ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HiDe aNd sEeK

    ลำดับตอนที่ #2 : คนที่ 2- - เพื่อนใหม่ - -

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 48


    “หา แล้วนี่เธอก็ตามหามา2ปีเพิ่งได้แต่2คนเองเนี่ยน่ะนี่เธอใช้เวลาอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”เสียงโหวกเหวกไม่ใช่ของใครที่ไหนลิสลี่ย์น่ะเอง

    “โอ้ยยัยแหม่มนี่ งั้นลองมาแทนที่ชั้นมั้ยล่ะเดี๋ยวบอกมาน่าให้ เดียะๆๆแม่หลังแหวนซะนี่”พิณพูดอย่างอารมณ์เสียพลางยกหลังมือขึ้นเตรียมท่าจะตบ

    “ขะ ขอโทษ....แล้วนี่เธอตามหามาคนเดียวตลอดสองปีเลยจริงๆเหรอ”ลิสลี่ย์เริ่มรู้สึกผิด“เฮอะ แล้วไม่ทราบใครเค้าจะมาช่วยชั้นหาล่ะดีหน่อยก็มีมาน่านี่แหละที่คอยช่วยตลอด”พิณกล่าวขึ้น “แล้วเธอลองนึกดูแต่ล่ะคนล่ะกัน”

    “ทำไมเหรอคนแรกเธอไปเจอที่ไหนเหรอ”ในระหว่างที่ลิสลี่ย์ยังจ้อไม่หยุดเห็นได้ว่าความหวาดกลัวเมื่อกี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง

    “คนเค้ามีชื่อน่ะ มาเรียกเธอๆอยู่นั่นแหละ”พิณพูดอย่างไม่สบอารมณ์

    “อ่ะ อ๋าขอโทษทีแล้วเธอชื่ออะไรก็บอกมาสิ ชั้นลิสลี่ย์น่ะเรียกลิสก็ได้”

    “พิณ”เมื่อต่างแนะนำตัวกันแล้วก็จับมือกันทำความรู้จักกันใหม่

    “แล้วคนแรกที่พิณไปเจอที่ไหนเหรอ”พิณหันมายังคงมองแบบฆ้อนๆ “ในซอกหลืบปะการังใต้ทะเลทางเกาะพีพี”

    “กรี๊ด จะบ้าเหรอไปซ่อนได้ไงที่ที่แบบนั้น”ลิสลี่ย์อุทาน “ตอนแรกชั้นก็ไม่นึกว่าอิทธิฤทธิ์มาน่าจะขนาดนี้”พิณตอบ

    “แล้วเธอรู้ได้ไงล่ะว่าเพื่อนเธออยู่ที่นั่น”ลิสลี่ย์ถามอย่างกระตือรือร้น “ก็...คนๆนั้นเป็นคนที่ทำดีกับชั้นที่สุดแล้วล่ะในบรรดาพวกนั้น”พิณพูดพร้อมกับเอนกายลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า “ชั้นก็พอจะเดาออกว่าเธอคนนั้นจะไปไหน” ลิสลี่ย์ที่ตั้งใจฟังเอนตัวลงนอนบ้าง “แต่ก็ใช้เวลานานโขเลยถึงแม่คุณจะเล่นไปซ่อนซะในทะเลใครจะไปนึกแล้วซ่อนก็ใช่ว่าหาง่ายๆน่ะ งมเข็มในมหาสมุทรชัดๆเลยล่ะ”

      “ท่าทางจะหายากมากเลยน่ะแต่ล่ะคนเนี่ยแล้วคนนั้นเธอใช้เวลาแค่ไหนเหรอ”ลิสลี่ย์ถาม “3เดือนหลังจากเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ชั้นก็เริ่มตามหาแบบจริงจังเพราะยังไงชั้นก็ต้องเรียนไปด้วย”พิณดันตัวขึ้นนั่งดีๆ “แล้วจากนั้นก็ใช้เวลาร่วมหลายเดือนอยู่เหมือนกันน่ะกว่าจะเจอ”



         ลึกลงไปใต้ทะเล ท่ามกลางกิจวัติของสิ่งชีวิตมากมายลึกลงไปในซอกหลืบปะการังใจกลางทะเลด้วยอำนาจของมาน่าถึงจะเป็นสัตว์บกก็สามารถแหวกว่ายหากินใต้ท้องทะเลได้อย่างอิสระ ร่างๆหนึ่งแหวกว่ายไปทาบกับกระแสน้ำดูแล้วกลมกลืนไปด้วยกัน

    แสงแดดอุ่นๆสาดส่องลงไปถึงพื้นทะเลฝูงปลาแหวกว่ายไปมาแต่ร่างๆนั้นกลับดูกลกลืนไปกับทุกสิ่ง  

            “โป้ง!”เสียงที่ดังลั่นไปพร้อมกับร่างอีกร่างหนึ่งที่กระโจนลงมาในน้ำอย่างไม่ยำเกรงแต่ร่างในน้ำกลับหลบได้แล้วว่ายหนีไปอย่างรวดเร็วสีร่างกายที่กลืนไปกับสายน้ำทำให้มองไม่เห็นร่าง แต่ทันใดเหมือนรู้กลเกมปีกสีขาวขนาดใหญ่งอกขึ้นจากร่างผู้มาเยือนเพียงแค่กระพือที่เดียวน้ำกว่าครึ่งก็ถูกแหวกออกโดนพัดกระเด็นเหมือนโดนฟันเกิดเป็นคลื่นมหาสารทะเลแปรปรวนอย่างบ้าคลั่งสิ่งมีชีวิตต่างๆที่ไม่ทันตั้งตัวถูกพัดกระเซ็นไปแทบปางตายเผยให้เห็นรังปะการังดอกไม้ทะเลพืชต่างๆมากมาย

