหวิวๆให้เขาอีกต่างหาก
“ไม่รังเกียจหรอ? ฉันดูดไปแล้วนะ”
“รังเกียจบ้าบออะไร้~ เพื่อนกันแท้ๆคิดมากไปได้นายนี่นะ”
เพื่อนงั้นหรอ? ว่าแล้วก็ยิ้มกับตัวเองคนเดียว
ไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้วเหมือนกัน
++[Special Part KangTeuk]++
อีกที่หนึ่งที่ร่างบางข้างตัวพาเขามาทำเอาคังอินอยากจะกลับหอให้รู้แล้วรู้รอดเพราะสถานที่ตรงหน้าเขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่งในชีวิตและไม่คิดที่จะกลับมาเหยียบที่นี่ในตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่อีทึกวิ่งไปซื้อตั๋วมาให้เขาเรียบร้อยก่อนจะลากเข้าไปข้างใน ตอนแรกก็ทำหัวดื้อหัวแข็งไม่ยอมเข้าไป แต่อีทึกเปรยๆว่าถ้าไม่เข้าไปก็เหมือนกับเขาไม่เห็นค่าของเงิน คังอินเลยจำใจเดินเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้
“ยินดีต้อนรับสู่ Lovely Land ค่ะ”
มันคือสวนสนุก-o-!
สวนสนุกที่รายล้อมไปด้วยเด็กประถมที่มากับผู้ปกครอง แถมยังเป็นที่ที่เต็มไปด้วยคู่รักหลายวัยที่อยากจะมาส้รางความทรงจำดีๆให้แก่กัน คนข้างตัวเขาจะรู้รึเปล่าว่าการที่มาด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ทำเหมือนกับมาเดทกันไม่มีผิด อีทึกยืนยิ้มร่าราวกับว่าไม่คิดอะไรมากมายนักพลางลากคนตัวโตไปหยุดอยู่ที่หน้าบ้านผีสิง
“นายไม่กลัวผีใช่มั้ยคังอิน”
“ก็เฉยๆ”
“งั้นเข้าไปกันเถอะ!” มือเล็กคว้าข้อมือหนาให้เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน บรรยากาศภายในที่ดูมืดหม่นและอากาศเย็นๆแบบน่าขนลุกทำให้ระยะห่างระหว่างอีทึกและคังอินน้อยลงเมื่อร่างบางเบียดเข้ามาชิด นิ้วเรียวและเล็กแตะเข้าที่ท่อนแขนของเขา เมื่อมองไปที่ใบหน้าของอีทึกก็พบว่าดวงตากลมโตคู่นั้นกำลังมองบรรยากาศรอบตัวและค่อยๆเอนหัวลงมาซบที่บ่าทำเอาคังอินต้องดันใบหน้าสวยออกอย่างหน่ายๆ
“ผลักหัวฉันทำไมเล่า><!”
“ฉันร้อน” คังอินไม่ได้โกหก ถึงแม้ว่าอากาศในนี้จะเย็นพอๆกับข้างนอก แต่ทว่าเขากลับรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า ริมฝีปากบางขยับมุบมิบแต่ก็ยอมเอาหัวถอยออกไป มือยังคงวางอยู่ที่ท่อนแขนแข็งแรง ระยะห่างยังคงแนบชิดเช่นเดิม ยิ่งเดินเข้าลึกไปมากขึ้น คนสวยก็เริ่มจะเปลี่ยนจากวางมือบนแขนธรรมดากลายมาเป็นคล้องแขนเขาเสียแล้ว
“สวัสดีครับ~ คนสวย~~~”
“ว้ากกกกกกกก ออกป๊าย!!!!!” สัมผัสหนักๆแตะเข้าที่หัวไหล่ทำให้อีทึกหวีดร้องลั่นก่อนจะใช้เท้าถีบเข้าที่ท้องของเจ้าของมือปริศนาที่วางบนไหล่ ส่วนตัวก็เบียดเข้าซุกกลางแผงอกของคนตัวสูง คนที่ถูกถีบทรุดลงไปนั่งบนพื้นก่อนจะเห็นมือของคังอินโบกไหวๆให้รีบออกไป พนักงานที่แต่งตัวเป็นผีจึงค่อยๆพยุงออกจากที่ตรงนี้
“อีทึก”
“ไม่ๆๆๆ ผี! ผีมันเกาะไหล่ฉันTOT!!”
