ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LOVE SICK : ชุลมุนหนุ่มกางเกงน้ำเงิน [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #62 : 52nd CHAOS - Helpless

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 40.13K
      209
      29 มี.ค. 63



    52nd CHAOS - Helpless
     

    "กูขอโทษษษ" เบื้องหน้าผมตอนนี้คือไอ้โอมที่ยกมือไหว้ไม่ยอมเอาลง นานกว่า 10 นาทีแล้ว

    ใช่ครับ เป็น 10 นาทีแล้วที่ยูริเข้ามาเห็นคำตอบของคำถามทั้งหมดที่เธอเคยถาม ก่อนจะวิ่งจากไปโดยไม่มีคำถามใด ๆ เพิ่มเติมอีก

    "เฮ้ย ไม่เป็นไร มึงไม่ผิดจริง ๆ" ผมบอกพลางแตะมือโอมที่ไหว้ค้างไว้ไม่ยอมเอาลง ด้วยเหตุผลเพราะไม่อยากให้มันเก็บเรื่องนี้ไปคิดมาก ว่ามันเป็นตัวการที่พายูริเข้ามาจนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างเมื่อกี้นี้ ก็ในเมื่อเราทุกคนต่างจำกัดความว่ามันคือ เหตุการณ์ไม่คาดฝัน แล้วผมจะปล่อยให้โอมคิดโทษตัวเองอยู่แต่ฝ่ายเดียวได้ยังไง

    "ไอ้เหี้ย! กูแม่งไม่น่าพายูริมาเลย กูขอโทษว่ะ กู..."

    "เฮ้ยพอ มึงไม่ผิดเลยจริง ๆ เป็นพวกกูที่ไม่ระวังเองโอม พวกกู...ประมาทเอง" ผมแค่นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเอาซะเลยที่จะยอมรับความจริง ว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของตัวผมเอง มันไม่ได้เกิดจากยูริ ที่เพียงต้องการเอารูปสติ๊กเกอร์เมื่อวานมาให้ผมตามประสาเพื่อนที่ดีเท่านั้น มันไม่ได้เกิดจากโอม ที่เพียงแค่หวังดีพายูริมาหาผมในห้องชมรม จะได้ไม่ต้องฝ่าฝูงผู้ชายมาเองทั้งที่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างล้วนเกิดจากตัวผม ผมที่สนใจแค่ความต้องการของตัวเอง โดยไม่เคยคำนึงถึงผลที่จะตามมาเลยสักครั้ง

    ผมบีบมือโอมเบา ๆ เตือนให้มันลดมือที่พนมอยู่ลง แม้ว่าหน้าตามันจะไม่ยินยอมอยากทำอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ทำตามโดยดี โอมมองตอบใบหน้าผมเหมือนต้องการพูดคำขอโทษต่ออีกสักร้อยคำ ทั้งที่ผมคิดว่าโอมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นเลย

    "โอ๊ย กูแม่ง...โว้ยยย!" สุดท้ายมันจึงได้แค่แหกปากโวยวาย ตีอกชกหัวตัวเอง ก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึง ๆ ออกจากห้องไป โดยไม่ลืมปิดประตูให้พวกผมก่อนออก (แม้จะโคตรแรงก็เถอะ) เฮ้อ...ไอ้โอมก็แบบนี้แหละครับ ชีวิตเหมือนจะไร้สาระ แต่ก็รับผิดชอบทุกอย่างที่ทำ (เวลาที่มันไม่ได้กวนตีนนะ) เพียงแค่ครั้งนี้ผมไม่เห็นว่ามีสิ่งใดที่โอมสมควรต้องรับผิดชอบจริง ๆ

    เสียงที่เคยโหวกเหวกภายในห้องชมรมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนกลายเป็นสงบลง เหลือเพียงลมหายใจของผมที่ถูกระบายออกมาหนัก ๆ ความรู้สึกปวดหัวและสับสนกำลังประเดประดังเข้ามาเล่นงานจนผมตั้งตัวไม่ทัน จำต้องล้มลงนั่งบนโซฟาตัวยาวที่มีอีกคนเอนหลังอยู่ก่อนแล้ว

    ใช่ครับ ปุณณ์ยังไม่ไปไหน มันยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ และมีท่าทีกังวลตลอดจนผมรู้สึกได้ ผมเหลือบมองใบหน้าคมคายที่เต็มด้วยเค้าแห่งความกังวลนั้น ประกอบกับฝ่ามือชื้นเหงื่อทั้งสองข้าง ที่เจ้าของมันกอบกุมกันแน่นอีก

    "ปุณณ์ เป็นไรรึเปล่า" แต่ถึงแม้เรี่ยวแรงตนเองแทบจะหมด ผมก็ยังอดเอ่ยถามคนข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ปุณณ์กำลังคิดคงไม่ต่างจากโอมเท่าไหร่

    "กูขอโทษนะ" แล้วก็เป็นดังคาด ผมมองปุณณ์ที่หันมาตอบเสียงแผ่วพร้อมนัยน์ตาหมองถนัด แล้วอย่างนี้คนฟังอย่างผมจะทำเช่นไรได้ นอกจากส่งยิ้มเรียกกำลังใจคืนกลับไป

