ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HiDe aNd sEeK

    ลำดับตอนที่ #1 : คนที่ 1- - เริ่มต้นตามหา - -

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 48


    สายลมอ่อนๆพัดพามาพร้อมกับฤดูใบไม้ผลิในรัฐนิวยอร์กที่สหรัฐอเมริกาที่กำลังจะจากไปปะทะเข้ากับหน้าต่างห้องของเด็กสาวคนหนึ่ง  

              แกรกๆๆๆ  เสียงพิมพ์ตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ดังอย่างคล่องแคล่วของ ลิสลี่ย์  ออลเรส  เด็กสาว ลูกครึ่งอเมริกัน-ไทยวัย14ปีเศษๆ  ผิวขาวจนซีดใบหน้าเรียวยาว ตาสีเขียวที่มีสิวบ้างตามประสาเด็กสาวที่รวมทั้งกระเต็มใบหน้าด้วยผมหยักโสกหน่อยๆสีน้ำตาลเข้ม



        

      

    ฟึบ ลิสลี่ย์รีบปิดหน้าจอเอ็มเอสเอ็นอย่างรวดเร็ว “น่าเบื่อแช็ตก็มีแต่คนน่าเบื่อ เฮอะ”ลิสลี่ย์พึมพำ  



        ก้อกๆๆๆ  เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน “นี่ยัยลิสคอมพิวเตอร์น่ะเลิกเล่นได้แล้ว” เสียงจากแม่ชาวไทยดังเตือนขึ้น

         “อ๊ะ ค่ะๆๆ” ลิสลุกลี้ลุกลนกำลังจะปิดคอมพิวเตอร์

       ติ้ง  เสียงกลับดังมาจากคอมพิวเตอร์ว่ามีคนแอดมาก่อน “ใครล่ะเนี่ย” ลิสพูดอย่างงุนงงกับชื่อ  “Manaa”และไม่ยอมขึ้นอีเมลล์ด้วย “เอ มาได้ไงหว่า”ลิสพูดขึ้นลอยๆอีกรอบ  

       โครม!!!!!!   “กรี๊ด!!!”   เสียงกรีดร้องจากลิสด้วยความตกใจเมื่อ กระจกที่หน้าต่าง จู่ๆก็แตกขึ้นมาซะอย่างงั้น พร้อมกับมีร่าง2ร่างกระเด็นเข้ามาด้วย   “มึงนึกว่าจะหนีกูพ้นเรอะ!!!” เสียงดังมาจากร่างหนึ่งในสองที่ตอนนี้มาอัดกันอยู่บนเตียง  ‘อะ..อะไรเนี่ย คนพวกนี้เป็นใคร..ละ..แล้วนั่นมัน’  เด็กผู้หญิง ! เด็กผู้หญิงไม่ใช่เหรอมาอัดอะไรกันในห้องชั้น  ด้วยบังเอิญความตกตะลึงเมื่อร่างที่พูดขึ้นซึ่งคร่อมร่างอีกร่างหนึ่งอยู่หันมา อายุท่าทางก็คงจะแค่ประมาณ13-14เท่าลิสลี่ย์ ผมที่ยาวสยายสวยงามเป็นเงาน่าจะยาวถึงสะโพก  ร่างที่ดูแล้วผอมเล็กอยู่บ้างแต่ดูแล้วคงสูงไม่น้อย ใบหน้าที่หันมา รูปหน้าเรียวยาวรูปไข่ แต่แววตาสีน้ำตาลนั้นเข้ม เข้มมากจนเป็นสีดำที่ดูแล้วอารมณ์เสียแฝงด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างน่ากลัวถึงจะอยู่ภายใต้แว่นสายตาก็ตาม มือที่ผิวขาวเนียนละเอียดง้างออกเห็นนิ้วมือที่กางเล็บอันแหลมคมน่ากลัวเหมือนแมวที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อตรงหน้าได้ทุกเมื่อ

         คงจะเป็นเด็กสาวหน้าตาดีแน่แต่ถ้าอีกมือหนึ่งดันกำลังไปบีบคอของอีกร่างหนึ่งที่ดูจะอายุเท่าๆกันที่หน้าเต็มไปด้วยรอยแผลสดๆเลือดยังไหลอาบทั่วใบหน้ากลมๆ แววตาสีดำที่ดูหวาดกลัวผิวสีน้ำผึ้งไหม้ประกอบกับผมสั้นสีดำกับร่างเตี้ยเล็กแคระแก็น  



      “ นี่ ! พวกเธอเป็นใครน่ะมาทำอะไรในห้องชั้น”ลิสรีบตั้งสติถามไปอย่างกล้าๆกลัว

      ร่างทั้งสองไม่ตอบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจนดำหันมามองแป๊ปนึงแล้วก็หันกลับไปสนใจกับเหยื่อของตัวเองต่อ

    “หมดเวรหมดกรรมซะทีน่ะชั้นกับเธอเนี่ย  “ร่างนั้นพูดอีกครั้งพร้อมกับแสยะยิ้มที่น่าขนลุกก่อนที่มือจะง้างออกพร้องจะตะปบได้ทุกเมื่อกลับเปลี่ยนไปเป็นชูนิ้วหัวแม่มือแทน  มือนั้นกำลังจะทิ่มลงบนหน้าของเหยื่อ

      ปัง   “นี่ลิสแม่บอกแล้วไงว่าให้ปิดคอมพ์ได้แล้วไง...”แม่ของลิสเปิดโพล่งเข้ามาเห็นสภาพที่เกิดขึ้น  

             ทุกสิ่งหยุดนิ่งทันทีนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจนดำเบิกโพลงทันทีเมื่อเห็นสตรีเบื้องหน้า

             “พะ...พิณ “   เสียงที่ทำลายความเงียบขึ้นของ แม่ของลิสลี่ย์ “พิณ...นั่นพิณใช่มั้ย”เสียงนั้นทวนอีกครั้ง

    ร่างที่ถูกเรียกว่าพิณซึ่งดูตกใจมากไม่ตอบอะไรรีบวิ่งกระโดดออกทางหน้าต่างอย่างไม่รีรอ ทั้งลิสทั้งแม่ของเธอรีบรุดไปดูที่หน้าต่างเห็นร่างนั้นวิ่งหลังไวไวหายไปตรงมุมถนน  “โอย...ขอโทษน่ะช่วยชั้นก่อนจะได้มั้ย”อีกร่างที่ยังคงนอนบาดเจ็บอยู่บนเตียงร้องโอดครวญ



                

                 “นี่ตกลงเธอเป็นใครกันแน่เนี่ย” ลิสถามขึ้นหลังจากพาร่างนี้ไปทำแผลบ้างแล้ว

                 “ก็อย่างที่เธอเห็นอ่ะน่ะ ว่ายัยนั่นน่ะตามล่าชั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย” ร่างนั้นตอบ

                 “ เออ ชั้นรู้แล้วเห็นขนาดนั้นน่ะแล้วเค้าตามล่าเธอไปทำไมล่ะ” ลิสถามอีกครั้งหวังคำตอบที่คงจะชัดเจนขึ้นมาบ้าง

                  “ก็...คือ...บอกไปเธอจะเชื่อมั้ยล่ะ”ร่างนั้นตอบอีก

                  “ก็ลองว่ามาก่อนสิ” ลิสถามอีก

                   “นี่พอๆๆ ทั้งคู่เลยปล่อยให้คนป่วยเค้าพักผ่อนหน่อยเถอะ”แม่ของลิสห้ามไว้  “ว่าแต่แม่หนูชื่ออะไรล่ะจ้ะ”

                  “อะ...เออหนูชื่อนิลอ่ะค่ะ”ร่างที่บอกว่าตนชื่อนิลเอ่ยอย่างเจี๋ยมเจี้ยม

               “เป็นคนไทยเหรอจ้ะท่าทางแบบนี้ป้าก็เป็นคนไทยจ้ะแต่ได้สามีต่างชาติ”แม่ของลิสพูด

                  “อ่ะ...ใช่ค่ะหนูเป็นคนไทยอ่ะค่ะ”จิกตอบพลางหันไปมองลิสลี่ย์

                  “เอาเหอะ ชั้นชื่อลิสลี่ย์น่ะเรียกลิสก็ได้ไม่ว่ากัน”ลิสลี่ย์กล่าว “นี่   แม่เมื่อกี้เหมือนแม่จะรู้จักกับยัยโหดเมื่อกี้นี้เลยน่ะ ท่าทางแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆใช่มั้ย” ลิสคาดคั้นจากผู้เป็นแม่ที่ตอนนี้เหมือนน้ำท่วมปากไม่มีผิด

