คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : -2-
-2-
เช้าวันจันทร์...วันเริ่มแรกของสัปดาห์ เริ่มต้นด้วยฝนเม็ดเล็กๆ
เม็ดเล็กๆที่น่ารำคาญทำให้ผมต้องขับรถไปโรงเรียนด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง เมื่อจอดรถก็ต้องหยิบหาเสื้อกันฝนที่วางอยู่เบาะหลัง แอสตัน มาร์ติน รถหรูที่นำเข้าจากอังกฤษเข้าจอดด้านข้างผม ในฐานะที่เป็นคนที่ค่อนข้างสนใจเรื่องรถอยู่แล้วผมจึงอดที่จะสนใจไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเสื้อกันฝนก็ยังจำเป็นมากกว่า ผมเริ่มปีนเบาะหาเสื้อกันฝนอีกครั้งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่ผมล้างรถเมื่อวานผมก็ลืมเอามันขึ้นมาไว้บนรถ
โอ๊ยให้ตายสิ ต้องตากฝนแต่เช้ามันเป็นอะไรที่น่ารำคาญสุดๆ
ก๊อกๆ
เสียงเคาะกระจกดังขึ้นผมรีบจัดท่านั่งให้ดีก่อนจะหันไปมอง เอาจริงๆพอเห็นว่าเป็นใครที่มาเคาะกระจกผมค่อนข้างตกใจนิดหน่อย มือมันเลื่อนไปเปิดกระจกโดยอัตโนมัติ ลืมไปเลยว่าคนคนนี้เคยทำให้อารมณ์ของผมเคืองขุ่นมากขนาดไหนมาก่อน
“หวัดดี”
“เอ่อ....ดี หวัดดี”
“เราเดินเข้าโรงเรียนด้วยกันดีมั้ย?”
เขาถามพลางส่งยิ้มมาให้ ผมมองร่มที่อยู่ในมือเขาก่อนจะตัดสินใจพยักหน้า จัดการปิดกระจกแล้วตรวจเช็ครถอีกทีแล้วเดินลงมา ปาร์คชานยอลยื่นร่มมาทางผมทันทีที่ผมมายืนอยู่นอกรถ หลังจากที่สังเกตดีๆก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นคนที่ตัวสูงค่อนข้างมาก เขาผายมือออกให้ผมเดินนำในขณะที่เขาก็ค่อยๆเดินตามมาไม่ห่าง ทั้งๆที่คิดว่าน่าจะเปียกฝนบ้างไม่มากก็น้อย กลายเป็นว่าไม่เปียกแม้แต่นิดเดียว ผมสำรวจตัวเองเมื่อเดินเข้ามาในตึก
“ผมคงไม่เคยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ปาร์คชานยอลครับ”
“ฉัน...แบคฮยอน บยอนแบคฮยอน”
“ผมคิดว่าพ่อเคยเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังนะ”
“คุณหมอจองซู?”
“ที่พบคุณที่ร้านอาหาร”
“อ้อใช่ ฉันพบพ่อของนาย”
“แบคฮยอน.....”
ระหว่างที่เรากำลังเดินไปด้วยกัน ปาร์คชานยอลก็เรียกผมไว้ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างติดจะอ่อยๆนิดหน่อย ผมหันไปมองก่อนจะพบว่าเขากำลังทำหน้ารู้สึกผิด เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อไม่ค่อยเข้าใจในน้ำเสียงนั้น “ผมอยากขอโทษ”
“ขอโทษ?”
“เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมคิดว่าผมทำตัวไม่ดีใส่คุณ ตอนนั้นผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยเลยเผลอทำตัวแย่ๆ ผมต้องขอโทษจริงๆนะแบคฮยอน”
“อ๋อเรื่องนั้น” ผมร้องขึ้นมาเบาๆก่อนที่จะยกมือโบกผ่านหน้าไปมาแม้ว่าอาทิตย์ที่แล้วจะยังรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ก็ตาม ผมมองตาเขา ตอนนี้กลับมาเป็นสีเชียวมรกตเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันที่โรงอาหาร ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะครั้งที่สองที่เราเจอกันมันเป็นสีดำสนิท เขาใส่คอนแทคเลนส์หรือเปล่านะ? ช่วงนี้มันเป็นเทรนใช่ไหมที่เปลี่ยนสีคอนแทคเลนส์ไปเรื่อยๆ?
