คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #82 : 64th CHAOS - There will be Love there
หลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มไม่ค่อยออก
จริงอยู่ที่มันควรจะดีใจ เมื่อได้รู้ว่ายูริไม่ได้เกลียดกันอย่างที่ผมคิด แต่ในความเป็นจริงมันเจ็บปวดกว่านั้นมาก เพราะหากยูริเกลียดผมบ้างยังคงพอที่จะหักล้างกับการกระทำของคนขี้ขลาดอย่างผม หรือถ้าหากผมได้รู้มาก่อนบ้างว่ายูริยังมีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลืออยู่ ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ระหว่างเรามีแต่ความหมางเมินแบบนี้เลย
ผมครุ่นคิดระหว่างเราทุกคนกำลังลากกระเป๋าเดินทางลงมาเพื่อรอเวลาต่อรถสองแถวไปสถานีรถไฟอยู่ แต่สายตาที่จับจ้องเพียงใบหน้าขาวอันคุ้นเคยนั้นของผม ไม่เคยได้รับการตอบกลับมา
ผมคิดอะไรในหัววกวนไปเรื่อยเปื่อย จนไม่รู้ว่าจะเริ่มจัดการกับเรื่องไหนก่อนดี ผมไม่มีสมาธิแม้กระทั่งตอนที่รุ่นพี่เขาเฉลยกิจกรรมปอบกันว่ามีใครในค่ายเป็นปอบบ้าง (ก็ไอ้เหี้ยปุณณ์นั่นแหละครับหนึ่งในพวกปอบ แถมยังมีผลงานดีเด่น เพราะฆ่าทั้งผม ทั้งเอิ้น ทั้งไอ้ปาล์ม ไอ้พีท แถมยังฆ่าคนในสีมันอีก 2 รุ่นพี่ 2 คนสีอื่นอีก 1 ไอ้เหี้ยนี่มันโหดจริง ส่วนไอ้โอมแท้จริงแล้วเสือกเป็นหมอผีครับ มันบอกมันอุตส่าห์เดินโต๋เต๋ไปมาอยู่คนเดียวตั้งหลายที กะจะล่อให้ไอ้ปอบปุณณ์เข้ามาแดกสักหน่อย จะได้จับใส่หม้อถ่วงน้ำซะ แต่เชี่ยปุณณ์ก็เสือกรู้ทัน ไม่ยอมเข้าไปแดกไอ้โอมสักที เชี่ยโอมเลยกลายเป็นหมอผีบ่มิไก๊ จับปอบไม่ได้ โดยทำโทษไปตามวาระครับ แอบสะใจ) หรือแม้แต่ตอนที่พี่เขาเรียกคนโดนปอบฆ่าอย่างพวกผมไปทำโทษซ้ำ (เพราะดันทะเล่อทะล่าให้ปอบแดก) ผมก็ยังไม่มีสมาธิเท่าที่ควร
คนที่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่คือปุณณ์ วงแขนอุ่นนั้นดึงผมไปกอดคอหลวม ๆ แล้วตบไหล่เบา ๆ ระหว่างที่เราทั้งหมดกำลังขึ้นรถสองแถวเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟอยู่ ผมยิ้มรับการกระทำนั้นทั้งที่ความรู้สึกหน่วง ๆ ยังไม่หายไปจากใจ หรือแม้กระทั่งบนรถไฟสายเหนือที่กำลังวิ่งกลับกรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากกองสันทนาการและเพื่อนร่วมค่ายคนอื่น ๆ พากันเดินแลกเบอร์โทร แจกอีเมล รวมถึงยื่นสมุดค่ายของตัวเองให้เพื่อน ๆ ช่วยเซ็นกันจ้าละหวั่น แต่ผมกลับไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมใด ๆ เลย
ครั้งหนึ่งที่โอมถามปุณณ์ว่าผมเป็นอะไร ปุณณ์ตอบเพียงว่า คงจะเหนื่อย ผมแอบขอโทษโอมในใจที่ทำให้มันต้องเป็นห่วงอยู่เสมอ