                    “....เอ...แต่เรื่องนี้แม่ก็ค่อนข้างหลงๆลืมๆไปบ้างแล้วน่ะ”แม่ของลิสพูด “ลูกจำญาติห่างๆที่แม่เคยเล่าให้ฟังได้มั้ย”                

    “อืม...จำได้  แม่อย่าบอกน่ะว่ายัยนั่นเป็นญาติของหนู !”ลิสพูดอย่างนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีญาติโหดๆแบบนี้

                    “เดี๋ยวสิ อย่างเพิ่งด่วนสรุปไปเพราะครั้งสุดท้ายที่แม่เจอเค้าก็หลายปีมาแล้วตอนนั้นเค้ากับลูกยังเล็กๆอยู่เลย แม่ก็อาจจะจำผิดก็ได้”แม่ของลิสพูดอธิบาย

                    “หนูว่าคุณป้าคงจำไม่ผิดหรอกค่ะ เพราะเธอคนนั้นชื่อ ‘พิณ’จริงๆ” เสียงที่ดังมาจากนิลทำเอาสองแม่ลูกถึงกับชะงัก“แต่ป้าว่าป้าอาจจะจำผิดก็ได้มั้งเพราะจำได้ที่ไปเจอเค้าไม่ใช่....” แม่ของลิสพูดแต่ไม่กล้าที่จะพูดต่อ

                     “คุณป้าก็เห็นท่าทีของเค้าแล้วนี่ค่ะตอนที่เค้าโดนทักอ่ะ”นิลยังไม่ยอมหยุดพูด

       “นี่ นิล” ลิสที่รีบตัดบทพูดไป “ตกลงทำไมพิณถึงตามล่าเธอ”

      “คือ...เรื่องมันค่อนข้างยาวอ่ะ...แล้ว...แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะเชื่อรึเปล่า”นิลพูด “แต่ยังไงก็ตามวันนี้ชั้นขอหลบซ่อนอยู่ที่นี่ก่อนน่ะน่ะชั้นกลัวยัยนั่นตามมา...”นิลพยายามพูดขอร้อง “จัดการ...แต่ว่าขออยู่แค่คืนนี้ก็พอแล้วจะไม่กลับมาให้เห็นอีกเลยค่ะ”ก่อนหลุดพูดคำสุดท้ายไป น้ำตาที่เริ่มคลอเบ้าที่แฝงด้วยความหวาดกลัว

        “.....เฮ่อ...เอาเถอะแต่อยู่แค่คืนนี้เท่านั้นน่ะ.”แม่ของลิสพูดสรุป

        “ค่ะๆๆ ขอบคุณมากจริงๆเลยน่ะค่ะหนูจะไม่ลืมบุญคุณเลย”นิลกล่าวขอบคุณ

        “ฮึ ก็ดีหวังว่าเธอคงไม่นำความเดือดร้อนมาหาเราน่ะ”  



      แฮ่กๆๆ  เสียงเหนื่อยหอบหลังจากวิ่งหนีมาตั้งไกล แต่จะหนีไปทำไมเค้าก็แค่รู้จักชั้น กลัวเหรอ กลัวอะไร แค่คนรู้จัก  เสียงครุ่นคิดสับสนดังขึ้นในหัวเมื่อวิ่งหนีมาไกลแล้วต้องมาหยุดพักที่ต้นไม้ใหญ่ในสวนสาธารณะ ทำไมที่นี้มันเย็นอย่างงี้ว่ะนี่ขนาดหน้าฤดูใบไม้ผลิน่ะเนี่ย ยังรู้สึกหนาวอยู่เลยมือกุมที่หัวใจที่เต้นรัวเร็วเริ่มสงบลงบ้างหลังจากการวิ่งหนีที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าวิ่งหนีอะไร    

                เฮ่อ นั่งพักก่อนล่ะกันแล้วคืนนี้ค่อยไปหาตัวมาอีกรอบ โธ่เอ๊ยอุตส่าห์เจอตัวแล้วเชียวไม่น่าเล้ย เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าพิณยังคงนั่นคิดอยู่  แย่ล่ะใกล้จะมืดแระแล้วนี่ชั้นจะพักที่ไหนล่ะเนี่ย มาน่าน่ะมาน่าพามาแล้วก็ไม่จัดเตรียมให้มันพร้อมๆกัน  “เฮอะ ยังเหลืออีกตั้งหลายคนที่ยังไม่ได้หาดันต้องมาติดแหง็กกับยัยคนน่ารำคาญนี่อีก ซวยจริงๆ”  

               เมื่อพระอาทิตย์เริ่มหมดแสงเรืองรองเสียงฝีเท้าของร่างบางเยื้องย่างไปอย่างเงียบเชียบตรงดิ่งมายังบ้านเดิมที่ปิดไฟจนมืดสนิทหมดแล้วเหลือเพียงแต่ไฟจากข้างถนนที่พอจะให้เห็นทางได้บ้าง หญ้าที่ยังเปียกชื้นเมื่อโดนเท้าเหยียบส่งเสียงอย่างประหลาด มาหยุดตรงหน้าบ้านสายลมเย็นๆอ่อนๆของปลายฤดูใบไม้ผลิพัดให้เส้นผมสีดำยาวสยายดูแล้วน่าหลงใหลไปพร้อมๆกับความหวาดกลัว

         พิณมองขึ้นไปบนหน้าต่างชั้นบนที่ท่าทางโจทย์เก่าเมื่อตอนกลางวันน่าจะนอนอยู่ห้องนั้น ทันใดนั้นดั่งมนตราใดๆมาต้องปีกของนกสีขาวปนน้ำตาลที่ใหญ่โตคู่หนึ่งได้โผล่ออกมาที่หลังของพิณดั่งเทพธิดามาจุติขนนกที่มีหลุดร่วงไปบ้างดูแล้วเผินๆเป็นภาพที่น่าชวนมองทีเดียว  เพียงแค่ปีกนั้นกระพือไม่กี่ครั้งตัวก็ลอยจากพื้นลมที่เกิดจากปีกทำให้หญ้าลู่ไปตามลมประกอบกับขนนกที่มีหลุดบ้างลอยเต็มไปหมด

           เพียงแค่นั้นก็สามารถมาถึงระเบียงชั้นบนได้หน้าต่างที่มีม่านปิดอยู่อย่างง่ายดาย พิณนำมือไปสัมผัสกระจกแววตาที่จ้องเขม็งมือค่อยๆลูบไปตามกระจกแต่ผ้าม่านด้านในกลับเลื่อนตามไปตามมือด้วยเหมือนนำมือไปสัมผัสเองจริงๆ

             มองเข้าไปในหน้าต่าง เห็นยัยลูกครึ่งแหม่มฝรั่งนั่นใส่ชุดนอนนอนระเกะระกะอยู่บนเตียงแต่พยายามหาแล้วเจ้าคนที่น่าจะอยู่ดันไม่อยู่ซะนี่ หายไปไหน?ทันใดนั้นด้วยความประสาทสัมผัสที่ว่องไว    

                นิลกำลังเงื้อมมือชูนิ้วโป้งพร้องที่จะโป้งทุกเมื่อ มือพิณรีบจับหักบิดข้อมือผู้ไม่ประสงค์ดีไว้ด้านหลังได้อย่างคล่องแคล่วจับกดลงกับพื้นระเบียงอย่างแรงรวดเร็วและชำนาญแต่กลับส่งเสียงแค่เพียงน้อยนิด

                      “เอาล่ะ พร้อมกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงรึยัง เธอแพ้แล้วล่ะ” เสียงเยียบเย็นเย้ยหยันของพิณประกอบกับใบหน้าที่แสยะยิ้มอย่างน่ากลัว

                     “หยะ...หยุดน่ะชั้นไม่อยากกลับไป อยู่นี่ชั้นก็มีความสุขดีอยู่แล้วเธอควรที่จะดีใจน่ะ”เสียงสั่นๆอย่างหวาดกลัวเมื่อรู้ชะตากรรมของตัวเองใบหน้าที่ซีดเผือดเหงื่อไหลอาบไปทั่งใบหน้า

                 “เหอๆๆ ดีใจกับพ่อมึงสิ กูจักไปดีใจทำไมมึงดู มึงดู้!สิ่งมึงทำกับกูไว้ดูให้เต็มตาซะ!”เสียงที่ตอนนี้กลับเป็นเสียงเชิงตะคอกแต่ก็แหบแห้งเพราะต้องพูดเบาๆ พร้อมกับใช้มือไปหันหน้าของจิกให้พยายามเหลียวมามองหน้าตัวเองที่นั่งคร่อมอยู่ด้านหลัง

    “อือ...ฮือๆๆฮึก...ฮือๆๆแล้วทำไมมึงต้องจองล้างจองผลาญขนาดนี้กูไปทำญาติฝ่ายไหนของมึงตายรึไง!!!”