    เรี่ยวแรงที่คงเหลืออยู่ทั้งหมด ผมขอใช้มันยิ้มให้แก่คนตรงหน้าผม "ขอโทษไรวะ คิดมาก! ถ้าจะผิดก็ผิดด้วยกันทั้งคู่แหละ" ผมว่าพลางตบบ่าแกร่งนั้นเบา ๆ ด้วยคำพูดที่ตรงกับใจเพียงครึ่งหนึ่ง เพราะในความคิดของผมจริง ๆ แล้ว ผมไม่เคยนึกโทษปุณณ์แม้แต่น้อย

    หากใบหน้าคมนั้นยังคงเคร่งขรึม "แต่เป็นกูที่เริ่ม"

    อืม...งั้นถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ ผมคลี่ยิ้มให้ไอ้คนหน้าเครียดที่กำลังสบสายตาผมอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนวงหน้าไปจรดริมฝีปากเหนือกลีบปากสีอมส้มนั้นเบา ๆ ปุณณ์ดูตระหนกนิดหน่อย แต่ก็ยินยอมให้ผมเป็นฝ่ายรุกล้ำโดยดี ผมแอบอมยิ้มกับท่าทีว่าง่ายนั้นก่อนจะกวาดชิมรสหวานจากปากของปุณณ์จนกว่าตนเองจะพอใจ

    "ทีนี้ผิดเท่ากันรึยัง" จนกระทั่งถอนริมฝีปากออก ผมจึงได้หลิ่วตาถามคนตรงหน้า ให้มันส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ แทนคำตอบที่ผมต้องการ "แล้วไม่ตามเขาไปจะดีเหรอ" คือคำถามจากปุณณ์ในเวลาต่อมา

    อืม...ความรู้สึกหนักอึ้งแล่นวนกลับมาทันทีหลังจากได้ฟังคำถามนั้น ผมยอมรับว่าตัวเองนิ่งไปเพราะจนด้วยคำตอบ แม้เมื่อกว่า 10 นาทีก่อน สองขาของผมจะสั่งการให้ตัวเองวิ่งตามยูริไป แต่สมองกลับตะโกนถามดังกว่านั้น ว่าผมจะตามยูริไปอีกเพื่ออะไร

    ในเมื่อผมไม่สามารถทำอะไรให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้สักอย่าง ไม่ว่าจะก้าวออกไปยอมรับหรือปฏิเสธ ผมไม่สามารถปิดบังเรื่องราวทั้งหมดได้ต่อ ในเมื่อภาพที่ยูริเห็นล้วนฟ้องความจริงจนหมดเปลือก แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับไม่มีความกล้าหลงเหลือพอที่จะสารภาพความจริงออกไป ในเมื่อยิ่งผมพูดมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับยิ่งซ้ำเติมจิตใจของยูริมากเท่านั้น

    แล้วผมยังเหลือวิธีไหนอีก

    ทุกอย่างในหัวรวมกันหนักอึ้งเสียจนต้องหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

    "โน่" แต่แล้วเนื้อเสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดี กลับคอยฉุดให้ผมตื่นจากภวังค์ พร้อม ๆ กับฝ่ามืออุ่นข้างเดิมนั้น ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คอยย้ำเตือนเสมอ ว่าที่ตรงนี้ยังมีใครอีกคนคอยเคียงข้างผมอยู่ ผมลืมตามองรอยยิ้มปุณณ์ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็น่ามองจนไม่อยากให้หายไป

    "ขอบคุณนะ" ผมเอ่ยคำนี้กับคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่บรรยายไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยเช่นไร แต่ผมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ลืมตามาเห็นปุณณ์อยู่ข้างกาย

    ผมรู้สึกว่าตัวเองจะปลอดภัย

     

    ***
     

    หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ก็ดูท่าว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับยูริจะจบลง เพราะเธอไม่เคยโทรมาหา ออดอ้อนชวนไปดูหนัง กินข้าว รวมถึงช็อปปิงด้วยกันอีก แม้แต่ในเวลาที่ผมตัดสินใจต่อสายโทรศัพท์ไปหาเธอ กลับพบว่ามีเพียงสัญญาณเรียกเข้าเท่านั้น ที่ยูริอนุญาตให้ผมได้ยิน

    เย็นวันหนึ่งเมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมา เราสองคนบังเอิญเจอกันบนรถไฟฟ้าระหว่างทางกลับบ้านโดยไม่คาดคิด ผมยอมรับว่าตัวเองรู้สึกประหม่าไม่น้อยที่ต้องเผชิญหน้ากับยูริทั้งที่เคยทำเรื่องไม่ดีไว้ขนาดนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้อีก นอกจากส่งยิ้มเป็นมิตรให้เธอตามแบบฉบับที่ผมเคยเป็น แม้จะรู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากเห็นหน้า หรือแม้แต่ผูกมิตรกับคนอย่างผมแล้ว

    ภาพที่จำได้ติดตาคือใบหน้าเฉยชาราวกับคนไม่รู้จักกันของยูริ ดวงตาเธอมองผ่านผมไปราวกับว่าผมไม่มีตัวตนอยู่ ซึ่งก็คงถูกแล้วที่เป็นเช่นนั้น เพราะไอ้คนอย่างผม หากไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตยูริจริง ๆ เรื่องทั้งหมดก็คงดีกว่านี้