       และแล้วเมื่อจนตรอกเผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงเด็กผู้หญิงร่างอวบเล็กน้อยผิวสีน้ำผึ่งไหม้อ่อนๆตากลมโตสีดำสนิทโดยที่ยังตกใจกับความโกลาหนของท้องทะเลเห็นอีกทีคือร่างผู้มาเยือนพุ่งมาพร้อมกับปีกสีขาว “โป้ง!”คำพิพากษาดังอีกครั้งพร้อมกับนิ้วโป้งของผู้มาเยือนกระแทกเต็มกลางหน้าผาก รวดเร็วก่อนที่น้ำจะกลับคืนสภาพ

    เดิม

    “เฮ้ย ไอ้ฟิวว์มึงเนี่ยหาที่ซ่อนได้บรรยากาศเริ่ดมากเลยน่ะ ขอชม”เสียงเย้ยหยังของผู้มาเยือนดังขึ้น ก่อนที่ร่างของฟิวว์ค่อยๆละลายแปรสภาพเป็นของเหลวและรวมกลืนไปกับน้ำทะเลที่กลับสู่สภาพเดิม ทิ้งไว้แต่เสียงกรีดร้องอย่างผู้พ่ายแพ้

       “หึหึหึ เก่งมากนี่พิณถึงคนแรกจะใช้เวลาซักหน่อยแต่ก็นับทำได้ดีมาก...”เสียงของมาน่าดังขึ้นพร้อมกับร่างที่นั่งอยู่บนโขดหินร่างตอนนี้ห่อด้วยผ้าสีขาวหนาๆพร้อมกับเปล่งแสงสว่างโดนไม่นึกถึงสภาพอากาศที่ออกจะอุ่นถ้าไม่มีลมพัดโกรกไปมา “ว่าแต่นี่เธอรู้ได้ยังหึ ว่าเพื่อนเธอยู่นี่...”



    ร่างของเด็กสาวที่กระพือปีกขนาดใหญ่สีขาวค่อยๆลงมายืนที่โขดหินเหมือนกัน “ก็ไม่เท่าไหร่หรอกแค่เผอิญนึกได้ว่าตอนที่อยู่ในป่านั้นน่ะ แม่น้ำในนั้นชั้นได้ยินเสียงบางอย่าง” พิณพูดพลางนึก “เหมือนกับว่าที่ฟิวว์มาซ่อนที่นี่ก็ต้องเดินทางตามลำน้ำไปและเสียงที่ชั้นได้ยินก็คงเป็นเสียงการเดินทางของฟิวว์ล่ะ”

       “ฮ่ะๆๆ เก่งนี่...”มาน่ากล่าวชม “แต่ชั้นไม่นึกเลยน่ะว่าที่ซ่อนมันจะขนาดนี้แล้วยิ่งวิธีเดินทางชั้นล่ะสงสัยจริงว่ามันเดินไปยังไง”

       “อะไรกัน ก็บอกไปแล้วไม่ใช่รึว่าอำนาจของชั้นเรื่องแค่นี้สบายอยู่แล้ว...”มาน่าพูดอย่างหน้าตาเฉย “เพราะว่าความปรารถนาของฟิวว์ที่จะมาซ่อนที่นี่ทำให้ตัวเธอเองกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำและนั่นคือสิ่งที่เธอได้ยิน...”



           “...ความจริงฟิวว์เป็นคนที่ทำตัวดีกับชั้นที่สุดแล้วล่ะก็เลยทำให้ชั้นหาเจอแต่คนอื่นนี่สิ...ไม่รู้จะเจอรึเปล่า”พิณพูดอย่างสลดด้วยเสียงเยือกเย็น

          “พิณเอ๋ย ด้วยความสามารถที่ชั้นให้เธอมันก็มากมายกว่าสิ่งที่ชั้นให้กับผู้ซ่อนซะอีกน่ะ...” พิณกลับมามองหน้ามาน่า “เพียงเวลาแค่ไม่กี่เดือนเธอก็เปลี่ยนไปมากน่ะ...”

    “ทำไม ชั้นทำไม”

    “หึหึหึ ชั้นดูเธอสงบเยือกเย็นกว่าแต่ก่อนมากน่ะสิมีเหตุผลแปลกๆด้วยดูแล้วคงเหมือน โตขึ้นล่ะมั้ง....”มาน่ายังพูดต่อ

    “มาน่า มาน่าจะไปรู้อะไร”พิณพูดด้วยเสียงถ่อมตัวพร้อมกับชักสีหน้าเศร้าสร้อย “ภายใต้ใบหน้าคนเราที่ควรจะเรียกว่าหน้ากากน่ะ มันมีอะไรมากมายกว่าที่มาน่ายจะหยั่งถึงรวมถึงแค่พฤติกรรมแค่นี้มันไม่ทำให้เราดูคนได้หรอกว่าเปลี่ยนไปซักแค่ไหน”พิณพูดด้วยเสียงเรียบเย็นแต่ก็นุ่มนวล

    “เธอพูดอย่างนี้จะหมายความว่า ภายในเธอเจ็บช้ำมากนักหรือไง แล้วแสร้งทำตัวใหม่สร้างกำแพงให้กับตัวเองงั้นหรือ แบบนั้นใช่มั้ยที่เธอต้องการพูด...” มาน่ากล่าวอย่างรู้ทะลุปรุโปร่ง



            พิณชักสีหน้าเอือมระอาก่อนหันกลับไปกระพือปีก “จะไปไหนล่ะ...”มาน่าถาม

    “กลับบ้าน”พิณตอบพร้อมกับตัวที่ลอยสูงขึ้น สูงขึ้นแล้วก็หายไปในกลีบเมฆ



    “งั้นนินก็เป็นคนที่สองที่เธอเจองั้นสิ”

    “อือ”

    “เธอเจอที่ไหนอ่ะ”ลิสลี่ย์ซัก

    “ก็เท่าที่ได้ตามไป รู้สึกจะซ่อนตัวอยู่ในสายลม อยู่กับธรรมชาติลุ่มหลงจนไม่อยากกลับบ้าน”พิณตอบ “ชั้นว่าคงได้เวลาที่จะไปแล้วล่ะดึกมากเกินไปช่วงนี้ยิ่งนอนไม่พออยู่”