    “ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะว่ะไอ้สาดดด มึงรู้มั้ยที่มึงทำร้ายจิตใจกูน่ะมันกี่ครั้งกี่หนแล้วต้องให้ชั้นตรอมใจตายต่อหน้าใช่มั้ยถึงจะสมใจมึง ฮ่ะ!!!!กูพยายามที่จะไม่คิดอะไรอีกแล้วน่ะแต่มึงก็มาจ้องทำร้ายกูอยู่นั่นแหละทีนี้ใครกันแน่ที่จองล้างจองผลาญ ฮ่ะ”พิณตะคอกไปอย่างเจ็บแค้น

           “แล้วมึงยังมีหน้ามาขอให้ชั้นดีใจอีกเหรอเฮอะไม่มีวันซะล่ะแม้แต่คำว่าขอโทษมึงเคยพูดมั้ย อ๋อตัวเองถูกฝ่ายเดียวล่ะสิใช่มั้ยล่ะ ไม่เถียงล่ะเห็นปากเก่งนักนี่ แหมก็จะเถียงได้ไงก็มันเป็นเรื่องจริงนี่นา”เสียงเย้ยหยันเจ็บแค้นของพิณยังคงพูดไม่หยุด

            สายตาโมโหโกรธาอันเกรี้ยวกราดที่นิลมองประสานกับสายตาที่อาฆาตไม่แพ้กันแต่ลึกๆแล้วมองดีๆกลับซุกซ่อนเต็มไปด้วยความเศร้า

           “ฮึ เอาเลยสิโป้งชั้นเลยเป็นการยืนยันว่าเธอชนะชั้นแล้ว”นิลเย้ยหยันอย่างไม่กลัว

           “อื้อ ก็ดีขี้เกียจมานั่งรำพึงรำพันแต่รอก่อนเถอะเดี๋ยวเพื่อนๆของแกก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว” และแล้วมือของพิณก็ง้างออกชูนิ้วโป้งจะตรงดิ่งไปแตะตัวนิลทันที

            ตาที่เบิกโพลงของทั้งคู่ราวทุกอย่างได้หยุดลงเพียงแค่นิ้วโป้งของพิณสัมผัสกับหน้าผากของนิลแสงทุกแสงส่องสว่างโพยพุ่งออกมาจากร่างของนิลตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวนร่างที่ส่องสว่างของนิลลอยขึ้นเมื่อต้องสายลมของปลายฤดูใบไม้ผลิร่างทั้งร่างก็เหมือนแตกละเอียดราวเม็ดทรายถูกพัดพาไปตามทิศทางไปเยือนบ้านเกิดของตนพัดไปหมดไม่เหลือ  แสงอณูสุดท้ายที่เหลืออยู่ดั่งหิงห้อยก็โดนพัดจางหายไป



        “เฮ่อ กว่าจะเสร็จไปคนนึง”เสียงร้องอย่างเหนื่อยล้าที่ต้องการการพักผ่อน

        “กรี๊ด!!!!!!!”

         อะไรกันยัยแหม่มนี่ตื่นขึ้นมาเหรอให้ตายเถอะ! เสียงที่ฉุกคิดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าลิสลี่ย์ที่ตื่นขึ้นมากลางดึกจะเห็นเหตุการณ์นี้พอดีด้วยสัญชาตญาณหน้าต่างถูกเปิดร่างบางรีบกระโดดเอามือปิดปากยัยแหม่มทันที

        “โอ้ย ยัยนี่เงียบๆก่อนได้มั้ยให้ชั้นอธิบายก่อน”

       หน้าตาที่หวาดกลัวของลิสลี่ย์ที่ไม่ค่อยแน่ใจกับสิ่งที่เกิดมันคืออะไรกันแน่แต่ก็พยักหน้าหงึกๆ มือที่ปิดปากไว้ก็คลายออก

         “ธะ...เธอคนเมื่อตอนกลางวันนี่”

       “อือ ใช่”

         “แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน เธอฆ่านิลไปแล้วเหรอ”

        “จะบ้าเหรอ ถึงชั้นจะแค้นมันมากก็ไม่สิ้นคิดขนาดไปฆ่าทิ้งหรอก”

          แต่ลิสลี่ย์ก็ยังคงทำหน้างงๆอยู่

         “โอ.เค เล่าให้ฟังก็ได้คือ...จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ....เมื่อตอนชั้นอยู่ป.6ก็คือเกรด6อ่ะน่ะคือชั้นก็ได้มีเพื่อนแต่ก็ไม่เชิงเพื่อนหรอกเพราะมันมีเรื่องบาดหมางกันอยู่แล้วทีนี้.......

       .........ในดงกล้วยข้างๆโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งในประเทศไทย เด็กสาวชั้นป.6คนหนึ่ง หน้ารูปใข่ตาที่เรียวเล็กสีน้ำตาลเข้มเข้มมากจนดำหน้าเนียนใสผิวที่คล้ำนิดหน่อยตัวที่ไม่สูงมากเกินไปนักผมที่ยาวถึงเอวสีดำสวยพิณที่กำลังเดินสำรวจเดินเล่นอยู่ในดงกล้วย เพราะว่าดงกล้วยอยู่ข้างๆโรงเรียนพวกนักเรียนก็ชอบมาเดินเล่นกันบ้างบางส่วนโดยเฉพาะหลังเลิกเรียนแบบนี้ด้วย   แต่พิณจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าไม่เจอเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่ต้องมาบาดหมางกันถึงแม้ตอนนี้จะทำตัวดีอยู่แล้วบ้างก็ตาม  



        เด็กผู้หญิงชั้นป.6ห้าคน  เห็นได้ชัดว่าคงกำลังแอบซ่องสุมหัวกันโดยไม่ชักชวนพิณที่อยากร่วมด้วยทั้งๆที่ตนเองก็ไม่แน่ใจว่าทำอะไรผิดทำไมต้องมาทำตัวอย่างนี้  แต่มีอยู่คนหนึ่งที่สะดุดตาพิณไปหน่อยตอนนี้กำลังหัวเราะร่าอย่างสนุกสนาน  เพื่อนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่เด็กรักกันมากจนดูเหมือนพี่น้องกันมากกว่าถ้าป่านนี้ยังคงคบกันอยู่ก็ไม่ต้องถูกเพื่อนรักตัวเองทอดทิ้งแบบนี้

       ทั้งที่เมื่อก่อนตัวเองก็ยังคุยสนุกสนานแบบนั้นได้อยู่ รักมากเพื่อนคนนี้ ทำไม ทำไมต้องเลิกคบกันด้วยชั้นยังรักเธออยู่น่ะชั้นมันไม่น่าคบขนาดนั้นเลยเหรอ  

      

        แววตาแสนเศร้าสร้อยเมื่อเห็นอดีตเพื่อนรักที่ตอนนี้ไม่เคยแม้แต่จะแยแส ไม่แม้แต่จะทัก ไม่แม้แต่พูดดีๆด้วยไม่มีอีกแล้วเหตุการณ์เหมือนวันวาน เพราะคนบางคน...