    ยิ่งผมได้กลับมาคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำร้ายยูริมากเท่านั้น เพราะมันเป็นผม คนที่เพิ่งบอกเลิกเธอกับปากเมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน ก่อนที่จะปล่อยให้เธอมาเห็นกับตาตัวเองว่า สาเหตุที่ผมบอกเลิกยูริเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะผมเลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับปุณณ์ ผู้ชายที่มีศักดิ์เป็นถึงแฟนเก่าของเพื่อนสนิทเธอ อีกทั้งยังภาพที่ยูริเห็น ก็แทบเป็นภาพเดียวกับภาพสุดท้ายในโลกที่เธออยากเห็น

    ผมไม่เคยคิดโทษยูริที่โกรธขนาดนั้น เพราะผมมันไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ในเมื่อผมคือฝ่ายที่ทำร้ายความรู้สึกเธอ จึงไม่ใช่ผมที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าควรทำอย่างไรต่อไป หากแต่เป็นยูริ ซึ่งถ้าเธอพิพากษาว่าคนอย่างผมไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนด้วยอีก ผมคงไม่สามารถอุทธรณ์อะไรต่อได้

    เพราะไม่ว่ายูริจะมอบบทสรุปรูปแบบไหนให้แก่ผม ผมก็ยินยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด

    ผมสมควรแล้วที่จะได้รับบทสรุปนั้น

    เฮ้อออ เขาว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งอายุจะสั้นลง 7 วิฯ (จริงปะวะ) แต่ถ้าจริงผมคงเหลืออายุขัยอีกไม่กี่นาทีแหง ๆ ก็...

    โครมมม

    แล้วใครวะเอาหมอนมาทุ่มหัวกู! แม่งคนกำลังนอนใช้ความคิดอยู่แท้ ๆ ผมพลิกตัวมองหน้าผู้ต้องหาที่มายืนค้ำหัวอยู่แล้วก็ต้องผงะ เพราะผมที่นอนตัวยาวบนพื้นห้องชมรมในตอนนี้ พบว่าหน้าตัวเองวางห่างจากตีนไอ้โอมแค่ไม่ถึงคืบ

    "หืม ไอ้เชี่ย เอาออกไปเลยนะ!" แล้วใครยอมนอนดมตีนมันต่อก็บ้าแล้วครับ! ไอ้สัด ผมผลุนผลันดันตีนมันออก ก่อนจะต้องลุกขึ้นนั่งเกาหัวอย่างขัดใจ

    แต่ไอ้โอมยังมีหน้ามาหัวเราะอีก "ก็กูเห็นมึงนอนเหม่อดีนัก เรียกไงก็ไม่ตอบ เลยต้องเอากลิ่นมาดามหอมชื่นนนใจให้ดม เป็นไง ชื่นนนใจมะ" พ่อออมึงสิ ผมหันไปชูนิ้วกลางใส่มันด้วยความพิศวาสกลิ่นมาดามเป็นอย่างยิ่ง

    เฮ้อ...วันนี้เป็นวันที่เราสองคน (ผมกับโอม) ต้องมานอนเฝ้าห้องชมรมกันทั้งเช้า กลางวัน รวมถึงเย็นด้วยครับ เนื่องจากไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพวกผม เพราะไอ้ฟิล์มเล่นยกโขยงพาน้อง ๆ รวมถึงรุ่นพี่บางส่วนไปแข่งขันวงโยธวาทิตที่เมืองนอก นับดูแล้วเหลืออีกตั้งหลายวันกว่าจะกลับ ทิ้งให้พวกผมดักดานอยู่ในประเทศเขต(โคตร)ร้อนแบบนี้อย่างสุดแสนจะเซ็ง

    ผมนั่งเหล่ไอ้โอมที่เมื่อกี้แวะมาทุ่มหมอนกวนประสาทผม ก่อนมันจะเดินไปกระชากใบอะไรบางอย่างจากบอร์ดออกมายื่นให้ต่อ อะไรวะ

    "ร้านคิโนะเขาโทรมาบอกให้มึงไปเอาสารานุกรมที่สั่งไว้วันนี้ ไอ้ควาย โทรศัพท์แหกปากลั่นห้องตั้งนานมึงไม่รู้สึกตัวเลยใช่มะ" อ้าวเหรอ แล้วโทรศัพท์ดังตอนไหนวะ ว่าแต่ถ้าไอ้โอมอยู่ในห้องด้วยแล้วปล่อยโทรศัพท์ดังตั้งนานกว่าจะรับทำไม นี่แสดงว่าระหว่างผมเผลอมันแอบเปิดตูดหนีไปเตะบอลอีกแล้วสิ! โห ไอ้เพื่อนชั่ววว ผมละอยากอ้าปากด่ามันสักสามยก ถ้าไม่ติดว่าใบเสร็จรับเงินปั้มตราร้านหนังสือ Kinokuniya ลอยมาปิดหน้าเอาไว้ก่อน

    "ไป-เอา-ด้วย-นะ-มึง!" แล้วไอ้ห่านี่ยังมีหน้ามาย้ำอีก แม่งพูดเหมือนจะไม่ไปด้วยยังงั้นอะ!

    "ไปด้วยกันสิวะ!"