      “อ๊ะ เดี๋ยวสิจะไปเลยเหรอแล้วจะทิ้งชั้นไว้แบบนี้เนี่ยน่ะ”ลิสลี่ย์โวย

    “ก็จะให้ทำไงล่ะ ในเมื่อเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอตั้งแต่แรกแล้วนี่แต่ถ้าเธอจะเอาไปบอกใครต่อใครก็ตามใจเถอะน่ะเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่คนว่าจะเชื่อรึเปล่า”พิณพูดด้วยเสียงเยือกเย็น แววตาสีน้ำตาลเข้มจนดำฉายแววความไม่พอใจสบตากับดวงตาสีเขียวที่หวาดกลัว



        ในที่สุดพิณก็ลุกขึ้นไปที่หน้าต่าง ปีกสีขาวขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากหลังพร้อมกับกระพือพร้อมจะบินทุกเมื่อ “หวังว่าเราคงจะไม่ได้เจอกันอีกน่ะ เรื่องวันนี้เธอลืมมันให้หมดซะเถอะ”พิณหันหน้ามาบอกแล้วกระพือปีกไม่กี่ทีตัวก็ลอยขึ้นแล้วหายไปลับขอบฟ้าปล่อยให้ลิสลี่ย์นั่งทบทวนเรื่องต่างๆอยู่บนเตียง....พิณเหรอ แต่ชั้นหวังว่าเราคงได้เจอกันอีกน่ะ...







    “เชอะ นึกว่าหายไปซะแล้ว นี่โชคดีน่ะที่หาเจอ” เสียงบ่นพึมพำของพิณดังขึ้นท่ามกลางอากาศบนท้องฟ้า ปีกอันใหญ่โตคู่เดิมยังอยู่ เหนือบ้านเมืองต่างๆในกรุงเทพโดยไม่หวั่นต่อสายตาใดๆถ้าหากถูกพบเข้า



          “แล้วนี่มาน่า จะให้ไปเจอที่บ้านนั้นเหมือนเดิมป่ะเนี่ย” พิณบ่นอย่างสงสัย แล้วร่างทั้งร่างค่อยๆหย่อนลงถึงพื้นสนามหญ้าหลังบ้านแห่งหนึ่ง แล้วปีกนั้นก็หายไป

        “มาน่า ๆๆ อยู่ป่าวออกมานี่ดิ”พิณจะโกนร้องเรียก “เอ้ย จะตะโกนทำไมก็รู้อยู่ว่าถ้าเสร็จงานแล้วให้มาเจอที่นี่น่ะ...”เสียงของผู้มาเยือนตำหนิ “แล้วนี่หนูพิณจะเริ่มหาคนต่อไปรึเปล่าล่ะ...”มาน่าถาม

    “ก็แน่อยู่แล้วก็ต้องรีบหาให้เร็วที่สุดเหมือนทุกทีนั่นแหละ” พิณหันมาตอบ “คราวนี้อาจจะไม่ยากเพราะชั้นก็เริ่มชำนาญกับพลังที่ได้และเรื่องที่ซ่อนแล้วด้วย”



              “หึหึหึ ก็ดีน่ะชั้นจะได้ไม่ต้องเหนื่อย เก่งดีนี่...”มาน่าชม “ว่าแต่นึกไว้บ้างรึยังล่ะว่าเพื่อนเธอน่ะไปไหน...”

      “.....” พิณนิ่งเงียบไม่ได้ฟังคำถามที่มาน่าถามเลย “นี่หนูพิณ ได้ยินรึเปล่า....”มาน่าถามซ้ำ

    “มาน่าชั้นเปลี่ยนใจแล้ว ชั้นรู้สึกว่าค่อยๆหาไปจะดีกว่าเพราะชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่เหลืออยู่ที่ไหนกันบ้าง”ในที่สุดพิณก็ตอบ  

    “เหอะ เป็นวัยรุ่นที่อารมณ์แปรปรวนดีจริงน่ะ...”มาน่าสวนกลับ

    “ชั้นก็แค่ยังนึกไม่ออกเท่านั้นไว้พอรู้อะไรจะมาบอกล่ะกัน แต่ยังไงซะตอนนี้อีกไม่กี่วันก็สอบแล้วนี่ยังไงชั้นก็ต้องกลับไปอ่านหนังสือไปสอบซะก่อนน่ะแหละจากนั้นก็ค่อยเต็มที่ก็ตอนปิดเทอมเลยล่ะกันน่ะ”พิณสรุป “เอางั้นก็ได้ตามใจ...” มาน่ายอมตกลงก่อนที่จะหันหลังจากไป

       “เดี๋ยวก่อน” พิณโพล่งขึ้นมา “มีอะไรอีกล่ะ...”

      พิณก้าวฉับๆๆมาหามาน่า “ขอมือถือชั้นด้วย”มาน่าท่าทีแปลกใจ “มือถือไหน...”  “ก็ที่สัญญาไว้ไงว่าจะให้มือถือไว้จะได้ติดต่อกะใครได้สะดวกขึ้นไง”

            มาน่าตกใจรีบลุกลี้ลุกลนเหมือนหาอะไรบางอย่าง “งั้นเอางี้หลับก่อนแล้วยื่นมือมา...”มาน่าพูด พิณหลับตาลงแล้วยื่นมือ มาน่าเอามือวางประกบกับมือของพิณชายเสื้อคลุมมือทั้งคู่เอาไว้เกิดเป็นความอบอุ่นแบบแปลกๆภายใต้แขนเสื้อที่คลุมอยู่  

             กลุกๆๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นใส่มือของพิณ “เอ้าลืมตา...”มาน่าพูด แล้วเอามือออก ในมือของพิณมีโทรศัพท์มือถืออยู่ “อ๊ะ ขอบคุณมากน่ะ”  

    “แค่นี้ใช่มั้ย...”

