คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : -4-
มองแขนของพรี่ชานยอลเซ่ะ
เขินนนนนTwT #บ้าไปแล้ว
-4-
แผนของการไปรับเครื่องแบบของผมพังทลายเมื่อพบว่าพ่อสั่งให้ลูกน้องไปรับให้เมื่อเย็นที่ผ่านมา พ่อขัดใจผมอีกครั้งในรอบอาทิตย์นี้ เพราะงั้นผมต้องโทรไปบอกจงแดว่าวันเสาร์นี้คงต้องยกเลิกนัด ในเมื่อไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องไปไหนไกลๆพ่อก็ยังไม่ยอมให้ผมออกจากบ้านคนเดียวเพราะยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
หลังจากที่คุยกับชานยอลผมรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยทัศนคติของผมที่มีต่อหมอจองซูจะไม่ติดลบไปมากกว่านี้ เขาไม่ได้เห็นผมเป็นคนเสียสติ เพียงแค่ไม่อยากให้ผมรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้ แต่ในที่สุดผมก็ทำเรื่องยุ่งจนได้ พวกเขาผลัดเวรกันมาเฝ้าผมจริงๆ โดยที่ไม่ให้พ่อรู้ตัว วันนี้ถ้าหากจำไม่ผิดเป็นคราวของเซฮุนผู้ชายร่างบางที่ผมทำไม่ดีใส่เขาไปในวันนั้น
ผมเดินลงมาจากชั้นบนเมื่อได้เวลาอาหารเย็นแล้ว เสียงพ่อที่กำลังนั่งคุยกับใครบางคนทำให้ผมขมวดคิ้ว เมื่อผมลงมาถึงข้างล่างก็เห็นร่างบอบบางของเซฮุนกำลังหัวเราะอยู่ พ่อเห็นผมที่เดินลงมาจากบนบ้าน เซฮุนหันมาทัก
“หวัดดีแบคฮยอน หายป่วยแล้วหรอ?”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”
“ทานอะไรรึยัง? ฉันทำซุปมันฝรั่งไว้ให้มาดูสิ” เซฮุนลุกขึ้นยืนก่อนจะลากผมเข้ามาในห้องครัว ซุปหม้อขนาดกลางวางอยู่บนเตา เจ้าตัวนำเสนอกับการทำอาหารของตัวเองเต็มที่ ผมสูดดมกลิ่นมันค่อนข้างใช้ได้เลย เซฮุนดูทำหน้าตาพอใจเมื่อเห็นท่าทีของผม
“ทำไมมาเร็วจัง”
“ใช่มั้ยล่ะ? พี่ชานยอลน่ะโอเวอร์ เขาสั่งให้ฉันตามนายมาที่บ้านทันที ฉันบอกเขาไปแล้วว่าช่วงนี้จะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็อย่างว่าอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เขาเล่าให้นายฟังแล้วใช่มั้ยว่าความสามารถของฉันคือเห็นอนาคตได้” ผมพยักหน้ารับ เซฮุนพูดต่อ
“ภาพของฉันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา ช่วงนี้เขาเป็นห่วงนายมากๆเลยรู้มั้ยแบคฮยอน? ชานยอลอยู่โดยไร้คู่ชีวิตมานับร้อยปีแล้ว มันจะดีมากเลยถ้านายมาเป็นคนรักของเขาได้”
“อย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลยน่า เราไม่ได้รักกันซักหน่อย”
“ชานยอลไม่ทำอะไรเพื่อใครมากขนาดนั้นหรอกนะ” หมอนั่นยิ้มแล้วจิ้มลงที่จมูกของผมเบาๆ โอเคผมอาจจะกำลังเขินหน้าแดง รู้สึกเสียฟอร์มชะมัดเวลาโดนใครล้อเรื่องนี้เข้า ผมปัดจมูกของตัวเองเบาๆก่อนจะยืนอยู่ในห้องครัวไม่ไปไหน เซฮุนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เดาได้ไม่ยากว่าปลายสายเป็นใคร
“ผมรู้แล้วชานยอล! ฝากบอกพี่คริสด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง โอเค เขาจะคุยกับนาย” โทรศัพท์แอปเปิ้ลรุ่นใหม่ถูกยื่นมาทางผม เสียงของชานยอลไม่ได้ดังอยู่ในสาย ผมเอาโทรศัพท์แนบหู รอจนกว่าอีกคนจะพูดออกมา เซฮุนเห็นผมนิ่งไปนาน เขาก็พูดอยู่ตรงไมค์เพื่อให้พี่ชายของตัวพูดอะไรออกมาบ้าง
“แบคฮยอนรอฟังแล้ว พี่จะพูดอะไรก็พูดซักที”
[ฮัลโหลแบคฮยอน?]