“ให้กลางวันนี้ผมเลี้ยงข้าวคุณได้ไหม?”
ยังไม่ทันจะหายสงสัยเรื่องตา ผมก็ต้องขมวดคิ้วแน่นอีกครั้งเมื่อได้ยินคำชวนจากคนตรงหน้า ระหว่างที่กำลังเปิดล็อคเกอร์เพื่อเอาของ เขาก็ยืนพิงประตูตู้อยู่แบบนั้น เมื่อผมปิดบาน เขาก็ยังคงรอคำตอบจากผมอยู่
“นะแบคฮยอน”
“ตามใจนายเถอะ” เขายิ้มกว้าง
ผมคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่ออกจะเวอร์ไปซักหน่อย ผมแค่ตอบรับคำชวนทานข้าวกลางวัน ผมไม่ได้ทำให้เขาถูกหวยนะทำไมเขาถึงต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้น เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆจนตัวผมเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถคุยกับใครได้นานขนาดนี้ เมื่อมาถึงหน้าห้องเขาก็หยุดก่อนจะมองหน้าผม
“ผมไม่รู้เลยว่าคุณคิดอะไรอยู่”
“แน่สิ ฉันจะบอกให้นายรู้ได้ยังไง”
“นี่มันแย่สุดๆเลยนะ”
“ถ้านายรู้ล่ะก็ ฉันต่างหากที่แย่”
เขาทำหน้าบึ้งราวกับว่านี่เป็นความผิดที่ผมไม่ยอมเผยความคิดของตัวเองให้เขารู้ ร่างสูงก้มหน้าลงมาใกล้พลางจ้องเขม็งจนผมต้องถอยหลังออกไปนิดหน่อย เขาเกือบจะขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้งแต่คราวนี้เสียงจงแดที่อยู่ในห้องดังขึ้นมาเสียก่อน ผมเลยรอดพ้นจากเหตุการณ์วิกฤตตรงหน้านี้ไปได้
ว่าไงนะ? อะไรคือเหตุการณ์วิกฤต?
“วันนี้มาด้วยกันหรอ?” จงแดถามพลางชะโงกหน้าออกมามองผมกับชานยอลที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“พอดีฉันลืมเอาเสื้อกันฝนมา แล้วชานยอลจอดรถข้างๆ....ก็เลยเข้ามาด้วยกัน”
“ดีกันแล้วหรอ?”
“วันนั้นมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ” ชานยอลตอบพลางส่งยิ้ม จงแดพยักหน้ารับก่อนจะเดินมาดึงแขนผมให้เข้าไปในห้องแล้วพูดถึงแผนการที่หมอนั่นวางไว้ที่เราจะไปอีกเมืองเพื่อรับเครื่องแบบของผม ผมพยักหน้ารับแบบไปทีไม่ได้ฟังอะไรมากเท่าไหร่ รู้แต่ว่าพอรับเครื่องแบบเสร็จเราก็จะไปดูหนังโดยมีคิมมินซอกเพื่อนของจงแดไปด้วยอีกคน ชานยอลเดินไปนั่งที่ของตัวเอง เขามองมาทางผมแล้วส่งยิ้มให้บางๆ
ถึงตอนนี้ ผมได้แต่เตือนตัวเองว่าอย่าหลงใหลรอยยิ้มนั่นเด็ดขาด
ปาร์คชานยอลทำดีกับผมขึ้นเรื่อยๆ
อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกผิดที่เมื่ออาทิตย์ก่อนทำเสียมารยาทกับผมก็เป็นได้
ผมคิดว่างั้นนะ....