“มันไปแล้ว”
“เชื่อนายก็บ้าสิ มันยังกอดฉันอยู่นี่ไง!”
“ฉันเอง -_-^ แล้ว....นายกอดฉันไม่ใช่หรอ”
“อะ...อ้าว โทษที” อีทึกค่อยๆหยุดโวยวายแล้วเงยหน้ามองคนที่อยู่เหนือกว่าช้าๆก่อนจะส่งยิ้มไปให้ คังอินผลักคนที่อยู่ในอ้อมกอดแล้วเดินนำลิ่วๆไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนกลัวผียืนอยู่คนเดียว คนสวยจึงรีบเดินตามให้ทันก่อนจะคว้าแขนใหญ่มากอดแล้วหลับตาปี๋ โดยไม่ว่าคังอินจะพยายามสะบัดข้อมือเล็กนั่นทิ้งไปเท่าไรห่ก็ไม่ยอมหลุด จึงรีบเดินให้ออกจากบ้านผีสิงให้เร็วที่สุด
“ออกมาแล้ว”
“อือTT ทีหลังไม่ต้องพาฉันมาเข้าไอ้บ้านผีสิงที่นี่อีกแล้วนะ”
“นายชวนเองไม่ใช่หรอ”
“ฉันชวน....นายตกลง นายก็ต้องปกป้องฉันสิฟะ!! บ๊ะ~ ผลักไสไล่ส่งกันอยู่นั่นแหละ”
“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย”
“ช่างมันเหอะ! ฉันอยากเล่นรถไฟเหาะต่อ ตามมา!”
“เอ่อ.....” จะค้านก็ไม่ทันเพราะอีทึกคว้าแขนเขาให้เดินไปต่อแถวขึ้นรถไฟเหาะ เมื่อถึงคิวของตัวเอง คนตัวใหญ่ที่เคยมีอยู่สีหน้าเดียวเริ่มฉายแววกังวลก่อนจะค่อยๆก้าวขึ้นไปเมื่อมือบางผลักเขาให้เข้าไปนั่ง หันหน้าไปมองคนข้างตัวที่ดูจะตื่นเต้นกับการเล่นอะไรที่น่าหวาดเสียวแล้วต้องถอนหายใจเบาๆ เกิดมาไม่เคยมีใครบังคับให้ผมทำนู่นทำนี่จู้จี้แบบนี้เลย
อาการเกร็งเริ่มแสดงออกมาเมื่อรถไฟคันใหญ่เริ่มเคลื่อนที่ ร่างบางที่นั่งข้างกันตะโกนส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกแข่งกับคนอื่นๆที่นั่งด้วยกัน เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามันจะทำให้หายกลัวได้ แต่ว่าเขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นจึงเลือกที่จะเงียบแล้วหลับตาเล่นไป
แต่รู้งี้ผมแหกปากแบบเจ้าคนข้างตัวก็ดี
“โอ้ก~~”
“นายเล่นไม่ได้แล้วทำไมไม่บอกล่ะ”
“โอ้ก~~~”
“อา..... เดี๋ยวฉันไปซื้อน้ำมาให้นะ รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหนเด็ดขาดเชียว”
อีทึกรีบวิ่งที่ซุ้มที่ใกล้ที่สุดก่อนจะรีบวิ่งหน้าตื่นกลับมาพร้อมกับขวดน้ำโดยมีมือมาวางอยู่บนหลังของคังอินก่อนที่ตัวจะมาถึง มือใหญ่รับน้ำมาจากอีทึกแล้วยกกระดกอย่างรวดเร็วจนคนสวยต้องปรามให้ใจเย็น
“ใจเย็นๆคังอิน นายไหวมั้ยเนี่ย”
“อือ” เสียงครางออกมาจากลำคอของคนที่ถูกถามก่อนจะถูกพาตัวไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ อีทึกโบกมือพัดให้กับเพื่อนใหม่แล้วมองนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายสามกว่าก่อนจะหันไปถามคนข้างตัวอย่างเป็นห่วง
“ไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะ กลับก็ได้”
“บอกว่าโอเค ไม่เป็นไรแล้ว ไปต่อเถอะ” ร่างสูงลุกขึ้นเป็นสัญญาณบอกร่างบางให้ไปต่อทั้งๆที่เวียนหัวจะแย่ ที่เขาบอกว่าโอเคเพียงเพราะเสียดายเงินค่าตั๋วเข้าสวนสนุกที่รวมค่าเครื่องเล่นทุกอย่างไว้ อีทึกมองท่าทีของคังอินเล็กน้อยก่อนจะเดินตามออกไปเมื่อเห็นว่าร่างสูงยังโอเคดี
“ขอโทษนะคะ”
“ครับ?” เมื่อเดินพ้นจากหน้าห้องน้ำชายได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีคนเอ่ยปากทักทำให้อีทึกต้องหันหน้าไปขานรับแล้วฉีกยิ้มให้ตามมารยาท คนที่ทักเขาเป็นผู้หญิง 2 คนที่ดูแล้วน่าจะแก่กว่าเขา แต่ก็สวยใช้ได้แหะ
“ไม่ทราบว่ามากันกี่คนเอ่ย?”
“2 คนฮะ นูนา^^”
“เป็นน้องหรอกหรอคะ?”
“ครับ ผมอีทึกอยู่ม.ต้นปีสอง ส่วนนี่คังอินเพื่อนของผม”
อีทึกฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะแนะนำตัวเองและเพื่อนหน้าบูดให้พี่สาวสองคนได้รู้จัก คนที่ยืนคุยกับเขาดูเหมือนที่จะเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง หน้าตาดีถึงขั้นไปเป็นดาราได้ ทำเอาคนที่ชอบสาวสวยถึงกับรู้สึกกกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ
“พี่ชื่อมีโซ ส่วนเพื่อนพี่ชื่อจองมิน”
“ยินดีที่ได้รู้จักฮะ นูนาน่ารักจัง^^”
“คิก! เธอก็พูดไป เราเพิ่งเจอกันเองนะ”
“ก็เพราะว่าเพิ่งเจอกันเนี่ยแหละฮะ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้าพูดออกมาถ้าหากว่านูนาไม่น่ารักจริง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เคยได้ยินใช่มั้ยฮะ?”
มีโซหัวเราะคิกอย่างไว้ชั้นเชิง คังอินยืนมองเพื่อนที่มาด้วยกันด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ยิ่งได้ยินคำเกี้ยวพาราสีที่เด็กวัยนี้ไม่ควรจะมีด้วยแล้ว ยิ่งมีความรู้สึกไฟปะทุในอกเล็กๆ แต่จะเข้าไปขัดก็ไม่ได้มันคงจะดูไม่ดีสำหรับผู้ที่เจอกันครั้งแรกในสถานที่แบบนี้
“คือว่าอย่างนี้นะอีทึก พรากับจองมินน่ะพนันกับเพื่อนอีกสองคนไว้ว่าถ้าคู่ใครหาคู่เดทได้ก่อนจะชนะโดยคู่เดทน่ะจะต้องอยู่กับเราจนถึง 6 โมงเย็น อีทึกกับเพื่อนจะทำให้พี่ได้มั้ย?”
“อืม.....ผมไม่เคยมีปัญหากับคนสวยนะฮะ....เพียงแต่ว่า.......”
“แต่อะไรจ๊ะ?”
“แต่ผมสัญญากับคังอินไว้แล้วน่ะฮะว่าวันนี้ผมจะพาเขามาเที่ยวด้วยกัน ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“อ่อ......งั้นไม่เป็นไรจ่ะ”
“ถ้านูนาไม่รังเกียจ ผมอยากจะแลกเบอร์ได้เปล่าฮะ?”