“อื้มฟังอยู่”
[คุณทานข้าวรึยังครับ?]
“ยังเลย ฉันเพิ่งลงมาจากห้องแล้วก็เจอน้องชายของนายพอดี เขากำลังจะยึดพ่อฉันไปเป็นพ่อของเขาแล้ว”
“ช่วยไม่ได้นะ แบคฮยอนชอบใจร้ายใส่ลุงคิมโฮนี่นา”
ผมหัวเราะ ไม่ได้ใจร้ายกับพ่อซักหน่อย บางครั้งผมแค่มีไม่พอใจบ้าง แต่ผมก็รักเขามากๆนะบอกเลย
[คืนนี้ผมไปหาคุณได้มั้ย]
“เซฮุนอยู่กับฉันแล้วไม่ต้องห่วง”
[ทำไมคุณถึงใจร้ายกับผมจังนะ]
เขาบ่นงึมงำมาตามสาย เราคุยกันอีกซักพักแล้วชานยอลก็วางหูไปเห็นว่าคุณนายปาร์คเรียกให้ไปทำอะไรซักอย่าง ผมส่งโทรศัพท์คืนให้เซฮุน แน่นอนว่าเห็นสายตาล้อเลียนของหมอนั่นอีกแล้ว ไอ้สายตาระยิบระยับที่เปล่งประกายบอกตรงๆว่ามันดูดีมาก แต่ผมจะชอบมากกว่านี้หากเซฮุนไม่ได้ใช้ล้อเลียนผม
“ฉันคิดว่าได้เวลาทานข้าวแล้ว ทานด้วยกันมั้ยเซฮุน”
“เราไม่กินข้าวนายก็รู้J”
“อ้าว....แต่วันนั้นคุณนายปาร์คออกมาซื้อกับข้าว บอกว่าพวกนายจะกิน....?”
“เราจำเป็นจะต้องเล่นละครบ้าง เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัยและเราทำมันได้ดีมาตลอดสองปีแล้วแบคฮยอน กับข้าวเมื่อวันนั้นแม่เอาไปให้กับเด็กในสลัม พวกเขาดูดีใจมากๆที่ได้กินอาหารดีๆ”
“อ้อ.....การใช้ชีวิตแบบมนุษย์สินะ” เขาหัวเราะราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลก ผมไม่รู้หรอกว่าถ้าหากเขากินข้าวแล้วจะเป็นยังไง พอพ่อชวนเขาก็อ้างกับพ่อมาว่าก่อนจะแวะมาที่นี่เขากินอะไรมาก่อนแล้ว ดังนั้นเซฮุนจึงมีหน้าที่แค่ชวนพ่อผมคุยในขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารเย็น
นี่มันทำให้ผมได้รู้ว่าเซฮุนเป็นคนที่พูดเก่งมากจริงๆ เขาอายุเท่ากับผมแต่ว่าเรียนอยู่ปีหนึ่งในขณะที่ผมเรียนปีสอง เขาเล่าเรื่องปิกนิคบนเขาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาให้พ่อฟัง อากาศดีๆในวันหยุดแบบนั้นเหมาะกับการพักผ่อนแบบครอบครัว พ่อก็เอาแต่เตือนเรื่องพวกอันธพาลกลุ่มเดิมที่ยังเข้าใจว่าพวกนั้นทำร้ายผม เซฮุนอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อการพูดคุยเสร็จสิ้น เขาช่วยผมล้างจานและยังคงคอยกรอกหูเรื่องชานยอลกับผมเรื่อยๆ ผมเลยไล่ให้เขาออกไปนั่งดูทีวีกับพ่อเสียเลย ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียสมาธิในการล้างจานแน่ๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่ม พ่อไล่ให้เซฮุนกลับบ้าน เพราะนี่ก็มืดมากแล้ว เซฮุนบอกให้ผมออกมาส่งเขาที่หน้าบ้านทำท่าเหมือนจะจากไปทั้งๆที่คืนนี้เขาจะต้องอยู่แถวนี้ไม่ไปไหน แต่ผมยังไม่เข้าใจว่าเขาจะเอาเฟอรารี่ของตัวเองไปจอดไว้ตรงไหน?
