คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ช า น มึ น : ต อ น ที่ ห นึ่ ง
ต อ น ที่ ห นึ่ ง
“เสร็จแล้วโทรหาแม่ล่ะ”
“อือออออ”
“หาเพื่อนให้ได้ด้วยนะ”
“นี่ใครครับ บยอนแบคฮยอนนะ จะไม่มีเพื่อนได้ไง”
“ให้มันจริงอย่างที่ว่าก็แล้วกัน”
อวดอ้างชื่อตัวเองราวกับดังคับฟ้าก่อนจะเอี้ยวตัวไปฉวยโอกาสหอมแก้มนิ่มๆของคนเป็นแม่เสียหนึ่งทีแล้วรีบวิ่งลงจากรถเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย เขาโบกมือจนกระทั่งรถยนต์ที่คุ้นตาเคลื่อนออกไป ถึงตอนนั้นจึงได้หันหลังกลับแล้วมองเข้าไปยังรั้วด้านในที่ตอนนี้มีบรรดานักศึกษาหน้าใหม่เดินกันยั้วเยี้ย แบคฮยอนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตบไหล่ของตัวเองเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะเดินหาป้ายที่มีคำว่า 'คณะเภสัชศาสตร์'
มันก็ไม่ผิดจากที่คิดๆกันเท่าไรนัก แบคฮยอนเพิ่งพ้นจากสภาพของคนไร้ที่เรียนเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนมาเป็นเฟรชชี่หน้าใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังในเมือง มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ไม่ใช่น้อยล่ะ แม่เขานี่แทบจะแปะป้ายเอาไว้ที่หลังเวลาใครต่อใครเดินผ่านจะได้เห็นว่าลูกชายหน้าตาดีและมีมันสมองมากขนาดไหน ถามว่าอายมั้ยมันก็อายแต่เห็นแม่หน้าบานเป็นจานดาวเทียมแบคฮยอนก็ทำอะไรมากไม่ได้นอกจากยอมตามใจ
“คณะเภสัชทางนี้เลยจ้าาา คณะเภสัชจ้า”
ร่างเล็กหันไปตามเสียงก่อนจะเห็นรุ่นพี่ผู้หญิงสองสามคนยืนอยู่แถวนั้นกำลังตะโกนเรียกรุ่นน้องให้เดินเข้าไปหา มีคนยืนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วสองสามคนสวมเครื่องแบบของนักเรียนไฮสคูลต่างโรงเรียนกันไป ร่างน้อยกระชับเป้ที่หลังน้อยๆด้วยความประหม่า นี่คือสถานที่ใหม่ และเขากำลังจะต้องพบเจอกับสิ่งใหม่ๆต่างจากสมัยไฮสคูลที่ไม่รู้ว่ามันจะดีขึ้นหรือแย่ลง
ให้ตายห่า กังวลจนประสาทจะแตก
“เฮ้ยเตี้ย”
“........”
“เฮ้ย”
ระหว่างที่กำลังยืนเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นคนประสาทในไม่ช้าใครบางคนทางด้านหลังก็สะกิดพร้อมกับมอบฉายาอันแสนเกลียดเข้ามากระแทกลงกลางใจ แบคฮยอนหันขวับก่อนจะผงะเมื่อปะทะเข้าเต็มอกอีกคน มือเล็กยกขึ้นคลำจมูกตัวเองป้อยๆก่อนจะโดนไอ้คนมารยาทแย่ด้านหลังจับหมุนให้หันกลับไปทางเดิมแล้วผลักเบาๆ
“พี่เขาเดินไปหมดแล้ว นายเองก็ควรจะเดิน ฉันและคนด้านหลังจะได้เดินด้วย”
“แบคฮยอน....”
“อะไร!”
“กูชื่อแบคฮยอนเว้ย! เรียกเตี้ยๆอะไร เป็นบ้าหรอ”
“..........”
โอ๊ยตายล่ะ หลุดหมดเลย
เมื่อคิดได้ว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไปก็ยกมือขึ้นตีปากตัวเองซ้ำๆก่อนจะกวาดสายตามองรอบข้าง เพื่อนคนอื่นเดินไปกันหมดแล้วเหลือก็แต่ไอ้คนตรงหน้าที่ยืนกลั้นขำยังคงไม่ไปไหน “ขำ.....ขำอะไร”
“ก็...โอ๊ย ขำว่ะ เห็นหน้างี้ไม่คิดว่าจะเถื่อน”
“เถื่อนไร เราไม่เถื่อน”
“ไม่ทันแล้วเตี้ย ไปๆไปคณะกัน”
แบคฮยอนยกมือขึ้นเขกศีรษะตัวเองเบาๆก่อนจะโดนใครอีกคนกอดคอแล้วลากให้เดินไปด้วยกัน ดวงตาคู่น้อยเบิกกว้างก่อนจะเริ่มโวยวายออกมาอีกครั้งแต่ใช้ระดับเสียงที่ไม่ดังมากนัก การเป็นจุดเด่นของการเหยียบรั้วมหาวิทยาลัยวันแรกคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นได้แค่ความคิดเพราะเพียงแค่เขาเดินข้างๆไอ้คนตัวสูงหน้าขาวนี่ก็เหมือนจะกลายเป็นจุดสนใจไปเสียแล้ว
“ปล่อยนะเว้ย...!”
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วมาเป็นเพื่อนกันเถอะ”
โอ้โห ถามความสมัครใจกูบ้างไรบ้าง!
“ชอบคนแบบมึงอะ จริงใจดี รงเราอะไรไม่เอานะอย่าตอแหล”
ปากคอเราะร้ายมากเลยไอ้ผู้ชายคนนี้
จนถึงตอนนี้คนตัวสูงก็ยังไม่ยอมปล่อยแบคฮยอนให้เป็นอิสระ ลากไอ้เตี้ยให้เดินเข้าไปที่ใต้ตึกของคณะที่มีพี่ๆกำลังร้องเล่นเต้นสันทนาการกันแบบลืมโลก รอยยิ้มเป็นมิตรถูกส่งมาจากพี่ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น บางคนหันไปซุบซิบกันแล้วกรี๊ดออกมาเมื่อเห็นหน้าของร่างสูงข้างกายพลางเหลือบมามองเขา และนั่นทำให้พวกรุ่นพี่ผู้หญิงกรี๊ดกันหนักเข้าไปอีก
'เหยแก น้องเขากอดคอกันมาว่ะ'
'โอ้ย หล่ออะ อีกคนก็น่ารัก เสียดายย'
'มาเสียดายไร ยังไงเขาก็ไม่เอาแกหรอก'
เสียงซุบซิบมันจะอยู่ราวๆนี้ แบคฮยอนเอามือปิดหน้าในขณะที่ขาก็ก้าวตามแรงที่อีกคนที่เขายังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อลากไปมา และในที่สุดก็นั่งลงในแถว จัดการเหวี่ยงกระเป๋าเป้ตัวเองมาด้านหน้าแล้วกอดเอาไว้ซุกหน้าลงบนนั้นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความอาย
นี่มันโคตรแย่เลยนะบอกเลย
“ชื่อไรอะ เราทงเฮ...อีทงเฮนะ”
คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาหันมา แบคฮยอนส่งยิ้มกว้างที่ในที่สุดตัวเองก็จะมีเพื่อนและสลัดไอ้ด้านหลังนั่นทิ้งไปเสียที แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปแขนยาวๆจากทางด้านหลังก็ล็อคคอเขาอีกครั้งก่อนที่จะเสือกไสหน้าของตัวเองเข้าร่วมวงสนทนาด้วย
“ไอ้เตี้ยนี่ชื่อแบคฮยอน จริงๆแล้วมันถนัดใช้กูมึงมากกว่า เห็นหน้าเงียบๆความเถื่อนมีเพียบนะครับ”
ไม่ได้ขอให้เสือกเล้ย.....