ถึงแม้จะหน้าเสียแต่ก็พยักหน้ายอมแบบปลงๆ หลังจากแลกเบอร์เสร็จอีทึกก็บอกลาหญิงสาวทั้งสองคนก่อนจะหันกลับมาสนใจคังอินที่ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่คนหน้าสวยไม่สนใจฉีกยิ้มแล้วลากข้อมือหนาให้เดินไปด้วยกัน พลางยื่นกระดาษที่จดเบอร์ไว้เมื่อครู่ให้คังอิน
“สนใจป่ะ”
“ไม่”
“อ่า.....นายนี่มันตายด้านจริงๆ สวยขนาดนั้นยังไม่สนใจ จะว่าไปก็แอบเสียดายนิดๆแหะ”
ร่างบางข้างตัวทำปากบู่พลางมองเบอร์โทรศัพท์ในมือตาละห้อย จนร่างสูงที่ยืนอยู่อดทำหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความหมั่นไส้เสียมิได้พลางเอ่ยปากแวะอย่างห้ามไม่อยู่
“แล้วทำไมไม่ไปตั้งแต่เมื่อกี้ล่ะ ปฏิเสธเธอทำไม”
“ก็กลัวนายจะไม่ชอบ ดูสิ แค่ยืนคุยเมื่อกี้นายยังอารมณ์บูดขนาดนี้เลย แล้วถ้าตกลงยอมไปเดทกับเธอนายไม่งับหัวฉันเลยเรอะ”
“..........”ก็จริง
“อีกอย่างนะ ฉันอยากอยู่กับนายมากกว่า ผู้หญิงน่ะไว้วันหลังก็ได้ คิดดูดิ วันนี้กว่าจะลากนายออกมาได้.......”
ปากบางยังคงขยับไม่หยุด แต่ทว่าหูของคังอินกลับไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว ในสมองวนย้อนไปประโยคเมื่อครู่หลายต่อหลายรอบจนใจเต้นรัวไม่หยุด เขาหยุดเดินก่อนจะสะบัดหัวหลายๆทีจนคนที่เดินนำหน้าหยุดพูดแล้วหันมาให้ความสนใจกับคังอินแทน
“นายยังเวียนหัวอยู่อีกหรอ?”
“ไม่.....ไม่มีอะไร”
“ก็เห็นสะบัดหัวหลายทีนึกว่าเป็นอะไร นายไหวแน่นะ”
“ถ้าฉันบอกว่าไม่ไหว นายจะกลับหอเลยใช่ไหม”
“ไม่อ่ะ เมื่อกี้ฉันถามนายแล้วนะว่าอยากกลับหอรึเปล่า นายบอกว่าไม่เป็นไรฉันก็เลยว่าเล่นให้ครบเลยดีกว่า แต่ถ้านายยังมึนหัว เรานั่งพักให้หายมึนกันก่อนก็ได้นะ”
“ถ้างั้นก็ไปเล่นต่อเหอะ”
++[Special Part KangTeuk]++
เวลาล่วงเข้า 6 โมงเย็น อีทึกก็โทรตามคนที่นั่งพักให้หายจากอาการเวียนหัวเดินมาที่ชิงช้าสวรรค์ที่เจ้าตัวสู้ต่อแถวจนใกล้ถึงคิวของตัวเอง ส่วนคนที่โดนโทรตามก็เดินไปหาอย่างงงๆเมื่อเดินไปถึงก็ถูกจับยัดเข้ากระเช้าขนาดใหญ่พร้อมกับคนสวยที่ยืนยิ้มร่า แสงไฟในตัวเมืองที่อยู่ไกลออกไปจากสวนสนุกทำเอาอีทึกร้องฮื้อออกมาเบาๆด้วยความทึ่ง
“ถ้าอยู่ในโซลจะสวยขนาดนี้มั้ยเนี่ย จริงๆแล้วในโซลก็ไม่ได้เลวร้ายนะ”
“............”