    เอ๊ะ   แต่ว่าคนพวกนั้นกำลังคุยกับใครอยู่น่ะ  พิณแอบย่องเข้าไปใกล้ๆก็เห็นอดีตเพื่อนของเธอทั้ง5คนกับ...ใครที่ไหนน่ะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ชายชราที่ใบหน้าเหี่ยวย่นตามประสาคนแก่ตาตี่ๆรู้สึกเหมือนเห็นอากงแถวบ้านถ้าไม่ใช่ว่าผมหงอกยาวสีขาวประกอบกับหนวดเครายาวสีขาวดูแล้วเหมือนพวกจอมยุทธิ์ในหนังจีนกำลังภายในเลย แต่แต่งตัวด้วยชุดเลื่อมสีน้ำเงินเหมือนกับพ่อมดมากกว่า

         พิณเดินเข้าไปใกล้ให้แน่ใจว่าคงเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้

    “เอาล่ะมีกันกี่คนเนี่ย”ชายชราคนนั้นถาม

    “เอ่อ 1...2...3...4...5...ห้าคนค่ะ”เสียงตอบจากเด็กผู้หญิงในกลุ่ม

      “อ้าว แล้วไม่รวมแม่หนูคนนั้นด้วยเหรอ”

    พิณหน้าซีดเผือดทันทีหัวใจเริ่มเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะเมื่อโดนชายชราทักแล้วพวกเพื่อนเก่าหันมา ควับ อย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อรู้ว่าโดนแอบฟัง

    “มาทำไมย่ะ”เสียงที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลยจากนิลคนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม

    ไม่มีเสียงใดๆตอบจากพิณด้วยความอึ้งและกลัวตอนนี้หัวใจไปอยู่ที่ตาตุ่มซะแล้ว เธอไม่เคยชอบให้ประจัญหน้ากันแบบนี้เลยเพราะเธอด่าใครไม่ค่อยเก่งไม่ทันด้วยทุกทีที่เป็นแบบนี้แทบทุกครั้งเธอต้องแอบเจ็บใจเสียใจร้องไห้ทุกที  และยิ่งเมื่อโดนกลุ่มเพื่อนเก่าทั้งก๊วนรุมอย่างนี้  เป็นไปไม่ได้แน่

       ทุกสายตาเหยียดหยามมองมาที่เธอ

    พิณกะว่าจะแกล้งทำหน้าเชิดๆแล้วรีบๆหนีไปดีกว่า

    “กะ...ก็..ทำไม..”

      “เอาล่ะรวมแม่หนูนี่ด้วยล่ะกัน” แต่ก่อนที่พิณจะทันตอบหมดชายชราคนนั้นก็ชิงพูดก่อน



                 ซึ่งมันเป็นคำพูดที่ไม่พึงประสงค์เลย  ทุกสายตาหันไปมองชายชราอย่างอึ้งแล้วหันมามองพิณสายตาที่เหยียดสุดๆ

      “โหย ลุงไม่ต้องไปเอายัยนี่หรอก”นิลพยายามกระซิบกระซาบกับชายชราเบาๆ

    “พิณยุ่งไรด้วยอ่ะ “

      “โอ้ย ยัยพิณนี่ยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วเลยน่ะดูเด่ะขนาดนี้แล้วยังเสนอหน้ามาอีก”

      “ไม่ต้องให้มันมายุ่งโคตรเกลียดมันเลย”

    และอีกสารพัดคำกระซิบกระซาบที่คงพยายามไม่ให้พิณได้ยิน แต่ยังไงมันก็ได้ยินเต็มๆเลยล่ะ



    ความรู้สึกเดียวตอนนี้คืออยากจะหายไปเลยอยากมีพลังอะไรก็ได้จะได้จัดการยัยพวกนี้ซะ

    ตอนนี้ความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้เอ่อล้นทันทีแต่ก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ดูเผินๆก็ดูธรรมดานั่นแหละอยากวิ่งหนีไปซะตอนนี้แต่ขามันกลับหนักอึ้งขยับไม่ได้ลึกๆกลับคิดว่า อย่าหนีน่ะไม่งั้นค่ามันก็ไม่ต่างกันหรอก



    “นี่พวกเธอ จะเล่นกันมั้ยไม่ต้องไปว่าอะไรแม่หนูคนนั้นเลยน่ะเพราะตาเป็นคนนัดให้เค้ามาเหมือนกับพวกเธอน่ะแหละ” ชายชราขัดขึ้น

       ความรู้สึกที่ตกอยู่ในภวังค์หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อชายชราพูด

    แต่ทุกสายตากับเป็นว่าเหยียดมากขึ้นไปอีก แต่มีแต่สายตาเพื่อนเก่าเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะว่างเปล่าไม่รู้ว่าคิดอะไร



    “ชิ”เสียงบ่นอย่างไม่พอใจพูดอย่างเงียบๆ

    เอ๋ อะไรกัน นัดมาเหรอนัดตอนไหนหว่าไม่เห็นรู้เรื่องเลยหรือว่าจะตอนนั้น...

         เมื่อคืนนี้...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เงียบสงัดพิณที่นอนอยู่บนเตียงในห้องที่ไร้แสงสว่างทว่าเธอกลับยังไม่หลับแต่ใบหน้ากลับมีน้ำตาที่รินไหลอาบไปทั่วทั้งใบหน้าโดยที่ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา พลางนึกไปถึงเรื่องทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันช่างหน้าเศร้าเหลือเกิน

      แต่ที่หน้าแปลกก็คือโดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าได้เจอมาจริงๆรึเปล่าเธอได้เจอกับชายชราคนนั้นที่มาเจอเธอที่ร้องไห้แบบนี้และดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอแต่ทำไมเธอกลับจำไม่ค่อยได้เหมือนเป็นความฝันที่ลืมเลือน แต่ว่าทุกครั้งที่เหมือนจะเห็นเธอกลับโดนแม่เธอมาปลุกเธอให้รีบๆตื่นซะก่อน   แล้วกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงอันโหดร้าย...

    ทำให้จำเรื่องที่เห็นไม่ค่อยได้

    แต่เมื่อคืนวานสถานที่ที่เจอกลับเป็นดงกล้วยตรงนี้ตามความฝันจริงๆ หรือว่าลุงแกจะหมายถึงตรงนี้หว่า....



    “นึกออกแล้วล่ะสิ ชั้นเป็นคนทุกคนออกมาเองแหละด้วยวิธีที่ทุกคนสงสัยนั่นแหละ”

    “แล้วลุงเป็นใครค่ะ” เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มถาม

    “หึๆๆ เรียกลุงว่า ‘มาน่า’ น่ะ”

    “โอ้โห ชื่อไม่ได้เข้ากะตัวเลยน่ะลุง”

    “ชื่อเหมือนผู้หญิงเลยอ่ะ”

    “แล้วลุงเป็นใครกันค่ะ” เสียงถามจากเพื่อนเก่าที่อยากรู้คำตอบ

    “อือ...จะพูดว่าไงดีล่ะ...เอาเป็นว่าลุงเป็นปีศาจล่ะกัน” มาน่าตอบ คำตอบนี้ทำเอาทุกคนทำหน้างงกันตามๆกัน

    “ฮ่ะๆๆ งั้นปีศาจอย่างลุงมาทำอะไรที่นี่อ่ะ” เด็กอีกคนในกลุ่มถามอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

          ชายชราไม่ตอบเพียงแต่ค่อยนั่งลงบนขอนไม้อย่างเหนื่อยล้า  “มันเป็นหน้าที่ที่ลุงที่ได้รับมอบหมายให้ทำ” ชายชราค่อยๆตอบ “ที่จะคอยทำให้เด็กๆทั้งหลายไม่เสียเด็ก ก็คือหาเด็กที่จะมาเล่นเกมเดิมพันกับลุง” คำตอบของชายชราที่ทำเอาทุกคนทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก  

       “และลุงเลือกพวกเธอ...”ก่อนที่ทุกคนจะได้ทันพูดอะไรก่อนมองหน้ากัน “ลุงมีข้อเสนอบางอย่าง ให้พวกเธอมาเล่นเกมเดิมพันกับลุง”



      “นะ...นี่ลุงจะให้พวกหนูเล่นพนันรึไง” เสียงตอบจากเด็กผู้หญิงท่าทางหยิ่งๆอีกคนหนึ่งในกลุ่ม พลางเกาะแขนลากเพื่อนๆตัวเองให้พยายามออกไปจากคนไม่น่าไว้ใจ

               แต่ก่อนที่จะได้ก้าวไปไหนชายชราคนนั้นลุกขึ้น ทันใดนั้นต้นกล้วยก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วอย่างกับดอกเห็ดเป็นสิบๆต้นทางออกจากดงกล้วยที่แค่มองไปก็เห็นตอนนี้เหมือนระยะทางมันยาวและกว้างขึ้นมองไปสุด                              ลูกหูลูกตาฟ้ายามเย็นลมสงบๆ   ตอนนี้กลับมีแต่เมฆดำลอยล่องเคลื่อนตัวไปมาอย่างรวดเร็วทั้งท้องฟ้าลมอ่อนๆกลายเป็นลมกรรโชกแรงเหมือนพายุจะมาดวงตะวันที่เห็นเกือบตกดินตอนนี้ไม่เห็นไม่แม้แต่แสงเลย