ได้แต่ก่นด่าอีกคนในใจ ไม่คิดว่าเพียงแค่พลาดครั้งแรกมันจะกลายเป็นหลุมดำของชีวิต อีทงเฮยิ้มออกมาน้อยก่อนจะตัดสินใจหันหลังกลับมาจากที่ตอนแรกนั่งเอี้ยวตัวคุยกันเฉยๆคงจะเมื่อย “ก็ดี แล้วมึงชื่อไรอะ”
“เซฮุน โอเซฮุน”
และแล้วบยอนแบคฮยอนก็ได้รู้จักชื่อของไอ้เชี่ยนี่ซักที
โอเซฮุนผู้ชายร่างสูงที่ทำท่าสนิทสนมกับร่างเล็กมาตั้งแต่เมื่อซักครู่ยอมปล่อยคนที่ตัวเองล็อคคอเอาไว้ให้เป็นอิสระก่อนจะเริ่มจับกลุ่มคุยกับเพื่อนใหม่อย่างออกรส แบคฮยอนมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะร่วมหัวเราะผสมวงไปเมื่อทงเฮตอบคำถามของเซฮุนที่ถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงชื่อทงเฮทั้งๆที่ตัวเองมาจากมกโพ
“แม่กูชอบแบบนี้ ปล่อยแม่กูไปเหอะ”
ไม่นานนักบรรยากาศใต้ตึกเริ่มคึกคัก คาดว่าเฟรชชี่ปีหนึ่งคงจะมาถึงกันหมดแล้ว พี่พิธีกรร่างเล็กที่ห้อยป้ายชื่อเขียนไว้ว่า 'พี่โจควอน #2' เป็นผู้เริ่มช่วงสนทนาเฮฮาปาร์ตี้แลนด์ ณ ดินแดนฟาร์มาซี
“มึงว่าเป็นปะ”
“ไม่น่ารอดอะมึง”
จากที่ตอนแรกนั่งเหม็นขี้หน้าอยู่นาน แต่พอผ่านไปซักพักก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยและไม่ได้เลวร้าย เซฮุนแอบกระซิบถามคนที่นั่งด้านหน้าพลางจ้องไปยัง 'รุ่นพี่โจควอน' ที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกตามจังหวะกลอง หลังจากที่ได้คำตอบก็พากันนั่งหัวเราะอยู่สามคนแล้วแทคมือกันไปคนละที แต่ไม่นานนักก็มีอันต้องสะดุ้งกันเป็นแถบเมื่อจู่ๆคนที่พวกเขากำลังนินทาอยู่ก็แว้ดเสียงใส่ผ่านมาตามลำโพง
“น้องสามคนนั้นที่กำลังหัวเราะกันอยู่นั่น ขำอะไรกันไม่ทราบ ลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้เลย”
โอ้ชิบหายแล้ว
คำคำนี้แล่นเข้ามาในหัวของแบคฮยอนทันทีที่นิ้วเรียวๆนั่นชี้จิกมาทางนี้ ร่างน้อยที่ไม่เคยเป็นจุดสนใจได้แต่มองซ้ายขวาก่อนจะลุกยืนอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าอย่างอีทงเฮลุกยืนไปแล้ว เสียงกรี๊ดของเหล่าบรรดารุ่นพี่ดังขึ้นเมื่อเซฮุนยืนขึ้นเป็นคนสุดท้าย
“เสียงกรี๊ดที่ดังขึ้นจ้างหน้ามาเปิดเทปหรือว่าอะไรยังไง”
พี่โจควอนเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นไมค์ในมือมาจ่อปากร่างสูงที่กำลังยืนทำหน้าเหวอๆ แบคฮยอนถอยร่นไปยืนด้านหลังกับทงเฮแล้วกลั้นหัวเราะกันอยู่สองคน ความจริงแล้วรุ่นพี่โจควอนอาจจะเล็งเซฮุนไว้นานแล้วแต่ไม่มีโอกาสซักที พอเห็นว่าหัวเราะเข้าหน่อยก็พุ่งเข้าชาร์จทันที
“มึงว่าจะมีหลังไมค์ปะ”
“ไม่แน่ปะวะ ไอ้เซฮุนอาจจะชอบอะไรแบบนี้”
แบคฮยอนตอบกลับไปก่อนจะกลั้นหัวเราะอีกรอบเพราะไม่อยากจะโดนหันมาเล่นงาน “เอาล่ะ แนะนำตัวให้พวกชะนีรุ่นพี่ได้รู้จักหน่อย”
“โอเซฮุน สาขาเภสัชครับ”
“ไอดี?”
“คิดว่ายังไม่ออกนะครับ”
“ออกเมื่อไหร่รีบบอกพี่นะ เพราะพี่อยากเป็นคนแรด เอ้ย คนแรกที่รู้เรื่องของหนู”
ร่างเล็กของรุ่นน้องยืนกลั้นขำจนตัวสั่นเมื่อเห็นหน้าของเพื่อนที่จู่ๆก็ชะงักค้างเพราะโดนรุ่นพี่โจควอนรุกเสียจนตั้งตัวแทบไม่ทัน เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วใต้ตึกก่อนจะเงียบลงเมื่อมือเล็กของรุ่นพี่ร่างอ้อนแอ้นยกขึ้นกำเป็นเชิงว่าให้ทุกอย่างเงียบเสียงลง เจ้าตัวปั้นหน้าเครียดแล้วดึงไมค์กลับมาที่ตัวเอง
“เอาล่ะ ถามก่อน ไม่ทราบว่าเมื่อกี้น้องๆหัวเราะอะไรขณะที่พี่กำลังทำหน้าซีเรียสมากอยู่ตรงนั้น”
“ไอ้ทงเฮเรอครับ”
“เฮ้ย!” เท่านั้นแหละบยอนแบคฮยอนก็หลุดหัวเราะหลังจากที่กลั้นขำมานาน ส่วนโจควอนหันมามองคนที่ถูกเรียกว่าทงเฮตั้งแต่หัวจรดเท้า คนที่ถูกใส่ร้ายยืนอยู่ด้านหลังกำลังทำหน้าช็อคโลกก่อนจะสบถพรืดยาวเป็นแถบ “หน้าตาก็ดีนะลูก ไม่น่าทำอะไรแบบนั้น”
“ไม่ใช่!” เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกระลอกในขณะที่แบคฮยอนก็หัวเราะออกมาเสียงดังจนพิธีกรในวันนี้หันมาให้ความสนใจพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงตอนนั้นคนที่ถูกเพ่งเล็งก็เลยยอมปิดปากและขยับตัวไปหลบด้านหลังของอีทงเฮราวกับว่าจะช่วยปกปิดความผิดของเขาได้
“ออกมาเลยจ้า ออกมาอย่าไปหลบหลังเพื่อน ผู้ชายเภสัชจะเป็นแบบพี่หมดรึไงค้า”
ขาเล็กรีบก้าวออกมายืนข้างหน้าอย่างมาดแมน
อย่าเหมารวมครับ ผู้ชายเภสัชมาดแมนก็มี....
“โกมีนัม โกมีนัม โกมีนัม”
จู่ๆเสียงเหล่าบรรดารุ่นพี่ผู้หญิงก็ดังขึ้นจนร่างน้อยสะดุ้งจนต้องรีบหันไปมอง คำว่าโกมีนัมดังลั่นก่อนที่เสียงกรี๊ดจะดังตามมาจนรุ่นพี่โจควอนต้องยกมือขึ้นทำท่ากำมันเอาไว้อีกครั้งถึงตอนนั้นเสียงถึงได้ค่อยๆแผ่วลงไป
“จะโกมีนัมหรือกูมีกรรมอะไรก็ช่าง แต่เสียงกรี๊ดดังมากกว่าน้องเซฮุนพี่ไม่ยอม น้องชื่ออะไรครับ?”
“บยอนแบคฮยอนครับ”
“แบคฮยอนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้ชายครับ”
“ไม่ได้ยินเลย แบคฮยอนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้ชายครับ!!”
“ขออีกที แบคฮยอนชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้ชายครับ!”
“อุ้ต่ะ” คนแกล้งแสร้งทำหน้าตกใจพลางยิ้มกริ่มในขณะที่คนถูกแกล้งก็ทำหน้างงก่อนจะทวนประโยคคำถามเมื่อซักครู่ เสียงของรุ่นพี่ร่างเล็กค่อยๆรีเพลย์กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง รีพีทซ้ำๆเพื่อความมั่นใจจนในที่สุดแบคฮยอนก็กระจ่างแจ้งในความคิด
คำถามไม่เหมือนเดิมนี่หว่า!