    "ไม่ว่างโว้ย" แต่อ้าววว แล้วอะไรของมัน ผมมองตอบไอ้โอมที่ร้องปฏิเสธแทบทันทีด้วยใบหน้าที่เขียนคำว่า 'ไม่เข้าใจ' ตัวใหญ่กว่าควายแปะคาไว้บนหน้าผาก

    ท่าทางไอ้โอมจะอ่านใบหน้าแบบนั้นของผมออก เพราะตอนนี้มันกำลังอ้าปากอธิบายต่อ "ก็วันนี้อั๋นถึงกำหนดกลับมาแล้ว บ้านกูต้องแห่ไปตั้งขบวนรับที่สนามบินนู่น กูโดนจิกให้รีบกลับบ้านหลังเลิกเรียนเนี่ย" อ้าวจริงดิ! เฮียอั๋นจะกลับมาแล้วเหรอ! ผมเริ่มลิงโลดเป็นเด็ก ๆ เพราะเฮียอั๋นคือพี่ชายแท้ ๆ ของไอ้เชี่ยโอมครับ ทั้งหน้าตาดี ใจดี และมีกึ๋นต่างกับมันลิบลับ ก็เฮียเล่นเป็นนักเรียนนอก พ่วงดีกรีปริญญาโททางด้านวิศวกรรมมาจากอังกฤษ แบบนี้จะเอาไอ้โอมไปเทียบด้วยได้ไงอะครับ ก็ไอ้ห่านี่แค่เรียนม.ปลายจะรอดรึเปล่า ดร.แหวนยังต้องลุ้นอยู่เลย

    "เฮ้ย แล้วมึงว่าเฮียอั๋นจะมีของฝากมาให้กูปะวะ กูตื่นเต้นว่ะ" ว่าแล้วก็ขอฝันถึงช็อกโกแลตกล่องโต ๆ สักสามสี่กล่องหน่อยเถอะน่า อู๊ยยย ลาภปาก

    โป๊ก!

    แต่แม่ง! ไอ้ห่านี่จะขัดลาภกูไปถึงไหน ผมหรี่ตามองไอ้เชี่ยโอมที่เพิ่งประทุษร้ายผมด้วยมะเหงกอันใหญ่ก่อนจะตามมาเบิ้ดกะโหลกต่ออีกหนึ่งครั้งถ้วน (โหไอ้นี่ ได้ทีเอาใหญ่นะ!)

    "พี่กูยังไม่ทันกลับ เสือกถามถึงของฝากละ ไม่ค่อยเลยนะมึง" ก็ทำอย่างกับมึงไม่เคย! ผมเริ่มอุบอิบด่ามันไม่เป็นภาษา เพราะเคืองที่แม่งไม่ช่วยแบกหนังสือแล้วยังจะงกของฝากอีก เออ พูดถึงเรื่องหนังสือ มันไม่ไปช่วยแบกแล้วผมจะหอบกลับมาท่าไหนวะนั่น

    "เชี่ยโอม มึงไม่ไปช่วยกูจริงอะ สารานุกรมแม่งมีตั้ง 14 เล่มนะเว้ย" แถมปกแข็งอีกต่างหาก ผมขมวดคิ้วมองไอ้โอมที่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ลงท้ายด้วยการสะบัดหัวพรืดอยู่ดี

    "เหอะ ไม่ได้จริง ๆ ว่ะ วันนี้บ้านกูสั่งให้รีบที่สุด"

    "หูย แล้วใจคอมึงจะให้กูแบกคนเดียวจริงเหรอว้า" แค่คิดก็หนักแล้ว ยิ่งแต่ละเล่ม ไซส์ควาย ๆ ทั้งนั้น โอ่ย...

    ผมนั่งเกาหัวตัวเองไปมองใบเสร็จรับเงินของคิโนะไปอย่างจนตรอก แต่เพียงแค่ไม่นาน น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของไอ้โอมก็ดังขึ้น "มึงจะไปยากอาไร้ แค่ยกโทรศัพท์กริ๊งเดียว ไอ้ปุณณ์ก็รีบกระดิกหางไปช่วยมึงแบกหนังสือแทนกูละ" เออว่ะ ลืมได้ไงเนี่ย ว่าแต่ตะกี้ไอ้โอมมันบอกว่าปุณณ์ทำไมนะ กระดิกหางรึเปล่า เอ๊ะไอ้นี่ชักลามปาม แต่เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีทีหลัง ตอนนี้ขอโทรหาปุณณ์ก่อน ผมหันไปยกนิ้วโป้งให้ความคิด (ชั่ว ๆ) ของไอ้เชี่ยโอม ก่อนจะต่อสายหาเบอร์เลขาสภาฯ ทันที

    'อย่าลืมคำว่า รัก คำนั้น อย่าลืมความรู้สึกนั้น คำสำคัญนั้นมีค่า รักษาเอาไว้ให้ดี...อย่าลืมคำว่า รัก คำนั้น ที่เคยบอกกันและกัน เพียงแค่คืนและวันได้เลยผ่าน อย่าให้อะไรมาบัง รักเรา'

    อืม แล้วก็เป็นเพราะ Caller ring เพลงนี้แหละ ที่ทำให้ทุกครั้งเวลาผมเจอไอ้ฟี่ มันเป็นต้องหยุดชี้หน้าผม แล้วพูดคำว่า 'อย่าลืม' ทุกครั้งไป -_- เป็นไรมากมั้ยมึง -_- นี่ยังไม่ได้เอาผิดกับไอ้ตัวต้นเหตุเลยนะ ฝากไว้ก่อนเถอะ