เรามาถึงกรุงเทพฯ กันประมาณสี่โมงเย็นกว่า ๆ เพื่อนทุกคนโบกมือลากันหน้าหัวลำโพงก่อนจะเข้ามาตบหัวตบไหล่ผมคนละทีสองที ผมแค่นยิ้มให้พวกมันอย่างขอบคุณ ก่อนจะถูกทุกคนบังคับให้เกี่ยวก้อยสัญญาว่า พรุ่งนี้เป็นวันเปิดเทอมซัมเมอร์วันแรก ผมต้องไปเรียน และต้องกลับไปบ้าเหมือนเก่าด้วย (หมายความว่าไงวะ บ้าเหมือนเก่า มึงด่ากูบ้าเหรอ) ผมหัวเราะก่อนจะยอมสัญญากับพวกมันทั้งที่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าแค่ผ่านคืนนี้ไปได้ อะไร ๆ ก็คงดีขึ้นตามลำดับเหมือนครั้งที่แล้ว
"เอกมัยครับ" ปุณณ์ยื่นหัวไปบอกพี่คนขับแท็กซี่ในรถ รอจนเขาพยักหน้ารับแล้วจึงเปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่งก่อน ผมยิ้มแห้ง ๆ ขอบคุณมันพลางโยนสัมภาระแล้วยัดตัวเองเข้าไปตามด้วยปุณณ์อีกคน
"ไปหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านมั้ย" ปุณณ์ถามผมทั้งรอยยิ้มกว้าง เรียกให้ผมยิ้มตอบก่อนจะส่ายหัวกลับ
"ไม่อะ ที่บ้านกูคงมี"
"งั้นกูไปกินบ้านมึงนะ มีใครอยู่รึเปล่าวันนี้" หึหึ ถามแบบนี้หมายความว่าไง ผมเลิกคิ้วยียวนกลับ ก่อนจะอ้าปากตอบช้า ๆ ชัด ๆ
"บอก - ให้ - โง่" ตอบแบบนี้เลยได้รางวัลเป็นกำปั้นเสยหัวทีนึงเลยครับ โอ๊ย นี่มึงไม่เห็นรึไงว่ากูมีสภาพป่วยทางจิตอยู่ ไอ้ชั่ว
ผมเกาหัวเคือง ๆ ระหว่างมองออกนอกกระจกเพื่อจะเจอแต่รถรามากมาย สาเหตุของการจราจรค่อนข้างติดขัดบนถนนเมืองหลวงแห่งนี้ ผมนิ่งมองภาพรถยนต์แน่นขนัดเหล่านั้นโดยมีมอเตอร์ไซค์คอยขับผ่านช่องว่างระหว่างรถเป็นระยะ ๆ ขณะที่รู้สึกทั้งหน่วงและอึดอัดใจ
รอยยิ้มของยูริที่ทะเลหัวหินวันนั้นย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง ผมยังจำได้ว่ารอยยิ้มนั้นน่ามองแค่ไหน น้ำตาของยูริที่หน้าตู้สติ๊กเกอร์วันนั้นกลับมาเตือนความทรงจำผมอีกครั้ง ผมยังจำได้ว่าผมเกลียดตัวเองเพียงใด เช่นเดียวกับภาพยูริที่วิ่งออกมาจากห้องน้ำเมื่อวานนี้ ทุกวินาทียังคงเฝ้าฉายหมุนซ้ำไปซ้ำมาในหัวผมราวกับกดปุ่ม replay โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และคงเป็นเช่นนั้นต่อไป ถ้าไม่ได้มีท่อนแขนอุ่น ๆ เอื้อมมาโอบไหล่ผมไปกอดไว้หลวม ๆ พลางกดหัวผมลงกับไหล่มันเป็นการบังคับกลาย ๆ ให้นอนซบลงมา ไม่ต้องมองและคิดอะไรอีก
เหอะ ๆ ไอ้เผด็จการ ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างที่เปื้อนรอยยิ้มนิด ๆ ของปุณณ์พลางคิดว่ามันเป็นเผด็จการที่น่ารักที่สุดในโลก
ผมหลับตาลงตัดขาดจากสภาพการจราจรอันคับคั่งและสภาพจิตใจอันวุ่นวาย เพื่อดำดิ่งในห้วงนิทราที่มีปุณณ์อยู่ใกล้ ๆ
ฝ่ามืออุ่นที่กุมมือผมไว้แนบแน่น เตือนให้รู้ว่าตราบใดที่ผมมีปุณณ์ ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี
***
"โน่ ตื่นเร็ว ไปนอนต่อในบ้านนะครับ" ไม่นานนักเสียงทุ้มก็ปลุกผมตื่นจากฝัน เรียกให้ลืมตาขึ้นมาเห็นรั้วบ้านสีน้ำเงินของตัวเอง
ผมสะบัดหัวไล่ความง่วงก่อนจะโยนสัมภาระให้ปุณณ์ที่ยื่นมือมาช่วยถืออยู่ พลางกระเถิบตัวเองลงจากแท็กซี่บ้าง "กุญแจบ้านอยู่ไหนวะ" ผมบ่นขณะล้วงหาในกระเป๋าเป้แต่ไม่เจอ เลยเอื้อมมือไปหมายจะลองรูดซิปเป้อีกใบที่ปุณณ์เอาไปช่วยหิ้วให้ แต่ร่างสูงตรงหน้าผมกลับยืนนิ่งไม่ขยับ
ผมมองตามทิศของนัยน์ตาคมคู่นั้น ภาพที่เห็นในเวลาต่อมาคือ ร่างเล็ก ๆ ที่ผมรู้จักดี กำลังนั่งมองพวกเราอยู่บนกระถางต้นไม้ไม่ไกลนัก
"ยู..." ผมอุทานชื่อเด็กผู้หญิงตรงหน้าเบา ๆ ก่อนที่ปุณณ์จะบีบไหล่ให้กำลังใจผมแผ่ว ๆ "กูเข้าไปรอในบ้านนะ"
"อือ" ผมขานรับคำนั้นทั้งที่ไม่ได้มองหน้าคนพูดสักนิด ภายในความคิดตอนนี้ที่ขาวโพลนไปหมดมีเพียงสิ่งเดียวที่เด่นชัดคือ ยูริกำลังอยู่ตรงหน้า
"รบกวนเวลารึเปล่า" เสียงเล็กนั้นร้องถามผมแผ่ว ๆ เมื่อสาวเท้าเข้ามา เรียกให้ผมรีบส่ายหัวกลับ ก่อนจะเปิดประตูเล็กให้เธอเข้าไปในบ้าน
"นั่งกันตรงนั้นได้มั้ย" ยูริถามผมอีกพลางชี้ไปทางบ่อปลาของอาป๊า ผมพยักหน้ารับทันที บอกตามตรงว่าตอนนี้ถึงยูริจะสั่งให้ผมกระโดดลงไปในบ่อปลาผมก็คงทำ ผมยอมเธอทุกอย่างแล้วจริง ๆ
เป็นเวลาพักหนึ่งที่เราต่างนั่งกันเงียบ ๆ ปล่อยให้ปลาสีส้มขาวแหวกว่ายไปมาในสายน้ำใส ผมมองบรรดาลูกรักของอาป๊า (รักมากกว่าผมอีกครับ) พายครีบวนไปมา แล้วก็ต้องลอบมองหน้าเด็กผู้หญิงข้างตัวที่ยังไม่พูดอะไรกับผมสักคำ
ดวงตาโตของยูริจับจ้องบนผืนน้ำกระเพื่อม แต่ราวกับความคิดจะลอยไปไกลกว่านั้นมาก ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ยูริกำลังเห็นภาพอะไรอยู่ ภาพบ่อปลาบ้านผม หรือภาพอื่นที่เธอไม่ควรจำ
"ยูกินไรยัง โน่เข้าไปเอาขนมมาให้มั้ย" ผมตัดสินใจทำลายความเงียบ จนคู่สนทนาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมาอมยิ้มเหนื่อย ๆ ให้ผม "ไม่เป็นไร ในกระเป๋ายังมีอยู่ โน่กินมั้ย" เชื่อเขาเลย ที่ตุนไว้ยังไม่หมดอีกเหรอเนี่ย ผมหลุดขำออกมาพลางส่ายหัว ก่อนที่เราทั้งคู่จะสะดุ้งอีกครั้ง เพราะอยู่ดี ๆ ไฟตรงชานหลังคาบริเวณบ่อปลาก็สว่างโร่
ผมหันไปมองในบ้านเห็นเงาสูง ๆ ป้วนเปี้ยนอยู่แถวสวิตช์ไฟ ปุณณ์คงเห็นว่าเริ่มมืดแล้วเลยเปิดไฟให้ เรื่องแสนรู้แบบนี้รับรองไม่มีใครเกิน
"ปุณณ์อยู่ในบ้านเหรอ" ยูริถามผมเสียงแผ่วหลังจากเห็นเงายาว ๆ พาดผ่านหลังผ้าม่าน ผมพยักหน้ารับช้า ๆ ด้วยไม่แน่ใจว่าเธอกำลังถามผมด้วยความรู้สึกไหน
"เรื่องตอนนั้น..." ยูริเกริ่นเสียงเบา ก่อนจะเงียบไป ผมเห็นริมฝีปากเล็ก ๆ เม้มเข้าหากันครู่หนึ่งก่อนจะยอมปริปากพูดต่อ "ถ้าโน่บอกว่า ไม่ใช่อย่างที่ยูคิด ยูก็จะเชื่อโน่นะ"
"..."