“นายรู้อะไรมั้ยคังอิน การที่คนเราพูดน่ะนะ มันจะทำให้คนอื่นเข้าใจถึงความคิดและเจตนาของเราที่จ้องการจะสื่อ แต่ถ้านายไม่พูดคนอื่นจะไม่รู้ว่านายต้องการอะไร ฉันคงจะเดาไม่ผิดถ้าหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ตรงกับความต้องการของนาย”
“.....ก็มีส่วนถูก”
“นายก็รู้แล้วทำไมไม่เปลี่ยน?”
“ฉันสบายใจที่จะเป็นแบบนี้”
“คังอิน.....เฮ้อ~ นายสบายใจที่จะเป็นแบบนี้ แล้วคนอื่นล่ะ นายได้ใส่ใจรึเปล่า”
“ไม่” เด็ดขาดมาก-*-
“เท่าที่เรียนๆมานายก็น่าจะรู้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ฉะนั้นเวลาไปไหนมาไหนก็ต้อพบปะและมีการพูดคุย เหมือนกับที่ฉันกำลังนั่งบ่นนายตรงนี้ไง”
“.............”
“การเปิดใจไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากคนใกล้ตัวก่อนก็ได้ อย่างฉันนี่ไง นายมีอะไรอยากจะพูดฉันก็จะคอยฟัง”
คนสวยพูดทิ้งท้ายให้คนฟังเก็บไปคิดก่อนจะหันไปดูวิวด้านนอกต่อ ส่วนคนฟังก็ทบทวนอยู่หลายรอบก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วยท่าทางเขินๆเพราะไม่เคยชวนใครพูดก่อน
“ชื่อของฉันจริงๆแล้วคือยองอุน”
“ฮื่อ^^ แล้วทำไมถึงแนะนำตัวว่าคังอินล่ะ” อีทึกยิ้มน้อยๆก่อนจะต่อบทสนทนาให้ยาวขึ้น
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาเรียกฉันว่ายองอุน มัน.....มันเหมือนคนในครอบครัวเรียก ฉันไม่ได้สนิทกับใครขนาดนั้น”
“อืม แล้วที่นายต้องการจะสื่อจริงๆล่ะ”
“เรียกฉันว่ายองอุนก็ได้....แต่นายเรียกได้คนเดียวนะ”
คนสวยขำเบาๆกับท่าทางเคอะเขินของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่คังอินยอมเปิดใจให้เขาทีละนิด คนตรงหน้าเขาไม่ใช่คนหัวรั้นอะไรมากมายนัก เพียงแต่ปิดกั้นไม่ให้คนอื่นเข้าไปยุ่งกับตัวเองเท่านั้น ถ้าหากว่าพูดกันดีๆก็จะรับฟังและทำตามถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
“ไหนๆนายก็ยอมให้ฉันเรียกว่ายองอุน ยอมเผยความลับของนายข้อนึง งั้นฉันจะเล่าเรื่องครอบครัวของฉันบ้าง”
“ครอบครัว?”
“จริงๆจะใช้คำนั้นก็ไม่ถูกหรอก พ่อกับแม่ของฉันไม่เคยอยู่บ้านพร้อมกัน หรือถ้าอยู่ด้วยกันล่ะก็ทะเลาะกันตลอดโดยไม่เคยสนใจความรู้สึกของฉันแม้แต่น้อย ฉันเลยหนีไปบ้านยายตอนอายุ 7 ขวบ”
“7 ขวบ? ไปถูกรึไง”
“ฮ่ะๆ มันอยู่ในซอยเดียวกันน่ะ พอยายโทรไปบอกว่าฉันอยู่กับแก ทั้งสองคนก็ไม่คิดที่จะมารับฉันกลับไป หรือจะเอ่ยคำขอโทษ ฉันเลยเกิดอาการน้อยใจจนทำให้เป็นเด็กเก็บตัวไม่ยอมพูดคุยกับใครทั้งนั้น แต่ยายก็เข้ามาพูดกับฉันแล้วก็ถามว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำ มันทำให้พ่อกับแม่หันมาสนใจฉันมากกว่าธุรกิจของพวกท่านอย่างนั้นหรอ? แล้วก็สอนฉันเหมือนๆที่ฉันสอนนายเมื่อกี้นั่นแหละ ก็เลยรู้ได้ว่าทำแบบนั้นไม่ดีเท่าไหร่ เลยปรับบุคลิกทั้งหมดซะ แล้วเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นอีทึก”
“นายไม่ได้ชื่อีทึกแต่แรกหรอ?”