            บรรยากาศ พื้นที่สิ่งรอบตัวต่างๆตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทันทีเหมือนกับการย่างกรายของอสูรกายก็ไม่ปาน  ทุกคนตกอยู่ในความตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น  แต่ทุกสายตาหันไปมองชายชราที่ขนานนามตนเองว่า ‘มาน่า’



      “ลุง...นี่ลุงเป็นคนทำใช่มั้ย” เสียงโกรธเกรี้ยวปนหวาดกลัวของเด็กที่ใส่เหล็กดัดฟัน

      “ลุงต้องการอะไรอ่ะ” คำถามของเด็กอีกคนที่ตอนนี้ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เธอคงจะไม่กลัวขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ว่าชายชราที่เธอเห็นตรงหน้าเมื่อกี้กลับกลายเป็นคนร่างสูงทั้งตัวคลุมด้วยผ้าสีขาวหนาห่อไปรอบตัวจนแทบไม่เห็นเนื้อหนังมังสา ตามตัวมีแสงประหลาดดูเหมือนหิงห้อยอยู่รอบๆตัว



    “มา...น่า...มาน่า”เสียงพึมพำเบาๆของพิณเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์

    “บอกแล้วไงให้มาเล่นเกมเดิมพันกับชั้นถ้าเธอชนะเธอจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ...ทุกสิ่งทุกอย่างเลยน่ะ...”เสียงตอบจาก ‘สิ่งนั้น’ ที่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าใช่คนรึเปล่าเสียงที่ดูแก่ชรากลับกลายเป็นเสียงที่ดูเด็กลงมากกว่า

                ตอนนี้จากบรรยากาศที่อึมครึมแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสว่างสดใสทันทีพระอาทิตย์ที่กำลังตกดูเหมือนกำลังจะขึ้นมากกว่าเสียงนกเสียงกาทั้งหลายดังร้องเหมือนฮัมเพลงในยามเช้า เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

      “เกมเดิมพันอะไร”พิณที่สงสัยเพียงแต่ขยับปากพูดเบาๆให้แค่ตัวเองได้ยิน

    “ก็คือชั้นจะให้พวกเธอเล่นซ่อนหากัน....” สิ่งนั้นตอบมาทั้งที่ไม่น่าจะได้ยินคำถามของพิณ  

              

           แต่ไม่มีใครสนใจคำถามของพิณ นอกจากสีหน้าเอ๋อๆเนื่องจากคำตอบของสิ่งนั้น

    “จะ...จะบ้าเหรอปัญญาอ่อนน่า เล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้” เสียงเหยียดหยันโอหังไม่เปลี่ยนของนิลในกลุ่ม

    “หึหี...ก็ถ้ามันเป็นเกมซ่อนหาเด็กๆธรรมดาล่ะก็ข้าไม่ให้เจ้าเล่นหรอก...”เสียงนั้นตอบ “เอางี้เรามาตกลงเรื่องเดิมพันกันก่อนแล้วจะอธิบายการเล่น...”

       ทุกคนเริ่มมารวมตัวใกล้กันมากขึ้น

    “พวกเธอจะต้องเอาชนะชั้นให้ได้แล้วเธอแต่ล่ะคนจะสามารถสมปรารถนาในทุกสิ่ง...”ทุกคนมองหน้ากัน “แต่ถ้าพวกเธอแพ้การเดิมพันพวกเธอจะต้อง....” ตอนนี้เองที่ทุกคนเอนตัวมานิดนึงอย่างพร้อมเพรียง

        

        “พวกเธอบางคนอาจจะแค่เสียความรู้สึกเล็กๆน้อยๆ...” คำตอบที่ทำเอาทุกคนงงเต้ก

    “มะ...หมายความว่าไงอ่ะ”

    “ก็...คล้ายๆกับว่าเธอแพ้การเดิมพันแล้วเธอก็ไม่ได้อะไรเลยแบบนี้เสียความรู้สึกมั้ยล่ะ...”

    “อ๋อ งั้นก็แค่นี้เองเหรอ”

    “อื้อ...โดยปกติแล้วมันจะจบลงด้วยดีอ่ะน่ะ...”

    สายตาทุกคนมองตอบกันและเริ่มซุบซิบปรึกษากัน แต่ปราศจากพิณ

         อีกสายตาหนึ่งในกลุ่มมองอย่างไม่ค่อยไว้ใจมาที่สิ่งนั้น “แน่ใจได้ไงว่าไม่ได้มาหลอก” น้ำเสียงที่เห็นได้ชัดว่ากล้าๆกลัวๆ  

        “หึหึ...ไม่ช่างสังเกตเลยน้าเธอดูรอบๆตัวเองตั้งแต่เมื่อกี้มาสิเธอคิดว่าชั้นจะใช้เอฟเฟ็กซ์ในการทำรึไง...”

        “อึก...อ่ะ...”เสียงพูดไม่เต็มปากของเด็กอีกคน



    เห็นได้ชัดว่าตอนนี้บรรยากาศดูเหมือนยามเช้าซะมากกว่ายามเย็นในดงกล้วยก็ดูเหมือนป่าซะมากกว่านอกจากกล้วยแล้วยังมีต้นไม้อื่นๆขึ้นเต็มไปหมดจนรกเหมือนป่าขนาดย่อมๆ



       “แล้วกติกาการเล่นล่ะ

       “หึหึหึ....นึกว่าจะไม่อยากรู้ซะแล้ว...” ตอนนี้ทุกคนเกาะกลุ่มจับมือประสานกันซะแนบแน่น

       “กติกาก็เหมือนเล่นทั่วๆไปนั่นแหละแต่ว่า...การเดิมพันจะต้องมีหนึ่งคนมาอยู่ฝ่ายชั้นซึ่งคนนั้นจะเป็นคนหา     ถ้าหากผู้หาสามารถหาได้ครบทุกคนแล้วเมื่อนั้นจะสามารถขออะไรก็ได้ตามกติกา ในการหาเมื่อผู้หาเจอผู้ซ่อนคนหนึ่งแล้วต้องใช้นิ้วโป้งแปะร่างกายส่วนไหนก็ได้แล้วพูดว่า ‘โป้ง’ เมื่อนั้นเป็นอันว่าหาได้อีกคนหนึ่งโดยสมบูรณ์...

       สับกันถ้าผู้ซ่อนไปโป้งแปะผู้หาก่อนก็ถือว่าเป็นผู้ชนะเป็นอันจบเกมคนคนนั้นจะสามารถขออะไรก็ได้”



    และแล้วเวลานี้มักจะเป็นเวลาหนึ่งที่พิณเกลียดที่สุด ‘จับกลุ่ม’ และ ‘เลือกออกมาคนหนึ่ง’ เพราะเวลาจับกลุ่มด้วยความเสียเพื่อนไปแล้วก็เลยไม่มีคนเอาด้วยสุดท้ายก็เป็นเศษทุกที   แล้วเวลาให้คัดออกมาคนก็รู้สึกเหมือนทุกสายตามองมาที่เธอเป็นอาการบีบคั้นอย่างมากสำหรับส่วนเกิน



        และก็เป็นแบบนั้นอีกจริงๆทุกสายตามองมาที่เธอ...