ผมมองตอบนัยน์ตาดวงกลมโตนั้นที่กำลังมองตรงมาราวกับจะร้องขอในสิ่งที่ผมให้ไม่ได้
"โน่ก็รู้ว่ายูเชื่อทุกอย่าง ขอแค่โน่บอก"
"นั่นเป็นเพราะเราไม่เคยโกหกกันไม่ใช่เหรอ" ผมแทรกขึ้นพร้อมความรู้สึกว่าลำคอแห้งผากจนเราสองคนต่างตกในความเงียบ เด็กสาวตรงหน้าผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นก่อนจะผลุบสายตาลงต่ำ
ผมมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่ดูเศร้าสร้อยนั่น ด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน "แต่โน่ยังเป็นเพื่อนคนเดิมของยูเสมอนะ"
สิ้นเสียงผมคือเสียงร้องไห้โฮของยูริ จนผมต้องอึ้งไปเพราะความตกใจ ผมมองศีรษะเล็ก ๆ ที่ฟุบลงกับหัวเข่าทั้งสองข้างนั่น โดยปล่อยให้ช่วงไหล่บางสะอื้นเป็นพัก ๆ อย่างไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง
ฝ่ามือผมเอื้อมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ไปตบบ่าเด็กสาวข้าง ๆ ก่อนจะลูบเส้นผมลื่นนั้นแผ่ว ๆ เมื่อเห็นเธอไม่ว่าอะไร ยูริยังคงสะอึกสะอื้นกับหัวเข่าตัวเองอีกพักใหญ่ กว่าจะยอมพูดอะไรออกมา
"โน่ได้ยินที่จิ๊ดพูดในห้องน้ำใช่มั้ย" เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาถามผมทั้งนัยน์ตาที่แดงก่ำ ผมบังคับตัวเองให้พยักหน้าตอบ แม้จะไม่อยากกลับไปคิดถึงเรื่องนั้นเท่าไหร่
"ยูโกรธจนแทบจะฉีกเนื้อมันออกมากินเป็นชิ้น ๆ ที่ว่าโน่เสีย ๆ หาย ๆ แบบนั้น" ถึงตรงนี้ผมอดขำไม่ได้ ก่อนจะโยกศีรษะผู้หญิงข้าง ๆ เล่นอย่างเอ็นดู
"ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก แค่ยูเข้าใจก็ดีใจแล้ว"
"แต่พอคิดไปคิดมา ยูกลับโกรธตัวเอง จนอยากจะฉีกเนื้อตัวเองเป็นชิ้น ๆ แทน" แต่คำพูดบนเสียงสั่นเครือในเวลาต่อมากลับทำให้ผมนิ่งไปพักหนึ่ง ผมมองตอบดวงตากลมที่มีน้ำหยดลงมา ก่อนจะใช้หัวนิ้วโป้งเกลี่ยให้เบามือ
"ทำไมล่ะครับ ทำแบบนั้นโน่ก็เสียใจแย่สิ"
ยูริเม้มปากแน่นมองผม ดวงตาแดงช้ำเหมือนคนกลั้นความเสียใจไว้ไม่อยู่ก่อนจะโถมมากอดผมทั้งตัว "ฮือ..."
"เฮ้ย! อย่าร้องดิ ตกใจหมด เป็นไรอะ บอกโน่ได้นะ"
"ยู ฮึก ยูโกรธจิ๊ดว่าไม่รู้อะไร แล้วก็มาว่าโน่ ฮึก ทั้งที่จริงแล้ว ที่ยูทำมัน ฮึก แย่ยิ่งกว่าอีก ทั้งที่ยูบอกใคร ๆ ว่ารู้จักโน่ดี แต่ยูยัง ฮึก ยังทำแบบนั้นกับโน่ ฮึก ทั้งที่ยูรู้ว่าโน่ดีขนาดไหน ยูก็ยังเอาเรื่องไร้สาระมา ฮึก เอามาทำให้เป็นเรื่องใหญ่"
หยดน้ำตามากมายเปียกไหล่เสื้อผมจนชื้นไปหมด ผมลูบปลอบใจเส้นผมลื่นนั้นแผ่ว ๆ ให้รู้ว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยถือสาเลย
ยูริกระชับกอดผมแน่นด้วยสองแขนที่ยังสั่นเทาไม่หยุด "ฮึก ยูด่าว่าจิ๊ดไม่รู้อะไรแล้วมาพูด ฮึก ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่า ยูนี่แหละที่น่าจะรู้ดี ว่าอะไรเป็นอะไร ฮึก คนที่น่าจะรู้ดีว่าไม่ว่าโน่จะรักใคร แต่โน่ก็ยังเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดเหมือนเดิม ฮึก ทั้งที่มันน่าจะเป็นยูที่รู้ แต่ยูก็ยัง ฮึก" ผมลูบเส้นผมนั้นแผ่ว ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดันร่างยูให้เราสบตากัน