“ไปแล้วนะแบคฮยอน ถ้าว่างๆก็ช่วยรับพิจารณาพี่ชายฉันหน่อยก็แล้วกัน”
“อย่าพูดให้พ่อได้ยินเชียว รายนั้นจะหยิบปืนมายิ่งไล่ชานยอลแทบไม่ทัน”
“ฮ่ะๆ คุณลุงเป็นคนใจดี พี่ชานยอลส่งฉันมาเกลี่ยทางไว้ให้ไม่รู้หรือไง”
“เอาล่ะไปได้แล้ว รถนี่นายจะเอาไปไว้ที่ไหน”
“เดี๋ยวขับไปจอดไว้แถวไหนซักที่ พี่คริสจะมาขับมันกลับไปที่บ้าน ส่วนฉันก็กลับมาเฝ้านาย”
“ไปดีมาดีก็แล้วกัน”
ผมโบกมือลา เซฮุนฉีกยิ้มก่อนจะก้าวขึ้นบนรถแล้วขับออกไป ผมมองรถสีแดงเพลิงคันนั้นจนสุดสายตาก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน และไม่นานนักร่างของโอเซฮุนก็โผล่มาตรงกระจกทางเดินขึ้นชั้นบน ผมค้อนให้เขาน้อยๆที่ทำให้ผมตกใจได้ขนาดนี้ พ่อตะโกนถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ผมต้องรีบร้องบอกพ่อว่าไม่มีอะไรแล้วเดินเข้าห้อง
ชีวิตของผมในเกาหลี เริ่มมีสีสันขึ้นมาอีกหน่อยนึงแล้วล่ะ J
[ทำไมไม่บอกแม่เรื่องอุบัติเหตุ! คิดจะปิดแม่ไปถึงเมื่อไหร่แบคฮยอน!?]
“แม่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากแค่มีแผลถลอกนิดหน่อย....”
[ลูกหัวแตกด้วย ให้ตาย! พ่อเขาดูแลลูกยังไงทำไมถึงปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น]
“ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้ว แม่ใจเย็นๆ....ใจเย็นๆ”
ผมต้องค่อยๆพูดกล่อมคนในสายหลังจากที่เธอฮึดฮัดใส่ผมมาได้พักใหญ่ ถึงผมจะกำชับแม่ไว้แล้วว่ามีอะไรให้เขียนเมลล์มา แต่ดูเหมือนว่าการเขียนเมลล์จะไม่สามารถระเบิดอารมณ์ได้อย่างนี้ ค่าโทรระหว่างประเทศในตอนนี้ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ผมรู้สึกซาบซึ้งจริงๆที่แม่เป็นห่วงผม
[แค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าเขาดูแลลูกไม่ได้ นี่ก็คงจะเอาแต่ทำงานอีกเหมือนเคย]
“แม่ครับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพ่อ ผมผิดเอง”
ผิดที่แส่หาเรื่องใส่ตัว
[แบคฮยอน ลูกไม่จำเป็นจะต้องปกป้องเขา]
“ถ้าแม่จะโทรมาเพื่อหาเรื่องพ่อก็วางเถอะครับ ค่าโทรมันแพงนะ”
ผมรู้ว่านี่เป็นการกระทำที่ไม่ค่อยดี แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งที่แม่กำลังทำในตอนนี้มันก็ไม่ใช่เหมือนกัน ปลายสายง้องแง้งใส่ผมอยู่ซักพักก่อนจะยอมวางสายเมื่อผมทำเสียงดุใส่ ผมถอนหายใจเบาๆจนบางครั้งชักจะสับสนใครกันแน่ที่เป็นแม่และใครที่เป็นลูก
“ทำหน้านิ่วหน้าจะแก่เร็วนะครับ”
“ก็แม่น่ะสิ.....”