“เดี๋ยวพี่ ผมเป็นผู้ชายชอบผู้หญิงนะ”
“ไม่ทันแล้วคุณน้องขา น้องเซฮุนโปรดให้ความเห็นด้วยค่ะ”
“ผมคือผู้ชายที่แบคฮยอนชอบเองครับ”
ไม่ว่าเปล่ายังเสือกมีส่งสายตาวิ้งๆวับๆจนแบคฮยอนทำหน้าเหวอ ขนทั่วร่างพากันลุกเกรียวแบบที่ไม่สามารถให้คำบรรยายได้ ในขณะที่รุ่นพี่ผู้หญิงและเพื่อนๆต่างพากันโห่ร้องอีทงเฮที่เหมือนกลายเป็นส่วนเกินก็กำลังเอาศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องของคนตัวเล็กข้างกายหลายทีพลางเอียงหน้าเข้าไปแซว
“ชอบกันมาก่อนก็ไม่บอกนะมึง”
ส้นตีนล้ะแบบนี้
ถ้าหากไม่เกรงใจบยอนแบคฮยอนคงจะยกเท้าขึ้นยันร่างสูงๆที่หันมายักคิ้วหลิ่วตาใส่ รุ่นพี่โจควอนสตั๊นไปพักใหญ่แล้วทำท่าฮึดฮัดคล้ายโดนขัดใจ “มาจีบอะไรกันตรงนี้! หัวพี่ เห็นหัวพี่บ้างลูกกกกก”
“ผมล้อเล่นครับ”
“ไม่ทันแล้วจ้า เชื่อกันไปครึ่งคณะแล้วจ้า”
“แก้ยังไงก็ไม่ขึ้น มึงมีผู้ชายเป็นของตัวเองไปแล้วแบคฮยอน” อีทงเฮกระซิบเบาๆก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
สุดท้ายงานแรกพบทั้งหมดในวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักฮุนแบคที่เป็นคู่จิ้นฟินแตกของคณะเภสัชศาสตร์ ฟินมากถึงขนาดที่ว่าพี่โจควอนจะพาเขาทั้งสองคนออกอีเว้นท์แข่งกับคณะอื่นๆ ดีว่าแบคฮยอนหนีออกมาได้ก่อนเพราะตอนนี้ก็ค่อนข้างเย็นมากแล้ว จะเหลือก็แต่โอเซฮุนที่บอกว่าจะไปกินข้าวกับอีทงเฮหลังงานเลิก
แบคฮยอนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรหาแม่อย่างที่นัดกันไว้ก่อนจะลงจากรถ แต่มันไม่ได้หมายความว่าแม่อาจจะมารับหรืออะไรหรอกนะ แค่ให้โทรถ้าบังเอิญอยู่แถวนี้พอดีก็จะมารับ แต่ถ้าไม่แบคฮยอนก็ต้องลากสังขารกลับบ้านเอง
“น้องคะๆ”
“ครับ?” ใครบางคนสะกิดจากทางด้านหลัง แบคฮยอนเลยต้องยัดโทรศัพท์กลับไปที่เดิมแล้วหันหน้าไปหา เป็นผู้หญิงประมาณสองสามคนกำลังยืนอยู่ หนึ่งในนั้นยื่นจดหมายสีชมพูมาให้เขา
อย่าบอกนะ....
คนมันเสน่ห์แรงก็งี้
“พี่ฝากน้องช่วยเอาไปให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นหน่อยได้มั้ยอะ”
กำลังทำหน้าหล่อเหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นที่ได้รับจดหมายจากสาวได้ไม่เท่าไหร่ก็มีอันต้องวืดเมื่อพบว่าไม่ได้เป็นของตัวเอง แบคฮยอนมองตามที่อีกฝ่ายชี้ก่อนจะพบผู้ชายกลุ่มใหญ่ๆยืนอยู่ตรงนั้น เขาทำหน้าแหยก่อนจะก้มลงมองซองจดหมายสีชมพูในมือ
ให้ตายก็ไม่ทำหรอก เขาเป็นผู้ชายนะจะให้ทำแบบนั้นได้ยังไง!
“ผมหรอ?”
“นะคะ ช่วยเพื่อนพี่หน่อยนะ”
“ตะ....แต่.....”
“นะคะๆ”
แบคฮยอนเป็นคนแพ้ลูกอ้อนของผู้หญิง
เพราะฉะนั้นแล้วท้ายที่สุดเขาเลยต้องเดินข้ามถนนเล็กภายในรั้วมหาลัยไปที่โต๊ะม้าหินใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ มีรุ่นพี่ผู้ชายสองสามคนยืนอยู่และอีกหลายคนกำลังนั่ง เขาหันกลับไปมองบรรดาสาวๆที่ตอนนี้หายตัวเข้าไปที่ซอกตึก ร่างน้อยพ่นลมหายใจออกมาพรูใหญ่ก่อนจะทำใจกล้าหน้าด้านเดินเข้าไป
“ระ...รุ่นพี่จงอินครับ?”
เมื่อมาถึงก็ส่งเสียงเรียกชื่อที่เจ้าของจดหมายฝากมาให้ คนตัวสูงด้านขวามือที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้หันมาทางเขาพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นแบบนั้นเลยล็อคเป้าหมายแบคฮยอนเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะยื่นจดหมายสีชมพูหวานแหววนั่นไปให้
“มีคนฝากมาให้ครับ”
“หือ?”
“ช่วยรับไว้เถอะนะครับ”
ตอนนี้เขาและคนที่ถูกเรียกว่ารุ่นพี่จงอินกลายเป็นจุดสนใจจากเพื่อนๆในกลุ่ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รับซักทีแบคฮยอนเลยจัดการคว้ามือใหญ่นั่นมาจับอย่างถือวิสาสะก่อนจะวางสวีทเลทเตอร์นั่นลงบนฝ่ามืออีกคน
“เดี๋ยว”
จากตอนแรกที่จะจากไปแบบเงียบๆ(?)เสียงทุ้มของร่างสูงก็รั้งเขาเอาไว้ แบคฮยอนชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแล้วฉีกยิ้มให้ “ครับ?”
“อ่านให้ฟังหน่อย”
“หะ?”
“อ่านให้ฟังหน่อย”
แดกจุดกันเลยทีเดียว
เขาเองไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าคนตรงหน้ายังสติดีอยู่รึเปล่า จดหมายรักมันเป็นของที่ควรจะเก็บไว้อ่านคนเดียวไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมต้องให้แบคฮยอนมายืนพร่ำเพ้อพรรณนาความในใจของใครบางคนที่มีต่อคนตรงหน้านี่ด้วย เขาหันมองซ้ายขวาก่อนจะพบว่าหลายคนที่นั่งอยู่ตรงนี้กำลังส่งสายตามาหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แบคฮยอนเลยจำต้องหยิบซองจดหมายนั่นมาเปิดอ่าน
“ถึง คิมจงอินที่ถึงใครจะบอกว่าดำแต่ดูดีในสายตาของเราเสมอ.....”
จบประโยคแรกร่างเล็กก็เงยหน้ามองใบหน้าหล่อที่ยังคงเรียบเฉย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจที่ว่าในจดหมายเขียนว่าดำ แต่คนตรงหน้าไม่ได้เฉียดใกล้อย่างคำที่ว่านั่นเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าผิวค่อนข้างจะใกล้เคียงกับเขาด้วยซ้ำ
“ต่อสิ”
“อะ....ครับๆ” คงจะเผลอลอบมองใบหน้าอีกคนนานไปหน่อยเขาเลยส่งเสียงหงุดหงิดออกมาก่อนจะก้มลงไปมองตัวหนังสือที่บรรจงเขียนขึ้นมาเพื่อส่งต่อความรู้สึกให้ใครอีกคน
“เราไม่รู้จะเริ่มยังไง นายอาจจะจำเราไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เราคงต้องบอกความรู้สึกนี้กับนายจริงๆเสียที....”
ฟุ่บ!
“ไอ้ห่าชานยอล! เล่นงี้อีกแล้วนะมึง”
เริ่มอ่านได้ยังไม่ทันสองบรรทัดก็มีใครบางคนคว้าเอากระดาษในมือไปถือไว้เสียก่อน คนที่มาใหม่อยู่ในสภาพหอบแฮ่กราวกับว่าไปแข่งวิ่งโอลิมปิกมา คนที่ถูกเรียกว่าชานยอลยักไหล่ไปมาน้อยๆและนั่นทำให้แบคฮยอนเบิกตากว้าง
“ไม่ใช่พี่จงอินอ่อ!”
“ไอ้ห่านี่ชื่อชานยอล พี่ต่างหากล่ะที่ชื่อจงอิน”
“เห้ยแล้วรับจดหมายไปทำไมอะ”
แบคฮยอนขมวดคิ้วก่อนจะเริ่มโวยวายใส่คนตัวสูงที่ทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว “นายยัดใส่มือฉันเอง”
“แล้วตอนผมเรียกจงอินพี่หันทำไมอะ!”
“ชื่อเพื่อนป่าววะ เวลาใครเรียกชื่อเพื่อนก็หันไปมองหมดนั่นแหละ”
ตรรกะมึงเพี้ยนแล้วไอ้หูกาง!
ถึงจะไม่ใช่เจ้าของจดหมายแต่ก็อดที่จะเคืองแทนไม่ได้ นี่อะไรของตัวเองรึก็ไม่ใช่แต่ดันมีหน้ามาสั่งให้คนอื่นเขาอ่านหน้าตาเฉย แล้วนี่ยังไม่รู้สึกสำนึกผิดด้วยซ้ำ
ท่าทางจะประสาทแล้ว!
“เดี๋ยวๆ น้องชื่อไร”
“ไม่บอกโว้ย!”
คนที่ชื่อว่าคิมจงอินตะโกนถามเขาที่กำลังก้าวจ้ำออกจากตรงนั้น ด้วยความหงุดหงิดเลยหันไปตวาดใส่ก่อนจะก่นด่าสาปส่งคนที่ชื่อว่าชานยอลไปตลอดทาง
“แบคฮยอน”
“ว่าไงนะมึง?” คนผิวสีเข้มหันไปถามเพื่อนเมื่อได้ยินอะไรรางๆ ปาร์คชานยอลยักไหล่ก่อนจะยอมเอ่ยปากบอกอีกที
“บยอนแบคฮยอน”
“มึงรู้ได้ไงวะ”
“ที่หน้าอก....”