    “ไอ้พิณแกเป็นคนหาล่ะกันน่ะ” เสียงเสแสร้งไร้ซึ่งความจริงใจประกอบกับใบหน้าที่แสร้งทำใสซื่อพูดขึ้น

    “เออๆ ไอ้พิณแกเป็นน่ะแหละ เนอะๆๆ”ทุกเสียงในกลุ่มเออออกัน

    “............”ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาจากพิณเพราะพูดไม่ออก



      สิ่งนั้นก็มองมาที่พิณตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องที่เธอ ตอนที่เธอเกลียดที่สุดมักจะคอยวนเวียนหาเธออยู่เรื่อยไปอยากหายไปซะตอนนี้เลยอยาก...ร้องไห้



    “ดี...ถ้างั้นแม่หนูนั่นเป็นคนหาล่ะกัน”เสียงสรุปจากสิ่งนั้น  

        

         อะไรกันเมื่อกี้ยังไม่อยากให้ชั้นยุ่งอยู่เลย....พิณนึก   “เอาล่ะใครที่รู้ตัวว่าอยู่ฝ่ายชั้นมาทางนี้...”เสียงจากสิ่งนั้นดังขึ้นอีกครั้งร่างบางจำใจขยับตัวไปหาอย่างหวาดๆ ท่ามกลางทุกสายตา

    “เอาล่ะ ทีนี้ก็เรื่องที่ซ่อนก็...”สิ่งนั้นพูดต่อ

    “อ้าว แบบนี้ไอ้พิณมันก็รู้ดิว่าเราจะไปซ่อนที่ไหน มันเล่นยืนหัวโด่เงี้ย”เสียงไร้ซึ่งความเป็นมิตรดังขึ้น

    “เออ แล้วมายืนทำบ้าไร ออกไปก่อนเด่ะ”

    “ขอร้องอย่าแกล้งโง่แค่นี้ก็นึกไม่ออกบ้าป่ะ”

    “โอ้ย ไอ้พิณแกก็รีบๆออกๆไปก่อนดิคนอื่นเค้าจะได้คุยกันจะได้เริ่มเล่นซะที”

                     และอีกหลายเสียงครหาที่ทำเอาพิณตัวหงอ   “หยุดเดี๋ยวนี้น่ะ! แม่หนูนี่ถือว่าเป็นฝ่ายชั้นแล้วเธอจะทำตามคำสั่งชั้นเท่านั้นคนอื่นไม่มีสิทธิ์มาว่า!!!!...”  ทุกคนตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินไม่นึกว่าอย่างพิณใครมันจะแก้ต่างให้



        “หนูพิณขอชั้นคุยเรื่องที่ซ่อนกับคนพวกนี้ก่อนน่ะ ช่วยไปหลบอยู่ตรงโน้นซักแป๊ปนึงน่ะ...”เสียงนั้นพูดขึ้นกับพิณแต่เป็นเสียงที่อ่อนโยนลงมาก

    “อ่ะ...ค่ะ” พิณรับคำพลางเดินไปให้ไกลที่สุดโดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นหมายถึงตรงไหนถ้าให้ดีเธออาจแอบหาทางออกแล้วรีบหนีซะเลยดีกว่า

      ต้นกล้วยต้นหนึ่งที่มีผลดกมากที่สุดในบริเวณแถบนี้...ทำไมรู้สึกต้นมันใหญ่ผิดปกติหว่าจะมีนางตานีมั้ยเนี่ย? แต่อย่างน้อยพิณก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ พอตัวเองเดินจากมาเสียงซุบซิบเบาๆแต่ได้ยินซะชัดแต่ฟังแล้วไม่ค่อยได้ศัพท์เท่าไหร่ดังขึ้น  

             เฮ่อ พิณถอนหายใจกับเรื่องทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งบรรยากาศดีอย่างมากยืนเอาหลังพิงกับต้นกล้วย น้ำตาที่เริ่มคลอเบ้าจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเข้มมากจนดำตอนนี้กลับเริ่มเป็นสีแดง  เมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น



       ความผิดของชั้นใช่มั้ย?ทำไมต้องทำกันแบบนี้ คำถามที่วนเวียนอยู่ในจิตใจของเธอเรื่อยมา ผิดที่ไม่ใช่คนร่าเริง ผิดที่ไม่ชอบพูด ผิดที่ไม่มีใครคบ ผิดที่สอบตก ผิดที่ร่างกายอ่อนแอ ผิดที่หน้าตาไม่ดี ผิดที่ ? ทำไม...ทำไม...

    ทำไม...คนเลว...ชั้นน่ะเหรอ



          “พิณๆ...ไอ้พิณโว้ย ! หูหนวกเหรอ”คนๆหนึ่งในกลุ่มตะโกนเรียก

    ร่างบางเมื่อได้ยินได้สติขึ้นมารีบเดินมาที่เดิม

         “เอาล่ะ ต่อไปก็จะให้ไอ้พิณมันนับเลขเท่าไหร่”

         “ตลอดชีพ”

        “แสนโกฏิปีเลย”

         “หลายๆเลย”

           เมื่อทุกๆเสียงพูดก็ตามด้วยเสียงหัวเราะทันที

    “นี่ๆ การให้คนหานับเลขตามจำนวนที่กำหนดมันเป็นช่วงระยะเวลาที่จำกัดให้เราไปหาที่ซ่อนน่ะ...”เสียงนั้นแย้งขึ้น    “เพราะฉะนั้นเจ้าตัวก็ต้องเป็นคนกำหนดเองต่างหาก...”เสียงนั้นสรุปอย่างหนักแน่น ทำเอาทุกคนหน้ามุ่ย

    “เอ้าได้ยินแล้วนี้ ไอ้พิณแกจะเอาเท่าไหร่ล่ะ”

    คำถามทำเอาพิณยืนนึกไปก่อน...ชั้นจะไปรู้มั้ยว่าพวกแกไปซ่อนที่ไหนมาทำให้กำหนดเวลา...เออหาเวลาไม่ถูกใจอย่ามาด่าล่ะกัน



    “เฮ้ย เร็วๆดิจะได้รีบๆเล่นชักช้าอยู่นั่นแหละ”

    “5วินาที”

    “เฮ้ย!!!!!”ทุกเสียงสบถขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง “จะบ้าเหรอ เวลาแค่นั้นใครมันจะไปซ่อนทันว่ะ”

    “มันเป็นสิทธิของชั้นไม่ใช่เหรอ ที่จะเลือกได้ตามใจชอบ”พิณที่พูดด้วยอารมณ์เลือดขึ้นหน้าซะแล้ว

    “อือ ใช่เมื่อผู้หาประกาศอย่างนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ...”เสียงนั้นพูดขึ้น

       ทุกคนเริ่มสบถด้วยความไม่พอใจแล้วเริ่มแอบๆไปพูดซุบซิบนินทาทันทีซึ่งไม่ได้เบาเลยเพราะได้ยินชัดแจ๋ว

    “งั้นก็ปิดตาสิ...”สิ่งันั้นพูดขึ้นพร้อมกับเอาผ้าสักหลาดสีแดงผืนใหญ่ลายดวงดาวจักรราศีขึ้นมามัดปิดดวงตาไว้แล้วพาพิณไปยืนหันหน้าพิงเข้ากับต้นกล้วย

    “เริ่มนับได้...”เสียงนั้นตะโกน

    “...1...”ภายใต้ความมืดมิดได้เริ่มนับวินาทีแรก “...2....3....4...5...”ทุกอย่างกลับสว่างขึ้นเมื่อนับวินาทีสุดท้ายเสร็จเงยหน้าขึ้นมาเอาผ้าปิดตาออก หันไปมองรอบๆ....

       ...ไม่มีใครเลยสิ่งนั้นก็ไม่อยู่ไร้วี่แววของทุกคนเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนแต่ว่าทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมฟ้ากลับมาเหมือนยามเย็นดงกล้วยรกๆกลายเป็นเหมือนเดิมเห็นทางออกอยู่ไม่ไกลพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตก

      อะไรเนี่ยหายไปไหนหมดว่ะ...

    ตุบๆๆๆๆ  ฟึบๆๆๆๆ เฟี้ยว! เสียงอะไรน่ะอยู่ๆพิณก็เกิดประสาทสัมผัสไวผิดปกติ...บางอย่าง...กำลัง...วิ่งหนี ไม่สิหาที่ซ่อนมากกว่าแต่ความรู้สึกมันไม่ใช่แถบนี้ไม่ใช่ในเขตรั้วโรงเรียนไม่ใช่จังหวัดนี้ มันไปซ่อนที่ไหนซะไกล



       แต่ก็จำต้องวิ่งตามอย่างไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน ซ่อนที่ไหน ยิ่งวิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็รู้สึกเหมือนทางมันเป็นป่ามากขึ้น รกขึ้น และดูแปลกๆเพราะตัวเองไม่เคยเดินมาลึกขนาดนี้เลยจากดงกล้วยดูเหมือนป่าซะมากกว่าต้นกล้วยเริ่มน้อยลง เริ่มมีแต่ต้นไม้ใหญ่ ต้นตะเคียน ต้นไทร ต้นสน ต้นก้ามปู และต้นไม้ขนาดมหึมาต่างๆ

                

           มองไปเห็นแม่น้ำ แม่น้ำใสสะอาดมีจอกแหนอย่างไม่น่าเชื่อว่าในกรุงเทพจะเหลือแม่น้ำลำคลองสะอาดๆ เห็นวงจรชีวิตต่างๆนกบินโฉบไปมา ฝูงลิงปีนขึ้นไปเก็บผลไม้ วิ่งเล่นกัน ไก่ป่าแม่ลูกขุ้ยเขี่ยหาอาหารปลาบึกตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาเห็นส่วนหัวอันมหึมา สายลมเย็นปะทะใบหน้า วิ่งไปๆๆยิ่งวิ่งไปเรื่อยๆก็เหมือนกับตัวเองจะบิน