เขาไม่นั่งกินข้าวกับครอบครัวตัวเองมาห้าวันแล้วผมเองก็ไม่ได้กินข้าวกลางวันกับจงแดมาห้าวันแล้วเช่นกัน จงแดบ่นงึมงำนิดหน่อยแต่ถึงกระนั้นหมอนั่นก็ไม่ได้ต่อว่าผม เพราะเขายังมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ให้นั่งกินข้าวด้วย ชานยอลเวลากินข้าวเขากินไม่เยอะมาก แทบจะไม่แตะเลย ระหว่างที่ผมทานเขาก็จะนั่งมองบ้างไม่ก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยยกตัวอย่างวันนี้เราคุยเกี่ยวกับนิวเจอร์ซีรัฐที่ผมอยู่ในอเมริกา เขาว่าเขาเคยไปเที่ยวช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา
ผมกลับมาบ้านในช่วงเย็น วันนี้พ่อเข้าเวรผมเลยต้องอยู่คนเดียวในคืนนี้ ผมเปิดตู้เย็น...เสบียงร่อยหรออีกแล้ว ผมคิดว่าควรจะออกไปซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อของสำหรับทำมื้อเย็นและอาหารสำหรับพ่อในวันพรุ่งนี้
แน่นอนว่าฝนเริ่มตกลงมาอีกครั้งเมื่อผมอยู่บนรถทั้งๆที่เมื่อตอนเย็นฟ้าค่อนข้างโปร่ง แต่อย่างว่าแหละครับเอาอะไรกับสภาพอากาศของเมืองนี้ ผมประคองไอ้แก่คู่ใจของตัวเองไปเรื่อยๆ และผมก็สามารถไปซื้อของได้โดยที่มันไม่ดับไปกลางทาง
ผมกำลังเดินอยู่ท่ามกลางสายฝนห่าใหญ่ ผมลุยมันกลับไปที่รถกระบะคันเก่าๆสีน้ำตาลที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญที่ย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ เมื่อถึงบนรถก็ถอดเสื้อกันฝนออกแล้วโยนมันไปไว้ที่เบาะหลัง ความชื้นที่อยู่รอบกายทำเอาผมเบะปากออกด้วยความไม่พอใจ ของที่ซื้อมาตอนนี้มันวางอยู่เบาะข้างๆ ผมตรวจดูสิ่งของอีกครั้งว่าครบตามที่ต้องการหรือไม่วัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นและมื้อต่อๆไปอัดแน่นอยู่ในถุงกระดาษที่เปียกซ่ก ผมเริ่มลงมือค้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“มันฝรั่ง มะเขือเทศ กระดูกหมู หอมใหญ่ เนื้อบด อ่า......ให้ตายสิ ลืม”
ผมสบถออกมาเบาๆเมื่อพบว่าไม่ได้ซื้อแป้งสำหรับทำพิซซ่าในมื้อเช้าของวันหยุดวันพรุ่งนี้ ผมเลยต้องเอื้อมมือไปหยิบเสื้อกันฝนมาสวมอีกครั้งแล้วเดินฝ่าสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักราวกับว่าจะไม่ได้ตกอีกกลับไปยังซุปเปอร์มาเก็ต ภาพตรงหน้าพร่าเลือนเพราะเม็ดฝน ผมคิดว่าเสื้อกันฝนนี่ไม่ได้ช่วยแม้แต่น้อยเพราะตอนนี้จะเปียกไปทั้งตัวอยู่แล้ว
ปัง!!