“อีทึกที่แปลว่าที่รักหรือสิ่งพิเศษ ฉันไม่เคยได้เป็นที่รักของพ่อกับแม่ แต่ก็อยากเป็นที่รักของทุกคนที่เรียกชื่อนี้ออกมา”
ดวงตาที่เคยเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นสดใสเมื่อเงยหน้ามองแล้วส่งยิ้มให้กับคนนั่งฟัง อยากจะมองอีทึกด้วยความสงสารแต่พอคิดถึงการกระทำของเจ้าตัวที่เปลี่ยนตัวเองมาเป็นเด็กร่าเริงเพื่อกลบเกลื่อนอดีตที่ไม่อยากจำ รอยบุ๋มที่แก้มข้างซ้ายของอีทึกบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังยิ้ม แต่พอมองเลยขึ้นไปที่ดวงตากลายเป็นว่ามีน้ำตาคลออยู่เต็มหน่วย
“...........”
“พวกเขาจะรู้บ้างไหมว่าฉันอยากได้ความรักความอบอุ่นเหมือนลูกคนอื่นๆ แทนที่เด็กที่ชื่อว่าจองซูจะได้รับความรักกลายเป็นว่า อีทึกต่างหากที่ควรจะมีตัวตนอยู่ในสังคม แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พวกเขายังไม่สนใจฉันเลย”
น้ำตาที่กำลังจะไหลถูกปาดออกอย่างรวดเร็ว คังอินหรือยองอุนย้ายมานั่งฝั่งเดียวกับคนที่จมูกแดงๆ อีทึกหันมองคนข้างตัวก่อนจะหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นมือหนาตบลงบนบ่าของตัวเองแต่ก็เอนหัวไปซบแล้วสะอื้นเบาๆเพราะเขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่แจจุงเพื่อนสนิท อาจจะเป็นเพราะเห็นว่าคังอินเป็นคนไม่ค่อยพูดเลยยอมเอ่ยปากเล่าเพราะไม่คิดว่าเขาจะพูด
“ร้องซะให้พอ จองซู”
“ฉันเกลียดจองซูจริงๆเลยให้ตายเถอะ”
“แล้วให้ฉันเป็นคนให้ความรัก ความอบอุ่นกับเด็กที่ชื่อว่าจองซูละกัน”
“.........”
“.......ไม่เอาหรอ”
“มันเป็นหน้าที่ของนายแล้วนะยองอุน”
Talk Special
จริงๆไม่มีอะไรหรอก ในตอนนี้จะพยายามไม่พูดมากแต่ก็อดไม่ได้ 55+
ที่ตอนนี้เอามาอัพได้แค่ 70% เพราะตังค์ไม่ได้ตั้งใจจะให้ Special จบแค่นี้ ยังยาวต่อไปได้อีก=_= ยาวกว่าตอนปกติมากจนตังค์ตกใจ แต่ไม่เป็นไรก็มันเป็น Specialนี่><!
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ที่พุ่งเอาพุ่งเอาอีกแล้ว>O< แต่ส่วนใหญ่นั่งเม้นต์กันดึกดื่น= = ไม่ง่วงนอนกันหรือคะ?