    “อื้อ”พิณตอบ มาน่าหันหลังลมอ่อนๆพัดมามาน่าก็กลายเป็นเพียงเม็ดทรายหายไป





    ที่ป้ายรถเมลล์ หลังจากเลิกเรียนแล้วพิณกำลังนั่งรถไปทำธุระซักหน่อย ระหว่างขึ้นไปนั่งก็มีผู้โดยสารมากหน้าหลายตาไปด้วยแต่มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างจะสะดุดตาพิณคือกลุ่มเด็กผู้ชายน่าจะอยู่ม.ต้นเดินด้วยกันมาประมาณ4-5คน พิณเพียงเหลือบตาไปมอง

           กลุ่มเด็กผู้ชายนั้นก็นั่งคุยกันอยู่ แต่มีอยู่บางครั้งที่บางคนหันมามองพิณไม่สิหลายคนเลยหันมามองแบบจดๆจ้องๆแล้วก็ยิ้มแล้วก็หันหน้าไปคุยกับเพื่อนเค้าต่อ แต่พิณไม่ได้สนใจอะไร

         ในตอนนั้นเริ่มมีฝนตกปรอยๆและเริ่มหนักขึ้นๆ คงจะเป็นพายุเข้าถึงจะฝนตกหนักแต่ฟ้ายังส่องสว่างอยู่ ทำให้การเดินทางเริ่มทุลักทุเลมากขึ้นมีน้ำกระเซ็นมาโดนพิณเล็กน้อย

              

                แต่เมื่อพิณเห็นว่า ป้ายหน้าต้องลงแล้วก็ลุกจากที่นั่งแล้วหยิบร่มพับขึ้นมาเตรียมจะกางออกไปข้างนอก แต่ท่าทางพวกผู้ชายกลุ่มนั้นคงจะลงป้ายเดียวกันพอพิณลงจากรถโดยกางร่มเดินไปตามฟุตบาทแต่ดูท่าพวกผู้ชายคงไม่มีร่มกันเลยรีบวิ่งกัน      แต่ดูท่าพวกนั้นคงจะรีบมากไปหน่อยเลยมีอยู่คนหนึ่งที่วิ่งไปลื่นหกล้มท่าทางจะได้แผลด้วย  “เฮ้ย ไอ้พวกนี้แค่นี้ไม่มีรอกันเลยใช่มั้ยว่ะ!”เด็กผู้ชายคนที่ล้มตะโกนไล่หลังเพื่อนที่วิ่งนำเขาไป

       “เดินไงว่ะไม่ระวัง พวกข้าไปก่อนล่ะกันแล้วเจอกันน่ะเว้ย”เสียงเพื่อนเค้าบางคนตะโกนตอบกลับมาอย่างไม่ใยดี “ไอ้พวกเวรเอ๊ย”เด็กคนนั้นสบถแต่เมื่อเขากำลังยันตัวลุกขึ้นเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเด็กผู้หญิงใส่แว่นผมยาวสีดำกางร่มให้เขาอยู่

         “เป็นไรป่ะ”พิณถามพร้อมกับยื่นมือไปช่วยให้ลุกขึ้น

         “อ่ะ เอ่อนิดหน่อยน่ะ ขอบใจ”เด็กผู้ชายผิวคล้ำนิดหน่อยหน้าตาธรรมดาร่างสูงใหญ่ภายใต้ชุดนักเรียนที่เปียกโชกพูดอย่างตะกุกตะกักกับผู้ให้ความช่วยเหลืออย่างไม่ได้คาดหมาย “ไม่มีร่มเหรอ เดี๋ยวไปส่งให้เอามั้ย”พิณถามหลังจากที่ช่วยพยุงเด็กผู้ชายคนนั้นยืนขึ้นได้แล้ว

      “อ่ะ เอ่อก็ดีขอบใจน่ะ”เด็กผู้ชายคนกล่าว



    “เฮ้ย เป็นไรมากป่าวเนี่ยเลือดออกด้วยเนี่ย”พิณถามเพื่อสร้างความคุ้นเคย ระหว่างที่เดินคู่กันไปท่ามกลางสายฝนภายใต้ร่มที่กางอยู่

    “อ๊ะนี่เหรอ โอ้ยนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”เด็กผู้ชายคนนั้นตอบ พิณพยักหน้าอย่างไม่สนใจอะไร “นี่ชื่อไรอ่ะ”พิณหันมามองอย่างงงกับคำถาม “พิณ...”พิณตอบสั้นๆ

           “เอ่อเราโจน่ะชื่อเพราะจังเลยน่ะ”คนที่บอกว่าตนชื่อโจพูดขึ้น “นี่ๆเธออยู่ม.ไรอ่ะจะได้เรียกได้ถูก”

    พิณเริ่มรำคาญกับนายโจนี่ซะแล้วไม่น่าช่วยมันเล้ยไม่นึกว่าจะชอบซักไซ้ขนาดนี้ “อยู่ม.2”พิณตอบห้วนๆ

               “อ๊ะงั้นก็เท่ากันดิเราก็ม.2แต่เธอนี่ตัวสูงจัง ตอนแรกนึกว่าจะโตกว่านี้ซะอีก”โจยังไม่หยุดพูด แต่พิณหันมามองตั้งแต่หัวจรดเท้าของโจด้วยความไม่อยากเชื่อก็ด้วยร่างกายที่สูงเป็นโย่งไม่นึกว่าจะเด็กม.ต้นนี่คงประมาณ170ได้มั้งเนี่ย แถมเสียงก็แหบแบบแปลกๆถึงหน้าตาจะไม่ได้แย่อะไรนักแต่ก็โอ.เค  อย่างนายเนี่ยน่ะม.2 ม.4ยังน่าเชื่อกว่าอีก พิณนึก

       “เอาล่ะชั้นส่งตรงนี้แหละที่เหลือเดินไปเองล่ะกันยังไงตรงนี้ก็ไม่โดนฝนหรอก”พิณหยุดกึกทันทีทำเอาโจทำหน้าเหวอแกมผิดหวัง “เธอมาทำอะไรแถวนี้อ่ะะตรงนี้มันเปลี่ยวออกอันตรายด้วยยังไงไปให้ถึงห้างตรงโน้นเลยดีมั้ยคนเยอะปลอดภัยกว่าน่ะ”