เสียงอะไรบางอย่างตกลงบนหลังคารถคันที่เพิ่งเดินผ่าน ผมหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วก่อนจะพบว่าเป็นร่างของอะไรซักอย่างที่ผมไม่สามารถมองเห็นมันได้ชัดกำลังยืนอยู่บนนั้น เจ้าของรถผู้โชคร้ายต้องโอดครวญแน่ถ้ารู้ว่าหลังคารถของเขายุบไป แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น สัญชาตญาณกำลังบอกว่าอันตรายเริ่มคืบคลาน ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อพบว่าอะไรบางอย่างนั่นจ้องมาที่ผม ดวงตาสีแดงที่ยากจะสื่อความหมายจ้องมายังผม
ผมรีบหันหลังกลับแล้วออกตัววิ่งไปยังซุปเปอร์ อย่างน้อยถ้าไปรวมตัวกันที่คนเยอะๆมันอาจจะไม่กล้าทำอะไร ผมได้ยินเสียงโครมครามที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังก่อนที่ตัวของมันจะมาปรากฏอยู่ต่อหน้า ลมหายใจขาดห้วงไปทันทีเมื่อพบว่าร่างที่ยืนอยู่ใต้แสงไฟที่กำลังสาดอยู่นั่นเป็นคนหากแต่มีหูแหลมคล้ายค้างคาว มันแสยะยิ้มทำให้ผมเห็นเขี้ยวแหลมคม ชีพจรผมตอนนี้เต้นตุบตับ อะดรีนาลีนเริ่มพล่านไปทั่วร่างกาย ถึงตอนนั้นมันก็กรีดร้องออกมา
กีดดดดดดดดดดดดดดด กีดดดดดดดดดดดดดด
ผมเอามืออุดหูทันทีก่อนจะก้มตัวลงต่ำเมื่อมันกระโดดเฉียดข้ามหัวไปเพียงเล็กน้อย สัตว์ประหลาดนั่นเมื่อพลาดจากรอบแรกมันก็หันกลับมามองแทบจะทันทีแล้วจ้องมายังผมอีกครั้ง ผมลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆเดินถอยหลังเมื่อมันก้าวเข้ามาใกล้ ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้ใครซักคนเดินผ่านมาทางนี้ ตำรวจ รปภ.หรือใครก็ได้ที่มีอาวุธ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรติดตัวอยู่เลย แว้บหนึ่งใบหน้าของพ่อที่กำลังรอผมกลับไปโผล่ขึ้นมาในความคิด สายตาเหลือบไปเห็นก้อนหิน ผมหยิบมันขึ้นมาและปาออกไปทันที
พระเจ้า.....นี่มันตัวอะไรกันแน่
หินนั่นเหมือนเป็นแมลงที่บินผ่านไป มันไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ผมแทบจะไม่เหลือความหวังแล้วในตอนนี้ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจหันหลังกลับแล้วเตรียมวิ่งอีกครั้ง หากแต่คราวนี้มันกระโดดเข้ามาผลักผมให้กลิ้งลงไปบนพื้น แยกเขี้ยวขึ้นมากกว่าเดิมจนผมเห็นคมได้ชัด ลมหายใจเหม็นๆรดอยู่บนหน้าผมก่อนที่มันจะก้มลงมาอย่างรวดเร็วเพื่อฝังเขี้ยวนั่นลงบนคอ ผมเอี้ยวตัวหลบได้อย่างทันท่วงที เขี้ยวนั่นจึงยังไม่จมลงบนคอหากแต่เป็นรอยถากๆเพราะหลบได้ไม่หมด เลือดผมคงเริ่มไหลแล้ว ไอ้ตัวประหลาดส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
กีดดดดดดดดดดดดดด กีดดดดดดดดดดดด กีดดดดดดดดดดด กีดดดดดดดดดดด
ผมใช้จังหวะนี้ถีบตัวที่คร่อมผมอยู่ออกไป มันกระเด็นแล้วดิ้นไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่มีเวลามองมันอีกต่อไปรู้แต่ว่าตอนนี้จะต้องรีบวิ่งเข้าไปด้านใน สัตว์ประหลาดไม่ดักหน้าผมเหมือนเคยแต่กลับเหวี่ยงตัวผมให้กระแทกเข้ากับเสาไฟ หัวผมโขกอย่างจังที่เสานั่นคาดว่ามันต้องแตกแล้วเพราะได้กลิ่นความของเลือด สาบานได้ว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่เวลาจะเจ็บ ผมพยายามที่จะหนีอีกครั้ง