ดวงตากลมโตนั้นชื้นด้วยหยดน้ำจนผมต้องปาดให้เบามือ ผมส่งรอยยิ้มออกไปโดยหวังว่าจะทำให้คนตรงหน้ารู้สึกดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อย "ยูฟังนะ ที่ผ่านมาไม่เป็นไร โน่ก็ขอโทษที่ไม่บอก เชี่ยมากที่ให้ยูรู้เองด้วยวิธีนั้น" ผมพูดก่อนเราสองคนจะเงียบไป รู้ว่าในหัวยูริกำลังย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องวันนั้นเช่นเดียวกับผม มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดจนไม่อยากนึกถึงอีก แต่บางครั้งคนเราก็จำเป็นต้องหันไปมองอดีตอันเจ็บช้ำ เพื่อย้ำตัวเองให้รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราต่างเจ็บปวดอยู่แบบนี้
นัยน์ตาแดงก่ำของยูมองตรงมาที่ผมราวกับจะอ้อนวอนให้ปฏิเสธ หรือบอกอะไรเธอสักอย่างที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ผมรู้ว่ามันเป็นเพียงความสุขจอมปลอม ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องยืดอกยอมรับบางสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่สักที
ผมบีบบ่ายูริเบา ๆ ให้ฟังคำพูดต่อจากนี้ โดยไม่คาดหวังให้เธออภัย หายโกรธ หรือเปลี่ยนความรู้สึกผิดหวังที่มีต่อผมได้ "เรื่องปุณณ์ ก็ไม่รู้จะบอกยังไงดีเหมือนกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน หรือเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กับยูโน่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ โน่ยังเป็นเพื่อนที่ยอมอ่อนข้อให้ยูเสมอเหมือนเดิมนะ" ผมพูดติดตลกให้เธอได้พ่นหัวเราะเบา ๆ ทั้งคราบน้ำตาในตอนหลัง ก่อนฝ่ามือเล็กนั่นจะเช็ดน้ำตาตัวเองป้อย ๆ
"บ้าเหรอ ยูเคยบังคับอะไรโน่ด้วยรึไง"
"โห ให้กลับบ้านไปคิดหนึ่งคืนเลยดีมะ จะได้ครบ หึหึ" ผมว่าพลางโยกหัวเล็กนั้นเบา ๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของคนตรงหน้า จนอดรู้สึกอุ่นใจไม่ได้
ยูริคลี่ยิ้มกว้างตอบผม ก่อนจะเหลือบมองในตัวบ้านที่มีเสียงทีวีลอดออกมาแผ่ว ๆ "แต่ตกใจอะ จู่ ๆ โน่ก็กลายเป็นอย่างนั้นกับปุณณ์เฉยเลย ยูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโน่จะเป็น...เอ่อ เป็น..."
"เป็นอะไร พูดให้ชัด ๆ" ผมว่าพลางบีบจมูกเล็ก ๆ นั่นอย่างหยอกล้อ
"โอ๊ยยย ก็พูดได้รึไงล่ะ!" เธอโวยพลางปัดมือผมเป็นการใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือเล็ก ๆ มาบีบจมูกผมคืนบ้าง เราสองคนเล่นแกล้งกันไปมาเหมือนเด็ก ๆ อยู่พักหนึ่งก่อนผมจะยกมือยอมแพ้เอง (ก็ยูริเล็บยาวมากนี่ครับ ข่วนมาทีหน้าผมหมดหล่อพอดี ยิ่งไม่เหลือ ๆ อยู่ ฮ่า ๆ)
ผมโคลงหัวไปมากับคำถามนั้น เพราะจะว่าไปมันก็ใหม่สำหรับผมพอดู "พูดได้ดิ แต่จริง ๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนอื่นนะ ถ้าไม่นับปุณณ์แล้วก็ยังชอบผู้หญิงเหมือนเดิม เจอสาว ๆ น่ารักยังอยากไปขอเบอร์เลย หึหึ"
"อืมมม งั้น...ศูนย์ แปด สี่ หก หนึ่ง...!!!"
"เฮ้ย อะไร!" แต่พอจบคำอธิบาย ผมก็ต้องโวยใส่เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ที่ท่องเบอร์ตัวเองให้ฟังดังลั่น
ยูริยิ้มเผล่ตอบ "ก็ไม่เอาหรอกเหรอ เบอร์สาวน่ารักอะ อิอิ" แถมไอ้น้ำเสียงเจ้าเล่ห์กับรอยยิ้มซุกซนนั่น ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะขอบ้องหัวคนตรงหน้าสักทีสิน่า เพี้ยนจริง ๆ หึหึ
ผมหัวเราะพลางส่ายหัวขำ ขณะที่ยูริยิ้มร่า เราเงียบกันไปพักหนึ่ง ก่อนเธอจะยันแขนเพื่อเอนตัวไปด้านหลัง แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิท
"แบบนี้ถ้าโน่เลิกกับปุณณ์เมื่อไหร่ ยูก็มีสิทธิ์น่ะสิ"
"แช่งเลยเหรอ หือ"
"อือ นิดนึง ฮิฮิ" เจ้าของคำพูดนั้นหันมายิ้มอวดเขี้ยวสวยให้ผม ก่อนจะอิงหัวบนไหล่ผมเบา ๆ
น้ำเสียงนั้นออดอ้อนเหมือนที่เคยเป็นในวันเก่า "ไม่เกลียดยูจริง ๆ นะ"
"ไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยครับ"
ฝ่ามือเล็กบีบมือผมแน่น ขณะที่เสียงเริ่มเบาลงไปอีก "ยกโทษให้ยูใช่มั้ย"
แล้วแบบนี้จะมีใครจะใจร้ายโกรธได้ลงคอ "ไม่เคยโกรธอยู่แล้ว ไม่ต้องขอโทษ รู้เปล่า" ผมตอบพลางตบหัวเล็กนั้นเบา ๆ สองที ยูริซบไหล่ผมนิ่งอย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะกระเด้งหัวตัวเองออกแล้วฉีกยิ้มตาหยี พลางกางแขนเล็ก ๆ อ้าออกกว้าง
"งั้นขอกอดหน่อย"
ผมยิ้มให้ท่าทางน่ารักดังเก่าของคนตรงหน้าก่อนจะอ้าแขนกอดยูริมาแนบตัว เสียงเธออู้อี้กับแผ่นอกผมเบา ๆ ว่า "กอดแฟนคนอื่นบาปไหมเนี้ย"
"บริสุทธิ์ใจรึเปล่าล่ะ" เป็นอย่างนั้นผมจึงเย้ากลับ ไม่บอกก็รู้ว่ายูริกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่
"ถามแบบนี้ยูคงต้องเตรียมตัวปีนต้นงิ้วแล้ว"
"เฮ้ย ศาสนาคริสต์มีต้นงิ้วด้วยเหรอ" ผมถามอย่างงง ๆ (เพราะยูริเป็นคริสเตียนครับ) แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะคิกคัก
"ไม่รู้ดิ ฮิฮิ โอ๊ยร้อน ปล่อยได้แล้ว อึดอัด!" ร่างเล็ก ๆ บอกปัดพลางดันตัวผมออกห่างก่อนจะทำท่าพัด ๆ เหมือนคนร้อนซะเต็มประดา เลยโดนผมบ้องหัวเล็ก ๆ นั่นเข้าให้ โทษฐานกวนประสาทเกินกว่าจำเป็น (แต่แค่ตบเบา ๆ ไม่แรงอย่างเวลาตบไอ้โอมหรอกครับ วางใจได้ ฮา ๆ)
ผมเริ่มบ่นอุบ "บอกให้กอดเองแท้ ๆ นะ" แต่ยูริกลับลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
"อิอิ แล้วปุณณ์ทำไรอยู่ในบ้านอะ เรียกออกมาเร็ว ปุณณ์! ปุณณ์!" แถมไอ้นิสัยพูดปุ๊บทำปั๊บนี่ก็ไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ แฮะ ผมส่ายหัวพลางขำกับความเพี้ยนของผู้หญิงตรงหน้า ก่อนเสียงประตูบ้านจะเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นหน้ามึน ๆ ของเลขาสภาฯ
"ห...หา เรียกไมครับ" แล้วไอ้ห่านี่มึงเป็นใครเนี่ย! เอากางเกงบอลกูมาใส่โดยพลการเชียวนะ!
ยูริยิ้มร่าก่อนจะพูดต่อ "ขอบคุณมากจ้าสำหรับรองเท้า ตอนเดินกลับเจ็บไหมอะ" เธอว่าพลางถอดรองเท้าแตะของไอ้ปุณณ์ออก เฮ้ย! นั่นมันรองเท้าแตะปุณณ์นี่หว่า เพิ่งสังเกตนะเนี่ย แล้วไปแลกกันใส่มาตอนไหนวะ
ปุณณ์ยิ้มกว้างพลางชี้ให้ยูริถอดรองเท้าคู่นั้นเก็บไว้บนชั้น "นิดหน่อย แต่เดินหลบ ๆ หินเอาก็ไหวอยู่" แถมไอ้บทสนทนาชวนงงนี่มันไม่ประเทืองปัญญาคนนอกอย่างผมเลยว่ะ ผมได้แต่มองตามทั้งคู่ที่ดูมีเลศนัยตาปริบ ๆ โดยไม่เห็นจะมีใครสนใจไขข้อสงสัยให้ผมเลยสักคน
"เฮ้ย ไปแลกกันมาตอนไหนเนี่ย" เป็นอย่างนั้นก็ต้องถามเองดิครับ ผมอ้าปากเหวออย่างงงงวย ขณะที่ไอ้ปุณณ์ยักคิ้วกวน ๆ กลับ
"คิดว่ามึงเป็นพระเอกคนเดียวรึไง หึหึ"
"สัด จะบอกดี ๆ มะ"
"โอ๊ย ไม่ต้องตีกัน" สุดท้ายเป็นยูรินั่นเองครับที่สวมบทแม่นางห้ามทัพพวกผม ก่อนผมกับไอ้ปุณณ์จะแง่ง ๆ ใส่กันมากไปกว่านี้ มือเล็ก ๆ ของเธอหยิบรองเท้าแตะปุณณ์วางไว้บนชั้นรองเท้า ขณะเริ่มอธิบายให้ฟังเสียงแจ้ว ๆ
"ก็ตอนถูกโยนลงน้ำ รองเท้ายูหล่นในฝายด้วยอะ ปุณณ์เลยถอดให้ใส่ ขอบคุณมากนะ"
"ไม่เป็นไรครับ" ปุณณ์รับคำขอบคุณจากยูริยิ้ม ๆ ขณะที่ผมมึนไป เพราะไม่ได้สังเกตเลยว่าปุณณ์เดินเลาะคันนากลับมาทั้งเท้าเปล่า ๆ สงสัยตอนนั้นจะหนาวมากไปหน่อย เลยเอาแต่เดินจ้ำ ๆ ให้ถึงโรงเรียนเร็ว ๆ
"แล้วก็ขอบคุณโน่ด้วยนะ เรื่องเสื้อ แต่ยูไม่คืนนะ! อิอิ" อ้าว อ้าว อ้าววว แล้วไหงเป็นงั้นล่ะครับพี่น้องงง เสื้อตัวนั้นน่ะของโอนิซึกะ แพงด้วยนะเฮ้ย!