“แม่ของคุณ?”
“ไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากไหน พอรู้ว่าฉันหัวแตกก็โทรมาบ่นพ่อไม่หยุด”
“ท่านเป็นห่วง” ชานยอลยิ้มน้อยๆแล้วเอามือแตะลงบนบริเวณหน้าผากของผมที่ยังคงแปะพลาสเตอร์อยู่ ผมก้มหน้าลงเพื่อกินจาจังมยอนในจานทันที แต่ดูเหมือนจะรีบมากไปหน่อยมันถึงได้กระเด็นมาเลอะเปรอะเปื้อนที่ริมฝีปาก ผมพยายามจะแลบลิ้นเลียให้หมด แต่มันก็ยังไม่สะอาด
“อย่าไปทานเลอะเทอะแบบนี้ให้ใครเห็นนะแบคฮยอน”
“มันคงดูแย่มากสินะ L”
“เพราะมันทำให้คนมองอยากเช็ดปากให้คุณรู้รึเปล่า”
เขาว่าพลางเอื้อมมือมาเช็ดที่มุมปากของผมอย่างแผ่วเบา แม้จะมีทิชชู่แต่ชานยอลกก็เลือกที่จะใช้มือเปล่าและค่อยไปเช็ดที่กระดาษทิชชู่อีกที หน้าผมร้อนวูบวาบยามนิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากของผม รู้เลยว่าตอนนี้ผมกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงอาหาร แน่นอนว่าโอเซฮุนกำลังมองมาและขยิบตาให้ผมด้วย
“นายทำแบบนี้มันไม่ดีเลยนะชานยอล” ผมบ่นพึมพำ
“แบคฮยอนไม่ชอบหรอ? ผมชอบนะJ”
“ทำให้คนอื่นเขาปั่นป่วนนี่มีความสุขนักรึไง”
ผมกำลังถูกชานยอลปั่นหัว หมอนั่นหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินคำพูดของผม เขาเท้าคางลงบนโต๊ะนั่งจ้องผมทานอาหารต่อ ดวงตาสีเขียวมรกต....มันมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ถ้าให้ผมเดาเขาต้องทำแบบนี้กับผู้หญิงมาหลายรายแล้วแน่ๆ หลอกล่อให้ตกหลุมพรางกับเสน่ห์ที่มีล้นเหลือของเขา
และผมเองก็กำลังจะตกหลุมนั่นอีกคน
ให้ตายสิ แวมไพร์กำลังหว่านเสน่ห์ใส่ผม
ตอนเย็นผมถูกชวนให้มาทานข้าวที่บ้านของครอบครัวปาร์ค ชานยอลส่งเซฮุนไปเจรจากับพ่อผมว่าพวกเขาจะขอยืมตัวผมในคืนนี้ รถของผมเซฮุนเป็นคนขับกลับไปโดยมีคริสขับเฟอร์รารี่ตามหลังไปเพื่อรับคนรักของตัวเองกลับบ้าน เพื่อนรุ่นน้องของผมคนนี้ดูกระตือรือร้นมากเมื่อผมจะมาที่บ้าน เขาสั่งให้ผมกลับกับชานยอลและแน่นอนว่าในวันรุ่งขึ้นชานยอลจะเป็นคนพาผมกลับไปส่ง
ชานยอลขับรถพาผมมาที่ชายป่าทางทิศเหนือ บ้านหลังใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ เขาจอดผมส่งลงที่หน้าบ้านมีคุณหมอจองซูและคุณนายปาร์คยืนต้อนรับผมอยู่ เธอเดินเข้ามาสวมกอดผมเบาๆในขณะที่หมอจองซูก็ทำเพียงส่งยิ้มใจดีให้จนผมรู้สึกผิด เพราะจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ขอโทษเขา
“หมอครับ.....ผม.....”