          พิณส่ายหน้า “เพื่อนนายรออยู่ไม่ใช่เหรอแล้วชั้นก็ต้องมาทำธุระแถวนี้ด้วยนายไม่ต้องห่วงหรอก”แต่โจทำสีหน้าไม่ค่อยอยากให้ทำอย่างที่พูด “เอาน่าไม่ต้องยุ่งหรอก”พิณตัดบทพูดแล้วเดินหนีไปในซอยอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้โจเดินคอตกไปหาเพื่อนของเขา ที่นัดกันไว้ที่ร้านอาหารในศูนย์การค้า

          ตึกๆๆๆเสียงย่างแต่ละก้าวของพิณเดินตรงมาคนเดียวในซอยเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คนยิ่งเดินลึกก็คดเคี้ยวมากเท่านั้นไปเรื่อยๆหมอกเริ่มลงตัวอากาศเริ่มเย็น เมื่อไปจนสุดทางก็ได้พบบ้านไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ ภายนอกมีไม้เถาไอวี่เลื้อยเกาะอยู่ตามผนัง

        แอ้ด กรุ้งกริ้งๆพอพิณเปิดประตูเข้าไปเสียงกระดิ่งเสียงบานประตูก็ดังขึ้น “อ๊ะ มาแล้วเหรอ”เสียงของคนหนึ่งในร้านร้องทักผู้มาเยือน

           พิณเดินเข้าไปในร้านบรรยากาศดูอบอุ่น ไฟสลัวๆสีส้มกลิ่นหอมของกาแฟลอยกรุ่นอยู่ทั่วร้านเดินผ่านไปมีลูกค้านั่งกันอยู่ไม่กี่โต๊ะมีแต่โต๊ะที่ว่างๆทั้งนั้น “โทษทีที่มาช้าพอดีฝนมันตกน่ะค่ะ”พิณกล่าวขึ้นเมื่อไปนั่งที่โต๊ะ

       “ฮ่ะๆๆ อย่ามาทำปิดบังหน่อยเลย ระดับแกน่ะแค่ฝนตกหน่อยเดียวเอง ยังไงแกก็น่าจะมาทันนี่นา”ผู้กล่าวพยายามล้วงความลับนัยน์ตาสีดำขลับมองจ้องเข้าไปในตาของพิณ

    “เฮอะ อะไรเล่าก็เมื่อกี้นี้ไปเจอคนหกล้มก็เลยพาไปส่งเท่านั้นเองก็เลยมาช้า”พิณทนไม่ไหวพูดออกไป

    “โอ้ย ยัยคนนี้นี่มีน้ำใจช่วยคนอื่นกะเค้าแล้วเรอะนึกว่าจะปั้นหน้าเย็นชาจนเด็กร้องไห้อย่างเดียว”

                 “อะโห พี่ดีก็พูดซะ”พิณพูดและมองดูเด็กสาวที่ทำตัวก๋ากั่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเด็กสาวร่างสูงใหญ่ผิวขาวผมยาวซอยสีดำดวงตาสีดำขลับอยู่ภายใต้แว่นสายตาสีม่วงใสๆ

    “เหอๆๆ นี่รู้มั้ยย่ะชั้นอุตส่าห์เสียเวลาอันมีค่ามาช่วยเธอน่ะเนี่ย นี่ก็ใกล้จะเอนท์แล้วด้วยเดี๋ยวเอนท์ไม่ติดมีหวังโดนแม่ด่าแน่ๆ”คนที่ถูกเรียกว่าชื่อดียังคงจ้อไม่หยุด

           “อีโด่ มาน่าไม่ขอมาพี่ก็คงไม่มาหรอกใช่มั้ยล่ะ”พิณประชด

           “ก๊ากๆๆ โอ้โหไอ้น้องเดาใจพี่เก่งนี่หว่า”ดีหัวเราะ “อ้าวแล้วนี่พอจะรู้รึยังอ่ะ ว่าเพื่อนแกน่ะไปซ่อนอยู่ไหน”  ดีพูดพลางจิบกาแฟไปพลาง “พี่ดีถามไรอย่างดิ ตอนรุ่นพี่ที่เล่นเกมนี้เนี่ยมันเป็นยังไงบ้างเหรอ”พิณไม่ยอมตอบคำถามแต่กลับถามต่อ “อ่ะ...หานึกไงถาม”ดีดูงงๆ “แต่เอาเหอะจะตอบให้ โหตอนรุ่นพี่เนี่ยน่ะมันส์อย่างแรงตอนที่พี่เป็นคนหาอ่ะน่ะแล้วต้องตามหาเพื่อนสุดล่าฟ้าเขียวแทบพลิกแผ่นดินเชียวนา”ดีเล่าเรื่อง

       “งืมๆๆ”พิณรับทราบ “ตกลงเพื่อนแกน่าจะอยู่ไหนล่ะ” “จะไปรู้มันเรอะ”

    “นี่ไอ้พิณชั้นว่าแกน่าจะรีบๆหาดีกว่าน่ะ”ดีพูดพร้อมโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ “ถ้าแกช้าเท่าไหร่แกก็จะต้องตกอยู่ในฝนร้ายนานเท่านั้นน่ะเผลอๆจะหนักยิ่งขึ้นไปอีกน่ะ” พิณหันมามอง

                   “แล้วตอนพี่ดีพี่ไม่เจ็บปวดขนาดเค้าเหรอ”พิณถาม

                   “ไม่หรอก เพราะพี่โดนแค่ตอนแรกๆแล้วพี่ก็รีบหาในที่ๆเพื่อนพี่มันจะไปกัน แล้วก็เจอจนชนะในที่สุด”ดีตอบ แต่พิณก้มหน้าหลบสายตาอย่างเหนื่อยล้า “แต่ยังไงพี่ก็ยังมีเพื่อนมีพ่อมีแม่รอให้กลับบ้านมีพี่น้องดีๆที่รักกัน พี่ยังมีคนที่รักพี่นี่ไม่ใช่อย่างหนู”พิณพูด

    “พิณ ยังไงนั่นมันก็บ้านพิณน่ะอย่าไปตะขิดตะขวงใจเลย”ดีพูด

    พิณเพียงแค่ยิ้มแล้วหันมาพยักหน้า “นี่พรุ่งนี้ไปด้วยกันม่ะ” “ไปไหนเหรอ” “พอดีจะไปเอาของของมาน่าที่สยามน่ะ  ว่าจะแวะไปเที่ยวด้วยไปม่ะ”