        ร่างกาย รู้สึกปลอดโปร่งเบาหวิวเหมือนขนนกปลดเปลื้องทุกความทุกข์ใดๆร่างกายเปล่งรัศมีออร่า ปีกสีขาวคู่ใหญ่ยักที่หลังของพิณได้กางออกโผทะยานปะทะสายลมแสงแดด เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของทุกสรรพสิ่ง

    ตุบ โครมร่างทั้งร่างของพิณตกลงสู่พื้น “แอ้ก อะไรเนี่ยเมื่อกี้นี้มัน...โอย” เหยียดตัวเองให้ยืนขึ้นพลางมองไปรอบๆ  

               “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะว่าจะมีป่าโปร่งที่นี่ด้วยถ้ารู้งี้แอบชิ่งมาหลบมุมบ่อยๆดีกว่า” มองไปยังพื้นผิวแม่น้ำแสงแดดที่สาดส่องเป็นประกายเหมือนเพชรระยิบระยับ อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การนอนอย่างยิ่ง พลางถอนหายใจเหมือนไร้ความทุกข์ทั้งมวล

       “เอ เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงอยู่เลยนี่นาแล้วหายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย ถ้ามัวแต่ให้ไล่แบบนี้ก็เกมวิ่งไล่จับชัดๆต่างกันตรงไหนว่ะ”พิณบ่น



             พลางเดินไปที่แม่น้ำใสสะอาดก้มมองเงาตัวเองในน้ำ ทรุดโทรมมากเลยน่ะเนี่ย นึกขึ้นได้  น้ำงั้นเหรอ พิณค่อยๆก้มหน้าไปช้าๆเรื่อยๆเกือบติดผิวน้ำ

    ได้ยิน ชั้นได้ยินบางอย่าง บางอย่าง...บางอย่าง....ที่...ที่..มัน...คือ...



    “พิณ...!”พิณสะดุ้งเฮือกกับคำเรียกขาน ใครน่ะหันกลับไปแทบต้องผงะร่างนั้น “สิ่งนั้น”นี่นา

    “ทำไมวิ่งพรวดพราดมาอย่างนี้...เธออยู่ฝ่ายเดียวกับชั้นไม่ใช่รึไง...ลืมไปแล้วรึ...”สิ่งนั้นยังคงพูด

    พิณค่อยๆยันตัวขึ้นอย่างหวาดๆสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  พวกแกทำชั้นแสบมากน่ะมาให้ชั้นอยู่เจ้าเนี่ย  

    “มานี่ก่อนสิ...”สิ่งนั้นพูดพลางนั่งลงบนขอนไม้

    “คุณรู้เรื่องเมื่อกี้ด้วยใช่มั้ย”พิณถามอย่างกล้าๆกลัวๆพลางนั่งลงบนขอนไม้ที่อยู่ตรงข้ามกับสิ่งนั้น เหมือนกับถูกจัดวางให้เป็นที่นั่งสำหรับสนทนาโดยเฉพาะ

    “อ๋อ ที่เธอได้ยินเพื่อนๆของเธอวิ่งไปซ่อนที่ต่างๆน่ะเหรอ...” พิณพยักหน้า “แล้วก็สถานที่แห่งนี้ทั้งเรื่องชั้นที่ซ่อนด้วย...ใช่มั้ย...” คราวนี้พิณนิ่งได้แต่นั่งมองหน้า

    “เธอคิดว่าเพื่อนเธอจะไปซ่อนกันที่ไหน...”     พิณมองหน้า

    “หนูจะไปรู้เหรอค่ะว่าพวกเค้าจะไปซ่อนกันที่ไหน”พิณพูดอย่างหัวเสีย “แล้วที่สำคัญทำไมเรื่องแค่นี้คุณจะมาทำเป็นไม่รู้เหรอหนูรู้น่ะว่าคุณน่ะรู้แน่นอน”

    “เหอะๆๆ...นี่แสดงว่ายังฝึกตัวเองมาไม่พอน่ะ...โดนยั่วนิดหน่อยก็โมโหแล้ว...” พิณหลบตาแต่ความโกรธกลับเพิ่มพูนขึ้นในใจ

          “ความจริงชั้นถือว่าเป็นกรรมการน่ะทำอะไรไม่ได้หรอกไม่งั้นจะถือว่าเป็นการ ‘โกง’น่ะ...”คราวนี้พิณหันมามองตาค้อนใส่ “แล้วไหนบอกว่าอยู่ฝ่ายเดียวกัน”

          “มันก็ใช่ว่าจะไม่ใช่ซะทีเดียวเธอก็เหมือนกับคนที่ชั้นส่งไปนั่นแหละ...”พิณหันมามองอย่างสงสัย “ชั้นว่าเธอฟังชั้นให้จบก่อนดีกว่า...”

                                

                       “...คือชั้นอยากจะบอกก่อนว่า...ความจริงเนี่ยชั้นไม่ได้บอกกฎทั้งหมดแก่พวกเธอแล้วกฎแต่ล่ะกฎที่บอกก็ไม่เหมือนกันด้วย”พิณตาเบิกกว้างทันทีกำลังจะอ้าปากพูด “แต่เดี๋ยวฟังก่อนที่ชั้นไม่ได้บอกเธอไปก็คือว่าที่ที่พวกเพื่อนๆของเธอไปซ่อนกันน่ะชั้น...ไม่กำจัดเขตแดน....”

            พิณมองหน้าด้วยความฉะงงก่อนนึกๆไปก่อน..และ.. “งั้นก็หมายความว่ามันจะไปซ่อนที่ที่ไหนในโลกก็ได้งั้นสิ   ไม่สิมันไปซ่อนอยู่บนดวงจันทร์ยังได้เลยใช่มั้ย!!!!!!”พิณพูดขึ้นเมื่อคาดการณ์ได้แบบนี้

       “อือ...ใช่แล้วล่ะมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเธอน่ะว่าเธอจะสามารถไปหาได้ที่ไหนรึเปล่าเพราะชั้นบอกไปแบบนี้พวกนั้นก็บอกจะไปซ่อนสุดล่าฟ้าเขียวให้หาไม่เจอหรืออาจจะไปซ่อนในที่ๆเธอไม่มีวันนึกถึงหรือหาเจอแน่นอน....”พิณที่ตอนนี้สีหน้าถอดสีไปแล้ว “แล้วก็บอกว่าจะซ่อนฝุ่นธุลีในขี้เล็บยันใต้แสงสว่างของพระสุริยาด้วยล่ะ”

        “หา จะบ้าเหรอที่ซ่อนบ้าบออะไรขนาดนั้น!”พิณที่สับสนกับที่ซ่อนของเพื่อนตัวเอง “แต่เดี๋ยวถ้าที่ซ่อนมันขนาดนั้นแล้วมันจะวิ่งไปภายในไม่กี่วินาทีได้ไงล่ะ”

       “ใจเย็นๆก่อนสิ ใช่ว่าเธอจะเสียเปรียบฝ่ายเดียวน่ะ”ตอนนี้เองที่พิณกลับมาคืนสติ “คือที่เพื่อนๆของไปซ่อนกันภายในเวลาไม่ถึงนาทีเนี่ยเพราะว่าส่วนหนึ่งก็เพราะชั้นเอาพลังตัวเองเข้าช่วย และด้วยใจนึกของพวกนั้นว่าจะไปที่ไหน” ใบหน้าของพิณเริ่มซีดเผือดทันที

          “แบบนี้ชั้นมิต้องแพ้พวกมันงั้นเหรอชั้นไม่รู้ว่าพวกมันอยู่ไหนแต่พวกมันรู้นี่ถ้าเกิดวันไหนที่มันอยากจะชนะหรือเบื่อที่จะซ่อนแล้วมันมิออกมาจากที่ซ่อนแล้วโป้งแปะชั้นเหรอ” ไม่มีเสียงตอบจากสิ่งนั้น “แล้วมันก็อยู่ที่ไหนก็ได้บางทีตอนนี้มันอาจอยู่ข้างหลังชั้นก็ได้!”พิณตะคอก

    “นั่นแหละที่เธอไม่ได้รู้ แต่ละที่ที่ผู้ซ่อนได้เลือกไปซ่อนแล้วจะต้องอยู่อย่างนั้นไปจนกว่าจะถูกหาเจอ หรือผู้หาประกาศยอมแพ้ไม่งั้นก็ผู้ซ่อนประกาศยอมแพ้ซะเอง...”