“ไม่เป็นไรแบคฮยอน ฉันเข้าใจเธอ ไม่ต้องกังวลหรอก เราเข้าบ้านกันเถอะ” รอยยิ้มใจดีถูกส่งมาให้อีกครั้งในขณะที่ผมถูกเชื้อเชิญให้เข้าบ้าน คิมจุนมยอนหรือซูโฮเดินเข้ามาหาผม ใบหน้าขาวนั่นส่งยิ้มบางๆให้ ผมยิ้มตอบและหันไปหาจื่อเทาที่ไม่เดินเข้ามาหา เขายืนอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้านซึ่งไกลออกไป
“เขากลัวว่าจะเผลอทำอะไรไม่ดีใส่นายเข้า รู้ความพิเศษของตัวเองใช่ไหม?”
“ก็.....นะ”
“แต่เชื่อเถอะ จื่อเทาอยากจะเป็นเพื่อนกับนายจริงๆ”
ผมหันไปมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่อีกฟาก เขากำลังจ้องมาทางผมโดยไม่หลบสายตา เป็นแบบนั้นผมเลยหันกลับมายิ้มให้กับซูโฮและพยายามจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด นี่ผมกำลังเสี่ยงอันตรายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ ผมรู้ดีว่าเลือดของตัวเองเย้ายวนแวมไพร์มากขนาดไหนแต่ผมก็เลือกที่จะเข้ามาเหยียบในถิ่นของเขา แม้จะเกร็งๆบ้างในตอนแรกแต่ชานยอลยืนยันกับผมว่าครอบครัวของเขาจะไม่เป็นอันตราย ร่างสูงของคนที่ผมกำลังนึกถึงขยับมายืนข้างผมอย่างทันท่วงที เขาฉวยโอกาสเอื้อมมือมาโอบเอวผมไว้
“ชานยอล” ผมส่งเสียงคำราม พยายามจะเลียนแบบที่เขาทำในวันนั้น แต่นอกจากเขาจะไม่กลัวแล้วกลับหัวเราะอีกต่างหาก “ผมแค่เผลอน่ะ”
“มือไวเกินไปรึเปล่า คงทำบ่อยล่ะสิท่า”
“โธ่แบคฮยอน....ครั้งล่าสุดที่ผมได้โอบเอวผู้หญิงคือกอดแม่ผมเองเมื่อเช้านะ”
คุณนายปาร์คหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินบทสนทนาของเรา ผมเลยยืดตัวตรงขึ้นนิดหน่อยเมื่อชานยอลไม่ยอมปล่อยมือจากเอวผมซักที เขาเป็นคนที่เก็บเศษเล็กเศษน้อยได้ไม่มีขาดจริงๆ ซักพักชานยอลก็ขอตัวขึ้นห้องโดยแน่นอนว่าผมตามเขาไปด้วย บ้านหลังใหญ่ที่โอ่โถงเช่นนี้ทำให้ผมดูตื่นตาไม่ใช่น้อยและตอนนี้ผมมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของชานยอลแล้ว
“ห้องอาจจะรกหน่อย ไม่ถือสานะ”
ผมไม่ตอบอะไรรอคอยให้เขาเปิดประตูไม้ฮอกกานีบานใหญ่เข้าไป ห้องโทนสีขาวสะอาด สิ่งที่ดึงดูดผมคือหน้าต่างบานใหญ่ที่ไม่มีเหล็กดัดทำให้ลมเย็นๆพัดผ้าม่านสีขาวที่อยู่ตรงนั้นให้ปลิวไสว ชานยอลค่อยๆดึงมือผมให้เข้ามาในห้อง สายตาของผมเอาแต่สำรวจห้องของเขา ที่มุมห้องมีตู้หนังสือประมาณสามตู้และบนโต๊ะมีนวนิยาย ‘เจ้าชายน้อย’ วางอยู่บนนั้น คาดว่าเขาคงจะอ่านมันค้างไว้ ผมเดินไปหยุดอยู่ที่ตู้หนังสือแล้วไล่มือไปตามสันที่วางอัดแน่นอยู่บนนั้น
“นายอ่านมันทั้งหมดนี่เลยหรอ?”