      “อื้อ ไปๆ”พิณรับคำ









           วันต่อมาระหว่างที่โจมาเรียนพิเศษแล้วมาหาซื้ออะไรดื่มก่อนโดยมากับเพื่อนอีก3คนโจก็มานั่งดื่มกาแฟอยู่นี่ก่อน เมื่อได้โต๊ะที่นั่งก็เป็นที่นั่งติดริมกระจก “เฮ้ย ไอ้พีคเดี๋ยวจองโต๊ะให้ไปสั่งอาหารล่ะกัน”โจบอกเพื่อนที่ชื่อ พีค รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวหน้าตาดี “เออๆๆ เฝ้าด้วยล่ะกัน” พีคตอบพร้อมเดินไปที่เคาท์เตอร์กับเพื่อนอีก2คน

          ระหว่างที่โจนั่งรออยู่ในบรรยากาศร้านที่เย็นสบายเพราะตอนนี้ข้างนอกเริ่มมีฝนตกประปรายบ้างแล้วแต่โจคงไม่สะดุดตาเมื่อมองออกไปนอกกระจกแล้วตรงป้ายรถเมล์เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวถึงสะโพกใส่แว่นสายตาผิวขาวเนียนยืนหลบฝนอยู่ใต้หลังคาป้ายรถเมล์  “อ่ะ ไอ้โจได้แล้วเว้ย”โจหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงพีคเรียกหันไปเจอเพื่อนทั้ง3นั่งอยู่พร้อมอาหารเครื่องดื่มเต็มโต๊ะ



         พิณนั่งรอพี่ดีอยู่นานแล้วรถเมล์คันแล้วคันเล่าผ่านไป แต่ไม่มีคันไหนที่มีพี่ดีลงมาเลย วันนี้เธออุตส่าห์ใส่กระโปรงมาน่ะเนี่ยปกติไม่ค่อยได้ใส่ ฝนก็เริ่มตกหนักมากขึ้นน่ะเนี่ยทั้งหนาวทั้งเปียก



        โจยังคงนั่งมองสาวน้อยตรงหน้าไม่ละสายตาชั้นจำได้เด็กผู้หญิงที่ช่วยชั้นเอาไว้เมื่อวาน “ไอ้โจเดี๋ยวไปเรียนเสร็จกลับเลยป่ะว่ะ” ไอ้พีคเพื่อนคนเดิมถาม “หะ หาอ๋อคงยังหรอกคงเดินดูอะไรแถวนี้ก่อนน่ะ”โจหันมาตอบ

      “ไอ้นี่เดินดูสาวป่ะว่ะจะได้ไปด้วย” เสียงของฉัตรเด็กหนุ่มอีกคนร่างกายกำยำสูงใหญ่ผิวคล้ำตัดผมเตียน

    “ชะไอ้นี่วันๆเอ็งไม่นึกถึงเรื่องอื่นรึไงว่ะ” โจสวนกลับ “555++เฮ้ยไอ้โจนี่เอ็งจะไปหลีสาวจริงเหรอวะจะได้ไปด้วย”คราวนี้เป็นเสียงของทัตชายใส่แว่นผิวขาวร่างผอมเล็ก

           “เฮ้ย พอเลยน่ะเว้ยพวกเมิง...”โจกำลังจะพูดแก้ขัดไปแต่เผลอเหลือบไปที่พิณนอกหน้าต่างพอดีเห็นเธอรีบวิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาในร้านกาแฟ แต่โจกลับมองตาไม่กระพริบกับร่างนั้น เลยทำให้เพื่อนๆทั้ง3หันไปมองกับร่างนั้นด้วย มองร่างบางนั้นเดินไปซื้อช็อคโกแล็ตร้อนจนจ่ายเงินเสร็จออกมานอกร้านนั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์

         “อ๋อ ไอ้นี่แอบเล็งสาวไว้เหรอ” ฉัตรพูด

           “ร้ายนี่หว่าแอบทำอุบเงียบ”พีคพูด

            “น่าสงสารคนนั้นจังน่ารักด้วยต้องมาเจอกะไอ้โจ”ทัตพูด “โว้ยไรกันเล่าแค่รู้จักกันเท่านั้นเอง”โจทนไม่ไหวพูดออกมา แต่ทุกคนกลับมองแบบไม่เชื่อ

    “เจอกันที่ไหนล่ะ” พีคถาม โจทำหน้าไม่พอใจ “เมื่อวาน เค้าช่วยข้าตอนล้มแล้วก็ไปส่งให้ด้วย”โอ้โหไอ้นี่เจอแบบโรแมนติกซะด้วย” ทุกคนประสานเสียงกัน

        “พอแล้ว ได้เวลาเรียนพิเศษแล้วไปเหอะ”โจมองนาฬิกาแล้วลุกขึ้นทันที ทุกคนก็ลุกขึ้นตาม “555++ไอ้นี่มันเขินแย่แล้วหว่ะ” พร้อมกับยังล้อไม่เลิก แล้วก็เดินออกไปนอกร้านไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับป้ายรถเมล์



            พิณมองตามหลังกลุ่มเด็กผู้ชายที่เดินหลบร่มไปตามหลังคาแต่ละร้าน ตัวเองก็ยังคนนั่งรอพี่ดีอยู่ 1ชม.แล้ว......ผ่านไป2ชม..........3ชม..........เธอก็ยังไม่มา........4ชม..................5ชม....................ชม.แล้วชม.เล่าเธอก็ยังไม่มาฝนจากเดิมที่ตกพรำกลับตกหนักเหมือนกับว่าฟ้าอกหักจากใครแล้วมาร้องไห้เอาให้น้ำตาหมดตัวเลย