    ผมนั่งฟังเสียงพี่บีร้องเพลงอยู่พักหนึ่งจนคิดว่าตัวเองจะต้องคอยเก้อซะแล้ว แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของเบอร์ก็โผล่มารับสายจนได้

    "ว่าไงครับโน่...เฮ้ยแม็ก! แม็กพิมพ์คำนี้ผิด" เอ่อ...เริ่มต้นมาก็ดูท่าไม่ค่อยดีเลยแฮะ ผมเกาหัวแกรก ๆ ขณะฟังเสียงปุณณ์บอกรุ่นน้องว่าต้องพิมพ์เอกสารคำร้องยังไง

    "ไงโน่ โทษที อยู่ห้องสภาฯ อ่ะ" เอ้อ กูโทรไปกวนรึเปล่าหว่า

    "งั้นทำงานไปเหอะ เดี๋ยวกูค่อยโทรไปใหม่"

    "เฮ้ยไม่เป็นไร! คุยได้ มีไรรึเปล่าครับ" แล้วคุยได้จริงเหรอว้า ผมขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงไอ้ฟี่โวยวายล้งเล้งอยู่ไกล ๆ คล้ายว่ามันกำลังเปิดศึกทะเลาะกับใครอยู่

    แต่ช่างเถอะ "เย็นนี้ว่างปะ" ไหน ๆ เสียเงินโทรมาแล้วก็ถามเลยละกัน (ไม่งั้นเสียดายค่าโทรศัพท์อีก) ได้ยินเสียงปุณณ์พลิกกระดาษอะไรสักอย่างในมือสองสามทีก่อนจะตอบ "ทำไมเหรอ มีธุระไรรึเปล่า" เอ...ฟังดูเป็นลางไม่ดีแฮะ

    "ก็ต้องไปเอาหนังสือที่พารากอนอะ"

    "เยอะมั้ย"

    "สิบสี่เล่ม..." เยอะเปล่าวะ แหะ ๆๆ

    "ฟี่! เย็นนี้กูไม่อยู่ห้องสภาฯ นะ!" เอาแล้วไง เพราะพอสิ้นคำผมปุ๊บ ไอ้ปุณณ์ก็หันไปแหกปากปั๊บ เออดี ว่าแต่ไอ้ฟี่จะยอมเหรอ

    "ไม่ได้โว้ย มึงต้องอยู่!" ไหมล่ะ กูว่าแล้ว ผมกำลังจะอ้าปากบอกปุณณ์ว่าถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร (บอกคนในคิโนะให้ช่วยขนของขึ้นแท็กซี่หน่อยคงได้มั้ง) แต่ไอ้ปุณณ์ดันชิงตะโกนตอบฟี่ก่อน

    "มึงจะให้กูใจร้ายปล่อยแฟนไปขนหนังสือคนเดียวรึไง!" แล้วนั่น! ปากมึงเหรอที่พูดน่ะ!!! ไอ้เลขาสภาฯ เวร กูจะฆ่ามึง!

    "เออ!" แต่ไม่มีช่องว่างให้ผมด่า เมื่อเสียงฟี่ที่ได้ยินตะโกนตอบกลับมาทำเอาแสบแก้วหู แล้วก็คงต้องฟังไอ้เลขาฯ กับประธานสภาฯ เถียงกันอีกนานแน่ ถ้าผมไม่รีบตัดบทอะไรสักอย่าง

    "ปุณณ์ ไม่ว่างไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปคนเดียวก็ได้ แค่โทรมาถามเฉย ๆ โอเคนะ" ผมพยายามหว่านล้อมปลายสายที่กำลังคุยด้วยให้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง แต่อ้อ! จริง ๆ แล้วผมน่าจะบอกมันอีกด้วยว่า มึงไม่ต้องป่าวประกาศเรื่องกูเป็นแฟนมึงขนาดนั้นก็ได้ หน้ากูบาง!

    "ไม่เป็นไร ไปได้ เจอกันเย็นนี้นะ"

    "แต่..."

    "ไว้เจอกัน" กริ๊ก อ้าว วางสายแล้ว อะไรของมันวะ ตกลง 'ไปได้' ของมันนี่คืออะไร ผมมองไอโฟนในมือตัวเองอย่างมึน ๆ แต่ก็หันไปบอกโอมว่าปุณณ์คงไม่ว่าง แต่ไม่เป็นไร ผมไปเองได้

    ร้านคิโนะคงมีบริการช่วยขนหนังสือนั่นแหละน่า


    ***
     

    ทันทีที่ออดโรงเรียนบอกเวลาเลิก ไอ้เชี่ยโอมก็วิ่งแจ้นหางจุกตูดออกนอกห้องอย่างไว โห นี่ถ้าไม่รู้ก่อนว่ามันจะไปรับเฮีย ผมคงคิดว่าเย็นนี้มีถ่ายทอดสดกองประกวด FHM แน่ ๆ เพราะเป็นเหตุผลเดียวที่ดูเข้ากับสันดานเชี่ย ๆ ของมัน

    แต่ท่าทางรีบร้อนอย่างนี้สงสัยไม่พ้นฝากเฮียซื้อของไว้แน่นอน ว่าแต่คืออะไรวะ ระหว่างหนังสือเพลย์บอยเล่มล่าสุด กับของฝากน้องมิก หึหึหึ อย่าให้กูรู้แล้วกัน