“ผมเอาไว้อ่านฆ่าเวลา”
“น่าแปลกใจที่เห็นเตียงในห้องนอนของนาย”
ชานยอลหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อผมเอ่ยถึงเตียงเดี่ยวหลังใหญ่สีขาวที่วางอยู่ตรงข้างหน้าต่าง เขาเดินไปหยุดอยู่ที่เตียงนั่นแล้วทิ้งตัวลงไปนั่ง ผมพยายามจะมองหาโลงศพสีดำแบบที่เคยได้ยินมาจากเรื่องเล่าแต่ผมก็หาไม่พบ
“โลง......สีดำ?”
“นั่นมันเป็นแค่นิทานที่เล่าให้เด็กฟังก่อนนอนแบคฮยอน”
“นายนอนบนเตียง?”
“ผมเอาไว้เอนตัวเล่นเพื่ออ่านหนังสือมากกว่า เซฮุนชอบจัดปาร์ตี้ที่บ้านและพวกเพื่อนๆของเขาจะชอบมาขอดูห้องนอนของผม ถ้าหากไม่มีเตียงก็คงจะน่าสงสัยใช่มั้ยล่ะ”
พวกเขาเจนจัดในการใช้ชีวิตแบบมนุษย์มากจริงๆ
“ถามจริงๆ แบบจริงๆเลยนะ”
“ผมเองก็จะตอบแบบจริงๆแล้วกัน” ผมนั่งลงบนเก้าอี้แถวนั้น ในหัวมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมดที่อยากถามเขา ชานยอลยังคงนั่งอยู่ที่เตียงแล้วส่งยิ้มให้กับผม สีหน้าของเขาดูยินดีที่จะตอบทุกคำถามของผม สายตาที่จ้องมาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหนูจำไม
“มีอะไรที่พวกนายกลัวบ้าง”
“ครับ?”
“กระเทียม? ไม้กางเขน? น้ำมนต์?”
“พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นอมตะ พวกมนุษย์มักจะสร้างเรื่องขึ้นเพื่อปลอบใจตัวเองว่ายังไงก็ต้องมีซักทางที่กำจัดเราได้ สิ่งที่จะฆ่าเราได้คือการที่เราฆ่ากันเองและเผาไฟตาม.....”
“ไฟ?”
“ร่างกายของผมไม่ต่างอะไรจากซากศพแบคฮยอน เพราะฉะนั้นหากเราฟาดฟันกันแล้วอยากให้ตายขาดเราต้องเผาด้วยไฟ”
ผมพยักหน้าด้วยความเข้าใจก่อนจะมองไปยังซากศพที่กำลังจ้องมาที่ผม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาทำให้ผมใจเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆเวลาเราอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ชานยอลกำลังจีบผมแบบเปิดเผย ซึ่งนี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ที่เขามาหลงรักมนุษย์ที่ไม่มีอะไรเลยแบบผม
“ละ...แล้วที่ผ่านมานายใช้ชีวิตยังไง? หมายถึงชีวิตประจำวัน”
“ตอนกลางวันผมก็ไปเรียนที่โรงเรียน ถึงมันจะค่อนข้างน่าเบื่อที่ผมจะต้องเรียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้นแต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย เพราะร่างกายของผมไม่โตไปมากกว่านี้แล้วดังนั้นครอบครัวของเราต้องย้ายเมืองอยู่บ่อยๆ ก่อนหน้าที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ผมมาจากทางตอนเหนือของจีน ก่อนหน้านั้นก็รัสเซีย”
“ต้องพูดได้หลายภาษาแน่ๆ”
“ผมไม่จำเป็นจะต้องนอน เพราะงั้นผมเลยเอาเวลาว่างไปศึกษาภาษาต่างๆทั่วทุกมุมโลก”
“ชักอยากจะมีชีวิตเป็นอมตะบ้างซะแล้ว” ผมเอ่ยพึมพำเบาๆด้วยความอิจฉา ชานยอลไม่ตอบรับอะไรแต่เขาเดินเข้ามาหาผม มือใหญ่ช้อนคางขึ้นให้ผมสบตากับเขาอย่างนุ่มนวล สายตาของเขาที่ต้องมาไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ความหมายของมัน หากแต่ผมเลือกที่จะมองข้าม เรื่องนี้มันคงต้องใช้เวลาซักหน่อยบางทีนี่อาจจะเร็วไป