‘แกหนีไม่พ้นหรอก อย่างแกก็เป็นได้แค่อาหาร’
“อาหาร?” ผมทวน
‘เลือดที่หอมหวานแบบนี้ ข้าไม่ได้กินมานานแล้ว’
“บ้าชิบ” ผมสบถออกมาเมื่อมันผลักผมลงบนพื้นอีกครั้ง สายฝนที่กำลังตกลงมาทำเพียงชะล้างเลือดบนใบหน้าให้หลุด มันกระโดดขึ้นทับตัวผมแล้วแยกเขี้ยวอีกครั้งก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงมาบนคอ ความเจ็บแล่นเข้ามาพร้อมๆกับอาการแสบร้อน ผมได้แต่ดิ้นไปมาอยู่อย่างนั้น
ได้แต่ภาวนา.....ภาวนาต่อพระเจ้า
พระเจ้าที่ผมไม่เคยคิดว่ามีอยู่จริง
แต่ตอนนี้ผมกำลังศรัทธาต่อพระเจ้าเพื่อให้ผมรอดพ้นจากเหตุการณ์เลวร้ายนี้
ได้โปรด..........ได้โปรดช่วยผมด้วย
มันไม่ใช่ความฝัน
ผมเอาแต่บอกตัวเองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งตื่น ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะจ้องมองอยู่ที่เพดาน ภาพที่เห็นคือแสงไฟที่แยงเข้าตา เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นก่อนที่พ่อจะโผล่เข้ามาอยู่ในช่วงการมองเห็น พ่อดูร้อนรนมากจนผมต้องบอกให้ใจเย็นเพราะผมฟังที่พ่อกำลังพูดไม่รู้เรื่อง
“ช้า...ช้าหน่อย ผมฟังพ่อไม่รู้เรื่องเลย”
“เอาล่ะ โอเค ลูกเจ็บตรงไหนมั้ย” ผมทำหน้าเนือยพลางยกข้อศอกที่มีแผลถลอกให้พ่อดู และแน่นอนว่าผมเจ็บศีรษะ ไอ้สัตว์ประหลาดนั่นมันทำหัวผมโขกกับเสาไฟฟ้า ไหนจะรอยที่คออีก
“ชานยอลเป็นคนช่วยลูกไว้ เขาบอกว่าลูกโดนอันธพาลแถวนั้นทำร้าย ดีนะว่าไปช่วยลูกได้ทัน”
“ไม่ใช่.....มันไม่ใช่....”
“ฟื้นแล้วหรอแบคฮยอน”
ก่อนที่ผมจะบอกพ่อไปหมอจองซูก็เดินเข้ามาขัด ใบหน้าขาวซีดหันไปทางพ่อ พูดอะไรสองสามคำแล้วพ่อก็เดินออกไป เขาเดินมาตรวจร่างกายผม หยิบไฟฉายมาส่องทำให้ผมต้องหรี่ตาลง หมอจองซูไม่พูดอะไรและจดอาการของผมลงบนกระดาษ
“หมอ...ผมคิดว่าที่ทำผมไม่ใช่พวกอันธพาล”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว แต่เดี๋ยวฉันจะต้องตรวจศีรษะของเธออีกทีนึง อาจจะต้องนอนโรงพยาบาลหนึ่งวันเพื่อดูอาการ”
“หมอเห็นรอยที่คอมั้ย? มันกัดคอผมและบอกว่าผมเป็นอาหาร”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ขอบคุณพระเจ้าจริงๆที่เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก”
หมอจองซูพูดราวกับว่าผมนั่งนิ่งๆไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย น้ำเสียงนิ่งๆนั่นไม่ได้ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นรังแต่จะสร้างความคุกกรุ่นให้ ผมพยายามจะเปิดคอและโชว์รอยเขี้ยวให้หมอได้เห็น
“ได้โปรดหมอ...ฟังผม นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ในเมืองนี้มีแวมไพร์ ผมควรจะบอกพ่อ”
“แบคฮยอนฟังฉันนะ เธอแค่โดนพวกอันธพาลทำร้าย อาจจะเห็นเป็นภาพหลอนซึ่งเกิดจากการทำงานของสมอง ฉันคิดว่าก่อนหน้านั้นเธอคงกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ”
หมอจองซูกำลังทำเหมือนผมเป็นคนไข้โรคจิตที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นบ้า!