    ผมคิดพลางผิวปากพลางระหว่างทยอยเก็บของจากโต๊ะลงกระเป๋า หลังจากร่ำลากับพวกไอ้เก่ง รถเก๋ง พ้ง ปาล์ม โด่ง คมและอีกมากมาย ก็ได้เวลาออกไปทำหน้าที่เบ๊ชมรม เอาของที่สั่งไว้สักที (เสียดายที่ไอ้ง่อยไปแข่งกับเขาด้วย ไม่งั้นนะพ่อจะใช้ให้น่วม!) โว้ยยย คิดแล้วก็เบื่อ ผมหนีบกระเป๋าเข้าข้างเอว ระหว่างยกมือบ๊ายบายเพื่อนทั้งหมด

    อืม ว่าแต่ตกลงไอ้ปุณณ์เอาไงวะ โทรศัพท์มือถือก็ไม่เห็นมันติดต่อเข้ามาสักนิด แต่ก็เอาเถอะ ช่วงนี้เห็นงานสภาฯ ยุ่ง ๆ มันคงไม่ว่าง ไปเซ้าซี้มากก็ไม่ควร ผมบอกตัวเองอย่างนั้นก่อนจะยัดไอโฟนลงกระเป๋าเกงเกงนักเรียน แล้วมุ่งหน้าเดินไปยังประตูรั้วทันที

    แล้วเรื่องราวก็คงราบรื่นมากกว่านี้ หากไอ้ปุณณ์จะไม่ได้พุ่งมาจากไหนไม่รู้ แถมยังลากเอาแขนผมให้วิ่งออกนอกโรงเรียนพร้อมมันอีก! "เฮ้ย ไรของมึง!"

    "เร็วโน่! เดี๋ยวไม่ทัน!" มันว่าพลางลากผมวิ่งตรงดิ่งไปยังประตูทางออกโรงเรียนพร้อมมัน เฮ้ยยย อะไรของมึงวะ!

    "ไม่ทันอะไร! ร้านปิดสามทุ่ม!" มึงมั่วปะเนี่ย! แต่ไม่ต้องรอให้ปุณณ์พูดต่อ เพราะคำตอบวิ่งตามมาโน่นแล้ว

    "เชี่ยปุณณ์! กลับมาเดี๋ยวนี้!!!" เฮ้ยยย นั่นมึงหนีมันมาเหรอวะ! ผมผวาหันไปมองไอ้ฟี่เจ้าของเสียงโหวกเหวกด้านหลังแว่บหนึ่ง ก่อนจะถูกปุณณ์รีบผลักหลังยัดใส่แท็กซี่อย่างเร็ว "กูไปแล้ววว มีไรเรียกใช้น้องแม็กเอง บายเพื่อน!" เสียงไอ้ปุณณ์ตะโกนตอบประธานนักเรียนคู่ชีวิต ก่อนจะดึงประตูรถแท็กซี่ปิดอย่างรวดเร็ว "ไปพารากอนครับพี่"

    "เฮ้ย มึงหนีมันมาไม!" เดี๋ยวแม่งก็หาว่ากูขโมยเลขาสภาฯ อีก! ผมหันไปแว้ดมันทันทีที่รถออก

    "ก็จะให้กูปล่อยมึงไปคนเดียวได้ไงอะ หนังสือก็ตั้งเยอะ" ปุณณ์หันมาว่าพลางยิ้มเผล่ทั้งที่เหงื่อเม็ดเป้งยังสิงอยู่บนขมับ เออ ก็ดีหรอกที่ไม่ทิ้งกูอย่างไอ้โอม แต่...

    "แล้วงานสภาฯ อะ ทิ้งมางี้ไม่เป็นไรเหรอ" เห็นท่าไอ้ฟี่วิ่งตามมาแล้วกูละหวั่นจริง ๆ แต่ไอ้ปุณณ์ดันส่งเสียงหัวเราะร่า

    "งานห่าเหวไรล่ะ ไอ้ฟี่แม่งกวนตีน แฟนมันไม่ออกมาให้เจอสองอาทิตย์ได้แล้วมั้ง มันเลยจะให้กูอดไปกับมึงบ้าง ดูความเลวของมันดิ" อ้าวซะงั้น ไอ้ชั่วฟี่! ถ้ารู้งี้กูขอวิ่งกลับไปกระทืบซ้ำอีกสองทีก่อน

    ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแช่งไอ้ประธานนักเรียนแสบในใจ ขณะที่ปุณณ์บอกพี่คนขับให้เร่งแอร์หน่อยก่อนจะหันมาพูดต่อ "แต่แฟนกูเขาไม่ใจร้ายอย่างแฟนไอ้ฟี่นี่หว่า แล้วจะให้กูใจร้ายกับแฟนกูได้ยังไง" หืม? ปากดีนักนะมึง ผมหันไปเลิกคิ้วมองหน้าคนพูดที่กำลังยิ้มกริ่มอยู่แล้วก็อดหลุดขำไม่ได้ "อาการหนักนะมึง หึหึหึ"

    "อื้อ มึงอะทำกูอาการหนัก ต้องรับผิดชอบด้วย" อ้าวไอ้นี่ จู่ ๆ ก็มายัดเยียดข้อหาให้เฉย ผมส่ายหัวกับความเพี้ยนของมัน (ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ) ก่อนจะเคาะนิ้วเป็นจังหวะเพลงลูกทุ่งตามที่คุณลุงคนขับกำลังฟังอยู่

     