"จะเอาไปนอนกอด แล้วก็ทำไสยศาสตร์อะ ฮิฮิ" น่ากลัวที่สุดผู้หญิงคนนี้ -_- ผมถอนหายใจขำ แล้วพยักหน้าเป็นเชิง จะทำอะไรก็ทำเห้อะ ก่อนไอ้ปุณณ์จะส่งเสียงกวน ๆ มา
"ไม่ทันแล้วยู ผมทำไปก่อนหน้ายูแล้ว ฮ่า ๆ" โหไอ้สัด กูรู้ความจริงแล้ววันนี้ มึงร่ายยาเสน่ห์ใส่จนกูสับสนนี่เอง นิสัย!
ยูริขำเสียงดังเอิ๊ก ๆ พลางยกนาฬิกาสีขาวบนข้อมือมาดู "ฝากไว้ก่อนเถอะปุณณ์ มืดแล้วอะ ยูต้องกลับแล้ว ปุณณ์นอนนี่เหรอ" แต่จะไปยังไม่วายหันมาทิ้งระเบิดอีก ผมรู้สึกเหงื่อตก ขณะที่ไอ้คนถูกถามยังจะมีหน้าส่งยิ้มแบบไม่สะทก
"ใช่แล้ว ให้โน่อยู่คนเดียวมีหวังโจรลูบปากหวานหมูเลย" เอ๊ะไอ้นี่ เห็นกูเป็นคนยังไง แค่วันก่อนกูเข้านอนแต่ลืมล็อกบ้านเองนะ (คืนเดียวเท่านั้น!) ทำเป็นล้อกูไม่หยุดว่ะ!
ยูริส่งเสียงหัวเราะร่าก่อนจะส่ายหน้าล้อเลียนกลับ "ยูว่าปุณณ์น่ากลัวกว่าโจรอีก" จริงครับ! แต่เรื่องแบบนี้ฟังยูริพูดแล้วรู้สึกปะแล่มแฮะ -_-a ผมมัวแต่ฉีกยิ้มแห้ง ๆ จนไม่ทันตั้งตัวตอนถูกยูริโน้มคอลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่
ริมฝีปากอิ่มกับปลายจมูกเล็กชนติดกับแก้มผมเนิ่นนานกว่าเจ้าตัวจะยอมปล่อยออก ยูริมองหน้าผมกับปุณณ์ที่โคตรเหวอก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง "ถ้าปุณณ์ดูแลโน่ไม่ดีโดนแย่งแน่ ๆ ระวังเหอะ! ไปก่อนนะ บ๊ายบาย ไว้เจอกันอีก"
ตอนนี้เด็กสาวร่างเล็กโบกมือลาและวิ่งออกจากรั้วบ้านผมเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ผู้ชายอย่างเรา ๆ ยืนโบกมือตอบอย่างมึน ๆ โดยที่ความรู้สึกชื้นบริเวณแก้มยังติดอยู่ไม่ไปไหน
"ไง เสน่ห์แรงไม่ยอมเลิกซักทีนะ" ปุณณ์หันมายักคิ้วล้อเลียนผมเลยได้คำตอบเป็นนิ้วกลางกลับไป ก่อนผมจะค่อย ๆ ถอดรองเท้าเก็บขึ้นชั้น (อันที่จริงเรียกว่ายกเท้าขึ้นไปวางบนชั้นแล้วสะบัดออกจะถูกต้องกว่าครับ) ไม่นานปุณณ์ก็ดึงคอผมไปโอบให้เดินเข้าบ้านพร้อมมัน "แต่น่าเสียดายที่ยูริจะคอยเก้อ"
"อะไรของมึง" ด้วยคำของปุณณ์ทำเอาผมคิ้วขมวด ยิ่งตอนถูกมันลากคอเข้าบ้านพร้อมปิดประตูลงกลอนอย่างดี ยิ่งทำเอารู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ จนไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า ว่าสีหน้าไอ้ปุณณ์ดูแช่มชื่นผิดปกติ
"ก็คงไม่ได้แย่งหรอก เพราะกูดูแลมึงดีอยู่แล้ว จริงปะ" หืม ไอ้คนหลงตัวเอง ผมเลิกคิ้วมองหน้ามันที่ทำมาเป็นพยักพเยิดแล้วก็ต้องเบะปาก
"เหรอวะ"
"ช่ายยย แล้วถึงยูริจะได้หอมแก้มมึง ฟอดดด เบ้อเร่อ" แถมคราวนี้ไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมมือมาถูแก้มผมอีก โอ๊ย นี่มึงจงใจจะทำอะไรเนี่ย!