“การได้พบกับคุณเป็นเรื่องที่วิเศษ ตอนนี้ผมเฝ้าขอบคุณพระเจ้าอยู่ทุกวัน”
“นายทำให้ฉันประหลาดใจอีกแล้ว นายนับถือพระเจ้า”
“พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเราหรอกครับแบคฮยอน การใช้ชีวิตเป็นอมตะบางครั้งถ้าไม่มีจุดยึดเหนี่ยวเลยเราก็เสียศูนย์ได้เหมือนกัน”
การที่ผมได้รู้จักพวกเขาทำให้ผมประหลาดใจมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ปาร์คชานยอลยังไม่ละมือจากใบหน้าของผมแถมยังเอามืออีกข้างเกลี่ยที่แก้มของผมเบาๆจนขนลุกซู่ ไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่ผมรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกพิเศษกับคนตรงหน้า
“การใช้ชีวิตเป็นอมตะมันไม่ได้น่าอิจฉาหรอก เราต้องคอยมองดูคนที่รักตายจากไปทีละคนโดยที่จะเราจะตายก็ทำไม่ได้ มันทรมานมากกว่าที่คิด”
ผมนิ่งไป ผมอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาแต่คิดว่ามันต้องไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่ๆ เพียงเพราะแค่ผมแยกจากแม่มาก็รู้เศร้าจะแย่ แต่สิ่งที่ชานยอลได้พบคือการจากไปแบบไม่หวนกลับคืนมา เขาอาจจะต้องทุกข์ทรมานอยู่หลายปี ผมนึกไม่ออกเลยว่าเขาผ่านสภาพเหล่านั้นมาได้อย่างไร
“ชานยอลคือ....ฉัน ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันก็ผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว ตอนนี้ผมได้เจอคุณมันเป็นอะไรที่วิเศษจริงๆ”
“ทำไมถึงเป็นฉัน?”
ด้วยความสงสัยผมจึงถามออกไป ชานยอลนิ่งไปราวกับจะหาคำตอบ ผมเผลอกลั้นหายใจเพราะมัวแต่ลุ้น ดวงตาคู่คมจ้องมายังผม เขาก้มหน้าลงมาใกล้ก่อนจะใช้ปลายจมูกแตะลงที่ปลายจมูกของผมเบาๆ “เพราะผมไม่รู้จักคุณ”
“นายรู้จักฉันชานยอล” ผมขมวดคิ้ว
“ความรู้สึกแบคฮยอน....ผมใช้ความรู้สึก แม้ผมจะไม่มีมันมานานแล้ว แต่เมื่อพบคุณผมมีความรู้สึก”
“ความรู้สึก?”
“ความรู้สึกว่า ผมจะต้องรักคุณ”
สิ้นคำริมฝีปากเย็นๆก็ทาบทับลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ชานยอลจู่โจมผมอย่างรวดเร็วจนเผลอกำชายเสื้อของเขาไว้ เขาสัมผัสริมฝีปากผมอย่างนุ่มนวลไม่ให้ดูหยาบคาย ผมค่อยๆหลับตาลงรับสัมผัสแสนหวานด้วยความเต็มใจ ชานยอลค่อยๆเบียดริมฝีปากลงมาอย่างไม่รีบร้อน ความเย็นจากร่างกายของเขาถ่ายทอดมายังร่างกายผมยามที่ร่างสูงยกตัวผมขึ้นมา เขาให้ผมนอนลงบนเตียงช้าๆในขณะที่ริมฝีปากของเรายังคงเชื่อมกัน ปาร์คชานยอลบดจูบรุนแรงขึ้นแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่กลับกันผมกำลังถลำลึกไปเรื่อยๆ ยกมือขึ้นโอบรอบคอของเขาแล้วกดท้ายทอยให้เขาจูบผมให้มากกว่านี้