    ใช้เวลาไม่นานนักเราสองคน (กับอีกหนึ่งลุงคนขับ) ก็มาถึงสยามโดยสวัสดิภาพ ซึ่งแน่นอนว่าปุณณ์เป็นคนชิงจ่ายเงินทั้งหมดอีก โว้ะ! ไอ้นี่จะทำตัวเสี่ยไปไหนวะ (รู้แล้วโว้ยว่าบ้านรวย) ผมเหล่มองมันที่รับเอาเงินทอนยัดใส่กระเป๋าตังค์โดยไม่นับ ด้วยความหมั่นไส้

    "ตลอดอะมึง วันหลังกูไม่นั่งแท็กซี่ด้วยแล้ว"

    "อ้าว! มึงก็เก็บตังไว้เลี้ยงข้าวกูดิ หิวว่ะ กินไรดี" อ้าวไอ้นี่ กูชวนมาเอาหนังสือ เสือกทำเนียนตลอด ผมเหล่มองไอ้ปุณณ์ที่ทำเป็นยืนลูบท้องหันซ้ายหันขวาแล้วก็อดใช้ศอกกระทุ้งแม่งไม่ได้ "ไปเอาหนังสือกับกูก่อน"

    "เฮ้ย! ก็โน่บอกเองว่าร้านมันปิดสามทุ่ม เราก็หาไรกินก่อนดิ จะให้แบกหนังสือไปกินด้วยรึไง" อืม พูดจาฉลาดมีเหตุผล เสียอย่างเดียวที่ไม่รอผมตอบตกลงว่ะ เพราะตอนนี้มันเล่นลากผมเข้าสยามเซ็นเตอร์มาเดินหาของกินเรียบร้อย "กินอะไรดีน้าาา" แล้วยังมีหน้ามาทำเสียงแอ๊บแบ๊วอีก เหอ ๆๆๆ เอาเถอะมึง

    เราสองคนเดินวนไปวนมาอยู่ในห้างพักใหญ่ โดยที่ไอ้ปุณณ์เอี้ยวคอผมไปกอดไว้แน่นตลอด เอ่อ...ก็เข้าใจนะว่าเด็กผู้ชายเดินกอดคอกันมันเรื่องปกติ แต่ตอนนี้กูว่าปล่อยเถ้อะ!

    ผมเริ่มดิ้นขลุกขลักในแขนมันที่ยังกวนตีนรั้งคอผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย "โอย กูอึดอัด ปล่อยยย" แต่ไอ้ห่าเลขาสภาฯ เสือกทำเป็นผิวปากสบายใจ

    ผมเหล่มองมันอีกรอบ "ปล่อยเส่ะวะ" เพราะตอนนี้เด็กผู้หญิงที่เดินผ่านเราไปเริ่มหันมามองแล้วครับ

    "เป็นไร ขอวางแขนแค่นี้ก็ไม่ได้" ไอ้ปุณณ์แกล้งทำเป็นบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ยอมเอาแขนออกเปลี่ยนเป็นแค่วางไว้บนบ่าผมแทนโดยดี สงสัยมันคงจับพลังได้ว่าผมเอาจริง

    เราสองคนเดินวนในสยามเซ็นเตอร์สองสามรอบ ก่อนปุณณ์จะตกลง (กับตัวเอง) ได้ว่าอยากกินซิซซ์เล่อร์ คือมันไม่ถามความเห็นผมเลยครับ จริง ๆ ผมก็อยากกินนะซิซซ์เล่อร์เนี่ย แต่ด้วยจำนวนคนต่อคิวมหาศาลเหมือนได้กินฟรี ทำเอาแค่คิดก็เล่นซะท้อ

    แต่ผลของการรอคอยก็ถือว่าคุ้มค่าครับ เพราะเมื่อพนักงานเรียกชื่อผม (แล้วดูแม่งดิ มันอยากกินเองแท้ ๆ แต่เสือกเอาชื่อผมไปจองซะงั้น) และพาเราไปยังโต๊ะตัวที่ว่างอยู่นั้น ผมพบว่าพวกเราได้โต๊ะดีเกินคาด! เนื่องจากคงไม่มีอะไรดีเกินกว่าการได้นั่งโต๊ะที่อยู่ใกล้ซุ้มสลัดบาร์แค่เอื้อมมืออีกแล้ววว อา...สวรรค์ของโน่ ซุปทูน่าของโน่ พาสตาของโน่ มันบดของโน่ แค่คิดก็มีความสุขแล้ววว

    ผมฉีกยิ้มแฉ่งเมื่อเห็นตำแหน่งของโต๊ะนั่งและสลัดบาร์จนปุณณ์ต้องเอื้อมมาบ้องหลังหัวด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งที แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้บ้องมันกลับ สายตาพลันเหลือบไปเห็นร่างขาว ๆ ที่คุ้นตาเสียก่อน

    "ยูริ..." ผมทวนชื่อเจ้าของร่างนั้นเสียงแผ่ว แต่ก็ดังพอที่จะให้ปุณณ์หันตามได้ ใช่แล้วครับ ไม่ไกลจากโต๊ะเรานักคือโต๊ะของยูริที่มากับเพื่อนสาวสามสี่คน โดยผมรู้สึกได้ว่าเธอเห็นพวกเราแล้ว แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น เพราะไม่ว่าเพื่อนร่วมโต๊ะจะสะกิดให้เธอมองผมแค่ไหน เธอก็ไม่ชายตามาเลย