    “ละ...แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งผู้ซ่อนเกิดเบื่อที่จะซ่อนล่ะ”

    “ทำไม่ได้หรอก เพราะไม่งั้นจะถือว่าเป็นการ ‘โกง’ ชั้นตั้งกฎนี้มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่ถ้าผู้ซ่อนยังคิดจะ ที่จะ‘โกง’อยู่ล่ะก็ผู้ซ่อนจะถูกลงโทษให้ไปอยู่ในส่วนที่ตัวเองทั้งเกลียดทั้งกลัวที่สุด และเป็นที่ที่ผู้หาไม่สามารถหาเจอได้เหมือนกันจะต้องจมอยู่ในฝันร้ายอย่างนั้นตลอดกาล...” พิณทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก “แต่ก็จะหลุดจากพันธนาการนั้นได้ก็ต่อเมื่อผู้หามาเจอและปลดปล่อยไปนั่นแหละ...”

    “ละ...แล้วถ้าผู้ซ่อนกลับย้ายที่ซ่อนไปเรื่อยๆแบบนั้นมิกลายเป็นเล่นวิ่งไล่จับแทนเหรอ”

    “เกมของข้า ไม่มีผู้ใดสามารถมาเปลี่ยนกลเกมได้หรอก...”พิณทำหน้าไม่เข้าใจ “ผู้ซ่อนจะเลือกที่ซ่อนตามความปราถนาของตนนั่นก็แปลว่าก็คงจะเลือกที่ๆตนเองชอบพออยู่บ้าง...เพราะงั้นผู้ซ่อนจะลุ่มหลงกับที่ซ่อนนั้นและไม่ยอมออกมาเพราะงี้ไงล่ะถึงต้องมีผู้หา...แต่ก็มีน้อยคนน่ะที่จะย้ายที่ซ่อนหรือรุกมาหาผู้หา...”ทันทีที่สิ่งนั้นพูดจบตัวพิณเองก็รู้สึกไม่ค่อยอยากจะหาซะแล้ว



       “อะ...เออ...คุณ...”พิณตะกุกตะกัก“บอกแล้วไงว่าชั้นชื่อ ‘มาน่า’... ”

    “อะ...อือ...มาน่า”พิณเริ่มเกิดความอาย  “ว่าไง...”

    “แล้วชั้นจะไปหาพวกนั้นได้ยังไงเล่า”พิณถาม

    “เมื่อกี้เธอรู้สึกไม่ใช่เหรอ...” พิณเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ประหลาดเมื่อกี้ “ใช่แล้วล่ะ...และนี่เป็นสิ่งที่ชั้นไม่ได้บอกพวกผู้ซ่อนคือเธอจะได้ความสามารถในการหาทวีคูณเพิ่มเป็นเท่าตัวเหนือคนธรรมดา” มาน่าเริ่มพูด “ดังนั้นต่อให้พวกนั้นไปซ่อนสุดล่าฟ้าเขียวยังไงถ้าเธอรู้รับรองพวกนั้นหนีเธอไม่พ้นแน่...”

      คำพูดของมาน่าทำเอาพิณเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที



             “ละ...แล้วชั้นจะได้อะไรบ้าง”

    “เหอๆๆ เดี๋ยวก็รู้ว่าชั้นจะทำอะไรให้เธอได้บ้าง...”มาน่าเริ่มพูดจาสนิทสนม

             “งั้นพวกเค้าอยู่ที่ไหนล่ะ”

    “อ้าว หาเองสิก็เธอเป็นคนหาไม่ใช่เรอะ...”พอจบประโยคพิณหน้าเปลี่ยนอารมณ์ทันที “เอาเถอะ แค่นี้ก็นับว่าดีโขแล้ว”

    “แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะ...”

    “นี่ถ้าเกิดว่าชั้นไม่ยอมตามหาเนี่ยจะเกิดอะไรขึ้น”

    “ก็ไม่มีอะไรมากเพราะว่าสถานที่ที่ผู้ซ่อนไปซ่อนนั้นจะเป็นความสมัครใจของตัวเขาเองเขาก็ย่อมเลือกที่ที่เขาอยู่แล้วสุขสบายเหมือนความฝันน่ะสิ...”มาน่าตอบด้วยเสียงเยือกเย็นพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆแต่ภายใต้ผ้านั้นแทนที่จะเป็นความมืดกลับเป็นแสงเรืองรอง จนทำเอาพิณรู้สึกอุ่นไปเลย

    “มะ...หมายความว่าไงที่ที่ไปซ่อนจะเป็นที่ไหนก็ได้แล้วเกิดไปซ่อนในรูหนูเงี้ยจะเข้าไปได้เหรอ”

    มาน่าไม่ได้ตอบอะไรเพียงโค้งศรีษะ “ด้วยอำนาจของข้าผู้ซ่อนสามารถซ่อนได้ในที่ที่ตนต้องการ...”

    พิณรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที “ละ...แล้วแบบนี้ชั้นก็โดนโกงได้น่ะสิ”

    “หึหึหึ...เธอนี้พูดไม่รู้เรื่องรึไงก็บอกว่าถ้าผู้ซ่อนไม่ยอมอยู่ในที่ที่ตนเลือกไว้แล้วแต่เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆจะกลายเป็นว่าเกมนั้นคือวิ่งไล่จับไม่ใช่เล่นซ่อนหาก็ถือว่า ‘ผิดกฎ’จะต้องถูกย้ายไปในสถานที่ที่ผู้หาไม่มีวันหาเจอกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นได้...” พิณเริ่มเข้าใจ “แต่ส่วนใหญ่พอได้ไปอยู่ในที่ซ่อนแล้วไม่ค่อยออกมาน่ะเพราะว่าที่ๆเลือกแล้วจะกลายเป็นความฝันที่ไม่อยากตื่นเลย ก็คือสถานที่นั้นทำให้เจ้าตัวมีความสุขมากเฉกเช่นความฝันที่ไม่อยากตื่นไม่อยากกลับอยากอยู่ที่แห่งนั้นตลอดไป...”



           “อ๊ะ เพราะงั้นก็เลยให้ชั้นมีหน้าที่เป็นคนปลุกขึ้นมาล่ะสิ”

    “อื้อ เข้าใจแล้วล่ะสิน่ะ...”มาน่ากล่าว

    “แล้วถ้าชั้นไม่ยอมหาล่ะแบบว่าหาไม่เจอเป็นสิบๆปีล่ะจะเป็นไรรึเปล่า”

    “คนที่เป็นน่ะเธอมากกว่าเพราะผู้ซ่อนเมื่ออยู่ในที่ซ่อนก็เท่ากับว่าเขาไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งหรือโลกส่วนตัวนั่นแหละเวลาเขาก็หยุดอยู่แค่นั้นรอเมื่อไหร่จะถึงเวลาตื่นจากความฝัน แต่ส่วนใหญ่จะลุ่มหลงกับความสุขเหล่านั้นน่ะ...”

    “ละ...แล้วชั้นจะลำบากได้ยังไงกันก็ชั้นไม่ได้เกี่ยวไรด้วยนี่”

    “หึหึหึ นั่นแหละยิ่งเกี่ยวเข้าไปใหญ่ถ้าเธอไม่ยอมหาล่ะก็อีกฝ่ายที่ติดอยู่ในความฝันอีกด้านเธอก็จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับฝันร้ายไล่ล่าเธอไปจนกว่าจะจบเกมน่ะสิ...”

        คำพูดนั้นทำเอาพิณหน้าซีดเผือดทันที ทำไมน่ะทำไม เรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเธอด้วย “มาน่าก็ลองดูสิ ให้ชั้นติดแหง็กอยู่ในฝันร้ายน่ะ แค่นี้ชั้นก็ฝันร้ายจนนอนไม่หลับอยู่แล้ว”พิณพูดไปน้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า

    “ถ้างั้นก็รีบหาซะเถอะน่ะ...”มาน่าพูดปลอบพลางลูบหัวพิณแต่มือนั่นกลับเป็นเพียงมือธรรมดาเหมือนคนทั่วไปเพียงแต่มันเปล่งแสงไม่หยุดจนรู้สึกอบอุ่น
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×