ผมเลิกพยายามจะทำให้หมอฟังผม และได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ตัวเองรู้สึกจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน หมอจองซูค่อยๆดันไหล่ของผมให้เอนลงบนเตียง เขาห่มผ้าห่มให้แล้วบอกราตรีสวัสดิ์ แน่นอนว่าผมนิ่งไม่ตอบรับไม่อะไรทั้งสิ้น แม่มันจะเป็นเรื่องที่เสียมารยาทแต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะบอกลาคนที่เพิ่งกล่าวหาว่าผมประสาท และหวังว่าชานยอลจะสามารถช่วยผมได้ในเรื่องนี้
เขาเป็นคนมาช่วยผม เขาจะต้องเป็นพยานให้ได้
ในเช้าวันถัดมาเพื่อนๆในห้องต่างก็พากันมาเยี่ยมผม จงแดเป็นโต้โผในฐานะที่คุยกับผมมากที่สุด เราคุยกันซักพักก่อนที่เขาจะขอตัวออกไปเมื่อชานยอลเข้ามาพร้อมของเยี่ยมซึ่งเป็นผลไม้ จงแดส่งสายตาล้อเลียนแล้วค่อยปิดประตู ให้ตายสิ ชานยอลก็แค่มาเยี่ยมไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่านั้น
“คุณเป็นยังไงบ้าง?”
“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อวานก็ดีขึ้นมาแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ”
“แต่ชานยอล.....”
“ผมจะปอกแอปเปิ้ลให้ทาน รอแป๊บนึงนะ”
เขาชูของในมือขึ้นก่อนจะขอตัวหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างผลไม้ ผมไม่ขัดน้ำใจ และนั่งรอชานยอลด้วยท่าทีนิ่งๆ พยายามคิดว่าเขาไม่ได้กำลังหลบเลี่ยงเรื่องที่ผมจะพูด หวังว่าพ่อเขาจะไม่ได้สั่งให้มากล่อมผมอีกคน ชานยอลกำลังยืนปอกแอปเปิ้ลอยู่เงียบๆ ผมจ้องเขา
“เอาล่ะ ผมยอมแพ้แล้วแบคฮยอน คุณมีอะไรจะพูดกับผมใช่มั้ย”
“เรื่องเมื่อคืน มันไม่ใช่แค่คนอันธพาล ใช่ไหม?”
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรนะแบคฮยอน แต่ผมเข้าไปช่วยคุณตอนที่คุณถูกพวกอันธพาลทำร้าย”
ชานยอลเน้นหนักราวกับจะเจาะจงว่าคนที่ทำร้ายผมไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ในตอนนี้ เขาพูดเรื่องเมื่อคืนได้นิ่งมากๆ เห็นแบบนั้นก็เลยกรอกตาไปมาหน่อยๆ ผมไม่ได้เสียสติอันนี้มั่นใจเลย ไอ้ความรู้สึกตอนที่ถูกกัดผมยังจำได้ มันเจ็บและร้อนราวกับว่าร่างกายถูกเผา ผมจำความรู้สึกตอนที่ตัวเองกำลังหวาดกลัวได้ดี นั่นไม่ใช่เรื่องโจ๊กที่จะเอามาเล่าในวงไพ่โดยไม่รู้สึกอะไร
“รู้อะไรมั้ยแบคฮยอน? บางทีคนเราก็สามารถสร้างเรื่องขึ้นมาได้เป็นฉากๆ คุณอาจจะแค่กำลังเครียด”
“ฉันไม่ได้ประสาทชานยอล ฉันรู้ตัวดีว่าอันไหนคือความจริงอันไหนคือภาพลวงตา และสิ่งที่นายกับพ่อนายกำลังทำกับฉันตอนนี้มันคือภาพลวงตา”
ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ตะคอกใส่เขา แต่คิดว่าคงจะเผลอใส่อารมณ์มากไปหน่อย เมื่อชานยอลนิ่งผมก็หยุดพูดพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกผิดหวัง ผมว่าเขาน่าจะเป็นคนดีและมีความคิดมากกว่านี้แท้ๆ ผมไม่รู้หรอกนะว่าหมอจองซูไปพูดอะไรกับเขาแต่การที่ทำเรื่องแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก ความรู้สึกของผมที่มีต่อตระกูลปาร์คในตอนนี้เริ่มติดลบ ชานยอลวางจานผลไม้ที่ปอกแล้วลงข้างเตียง เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ตรงนั้น
“เชื่อผมนะแบคฮยอน...เรื่องเมื่อคืนมันแค่ฝันร้าย”
“มันจะเป็นฝันร้ายสำหรับคนทั้งเมืองหากฉันไม่บอกให้พ่อรู้เรื่องนี้”
“ก็แค่พวกอันธพาลกลุ่มเล็กๆ ไม่ถึงขนาดนั้น ตำรวจจะต้องจับตัวได้แน่”
“ฉันยืนยันนะชานยอล นั่นไม่ใช่อันธพาล นั่นมันแวมไพร์ มันดูดเลือดของฉัน!”