นั่งอ่านนิยายกันมารธอนจริงๆเลย แม่ตังค์ห้ามไม่ให้เล่นคอมดึกแอบเซ็งเหมือนกันนะ
ยังไงก็ดูแลตัวเองกันนะคะ><! ตอนหน้าตังค์ไม่รับประกันว่าจะลงวันไหนเพราะยังปั่นไม่เสร็จ 55+
วันนี้ก็พูดคุยกันไว้เท่านี้ เมื่อคืนนอน 4 ทุ่ม แล้วโดนแม่กวนแต่เช้าเลยงัวเงียนิดหน่อย= =
บ๊ายบายจ้า
ปล้ำลิง(แก่) :: ข้างล่างสำคัญ อยากให้อ่านกันทุกคนจริงๆ
เลข 13 เลขนี้อยู่กับเอลฟ์และ Super Junior มานานเท่าไหร่แล้วนะ?
ปกติแล้ว ตังค์จะรับฟังสิ่งใหม่ๆ เพราะมันอาจจะทำให้มันดีกว่าสิ่งที่เป็นอยู่
แต่เรื่องนี้ตังค์ขอปิดหูปิดตาไม่รับอะไรเพิ่มทั้งนั้น
สมาชิกของ Super Junior จะมีเพียง 13 คนตลอดไป
ตอนแรกตังค์ก็สงสัยเหมือนกัน ทำไมถึงไม่อยากให้เฮนรี่เข้า Super Junior กันจัง เขาก็ไม่ได้ทำอะไรแย่หรือผิดตรงไหน
แต่พอตังค์มายืนตรงจุดนี้แล้ว ตอนนี้ตังค์เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่ต้องการให้เฮนรี่เข้ามาใน Super Junior
เพราะเฮนรี่ไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเอลฟ์และ Super Junior ไม่เคยผ่านคืนวันที่ดีและเลวร้ายมาด้วยกัน
ตังค์ไม่ได้แอนตี้เฮนรี่นะ อย่าเพิ่งเข้าใจเจตนาของตังค์ผิด จริงๆแล้วตังค์ชอบเฮนรี่กับโจวมี่เหมือนกัน
เพียงแต่ว่า ตังค์ยอมรับเขาทั้งสองคนได้ในฐานะของ Super Junior M เท่านั้น
ยังคงมีเอลฟ์หลายคนที่ไม่ค่อยพอใจกับยูนิตย่อย อย่าง Super Junior M แต่พวกเขาก็ยอมรับ เพราะไม่เช่นนั้นมันจะดูเป็นการกีดกันเกินไป
ความผิดไม่ได้อยู่ตัวตัวศิลปิน เพราะทั้งสองคนนั้นไม่เคยออกมาเรียกร้องกับเอลฟ์ว่าอยากจะเข้ามายืนอยู่ในฐานะ Super Junior
ไม่ว่าลับหลังเขาจะทำอย่างนั้นหรือไม่ แต่ในเมื่อด้านหน้าเขาไม่ได้ทำ ตังค์จะไม่ถือว่าเขาผิด
แต่ผิดที่ทางค่าย ทางโปรดิวเซอร์ที่คิดอยากจะมีปัญหากับเอลฟ์ เขาคงคิดว่ายังมีอีกหลายคนที่อยากจะให้เป็น 15
แต่ขอโทษทีนะ^^ ยังมีเอลฟ์อีกนับแสนที่ไม่สนับสนุนความคิดนั้น เพราะกว่าที่ Super Junior จะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หลายคนเห็น........พวกเขาล้ม.. หลายต่อหลายครั้งจนเกือบจะไม่ได้ลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง
แต่ก็ยังลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้งเพราะเสียงอังกอร์ จีคยอชุคเคยอลเซมยอง ยังคงก้องอยู่ในหูของพวกเขา
พี่ทึกเองก็เป็นคนเอ่ยปากบอกให้เรารักษาเลข 13 ไว้ให้อยู่กับเราชาวเอลฟ์และ Super Junior ตลอดไป
ถึงพวกพี่เค้าจะไม่ได้ออกมาเอ่ยปากว่า ขอแค่ 13 แต่การที่พี่บอกให้เราอังกอร์ ยอลเซมยอง ชัดเจนแล้วว่า Only 13
ขอโทษที่ใจแคบ แต่ขอแค่ 13
ความคิดเห็น