“เดี๋ยว.....”
“กูหมายถึง หน้าอกเขามีป้ายชื่อติดไว้ มันเขียนว่าบยอนแบคฮยอน”
------ GIDDY CHANYEOL ------
วันนี้คือวันเสาร์
ร่างเล็กสะบัดตูดลุกจากเตียงมาตั้งแต่แปดโมงเช้ามาช่วยแม่ทำกับข้าว ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมากเนื่องจากรับประทานกันสองคนแม่ลูก หลังจากหมดมื้อเช้าเวลาประมาณเก้าโมงกว่าเขาก็ถูกไล่ให้ออกมารดน้ำต้นไม้ ตอนแรกก็อิดออดเพราะเห็นแดดเริ่มร้อน แต่พอแม่ยกตะหลิวเท่านั้นแหละเขาเลยย้ายร่างออกมายืนอยู่หน้าบ้านโดยไม่ลืมที่จะหยิบหมวกมาสวมเอาไว้ จัดการรดน้ำในกระถางต้นไม้ของคุณนายของบ้านที่เมื่อวานไปหาซื้อมาปลูกไว้หลังจากส่งเขาที่มหาวิทยาลัยนั่นแหละ
ยกมือขึ้นปิดปากเวลาหาวเมื่อจู่ๆคาร์บอนไดออกไซด์ในสมองก็เกิดจะเยอะขึ้นมาจนต้องขับมันออกไป ร่างน้อยหมุนตัวไปทางข้างบ้านที่ตอนนี้ยังปิดประตูเงียบท่าทางว่าคุณอาคนนั้นยังคงไม่ตื่น แต่ดูท่าทางวันนั้นแล้วไม่น่าใช่คนตื่นสาย เดินลากรองเท้าแตะหนีบไปทั่วบริเวณพื้นที่หน้าบ้าน และก่อนที่จะเดินไปปิดน้ำ เสียงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็ดังขึ้น คนตัวเล็กชะโงกหน้าไปมองก่อนจะผงะเมื่อพบว่าคนที่ถอดหมวกกันน็อคออกมาเป็นคนที่เขาเพิ่งจะเจอเมื่อวาน
คนที่ชื่อว่าคิมจงอินนั่นไง!
“อ้าวไอ้เปี๊ยก”
ว่าจะเข้าบ้านแบบเงียบๆแต่อีกคนดันเสือกเห็นเสียก่อน แถมยังเรียกเขาด้วยสรรพนามที่ชวนตีกันเสียเหลือเกิน แบคฮยอนหันกลับไปยืดตัวตรงก่อนจะทำหน้าเชิดซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะทำไปทำไม
“เรียกใครเปี๊ยก....”
“โอเคๆ น้องแบคฮยอน”
“เฮ้ยพี่รู้ชื่อผมได้ไง โรคจิตปะเฮ้ย!”
ดวงตาคู่เล็กเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะมองไปยังอีกคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านเขา คิมจงอินเอามือเท้าไว้บนรั้วเตี้ยๆที่ความสูงเพียงแค่คางของตัวเองเท่านั้นมองร่างเล็กที่เอามือปิดเนื้อปิดตัวด้วยความหวงแหนประหนึ่งตัวเขากำลังลวนลามทางสายตา
“เรียกเปี๊ยกก็ไม่ได้ เรียกแบคฮยอนก็ไม่ได้ จะให้เรียกว่าไร ไอ้เตี้ยหรอ”
“พี่อย่ากวนตีนได้ป่าววะ”
“เอ้า! นี่สงสัยมั้ย ก็แค่ถาม”
แบคฮยอนทำหน้าย่นเมื่อได้ยินคนเรียกว่าเตี้ยอีกครั้ง เขาคิดว่ามีโอเซฮุนหยาบคายแค่คนเดียวเสียอีก คิมจงอินหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นก่อนจะมองไปยังอีกบ้านที่เขามีธุระด้วย จนถึงตอนนี้เจ้าของบ้านก็ยังไม่เปิดประตูออกมา เลยหยิบโทรศัพท์จัดการโทรปลุกเสียเลย
ทางด้านแบคฮยอนเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังวุ่นกับการเล่นมือถือ เจ้าตัวเลยเดินไปปิดน้ำที่กำลังไหลให้หยุดแล้วหันหลังเตรียมตัวจะเดินกลับเข้าตัวบ้าน แต่ทว่าใครอีกคนกลับตะโกนเรียกเสียก่อน
“เฮ้ยเดี๋ยวก่อนดิ”
“ห้ะ?”
“ขอเข้าไปนั่งในบ้านก่อนได้ปะพอดีเพื่อนพี่ยังไม่ตื่น”
“เอ้า เพื่อนพี่ไม่ตื่นแล้วเกี่ยวไรกับบ้านผมวะ”
“เพื่อนหรอแบคฮยอน”
แม่ที่เพิ่งล้างจานเสร็จชะโงกหน้าออกมา คิมจงอินเห็นแบบนั้นก็จัดการโค้งตัวเสียเก้าสิบองศาทำความเคารพนอบน้อมเสียจนคนที่เห็นอดเบ้ปากไม่ได้ เจ้าของบ้านตัวจริงฉีกยิ้มก่อนจะกวักมือเรียกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าให้เข้ามา “เข้ามาก่อนสิจ๊ะ เดี๋ยวแดดมันจะแรงซะก่อน”
สาบานได้ว่าแบคฮยอนไม่เคยได้รับน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยขนาดนี้จากแม่มาก่อน!
ส่วนคนที่ได้รับอนุญาตแล้วก็ส่งยิ้มหวานราวกับจะมาเกี้ยวแม่เขาก็ไม่ปานก่อนจะเปิดประตูบ้านเข้ามาพลางยักคิ้วหลิ่วตาใส่ร่างเล็กที่ยืนปากเบี้ยวปากงออยู่นั่น แบคฮยอนมองไปยังบ้านอีกหลังที่ประตูยังคงปิดสนิท
คุณอาคนนั้นนิยมชอบคบพวกอายุน้อยกว่าด้วยหรอเนี่ย!
“เป็นรุ่นพี่แบคฮยอนหรอกหรอ แม่ก็นึกว่ารุ่นเดียวกัน”
“ครับ ผมเรียนวิดวะไฟฟ้า พอดีเมื่อวานเดินเจอกันก็เลยได้คุยกันนิดหน่อย”
“ดีแล้วๆ มีเพื่อนมีพี่ต่างคณะบ้างก็ดี”
หากสนิทกันกว่านี้เขาคงด่ารุ่นพี่คิมจงอินนี่ว่าตอแหลและแถได้เป็นเรื่องเป็นราวมาก
แบคฮยอนหย่อนก้นลงบนโซฟา ยังไม่ทันแตะเบาะเสียงของแม่ก็เบรกเอาไว้จนสะดุ้งโหยงก่อนจะบุ้ยปากไปทางห้องครัวเป็นเชิงบอกว่าให้ไปเอาน้ำมาเสิร์ฟแขก ซึ่งเขาคิดว่ามันกลายเป็นแขกของแม่ไปเสียแล้ว ขาเรียวลากตัวเองมาหยุดอยู่หน้าตู้เย็นก่อนจะหยิบแก้วบนตู้ที่อยู่เหนือศีรษะ จัดการรินน้ำใส่แก้วให้เรียบร้อยแล้วเดินกลับมายังห้องรับแขก จงอินหันมามองเขาที่เดินมาแบบงงๆพลางยิ้มกว้าง
“น้องแบคฮยอนเป็นคนว่าง่ายนะครับคุณน้า”
“น้องก็แบบนี้แหละ เชื่อคนง่ายด้วย ฝากจงอินดูน้องในมหาลัยด้วยนะ แม่ล่ะกลั๊วกลัวใครจะมาหลอก”
บางทีกูก็สิบเก้าแล้วมั้ยยังไง....นี่เห็นว่ากำลังอมนิ้วเรียกแม่ว่ามะม๊าอยู่หรอ...
ถ้าพูดแบบนี้ออกไป ฝ่ามือของนางผีเสื้อสมุทรฟาดลงกลางหลังเขาแน่ๆ
แบคฮยอนเลยไม่ตอบอะไรนอกจากนั่งทำหน้าเอ๋อเหมือนเด็กสมองมีปัญหาให้อีกสองคนได้มีเรื่องฝากฝังกันไป รุ่นพี่คิมจงอินคนนี้ท่าทางจะคุยเก่งไม่เบาเพราะได้ยินเสียงแม่หัวเราะคิกคักๆอย่างไว้มาด เห็นแบบนั้นก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ หลังจากเรื่องเมื่อตอนนั้นมาแม่ก็แทบจะไม่ค่อยหัวเราะเท่าไหร่เอาแต่ยิ้มแกนๆเหมือนฝืนทำเพื่อให้เขาสบายใจเพราะงั้นแบคฮยอนเลยดีใจนิดหน่อยที่จงอินสามารถมานั่งคุยกับแม่ได้อย่างสบายๆ
แต่มึงไม่ต้องถึงกับกดสกิปมาเป็นพ่อใหม่กูหรอกนะ....