ผมตัวสั่นยามพูดถึง ชานยอลนิ่งไปซักพักก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือของผมไว้ราวกับจะปลอบใจ ผมรู้ดีว่าตอนนี้เขาอาจจะคิดว่าผมเป็นเพียงแค่คนไข้โรคจิตที่ต้องได้รับการรักษา โอเค ในเมื่อไม่มีคนเชื่อผมจะออกไปตามหามันอีกครั้งเมื่อผมออกจากโรงพยาบาล แม้มันจะอันตราย แต่ผมต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าผมไม่ได้บ้า
“รับปากผม หลังจากนี้ถ้าจะไปไหนคุณจะต้องไปกับพ่อ”
“ฉันคิดว่าฉันโตแล้ว”
“โธ่แบคฮยอน”
“ในเมื่อนายไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด ฉันเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อในสิ่งที่นายพูดเหมือนกัน ขอโทษนะชานยอล ฉันอยากพักผ่อนแล้ว”
ผมค่อยๆดึงมือออกมาอย่างสุภาพและมองข้ามสายตาตัดพ้อของชานยอลที่ส่งมาหลังจากผมพูดทำร้ายจิตใจของเขาไป ผมกำลังผิดหวังนี่บอกเลยจริงๆ เขาเป็นคนที่เข้าไปช่วยผมเขาน่าจะได้เจอกับมัน เพราะถ้าชานยอลไม่เจอป่านนี้ผมอาจจะนอนแห้งตายอยู่ตรงนั้นไปแล้ว ร่างสูงของเขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะดึงผ้าห่มมาห่มให้ ผมพลิกตัวหนีทันที
“เชื่อผมนะแบคฮยอน อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว”
“ฉันคิดว่าเมื่อกี้ฉันบอกว่าอยากพักผ่อน”
“โอเค ผมจะไม่รบกวนคุณแล้ว ขอให้หายไวๆครับ”
ปาร์คชานยอลไปแล้ว......
และผมก็วางแผนที่จะล่อมันแล้วด้วยเช่นกัน
พ่อกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า!
หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมา พ่อไม่ยอมให้ผมไปรับเครื่องแบบในวันอาทิตย์นั่นเป็นอะไรที่ผมยังพอรับได้ แต่พ่อไม่ยอมให้ผมขับรถไปโรงเรียนคนเดียวทำให้ผมต้องนั่งรถที่มีไซเรนติดอยู่บนหลังคาไปเรียน จากตอนแรกที่ผมก็โด่งดังมากพอสมควรอยู่แล้วผมก็ดังมากขึ้นไปอีก ตอนนี้สายตาของคนในโรงเรียนมองผมเป็นไอ้ลูกแหง่ที่พ่อต้องคอยรับคอยส่ง ข่าวที่ผมโดนพวกอันธพาลซ้อมแน่นอนว่ามันก็ดังไปทั่ว บางกลุ่มส่งสายตาเยาะเย้ยก็มี บางคนที่เข้ามาแสดงความเห็นใจก็มี แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาหรอกนะ
“เสาร์นี้นายจะไปรับเครื่องแบบหรือยัง?”