                 แต่ทว่าตัวเธอก็เริ่มไม่ไหวแล้วหนาวก็หนาวคนก็เริ่มไม่มีหลังคานี้ไม่ได้ป้องกันเธอที่อยู่ใต้ร่มเงาเลยน้ำเย็นๆมากระเซ็นโดนตัวเธอจนหนาวสั่นไปหมดแล้วซ้ำฟ้ายังทั้งร้องแล้วมีฟ้าแลบด้วยลมก็กรรโชกแรงพัดของ เศษใบไม้ปลิวว่อนไปหมดทำเอาตัวเธอเลอะไปด้วย

        

                   หนาวเหน็บเหมือนวันนั้น...นังสารเลวออกไปจากบ้านชั้นน่ะ แล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีกชั้นไม่น่าให้แกเกิดมาเลยจริงๆ!!!.....ยังไม่ทันได้นึกเรื่องราวทั้งหมดเธอก็รู้สึกเสียววาบไปทั้งตัวแล้วน้ำตาเริ่มคลอเบ้าร่างกายคู้ตัวเพื่อให้เกิดความอบอุ่น   ป่านนี้แล้วทำไมพี่ดียังไม่มาอีกน่ะ   จำไว้น่ะพรุ่งนี้ให้มาเจอที่ป้ายรถเมล์ที่เก่าเวลาเดิมน่ะห้ามไปไหนเด็ดขาดถ้าชั้นยังไม่มาเดี๋ยวไปก็หลงทางอีก เธอจำคำกำชับของรุ่นพี่เธอได้แล้วทำไมเธอยังต้องรออีกน่ะผิดนัดซะขนาดนี้แล้ว



            ระหว่างที่โจเดินกลับมาทางเดิมจะผ่านร้านกาแฟร้านเดิม ป้ายรถเมล์ป้ายเดิมแล้วยังผ่านเด็กผู้หญิงคนเดิมอีกท่าทางเธอดูแย่มากคงหนาวน่าดูแต่ใบหน้าของเธอกลับมีรอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นในขณะที่นั่งคู้ตัวอยู่ ด้วยความกล้าๆกลัวๆแต่โจก็เดิมไปนั่งข้างๆเธอ แล้วก็จริงๆพิณหันมาเหล่นิดหน่อยแล้วเธอก็หยุดจ้องอยู่อย่างนั้น ประสานกับสายตาของโจที่หันมามองเธอเหมือนกัน   แต่พิณรีบหันกลับไปทางเดิมทันทีโจก็เหมือนกัน

           “พิณมารอใครเหรอ เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”โจเปิดฉากถาม พิณหันมามองหัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว

    “ก็รอพี่น่ะ...”สงสัยเธอคงจำได้ว่าเป็นคนเมื่อวาน “อ้าวแล้วยังไม่มาอีกเหรอ เห็นรอนานขนาดเนี้ย”

               พิณนิ่งไปชั่วครู่ “ไม่รู้ดิ ถ้าไม่มาจริงๆก็อยู่มันตรงนี้ไปละกันยังไงก็ไม่มีที่ไป”

        “แล้วที่บ้านไม่ห่วงเหรอ” พิณยังคงนิ่งไปชั่วครู่ แต่สีหน้ากลับดูหมองลงและเศร้าสร้อยมากขึ้น “ไม่หรอก ชั้นไม่มีบ้านให้กลับ ถ้าตอนนี้มันยังอยู่ชั้นก็คงไม่อยากกลับเค้าก็คงไม่ห่วงชั้นด้วย”

        “บ้านเธอมีปัญหาเหรอ”

        “อือ มากด้วย”

        “แต่ชั้นว่าเธอเข้าไปหลบฝนไม่ดีกว่าเหรอเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” “แล้วที่บ้านไม่ห่วงเหรอ”พิณส่วนกลับด้วยสายต่ที่ล่องลอย “แต่ถ้าชั้นปล่อยให้เป็นอะไรอยู่ตรองนี้ชั้นจะเป็นห่วงเธอมากกว่าน่ะ”โจตอบ พิณมองหน้าแล้วก็ค่อยๆลุกเดินเข้าไปในร้านกาแฟ เข้ามานั่งที่เดิมตรงริมกระจก

        พิณคว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าตามตัวเสื้อผ้าที่เปียกเส้นผมที่โดนละอองฝน

       โจเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาท์เตอร์ กลับมาพร้อมกับถาดเครื่องดื่ม

    “พี่แกเค้าคงไม่มาแล้วล่ะ” พิณพูดขึ้น

    “...อ่า ไม่มีพี่สาวคนไหนหรอกที่เค้าทิ้งน้องสาวน่ะ”

                พิณหันมามองโจอย่างแปลกๆเหมือนกับจะถามว่า นายพูดอะไรน่ะ  “เค้าไม่ใช่พี่สาวแท้ๆหรอกเป็นรุ่นพี่นะ”  

        “อ่อ...”

        “นายว่าพี่สาวเค้าจะไม่ทิ้งน้องสาวตัวเองเหรอ”คำพูดของพิณทำเอาจุกไป “ชั้นมีพี่สาวต่างพ่ออยู่คนหนึ่งเธอคนนั้นแทบอยากจะฆ่าชั้นทิ้งตั้งแต่วันแรกที่ชั้นเกิดเลยด้วยซ้ำมั้ง” พิณพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับโน้มตัวเข้ามาใกล้

        อึ่ก...