แบคฮยอนตัดสินใจเดินออกมาหน้าบ้านเมื่อพบว่า ท้ายที่สุดแล้วแม่กับคิมจงอินก็จะนั่งคุยกันเรื่อยๆอยู่แบบนั้นโดยลากเขาไปเป็นหัวข้อในการสนทนาเป็นระยะๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรุ่นพี่หน้าดำนั่นเล่าเรื่องตัวเองมากกว่า ไม่พ้นการใช้ชีวิตในมหาลัยและการหาเพื่อน ร่างน้อยนั่งยองๆลงที่กระถางดอกไม้ก่อนจะมองมันใกล้ๆ จ้องอยู่นั่นราวกับว่ามันจะขึ้นเลขให้ มือเล็กขยับไปจิ้มมันเบาๆ
“เป็นดอกไม้นี่ลำบากมั้ยวะ”
“แบบ บานเช้าบานเย็น แล้วต้องต่อสู้กับแมลงงี้”
“หรือมึงชอบแมลงวะ”
“แล้วตอนสังเคราะห์แสงมึงต้องแปลงร่างปะ”
“ห่า ใบไม้สังเคราะห์แสงป่าววะ”
“เอาเป็นว่ากูถามทั้งต้นแล้วกัน”
“มึงประสาทแล้วแบคฮยอน”
“อือ ประสาท”
สาบานได้ว่าประโยคสุดท้ายไม่ใช่ของเขา
ระหว่างที่กำลังนั่งพร่ำพรรณนากับดอกไม้เสียงทุ้มใหญ่ของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นมาจนร่างน้อยก็หันขวับก่อนจะเห็นร่างสูงที่ดูคุ้นหน้ากำลังยืนเกาะขอบรั้วมองเขาคุยกับดอกไม้ที่กำลังบานแฉ่ง เพราะไอ้ท่าทางนิ่งๆของอีกคนนั่นแหละที่ทำแบคฮยอนรู้สึกอับอาย หันหน้ากลับมากัดฟันหลับตาปี๋ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวดิ”
ตอนแรกก็ว่าจะหนีกลับเข้าบ้านแต่เสียงทุ้มก็รั้งตัวเขาเอาไว้ แบคฮยอนหันกลับไป พยายามตีหน้านิ่งเข้าไว้เพราะเมื่อวันก่อนดันไปทำปากดีกับอีกคนไว้เยอะ จะให้มาทำมาดหลุดต่อหน้าเพียงเพราะไอ้รุ่นพี่ชานยอลมาแอบฟังเขาถกประเด็นเรื่องความลำบากกับดอกไม้ของแม่มันก็รู้สึกเสียเซลฟ์เว่อๆ
“มีไร”
“ไอ้จงอินอยู่ปะ”
แบคฮยอนพยักหน้าหงึกหงักในขณะที่คนตัวสูงก็กดโทรศัพท์หาใครบางคน เขาคิดว่าคงจะเป็นคิมจงอินที่ยังคงนั่งเม้ามอยอยู่ในบ้าน อีกคนว่าสั้นๆอืมอือแล้วก็กดวาง มือใหญ่เปิดประตูบ้านเข้ามาโดยไม่กล่าวถามความเห็นของร่างเล็กที่ยืนอยู่ รีบร้องเสียงหลงเมื่อเห็นขายาวกำลังก้าวเข้ามาในบ้าน
“เฮ้ยๆๆ ทำไรอะ!”
“จงอินบอกให้เข้าไป”
“เจ้าของบ้านคือผมนะเว้ย”
“แม่นายอนุญาต”
ก็เอากับแม่สิ!
ร่างสูงยักไหล่เล็กน้อยพลางเดินอาดๆเข้าไปในบ้าน เขาหันไปมองแม่ที่ส่งสัญญาณแค่ว่าให้ไปเอาน้ำมาอีกแก้ว แบคฮยอนเลยจำต้องปล่อยให้ผู้ชายแปลกหน้าที่ได้คุยกันเพียงไม่กี่ประโยคเมื่อวานเดินเข้ามาในบ้านแล้วสถาปนาตัวเองเป็นแขกของแม่เสร็จสรรพ ใจจริงแล้วแบคฮยอนเองก็อยากจะเดินขึ้นบนบ้าน แต่มันก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่หากเขาต้องทิ้งแม่ไว้กับคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคย เพราะงั้นร่างน้อยเลยเดินเข้าไปนั่งเบียดกับคนเป็นแม่
“น้องแบคฮยอนนี่หน้าเหมือนคุณน้าเลยนะครับ”
“จริงหรอ ไหนให้แม่ดูหน่อย”
เพราะคิมจงอินพูดขึ้นมาแบบนั้นแม่เลยหันมาก่อนจะเอามือทาบแก้มแล้วจับให้เขาหันหน้าไปหา ปากเล็กยู่ลงเมื่อมือสองข้างของแม่บีบแก้มเขาให้แคบลงกว่าเดิม ได้ยินเสียงของจงอินหัวเราะแบคฮยอนก็รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเด็กสามขวบอีกครั้ง
“หน้าตาดีเหมือนกันน้า”
“บอกป้าหลายรอบแล้วป้าก็ไม่เชื่ออะ”
“เรียกใครว่าป้าห๊ะ”
“งื้ออออออ”
ครางเหมือนลูกสุนัขโดนทำร้ายก่อนจะค่อยๆปลดมือของอีกคนออกแล้วหันกลับมานั่งดีๆเหมือนเดิม เหลือบสายตาไปมองอีกฟากก็พบว่าคนที่ชื่อว่าชานยอลกำลังจ้องเขาอยู่
เออ ฟังไม่ผิดหรอก จ้องแบบจ้องเลยอะ
นะ...หน้ากูมีอะไรติดหรอ
“แล้วนี่ชานยอลอยู่บ้านหลังนั้นคนเดียวหรอจ๊ะ?”
ในที่สุดอีกคนก็ยอมละสายตาออกจากเขาเมื่อผู้หญิงคนเดียวในที่นี้เอ่ยปากถาม แบคฮยอนเลยถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วขยับจัดท่านั่งให้ดี อยากจะวางมาดให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถเพราะแค่นี้เขาก็เสียฟอร์มกับคนที่ชื่อว่าปาร์คชานยอลไปมากเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“ครับ บางทีพ่อก็มาหาบ้าง”
ถ้าอย่างนั้นคนที่แบคฮยอนเจอเมื่อวันก่อนก็เป็นพ่อของชานยอลนี่เอง
กลายเป็นว่าวันนี้ทั้งวันทั้งคิมจงอินและปาร์คชานยอลก็สิงสถิตอยู่ที่บ้านของเขา ไม่รู้ว่าแม่เกิดจะติดใจอะไรนักหนาโดยเฉพาะคนผิวเข้มที่ขยันยิ้มขยันหยอดใส่แม่เขาบ่อยเหลือเกิน ดีว่าอีกคนดูยังง่วงๆหรือง่วงตลอดเวลาก็ไม่อาจทราบได้เลยไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก
ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น คิมจงอินกำลังจะกลับบ้านโดยมอเตอร์ไซค์คันเก่งของเจ้าตัว แบคฮยอนถูกบังคับให้ออกมาส่งด้วยกัน เขายืนอยู่ระหว่างแม่และปาร์คชานยอลที่จนถึงตอนนี้ก็ทำท่าเหมือนจะยังไม่ตื่น
“แบคฮยอนมีไรปรึกษาพี่ได้นะเว้ย ยังไงก็เรียนมหาลัยเดียวกัน ถึงจะคนละคณะก็เหอะ”
“อือ.....” เพราะรับคำห้วนๆเลยโดนหยิกเข้าที่สีข้างเสียหนึ่งที ไม่ใช่เบาๆด้วยนะนั่น แม่ของบยอนแบคฮยอนน่ะเคยออมแรงเสียเมื่อไหร่
“ครับๆ ขอบคุณมากนะครับรุ่นพี่”
“เรียกพี่จงอินก็ได้ กันเองๆ”
“งั้นก็กูมึงได้เลยดิ...โอ๊ยๆๆๆ เจ็บแล้วป้า ผมหยอกพี่เขาเล่นเฉยๆเอง”
คราวนี้ร่างเล็กเลยโดนฟาดเสียทั้งตัวก่อนจะทำหน้ามุ่ยเมื่อภาพพจน์ของตัวเองหายไปอีกครั้ง จงอินหัวเราะร่วนก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้ศีรษะของเขา หันไปพูดอะไรกับปาร์คชานยอลอยู่ซักพักแล้วจึงขี่รถคันใหญ่นั่นออกไป แบคฮยอนเบะปากแล้วไล่จับตามตัวที่โดนฟาด
มือแม่ก็เบาซะที่ไหน เล่นจริงเจ็บจริงตลอด
“ปะเข้าบ้านกัน วันนี้ชานยอลทานข้าวเย็นยังไง?”