    เรานั่งใช้อากาศหายใจร่วมกันในซิซซ์เล่อร์ได้เพียงไม่ถึงห้านาที ก่อนยูริจะออกปากชวนเพื่อนไปจ่ายตังค์บริเวณเคาน์เตอร์ทางออก ผมเห็นจากจานเปล่าบนโต๊ะนั้นก็พอรู้ว่ายูริมาถึงก่อนเราสักพักแล้ว แต่สังเกตจากสีหน้าเธอก็รู้เช่นกัน ว่าหากผมไม่เข้ามา มื้อนี้คงจะอร่อยกว่ามาก

    ผมมองตามหลังยูริที่เพิ่งจากไปพร้อมกระเป๋านักเรียนซึ่งพวงกุญแจสีส้มสดใสยังคงห้อยอยู่ แว่บหนึ่งในใจผมรู้สึกเหมือนถูกบีบ แม้จะรู้ดีว่าถูกแล้วที่เป็นอย่างนี้

    ฝ่ามืออุ่นของปุณณ์เลื่อนมากุมมือผมไว้แผ่วเบา ราวกับต้องการส่งต่อความห่วงใยผ่านปลายนิ้วเหล่านั้น

    ผมได้แต่หวังว่าคงมีสักวัน ที่เราจะกลับไปยิ้มให้กันอีก

    แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ ก็ตาม



    TBC.

     

     

    Postscript : โอ้ววววววววววว มายยยยยยยยย ก้อดดดดดดดดด!! กลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อได้จริง ๆ เว้ยเฮ้ย!? (หลังจากมึนงงเคว้งคว้างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่พักใหญ่) ฮี่ ๆๆๆ.... กราบสวัสดีมิตรรักแฟนเพลงที่ยังคงร้องเพลงรอทุกท่านนะคะ Y___Y เห็ดรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาจริง ๆๆ ฮือ....

     

    แต่ด้วยเนื่องจากเป็นการกลับมาหลังจากที่หายไปนานพักใหญ่... ดังนั้นน้องโน่เลยยังรู้สึกเกร็ง ๆ อยู่บ้าง ดังนั้นหากอ่านตรงไหนแล้วยังแข็ง ๆ ทื่อ ๆ ก็ขออำภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเน้อ.... คิดว่าผ่านไปอีกซักตอนสองตอนคงจะเริ่มคุ้นเคยกลับไปโม้แตกเหมือนเดิม ยังไงก็ เป็นกำลังใจให้นภัทรด้วยนะค๊า *ลากมันมาโค้งงาม ๆ ให้ท่านผู้อ่านทุกคน*

    อ่อ... สำหรับแฟนอาร์ตที่ส่งมาทาง e-mail เห็ด ได้รับนะจ๊ะ!!! ขอเวลาสักครู่เดี๋ยวจะเอาลงให้เน้อ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าแฟนอาร์ตแปะหน้าหลักมันเยอะ ๆ ยังไงบอกไม่ถูก ขอเวลาคิดหาวิธีจัดการทรัพยากรซักประเดี๋ยว (จะพยายามคิดให้ออกภายในวันสองวันนะ) แล้วจะจัดการเอาลงให้ทุกคนแน่นอนเลยค่า!!!! ส่วนสำหรับคนที่วาดไว้แล้วแปะในคอมเม้นท์ คอมเม้นท์มันรันเร็วนะเออ Y____Y ช่วยส่งเข้าอีเมลเห็ดอีกทีนะ นะ นะ นะ นะ นะจ๊ะ ^____^ จะได้เอามาแปะให้เพื่อน ๆ ยลกันน้ออออ~

     

    แล้วก็.... ช่วงตอบคอมเม้นท์พอเป็นกระษัย.... ณ จุดจุดนี้ เห็ดยังไม่สามารถเปิดทำการได้ (เพราะเยอะจนอ่านไม่หวาดไม่ไหว.... ขอเวลาอ่านคอมเม้นของช่วงที่ดองไปซักเดือนสองเดือนก็แล้วกันนะ Y____Y) ดังนั้นใครมีอะไรสงสัย ฝากถาม หรือแนะนำติชมอย่างไร ขอความกรุณาโพสต์อีกรอบเน้อ Y____Y รับรองรอบหน้าตอบแน่นอนนนน ย๊ากกกกกกส์! *ซดกระทิงแดง*

     

    ทำไมพูดมากจังวะเนี่ยเห็ด????? เอาเป็นว่า รักและคิดถึงทุกคนซำเหมอเน้ออ ยังไงก็ขอฝากไอ้พวกลิงไว้ในอ้อมใจผู้อ่านอีกครั้งนะจ๊ะ เจอกันอีกครั้งตอนหน้า ไม่ช้าแน่นอนเด้อออออออ!!

     

     

    with love,

    HED

     

    ปล. กลับมาอีกทีแล้วงงระบบ มีคำวิจารณ์ มีว้อยซ์ไรท์เตอร์อวอร์ดด้วยนี่คืออารายยยย??? ไม่เหมือนกะจัดอันดับทั่วไปตงไหนเนี่ย??? (มึน) แต่ก็ขอบคุณเน้อที่มาวิจารณ์และจิ้มโหวตให้ น้องโน่ฝากบอกว่ารักทุกคนค่าา~~~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×