"แต่กูได้ทำมากกว่านั้นอยู่แล้ว หึหึหึ" แต่เสียงทุ้มนั้นที่ยังพูดไปหัวเราะในลำคอไปแบบโคตรไม่น่าไว้ใจ ทำเอาผมเริ่มหนาวปะแล่ม ก่อนจะคิดไปถึงคำพูดของยูริที่ว่า 'ปุณณ์น่ากลัวกว่าโจร' แล้วพลันเห็นด้วยตงิด ๆ
ผมยักคิ้วกลับไปให้ไอ้หน้าหล่อนี่ "อืม ขึ้นห้องนอนเลยเปล่าล่ะ"
เรียกให้ไอ้ปุณณ์ตาโตทันที "เฮ้ย เอาจริง?"
"อืม" ผมพยักหน้ารับแล้วลากแขนมันขึ้นชั้นสองของตัวบ้านอย่างง่ายดาย คิดเหมือนกันไหมครับว่าเรื่องแบบนี้ไอ้ปุณณ์จะว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ หึหึหึ
เราสองคนมาหยุดยืนหน้าห้องนอน ก่อนผมจะประทับจูบบนริมฝีปากหยุ่นของมันผะแผ่ว "ราตรีสวัสดิ์นะ ไอ้...โง่!!!"
ก๊ากกก เสียงไอ้ปุณณ์ทุบประตูห้องนอนผมรัวหลังจากที่ผมเพิ่งปิดปัง! ใส่หน้ามัน ฮ่า ๆๆ เชี่ยแม่งหน้าตามีแต่ความหื่น รับไม่ได้ว่ะ ต้องดัดสันดานซะบ้าง ผมผิวปากสบายใจขณะที่ไอ้หน้าห้องยังโวยวายไม่หยุด
"เชี่ยโน่! มึงเปิดประตูเดี๋ยวนี้!"
"ไร มึงกล้าสั่งกูเหรอ!"
"โน่ครับ เปิดประตูหน่อยนะ นะนะ"
"เสียใจ กูง่วงแล้ว ฝันดี"
"ขอกูนอนด้วยนะ กูไม่ทำไรจริง ๆ ขอแค่นอนกอดนะ"
"ฮ้าว..."
"ไม่กอดก็ได้ ขอแค่นอนเตียงเดียวกันนะ"
"กู้ดไนต์"
"โอ๊ยยย นอนพื้นก็ได้ ขอนอนในห้องเดียวกันนะ"
หึหึหึ ฝันดีแน่เลยคืนนี้ ZZZzzz
TBC.
Postscript : เย้วววววววววววววววววววววววว ในที่สุดก็เดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว (*กระโดดรอบบ้าน*) เหนื่อยมาก ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจาก
รอติดตาม LOVE SICK : ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน ตอนจบบริบูรณ์( เหรอ?) ได้ในวันที่ 13 พ.ค. ที่นี่ค่า!!! ^___________^ แหะ ๆๆ คิดแล้วใจหายเหมือนกันแฮะ Y___Y
ส่วนสำหรับใครที่โอนเงินค่าหนังสือมาแล้ว อดใจรอใบตอบรับสักครู่นะจ๊ะ เราจะพยายาม (เน้นว่า “พยายาม”) ตอบทุกคนภายใน 7 วัน แต่ถ้าหลังจาก 7 วันเรายังไม่ตอบเมลมาจิกได้เลยนะ บอกด้วยก็ดีเน่อว่าเมลมาครั้งที่ 2 เผื่อเราเบลอไป (มันเช็กยากได้โล่จริง ๆ ปวดหัววว) ส่วนใครที่เมลมาจองไว้ก็อดใจรอการตอบรับและใบแจ้งโอนเงินสักครู่เด้อ.... Y___Y มันเป็นช่วงวิกฤติของชีวิตเราจริง ๆ ตอนนี้ (ต้องส่งใบอะไรต่อมิอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ชักมึน...) แต่จะพยายามเก็บให้ครบทุกคนไม่ให้ตกหล่นค่า!!
ส่วนใครที่ยังไม่รู้ข่าว ก็ติดตามข่าว LOVE SICK กำลังจะรวมเล่มเป็นหนังสือแล้ว ที่นี่จ้า!
http://writer.dek-d.com/hedfuc/story/viewlongc.php?id=436675chapter=81
เห้อ... เหนื่อย เจอกันตอนหน้า.... วันที่ 13 พ.ค. นะจ๊ะ ^__^
ความคิดเห็น