หลังจากที่ชวนเขาเข้าบ้าน แม่ก็หันไปถามร่างสูงที่ดูเหมือนเย็นนี้คงจะยังเคว้งคว้าง ปาร์คชานยอลทำท่านึกไปครู่ใหญ่แล้วจึงตอบคำถาม “ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ...”
“ถ้างั้นมากินด้วยกันนะ กินกันเยอะๆสนุกดี”
แม่สนุกคนเดียวล่ะสิไม่ว่า
ร่างบอบบางของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของบยอนแบคฮยอน (ย้ำว่าแม่ของแบคฮยอนไม่ใช่ของจงอินหรือชานยอลแต่อย่างใด)เดินนำหน้าเข้าไปในตัวบ้านเรียบร้อยแล้ว ทิ้งเหลือไว้ก็แต่บรรยากาศอึมครึมระหว่างลูกชายตัวเองกับเพื่อนบ้านคนใหม่ คนตัวเล็กยกมือขึ้นลูบผมตัวเองเบาๆราวกับจะแก้เก้ออะไรซักอย่างแล้วจึงขยับตัวซ้ายขวาไปกล้าแม้แต่จะหันไปมองคนข้างๆ
คนบ้าอะไร แค่ยืนเฉยๆยังน่ากลัวเลยให้ตาย
“ไม่ต้องเกร็งก็ได้”
“ห่ะ?”
“ไม่กัดหรอก”
“.........”
“หลังจากนี้ฝากตัวด้วยนะ”
แบคฮยอนหายใจสะดุดไปชั่วครู่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มบางๆที่ถูกแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าหล่อ แน่นอนว่ามันทำให้ปาร์คชานยอลที่หล่อระดับสิบอยู่แล้วตอนนี้เลื่อนความหล่อไประดับสิบห้า มันคงจะแปลกไปซักหน่อยถ้าเดิดเขาจะบอกว่าเหมือนได้ยืนเสียงหัวใจตัวเองเต้นผิดจังหวะไป
กะ...ก็แค่ตกใจที่เห็นคนข้างบ้านยิ้มก็เท่านั้นแหละน่า
“ป้านอนไปเลย เดี๋ยวผมออกไปเอง”
“เดี๋ยวๆขอแม่อาบน้ำแป๊บนึงน่า”
“รอป้าอาบน้ำผมสายแน่ นั่งรถไฟฟ้าแป๊ปเดียวเดี๋ยวก็ถึง”
“เอางั้น?”
“อื้อ”
“ถ้างั้นเสร็จแล้วก็โทรหาแล้วกัน”
“ค้าบบ” แบคฮยอนลากเสียงก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้สายอะไรมากมายหรอก เพียงแต่อยากให้แม่กลับไปนอนต่อก็เท่านั้น เห็นว่าเมื่อวานนั่งทำอะไรไม่รู้จนถึงดึกพอเช้ามาเลยตื่นสายนิดหน่อย แล้วแบคฮยอนดันมีกิจกรรมที่มหาลัยวันนี้ เขาเลยเลือกที่จะออกไปเองจะดีกว่า
ร่างเล็กสวมรองเท้าก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายด้านหลังแล้วเดินออกไปยังหน้าบ้าน ระหว่างที่กำลังจะปิดประตูก็เห็นคนข้างบ้านกำลังปิดประตูเองเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าข้างกายของร่างสูงมีรถยนต์คันสวยจอดอยู่ด้วย
“จะไปมหาลัยหรอ?”
อีกคนทักทายด้วยคำสั้นๆ ซึ่งแบคฮยอนก็พยักหน้าน้อยๆ ปาร์คชานยอลที่ปิดประตูบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ทำท่าจะเดินออกจากซอย ทว่าอีกคนกลับดึงกระเป๋าเขาเอาไว้เสียก่อน
โอ๊ยแม่มึง! เรียกดีๆเป็นมั้ย ดึงทำไมเนี่ยกระเป๋าดึงทำไม
“ขึ้นรถสิ”
“เฮ้ยไม่เป็นไรพี่ ผมไปเองได้”
“จะไปมหาลัยเหมือนกัน ขึ้นรถสิ”
“ผมว่าผมไปเอง.....”
“ขึ้นรถสิ”
โอเค....แบคฮยอนยอมแพ้
เหมือนกับเป็นหุ่นยนต์ที่พูดซ้ำคำเดิมๆ เพราะงั้นเขาเลยยอมเดินไปหนุดอยู่ที่ประตูรถอีกคนก่อนจะเปิดแล้วขึ้นไปนั่งเมื่อคนขับประจำที่เรียบร้อย เขาไม่รู้หรอกว่ามันคือรถยี่ห้ออะไรแต่ดูแล้วท่าทางจะแพงไม่เบา มันดูดรกว่ารถฮุนไดที่แท่ขับอยู่ตอนนี้ก็มากโข คอนโซลด้านหน้ามันปลาบบ่งบอกว่าก่อนที่จะเอามันออกมาเจ้าของคงเช็ดมันไม่ให้มีฝุ่นเกาะ
โคตรเท่.....
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ คนข้างตัวก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ แบคฮยอนผงะถอยหลังชิดกับประตูรถ ทำท่าเหมือนจะโดนขืนใจ แต่พอเห็นมืออีกฝ่ายที่เอื้อมเลยไปดึงเข็มขัดมาคาดให้เขาก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาพลางเอ่ยขอโทษปาร์คชานยอลในใจเบาๆ แต่ถึงกระนั้นก็รู้สึกตกใจไม่ใช่น้อย
จู่ๆก็ขยับเข้ามา เฮ้ยไหวเปล่าาาา
“ตกใจหมด” บ่นพึมพำเบาๆระหว่างที่อีกคนกดเปิดวิทยุพอดี “คิดอะไรอยู่รึไง”
“พี่ได้ยินอ่อวะ”
“อืม” อีกคนทำเพียงรับคำเบาๆก่อนจะหันมามองหน้า แบคฮยอนสะดุ้งตกใจนิดหน่อยแล้วรีบเบือนหน้าตัวเองหนีออกนอกหน้าต่าง รถคันสวยค่อยๆเคลื่อนออกโดยไร้บทสนทนาต่อจากนั้น แบคฮยอนนั่งตัวตรง ไม่กล้าแม้แต่จะยกศอกขึ้นตั้งบนหน้าต่างอย่างที่ทำเป็นประจำเวลาขึ้นรถแม่ เพราะกลัวจะไปทำกระจกเขาทะลุเอาเสียก่อน
เพราะมันเป็นวันอาทิตย์ รถเลยไม่ค่อยติดมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นติดไฟแดงเสียมากกว่า แบคฮยอนไม่ได้สนทนาอะไรกับเจ้าของรถอีก ทำเพียงนั่งนิ่งๆแล้วมองตรงไปยังด้านหน้าเท่านั้น ปาร์คชานยอลหันมองร่างเล็กที่นั่งตัวแข็งแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสะกิด ใบหน้าหวานนั่นหันมาหาเขาช้าๆ
“ว่าไงพี่?”
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ฉันขับรถไม่ดีหรอ?”
แบคฮยอนไม่ตอบแต่กลับส่ายศีรษะให้ก่อนจะค่อยๆเอนตัวลงพิงกับเบาะช้าๆราวกับว่ากลัวจะทำมันเป็นรอย เห็นแบบนั้นปาร์คชานยอลก็อดขำไม่ได้ ร่างน้อยรีบหันขวับกลับมามองแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมพูดอะไรออกไป ยังไงภาพพจน์ของเขาก็ต้องมาก่อนถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเหลือไม่มากแล้วก็ตาม
ท่าทางจะบ้าป่าววะ
ได้แต่คิดอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ผ่อนคลายมากขึ้นไม่นั่งตัวเกร็งจนจะเป็นตะคริวแบบเมื่อซักครู่ ใช้เวลาอีกประมาณสิบห้านาทีรถคันสวยก็เลี้ยวเข้ามหาวิทยาลัยเขาคิดว่าคงจะต้องเดินจากคณะของปาร์คชานยอลมาที่เภสัชเองเพราะไม่คิดจะรบกวนอีกคนให้ไปส่งถึงที่ ให้ติดรถมาด้วยเท่านี้ก็รู้สึกเป็นบุญคุณมากมายแล้ว
“คณะอยู่ตรงไหน?”