“ฉันคงต้องถามพ่อก่อน ตอนนี้เขาติดฉันแจ ราวกับกลัวว่าฉันจะหนีไปแข่งรถ”
“อย่างว่าแหละ ตำรวจยังจับตัวไม่ได้นี่นะ”
จงแดยักไหล่น้อยๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมยกมือขึ้นลูบศีรษะของตัวเองหน่อยๆที่ตอนนี้เหลือเพียงผ้าปิดแผลบริเวณหน้าผากที่หมอจองซูแปะไว้ให้เนื่องจากมันเป็นรอยเย็บประมาณแปดเข็ม เขานัดผมไปตัดไหมในอาทิตย์ถัดไป เพราะเมื่อวันอาทิตย์ไม่ได้ไปรับเครื่องแบบ วันนี้ผมก็ยังคงต้องใส่เสื้อผ้าธรรมดาที่แตกต่างจากนักเรียนคนอื่นๆ
“ว่าแต่ชานยอลเขาหายไปไหน เมื่อวานเขาก็ไม่มาโรงเรียน”
คิมจงแดหันมาหาผมอีกครั้งแล้วบุ้ยปากไปทางโต๊ะที่อยู่ด้านขวามือของผม ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบที่ได้จากผมคือการส่ายหัวช้าๆ หลังจากที่เขามาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลวันนั้นเขาก็ไม่มาพบผมอีกเลย ซึ่งนั่นก็เป็นการดี ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถมองหน้าคนที่ยัดเยียดว่าผมเป็นบ้าได้
“เอ้อ...ช่วงนี้ตำรวจกำลังยุ่งเชียวล่ะ นายรู้ไหมแบคฮยอน”
“ทำไม?”
“ลูกของผู้กองบยอนถูกพวกอันธพาลกลุ่มเล็กๆทำร้าย แต่ตอนนี้ทางตำรวจยังจับตัวไม่ได้ กลายเป็นประเด็นร้อนในเมืองไปแล้ว”
เขาว่าพลางยกเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะ เอาแขนรองที่ท้ายทอยแล้วโยกเก้าอี้พลางหัวเราะหน่อยๆราวกับว่าที่พูดเป็นเรื่องตลก ในขณะที่ผมก็แสยะยิ้มให้กับคำพูดเหล่านั้น แน่นอนว่าพวกอันธพาลอะไรนั่นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงเรื่องโกหกที่สองพ่อลูกตระกูลปาร์คแต่งขึ้นมาเท่านั้น จงแดเลิกโยกเก้าอี้และเอาขาลงจากโต๊ะเมื่อครูประจำชั้นเดินเข้ามาและเธอก็ต่อว่ากับการกระทำที่ค่อนข้างหยาบคาย แต่เขากลับไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไหร่ แถมยังมีการหันมาทำหน้าล้อเลียนกับผมยามเมื่อเธอหันไปเขียนกระดาน
“เอ้อ....แล้วก็ ทางที่ดีอย่าออกจากบ้านตอนดึกๆดีกว่านะ”
“.......?”
“พ่อนายอาจจะไม่ได้บอกอะไรแต่เขาเลือกที่จะทำตัวติดกับนายแทน”
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อสองวันก่อนตำรวจพบศพของเด็กผู้ชายที่มีสภาพตายแบบไม่น่าดูเท่าไหร่ที่ชายป่าด้านตะวันออก หมอชันสูตรแล้วว่าเขาตายวันเดียวกับที่นายถูกทำร้าย หมอนั่นเป็นลูกชายของคุณนายร้านขายอุปกรณ์ตกปลา เรื่องนี้ตำรวจปิดข่าวเงียบ ไม่แน่ใจว่าใช่พวกเดียวกับที่ทำร้ายนายรึเปล่า”
“คุณคิม จะพูดอีกนานมั้ยจ๊ะ”
“จะเงียบแล้วครับ”
จงแดทำท่ารูดซิบปากพลางผายมือเป็นเชิงว่าให้ครูประจำชั้นให้พูดต่อไป เธอหัวเสียนิดหน่อยกับการกระทำแบบนั้น ในขณะที่ผมก็เอาแต่นิ่ง หากแต่หัวใจกำลังสั่นจนความหวาดกลัวในคืนวันนั้นกลับมาทำร้ายผมอีกครั้ง ยังนึกไม่ออกเลยถ้าหากชานยอลมาช่วยไว้ไม่ทันผมจะเป็นอย่างไร
นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกที่เขาจะมาอำผมได้อีกแล้ว
Talk -2-
มันเร็วไปม้ะ? ไม่หรอก ฮิ้____ฮิ้
ตอนนี้ใช้ชีวิตว่างไปเรื่อยๆ
เรียกกันสั้นๆว่าตังค์ อายุ 17 เรียกพี่น้องตามสบาย
เข้าไปแวะพูดคุยกันได้ที่ @octopus013
#ฟิคทไวไลท์ มีแทคอย่างเป็นทางการ คุคิ ฮิฮิ
ความคิดเห็น