    “คือ...ถ้าไม่ว่าอะไรเล่าเรื่องที่บ้านเธอให้ฟังหน่อยได้รึเปล่า”

    “เอางั้นก็ได้” เธอพูด “ชั้นเกิดมาก็เพื่อผลประโยชน์โดยแท้ๆ พ่อชั้นเป็นนักธุรกิจเลยต้องบินไปประชุมต่างประเทศบ่อยๆบางครั้งแทบไปอยู่เลย ไม่ค่อยได้กลับบ้านกลับช่องเท่าไหร่หรอกเดือนนึงจะกลับมาซักครั้ง”



            “...”โจไม่ได้พูดอะไร “มีพี่สาวต่างพ่ออยู่คนเค้าอยู่ม.5แล้วล่ะเป็นที่รักของแม่มากๆเลย”พิณพูด “แล้วก็มีพี่ชายต่างพ่ออีกคนแต่พ่อเดียวกะพี่ชั้นคนนี้อยู่ม.6เตรียมเอนท์จะไปต่อนอกแล้วล่ะ”พิณพูดพลางจิบช็อคโกแล็ตร้อน “ถ้าบอกไปไม่รู้นายจะเชื่อรึเปล่าชั้นไม่ได้อยู่บ้านหรอกโดนไล่ออกมาจากบ้านนี่ก็2ปีมาแล้วล่ะ”คำพูดนี้ทำเอาดึงความสนใจจากโจทันที

              “จริงเหรอ แล้วเธอไปอยู่ได้ไงน่ะอยู่ใครเหรอ”โจถาม “ไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก...มี...มาน่า...อยู่ด้วยทั้งคน”พิณพูดด้วยเสียงเยียบเย็นแล้วรอยยิ้มที่ว่างเปล่าก็ปรากฏบนใบหน้าของเธอ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้โจตะลึงแต่เป็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังเธอ   ร่างหนึ่งที่ทั้งตัวพันด้วยผ้าสีขาวเหลืองจนมิดทั้งตัวไม่ให้เห็นผิวหนังเลย

            ยังไม่ทันที่จะได้กรีดร้องโลกทั้งโลกก็มืดมิดดับวูบลง

           “นี่ โจ...โจ...โจ...ตื่นได้แล้ว....”เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังก้องในหัว ร่างกายที่ถูกเขย่างไปมาจนมึนหัวไปหมดรู้สึกเหมือนมีเส้นไหมเส้นด้ายสัมผัสตัว ลืมตาขึ้นมากลับเป็นเด็กผู้หญิงคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในสติสัมปะชัญญะ “เฮ้ย ไอ้โจตื่นขึ้นมาคุยกันก่อนสิ”เสียงนั้นยังคนเรียกต่อ

           “เห...”

           “มาทำงง อุตส่าห์มาส่งน่ะเนี่ย มีไมกี่คนหรอกที่เจอมาน่าแล้วเป็นลมไปน่ะ”

           “เธอหมายความว่าไง” โจถามพร้อมยันตัวนั่งใช่แล้วเด็กผู้หญิงข้างก็คือ พิณ มองไปรอบๆนี่เค้านั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกบ้านเขาอยู่ แล้วตูมาได้ไงหว่า

           “หิวน้ำ...เอาให้หน่อยดิ”

            “ชะ...ไอ้นี่ป่วยหน่อยใช้เลยน่ะ”พิณบอกแต่ก็ลุกไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วให้ “เมื่อกี้มันอะไร”

            “ก็ไม่มีอะไรนายแค่เป็นลมชั้นเลยพามาส่งบ้านเท่านั้นเอง”พิณพูดไปรินน้ำไปแต่สายตาเหลือบไปเห็นรูปครอบครัววางอยู่บนโต๊ะ เธอหยิบรูปรูปหนึ่งขึ้นมาดู “ไม่ใช่แล้วเธอมารู้จักบ้านชั้นได้ยังไงเธอบอกมาดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น” พิณวางรูปนั้นลง “จะให้เล่าเหรอ งั้นช่วยปลุกเพื่อนๆนายที่เป็มลมอยู่ตรงนั้นด้วยล่ะกันจะได้อธิบายทีเดียวเลย” เมื่อโจหันไปก็เห็นทั้งพีค ฉัตรและทัตนอนไม่เป็นท่ากองอยู่บนพื้น

               “เพื่อนนายนี่แย่จังมาแอบดู ก็เลยเจอกับมาน่าด้วยเลยเป็นลมไปเลย” พิณตอบโจโดยไม่รอคำถามจากโจก่อนพร้อมกับวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ







           “ไอ้พวกเว รเอ๊ยเมิงเสรือกมาแอบดูกรูทำไมว่ะ!!!”

           “เอาน่าๆ ขำๆก็แค่เป็นห่วงเพื่อนว่ากลับบ้านถูกรึเปล่า”พีคตอบ

           “นี่เอ็งเห็นข้าเป็นเด็ก3ขวบรึไงว่ะ ต้องคอยระวังตอนกลับบ้านเนี่ย”โจสวนแถมดึงคอเสื้อเพื่อนพร้อมที่จะต่อยได้ทุกเมื่อ “เฮ้ยๆๆ เอาน่าๆแค่นี้เองก็แค่อยากรู้ว่าเอ็ งไปไหนต่อแล้วมาเจอพอดีก็เลยแอบดูเท่านั้นเอง โทษทีๆ” ฉัตรมาเกลี้ยกล่อม

           “ก็ขอโทษทีน่ะไม่มีธุระอะไรแล้วชั้นกลับแล้วล่ะ เรื่องที่พวกนายอยากรู้ชั้นก็เล่าไปหมดแล้วงั้นชั้นไปก่อนล่ะ”พิณพูดขึ้น “อะ...เอ่อเดี๋ยว”โจพูดขึ้น

           “หือ”

           “ถ้ามีไรให้ช่วยก็บอกได้น่ะ”

           ปรากฎรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของเด็กสาว “อือ ขอบคุณมาก”เธอกล่าวขณะที่เดิมไปประตูหน้าบ้าน “เดี๋ยวแล้วชั้นจะได้เจอเธออีกรึเปล่า”โจรีบวิ่งตามมาคว้าข้อมือพิณไว้ ก่อนที่จะรีบปล่อยเพราะลืมตัว “...ไม่รู้ดิแต่ชั้นว่าเราได้เจอกันแน่...ชั้นรู้” พิณตอบด้วยสายตาที่เหมือนล้วงลึกเข้าไปในจิตใจได้  “แต่เพื่อนนายตลกดีน่ะ”เธอกล่าวเป็นคำสุดท้ายทันใดที่หลังที่ก็มีปีกสีขาวขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา ปีกนั้นกางออกแล้วกระพือไม่กี่ทีก็พาร่างทั้งร่างลอยไปบนฟากฟ้า เหลือทิ้งไว้ภายใต้สายตาของเด็กหนุ่มและเพื่อนๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×