“หะ?”
“คณะเภสัชน่ะอยู่ตรงไหน”
“เดี๋ยวผมไปส่งที่วิดวะก็ได้พี่ ไม่เป็นไร”
“คณะเภสัชอยู่ตรงไหน?”
โอ้ยเหยดเข้! ปาร์คชานยอลแม่งปาร์คชานยอลจริงๆเลย
คือเข้าใจคำว่ากูเกรงใจมั้ยยังไง ช่วยทำเป็นมองเห็นความเกรงใจของกูบ้างก็ได้แหม
ราวกับว่าปาร์คชานยอลเป็นหุ่นยนต์ ถ้าหากไม่ได้คำตอบที่ถูกต้องแล้วล่ะก็จะพูดประโยคนั้นซ้ำๆ ถึงตอนนั้นแบคฮยอนเลยยอมตอบคำถาม และในที่สุดรถก็มาจอดอยู่หน้าคณะ ร่างน้อยหันมองซ้ายขวาก่อนจะก้าวลงจากรถโดยที่ไม่ลืมที่จะเอ่ยคำขอบคุณอีกคน
“อ้าวแบคฮยอน!”
“เหี้ยตกใจหมด!”
เผลอสบถออกมาก่อนจะหันไปเห็นอีทงเฮเพื่อนใหม่ที่ทำหน้าอึ้งไปพักหนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมาพลางตบเข้าที่ไหล่ของเขาเบาๆ ร่างน้อยหันไปมองก็พบว่าปาร์คชานยอลยังไม่ขยับรถไปไหน อีกทั้งยังเลื่อนกระจกลง ในขณะที่อีทงเฮก็หันไปมองด้วยเช่นกัน
“ระ.....”
“พี่มึงอ่อแบคฮยอน? พี่หวัดดีค้าบบบ”
ว่าจบก็โค้งทักทายไปหนึ่งทีในขณะที่คนบนรถก็ขมวดคิ้วงงเล็กน้อย ปาร์คชานยอลทำท่าเหมือนจะพูดิะไรซักอย่างแต่สุดท้ายแล้วก็เลื่อนกระจกขึ้นแล้วจึงออกรถ อีทงเฮโบกมือตามหยอยไทิ้งให้เพื่อนข้างตัวถึงกับงง
“มึงรู้จักอ่อ?”
“เอ้า ก็มึงมากับพี่เขาไม่ใช่หรอ?”
“ก็เออว่ะ”
“งั้นกูก็ต้องทักทายเขา ถูกปะวะ”
“อ้อ...หรอ”
พยักหน้าแบบงงๆก่อนที่จะพากันเดินเข้าตึก วันนี้มาสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย ไม่มีการคัดออกอะไรทั้งสิ้นเว้นเพียงแต่มีปัญหาเกี่ยวกับตาบอดสี เป็นรุ่นพี่ปีสองเช่นเคยที่เข้ามาดูแล แบคฮยอนเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมปาร์คชานยอลคนข้างบ้านถึงต้องเข้ามหาวิทยาลัยในวันนี้
ก็คงต้องไปดูแลรุ่นน้องของตัวเองนั่นแหละนะ
------ GIDDY CHANYEOL ------
80 %
เนื่องจากมีทั้งสอบสัมภาษณ์และตรวจสุขภาพในวันเดียวกันจึงทำให้เวลาการกลับบ้านของเขาก็ล่วงเลยมาถึงหกโมงเย็น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีดูแล้วมันให้อารมณ์เหงาๆอย่างบอกไม่ถูก
“เอ้โย่ กลับบ้านไงจ๊ะน้องสาว”
“น้องสาวกับพ่อมึงสิ”
อารมณ์เหงาและเปลี่ยวแบบพระเอกในหนังที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองฟ้าหมดไปทันทีเมื่อเพื่อนใหม่อย่างไอ้โย่งกับไอ้เตี้ยล่ำมากอดคอเขาเอาไว้ ก่อนที่เซฮุนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากแซวส่วนทงเฮนั้นก็ทำเพียงหัวเราะรับเป็นลูกคู่เท่านั้น
“ปากดีอีกแล้วหน่องส๋าว”
“ก็หยุดเรียกกูแบบนั้นได้ปะละ เป็นผู้ชายมั้ย มีไข่มั้ยยังไง”
“โหยเด็ด” อีทงเฮผิวปากก่อนจะเอื้อมมือไปดันหัวของเซฮุนเบาๆ ส่วนคนที่โดนว่าก็ทำท่าเบิกตากว้างยกมือปิดปากราวกับจะบอกว่ารับไม่ได้กับสิ่งที่เพื่อนตัวเล็กเพื่อนออกมา แบคฮยอนเห็นแบบนั้นก็เบะปาก
“ตอแหลจริงๆ”
“โอ้ยเหยดเข้ แบคฮยอนแม่งเจ๋งจริงๆว่ะ”
“กลับแล้วนะ”
ก้าวเท้าให้ออกห่างจากเพื่อนใหม่ที่ไม่สนิททั้งสองคนแล้วโบกมือโดยที่ไม่หันหน้าไปมอง ขาเล็กก้าวฉับๆไปยังสถานีรถไฟฟ้าแต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนคนด้านหลังก็คว้ากระเป๋าเป้เขาไว้พลางก้าวเท้าให้เดินทันตามกัน
“กลับรถไฟฟ้าช้ะ กูกลับด้วย มึงกลับไงทงเฮ?”
“เดี๋ยวกูเดินแถวนี้อีกแป๊บว่ะ พวกมึงกลับดีๆนะ”
อีทงเฮดูน่าคบกว่าโอเซฮุนเป็นไหนๆ....
แบคฮยอนหันไปยิ้มให้กับเพื่อนที่สูงกว่าเขาไม่เท่าไหร่ก่อนจะโบกมือน้อยๆแล้วหันกลับเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าโดยไม่คิดจะสนใจเพื่อนอีกคนที่วันนี้ทั้งวันเอาแต่นัวเนีย(?)เพราะอยากเรียกเสียงกรี๊ดจากพี่ผู้หญิง
เป็นบ้าหรอออ เป็นบ้าหรอออออ
“บ้านมึงอยู่แถวไหนวะ”
“เหยไม่เสือกดิ”
“กวนตีนไปละไอ้เตี้ย”
ว่าจบมันก็โบกหัวเขาไปที แบคฮยอนหันไปถลึงตาคู่เล็กใส่แต่อีกคนกลับไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย อีกทั้งยังยิ้มกว้างราวกับว่าเขายิ้มให้มันอย่างนั้นแหละ คนถูกโบกทำท่าหัวเสีย จากตอนแรกที่คิดว่าโอเซฮุนก็คงดีแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาคงจะต้องขอถอนคำพูดแล้ว!
ระหว่างทางโอเซฮุนขยันหาเรื่องชวนคุย ชี้นกชมไม้ราวกับว่าพาเขามาทัศนศึกษา แล้วยังมีการดึงกีะเป๋าเขาไว้ไม่ให้ห่างไปจากมันเกินเมตรเพราะช่วงเวลาหกโมงเย็นคนบนรถไฟฟ้าค่อนข้างคับคั่ง ถึงมันจะน่ารำคาญซักหน่อยแต่เขาคิดว่ามันก็คงโอเคกว่าการต้องไปยืนเบียดกับคนอื่นที่ไม่รู้จัก
“แล้วบ้านมึงอยู่ไหนเนี่ย”
เงยหน้าถามคนที่ยืนเบียดอยู่ไม่ไกลด้วยความอยากรู้เพราะเห็นว่ามันก็ซักพักแล้วที่ขึ้นรถไฟฟ้ามา ไอ้คนตัวสูงก้มลงมามองนิดหน่อยก่อนจะฉีกยิ้ม “เหยไม่เสือกดิ”
“กวนตีนละไอ้สัด”
ต่อยท้องไอ้คนกวนตีนไปเสียหนึ่งรอบก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ แบคฮยอนแอบทำหน้าคว่ำจนถึงตอนนั้นเซฮุนเลยยอมเอ่ยปากบอก
“เกือบป้ายสุดท้ายนั่นแหละ”
“อีกนานเลยดิ”
“ไม่นานป่าววะ”
“กูลงป้ายนี้ละบาย”
เมื่อเสียงพนักงานสาวประกาศชื่อสถานี ร่างเล็กก็ดันเพื่อนตัวสูงออกก่อนจะแทรกตัวออกมาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง คนบนรถไฟฟ้าค่อยๆทยอยออกแต่ไม่มากนักเนื่องจากไม่ใช่สถานีใหญ่ ยกข้อมือตัวเองขึ้นเช็คเวลาก่อนจะพบว่ามันก็ประมาณหนึ่งทุ่มกว่าใช้เวลาอีกประมาณสิบห้านาทีถึงจะถึงบ้าน
เมื่อลงจากสถานีขาเล็กก็ก้าวย่ำไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนตามถนนในซอย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่ามีเสียงเท้าของใครบางคนกำลังเดินตามมา เสียงฝีเท้าเงียบไปแทบจะพร้อมๆกับที่เขาหยุด เมื่อแบคฮยอนเริ่มเดิน เสียงฝีเท้านั่นก็ดังขึ้นตามอีกครั้ง
ชิบหายละไง....