ชานยอลรังแกผมด้วยการจูบอยู่นาน และก่อนที่มันจะเลยเถิดเขาก็หยุดตัวเองไว้ ร่างสูงดูดริมฝีปากของผมอยู่ซักพักก่อนจะผละออกไปอย่างอ้อยอิ่ง เพราะผมถูกแกล้งดังนั้นผมจึงหอบหายใจน้อยๆ ชานยอลใช้สายตาที่อ่อนโยนจ้องมา และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องหลบตาเขา
โดนแวมไพร์แกล้ง แย่ชะมัดเลย
“จูบตอบกันแบบนี้ผมก็มีความหวังน่ะสิแบคฮยอน”
“ชานยอลแกล้งฉัน”
“เพราะคุณน่ารักJ”
“สาบานได้ ผู้ชายถูกชมว่าน่ารักไม่มีใครดีใจหรอกนะ”
ผมบ่นงึมงำ อยากจะผลักผู้ชายขี้แกล้งตรงหน้าออกไปให้ไกล แต่เมื่อซักครู่ที่เขาจูบผมราวกับว่าสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมด ผมพยายามจะลุกขึ้นนั่งโดยมีร่างสูงของชานยอลคร่อมผมไว้ เขาคลอเคลียอยู่แถวใบหน้าไม่ทำอะไรไปมากกว่านั้น จมูกโด่งๆไล่ดมกลิ่นกายของผมไปเรื่อย
“นี่มันอาจจะเร็วเกินไป แต่คบกับผมได้มั้ยแบคฮยอน”
“ในฐานะเพื่อน เราคบกันอยู่นะชานยอล”
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
เขาเหมือนจะหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อผมเบี่ยงประเด็น เป็นแบบนั้นชานยอลจึงทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งราวกับจะย้ำสถานะว่าสิ่งที่เขาต้องการจากผมไม่ใช่แค่เพื่อน ผมเองก็รู้ตัวดีเหมือนกันว่าลึกๆแล้วผมต้องการอะไร ใจผมไปอยู่ที่เขาเรียบร้อย หากแต่ผมรับปากที่จะคบกับเขา แต่อีกไม่นานเขาจะต้องจากผมไปยังเมืองอื่น เขาอยู่กับผมไม่ได้ และแน่นอนว่าผมไม่สามารถอยู่กับเขาได้ยาวนานตราบชั่วชีวิตของเขาด้วย
ผมจะกลายเป็นคนที่ต้องทำให้ชานยอลเจ็บปวดยามผมตาย
ผมไม่อยากให้เขาต้องเสียใจเพราะผม
“รู้ไหมหากเป็นปกติ ผมคงอ่านความคิดของเขาได้ ไม่ต้องกระวนกระวายรอคำตอบแบบนี้ ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะคุณ”
“นั่นมันทำให้ฉันรู้สึกดีจริงๆ” เขาจูบผมอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจเมื่อผมยียวน
“พอแล้วน่าชานยอล”
“ลองคิดถึงมันดูนะแบคฮยอน ผมอยากให้คุณได้ทบทวน อย่าเพิ่งปฏิเสธผมตอนนี้”
เขาอ้อนวอนผมด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร ผมพยักหน้ารับแน่นอนว่ามันไม่ต้องทบทวนเลยสำหรับความรู้สึกที่ผมมีให้กับชานยอลในตอนนี้ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องคิดมากกว่านั้น ชานยอลผละออกจากตัวผมไปก่อนที่เซฮุนจะเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ได้เวลาปาร์ตี้แล้วJ”
Talk -4-
โรงเรียนหยุด.....คือไม่รู้จะดีใจรึเสียใจดี
ตอนนี้หยุดมาห้าวันแล้ว รวมเสาร์อาทิตย์ด้วย
อุต้ะ ชีวิตสุขสันต์ลั้ลลา เฮฮาทั้งวัน
#นี่มาเวิ่นระ
บอกก่อนว่าเรื่องไปเร็วนะ ฮริ๊ง
ฟิคเรื่องนี้แต่งสนองนี้ด ชอบชานยอลแบบละมุน
#ฮรั่กกระอักความหล่อตาย
จริงๆเมนแบคจ้า...แต่นอกใจไปหาชานยอลบ่อย
ขอบคุณสำหรับเม้นต์นะฮั้บ รักเลย <3
เจอกันตอนหน้า ไม่น่าเกินสองวันน้า มั้วะๆๆ
#ฟิคทไวไลท์
ความคิดเห็น