ไม่อยากจะหันกลับไปมองเพราะกลัวจะโดนพุ่งเข้าใส่ แต่เดินเรื่อยๆแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดี คิดได้แบบนั้นแบคฮยอนจึงเพิ่มความเร็วในการเดินก่อนจะเริ่มออกตัววิ่งโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองด้านหลัง แน่นอนว่าเสียงฝีเท้านั่นก็ดังตามมาติดๆ หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว
ไอ้แบคเอ๊ย ย้ายมายังไม่ถึงอาทิตย์ก็มีเรื่องแล้วมั้ยล่ะ
เสียงฝีเท้ายังคงดังไม่หยุดหย่อน แบคฮยอนวิ่งเลยหน้าบ้านตัวเองไปเรื่อยๆจนตอนนี้ชักจะหอบด้วยความเหนื่อย เขาไม่ใช่คนที่จะขยันออกกำลังกายอะไรนักเพราะงั้นวิ่งแค่ช่วงสั้นๆไม่กี่นาทีก็เริ่มจะเหนื่อย แบคฮยอนรู้ตัวเองว่าตอนนี้ความเร็วกำลังลดลงและเสียงหอบก็ไม่ได้มีเพียงเสียงเดียว จนในที่สุดก็ตัดสินใจหลบเข้าที่ข้างกำแพง มือเล็กวางทาบลงบนตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง ถึงตอนนั้นเขาก็ได้เห็นหน้าค่าตาของใครบางคนที่วิ่งตามเขามาติดๆ
“ไง แฮ่ก....ดูไม่ได้เลยนะหนู”
เป็นชายวัยกลางคนแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์สีซีดๆ ดูท่าทางแล้วก็รู้ว่าไม่ได้มาดีแหงๆ คนบ้าอะไรจะวิ่งตามมาแล้วยังทำเสียงโรคจิตใส่อีก แบคฮยอนขยับกระเป๋าสะพายมาไว้ด้านหน้าแล้วค่อยๆก้าวถอยหลังเมื่ออีกคนเลื่อนมือเข้ามา
“มีเงินไหม?”
โอ๊ยให้ตายห่า! พวกรีดไถหรอ!
แล้วเมื่อกี้ทำเสียงโรคจิตไปเพื่อ?!
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะแบคฮยอนไม่ได้รู้สึกดีไปมากกว่ากันเท่าไหร่ ดวงตาคู่เล็กที่เล็กอยู่แล้วหรี่ตาลงพยายามจับจ้องอีกฝ่ายว่าจะทำอะไรต่อไปหากเขาไม่ตอบ ร่างท้วมหน่อยๆกระตุกยิ้มออกมาทั้งที่ยังหอบหายใจ ดูแล้วให้ความรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าหนูไม่มีเงิน ถ้าอย่างนั้นต้องเอาร่างกายหนูมาแลกนะ”
“ตลกแล้วมึง!”
ว่าจบก็ถีบเข้าที่ท้องนิ่มๆก่อนที่มันจะเข้ามาถึงตัว ร่างเล็กออกวิ่งอีกครั้งแล้วคราวนี้วิ่งกลับไปทางเดิมเพราะถ้าหากวิ่งลึกเข้าไปมากกว่านี้กลัวว่าจะไม่มีคนและง่ายต่อการทำอะไรต่อมิอะไร ร่างท้วมนั่นล้มกลิ้งแต่สุดท้ายก็กลับมาลุกขึ้นยืนได้และออกตัววิ่งตามมาติดๆ
กูเด็กผู้ชายนะ ผู้ชาย!!
วิ่งไปก็คร่ำครวญไป เพราะมันมืดแล้วหรือยังไงอีตาลุงนั่นถึงได้ตาพร่า หรือไปเมามาก็ไม่รู้ แต่คนเมาบ้าอะไรทำไมวิ่งได้คล่องขนาดนั้นแถมยังไล่ตามไม่หยุดไม่หย่อนไม่รู้จะอยากได้เงินหรืออยากได้อะไรกันแน่ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หน้าบ้านอีกครั้ง ค่อนข้างโล่งอกที่แม่ไม่อยู่แต่ถึงกระนั้นแบคฮยอนก็ยังวิ่งผ่านมันไป รถยนต์วิ่งสวนเข้ามา กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลง ร่างน้อยเห็นใบหน้าของคนขับเพียงเสี้ยวเดียว
น่าจะเป็นคนข้างบ้านปาร์คชานยอล
“แบคฮยอน!”
อีกคนส่งเสียงเรียกเขาไว้แต่แบคฮยอนก็ไม่คิดที่จะหยุดวิ่ง อย่างไรเสียนี่ไม่เกี่ยวกับคนข้างบ้าน หากมันมีอาวุธขึ้นมาคนที่เดือดร้อนคงไม่พ้นปาร์คชานยอล แต่ทันทีที่เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นร่างน้อยเลยต้องหยุดวิ่ง และเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าร่างสูงนั่นรั้งตัวชายโรคจิตนั่นไว้แล้ว
“ปล่อยสิวะไอ้เด็กนี่!”
“.........”
“วะ! บอกให้ปล่อยก็ปล่อยสิวะ”
ปาร์คชานยอลไม่พูดอะไรทำเพียงยึดคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ แบคฮยอนหอบหิ้วสังขารที่ตอนนี้ล้าเต็มทนกลับมายืนอยู่ข้างๆรถยนต์ของคนข้างบ้าน “เรื่องของผัวเมียอย่ามายุ่งดิวะ!”
“ผัวเมีย?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำตวัดหางเสียงสูงขึ้นอย่างแปลกใจแล้วหันไปมองร่างเล็ก แน่นอนว่าศีรษะกลมนั่นสะบัดปฏิเสธจนมันยุ่งไม่เป็นทรง “ผมผู้ชายนะเว้ย ผัวเมียกับตาลุงนี่บ้าบอไรล่ะ”
“พูดอย่างนี้ก็สวยสิหนู”
“หนูห่าบ้าบอไรล่ะ ก็บอกอยู่นี่ว่าเป็นผู้ชาย!”
เริ่มจะของขึ้นบ้างแล้วเหมือนกันเมื่อได้ยินอีกคนเอาแต่เรียกว่าหนูๆราวกับว่าเขาเป็นผู้หญิงวัยกระเตาะที่กำลังน่าเต๊าะใส่กระโปรงสั้นๆ ร่างเล็กหยัดกายตรงก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าไอ้แก่นั่นกำลังหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพราะแสงไฟจากหน้ารถที่สาดเข้าใส่ทำให้เห็นว่าเป็นมีดพับที่มันกำลังจะหยิบออกมา
“พี่!! มีด!!”
ก่อนที่ตาลุงนั่นจะได้เปิดมีดพับออกมาปาร์คชานยอลก็จัดการผลักอีกคนออกให้พ้นทาง ร่างท้วมกลิ้งลงไปบนพื้นอีกครั้งในขณะที่มีดพับอันเล็กนั่นก็กระเด็นหายไปจากพื้น ร่างสูงรีบเข้าไปจับคอเสื้ออีกคนเอาไว้กระชากให้หันกลับไปก่อนจะปล่อยหมัดเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ทำอย่างนั้นซ้ำๆสองถึงสามครั้งจนแน่ในว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่ขยับตัวไปไหนอีกถึงได้ถอยออกมา
“โทรเรียกตำรวจหรือยัง”
“ยะ...ยัง”
“เดี๋ยวฉันโทรเอง” ร่างเล็กพยักหน้าน้อยๆก่อนจะปล่อยให้อีกคนไปโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ในขณะที่ตัวเองก็หยิบโทรศัพท์จะโทรหาแม่ เหลือบไปเห็นร่างของคนที่คิดว่านอนนิ่งแล้วกำลังขยับอีกครั้ง แน่นอนว่าในมือมีมีดพับอันเล็กที่หายไปเมื่อซักครู่ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาทางเขาแต่กลับมองไปยังใครอีกคนที่ยืนออกไปไม่ห่างมากนัก
“เฮ้ย! พี่……!!”
------ GIDDY CHANYEOL ------
100 %
ครบร้อยแล้วนะงิงิงิ
พี่ชานเท่ปะละ ถ่อว หลงรักเลยดิ
อย่านะอย่า คนนี้พี่จอง
สเตตัส : ไฟนอลอิ้ง กำลังจะตาย
เม้นได้คุยกันได้เราไม่กัด
งิงิงิงิงิงิงิ
ความคิดเห็น